Group Blog
 
All blogs
 

บทที่7:ความโกรธหรือความน้อยใจ









ยัยซุ่มกับนายจอมซ่า



บทที่ 7 : ความโกรธ หรือ ความน้อยใจ








“เนี่ยๆ ใครหรอ นราวดี” ไอ้พรซึ่งหลบอยู่ชิดกับนราวดีที่สุดเลิกคิ้วฉงน และยังได้ยินนราวดีพึมพำเบาๆ


“อ่อ ไม่มีอะไร แค่คนที่เคยมาใช้บริการห้องสมุดเฉยๆ จ๊ะ” นราวดีกระซิบตอบอย่างเลี่ยงๆ พลางหลบสายตาจนดูมีพิรุธ


“ แต่เอ..ฉันว่า ไม่ใช่นะ เพราะ เมื่อตะกี้ เห็นพึมพำออกมาเป็นชื่อเขานี่” ศศิตา ผสมโรงคาดคั้นขึ้นมาทันควัน


“ฉันว่า มันคุ้นๆ อยู่นะ แต่ใครนะ เหมือนฉันเคยเห็นตาคนนี้ที่ไหนสักแห่ง” สุวรีพึมพำขึ้นมา


“แต่พนันเลยว่า ต้องเกี่ยวข้องกับเธอแน่เลยใช่ไหม ยัยนา” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่ในประเด็นการสนทนาครั้งนี้


“ชู่ว์ ชู่ว์ เงียบๆ หน่อยสิ เดี๋ยวเค้าได้ยินจะยุ่งเอานา” สุวรีปรามขึ้น


เสียงซุบซิบนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนไปเข้าหูผู้ที่นั่งหันหลังทอดอาลัยอยู่ ต้องหันขวับมามองทางต้นเสียงด้วยแววตาแปลกใจ จากอารมณ์เศร้าสร้อยพลันเปลี่ยนเป็นโกรธขึงราวกับไฟผลาญขึ้นในดวงตาคู่นั้นทันที ส่งผลให้ต้นตอของเสียงเอะอะเงียบลงฉับพลัน


“เอาล่ะสิเนี่ย งานเข้าแล้ว” เสียงบ่นพึมพำในลำคอ ของไอ้พร พร้อมกับเหงื่อที่พานไหลย้อยออกมาด้วยอาการตื่นกลัว ถึงสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามที่จ้องมาด้วยรังสีอำมหิตปานนั้น


เจ้าของสายตาอำมหิตคู่นั้นเดินฉับๆ เข้ามาอย่างคนที่มีอารมณ์กรุ่นอยู่ก่อน พลางจ้องไปยังสาวน้อยใส่แว่นตาในกลุ่มเพียงคนเดียว ที่ตอนนี้ พากันลุกขึ้นมายืนเรียงแถวหน้ากระดานสลอน ทั้ง สุวรี ศศิตา ปิยะพร


“เดี๋ยวนี้นี่ พาพวกมาเย้ยกันถึงที่หรือไง สะใจเธอแล้วใช่ไหม ยัยสี่ตา” เสียงนั้นทำให้ทุกคนสีหน้าซีดลงทันที ยกเว้น สาวน้อยร่างเล็กในกลุ่ม


“ไม่ใช่ความผิดของยัยนาหรอก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ฉันเอง” เสียงโวยกลับนั้น ดังมาจากไอ้พร


“โอ้ เดี๋ยวนี้ มีสมุนออกมาปกป้องเลยนะ ยัยสี่ตา ถ้าจะให้ดีเธอกับพวกของเธอ ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องของฉันจะดีกว่า แล้วก็ไปให้พ้นๆด้วย” เสียงนั้นดังบาดลึกราวกับมีดกรีดลงกลางใจของสาวน้อยนราวดียิ่งนัก น้ำตาซึมออกมา ด้วยความรู้สึกเกินจะเอ่ย ก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบแก้ม ไม่ทันไร เธอก็รีบหันหลังวิ่งออกไปด้วยความเร็ว โดยไม่อยากให้ใครได้เห็นน้ำตาที่ไหลรินออกมา


“นราวดี นราวดี..” เสียงเรียกจากเพื่อนที่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสุวรีรีบวิ่งตามนราวดีไปทันที


“นายมันใจร้ายเกินไปแล้วนะ นาย.. นายมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย! รังแกได้แม้แต่ผู้หญิง” ไอ้พรพูดออกไปด้วยแรงโกรธที่เพื่อนของตน โดนทำร้ายจิตใจ พูดจบเธอก็วิ่งตามเพื่อนๆ ที่ตอนนี้วิ่งไล่ตามนราวดีไปกันหมดแล้ว


สุดเดชเริ่มได้สติกับสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป ยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความเจ็บปวดทรุดตัวลงกับพื้น ภาพเหตุการณ์นั้นมัน ทำให้เขาเริ่มมองเห็นอะไรซ้อนทับขึ้นมาในมโนภาพ


ภาพของสาวน้อยวัยเยาว์ ที่วิ่งไปพร้อมกับน้ำตาที่อาบแก้ม...


มันคืออะไรกันเนี่ย ?


ภาพของเด็กสาวตัวเล็กๆที่วิ่งไปรอบๆทุ่งอันเขียวขจี ที่เขามักฝันเห็นบ่อยๆ


บ่อยครั้งที่เขาคิดว่าเป็นเพียงจินตนาการที่เขาสร้างขึ้น ยามที่เขาเจ็บป่วยลงครั้งใด


มันก็มักทำให้เขามีกำลังที่จะรักษาตัวให้หายวันหายคืน


มันคือกำลังใจหนึ่งเดียวที่เขามีคืนกำลังกายให้เขาเท่าทวีคูณให้ต่อสู้กับโรคร้าย


มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เค้าอยากฟื้นคืนบางอย่างขึ้นมา


มันทำให้เขามักจะนึกถึงบางอย่างที่เขาเองรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่วาบขึ้นมาในดวงใจ


ที่ตอนนี้มันขาดหายไปจากใจของสุดเดช…


แม้ว่าเวลาที่เขามองเห็นภาพนั้นในมโนภาพ เขาจะมีอาการปวดหัวเล็กน้อยก็ตาม


แล้วทำไม?เขาผู้ไม่เคยแคร์ใคร ต้องรู้สึกเจ็บปวดกับแววตาที่เศร้าสร้อยคู่นั้นด้วย มันเพราะเหตุใดกัน


------------------------------------------------------------------------------


บรรดาเพื่อนสนิทของนราวดี ต่างวิ่งตามหาเธอกันจ้าละหวั่นด้วยความเป็นห่วง


จนพบเธอในที่สุด ตรงบริเวณม้านั่งที่ตั้งอยู่ลึกมากของสวนสาธารณะแห่งนั้น ที่ตั้งอยู่ใกล้กับต้นไม้ชงโค สาวน้อยนราวดีหยุดหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นั่งถอดแว่นออกมาพับไว้ที่ตัก และดึงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป่าเสื้อเพื่อซับคราบน้ำตาของความเจ็บปวด เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นยังดังออกมาเป็นระยะๆ


“นราวดี หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวตาก็บวม หมดสวยกันพอดี” แขนของศศิตาเอื้อมไปโอบรอบคอเธอให้โน้มมาพิงยังไหล่ของเธอ น้ำตาก็ไหลรินออกมา ดวงตามีแต่ความว่างเปล่า สีหน้าหม่นหมอง จนเกิดสีหน้าที่บ่งถึงความกังวลฉายฉัดบนใบหน้าของเพื่อนๆ ของเธอ อย่างชัดเจน


“แย่จริงๆเชียว! ผู้ชายอะไรปากร้ายจริงๆ นิสัยก็แย่ มิน่าถึงโดนผู้หญิงทิ้งอย่าให้เจออีกนะ ฮึ่มๆ” ไอ้พร ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ที่เกิดจากการกระทำที่กระทบจิตใจเพื่อน


“เอาน่า อย่าไปมีเรื่องเลย เราเองก็ไม่ควรไปแอบดูเขาแบบนั้น มันก็ไม่ดีเหมือนกันนะแหละ” สุวรีดุไอ้พร ยืนกอดอก เสนอความคิดเห็น สายตาเพ่งมองดูเพื่อนที่ขณะนี้ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ที่ยังไม่ยอมหยุดลงง่ายๆด้วยความกังวล


“แต่มันก็เกินไปหน่อย ทำไมต้องพูดรุนแรงแบบนั้น และต้องเฉพาะเจาะจงมาลงกับนราวดีด้วยล่ะ
ฉันไม่เข้าใจเลย” เสียงนั้นค้านขึ้น ดังมาจากไอ้พรซึ่งทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ม้านั่งที่ตรงข้ามกัน


“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันแหละ ไอ้พร แต่ถ้าอยากรู้คงต้องรอให้นราวดีหยุดร้องไห้ และสบายใจขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยซักถามก็ไม่สาย” ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันอย่างเห็นด้วย สายตาทุกคู่ต่างมองไปยังนราวดีด้วยความห่วงใย



นราวดีค่อยผ่อนคลายลงบ้าง จากเหตุการณ์เมื่อครู่ เสียงสะอึกสะอื้นจึงเบาลงอย่างช้าๆจนเงียบไปในที่สุด พลางคิดไปต่างๆนานาด้วยความน้อยใจกับเหตุการณ์ที่สะเทือนใจเธอ และสุดท้ายจึงพิงหลับไปบนไหล่ของศศิตา


จนกระทั่งเริ่มเย็นลง ท้องฟ้าฉาบด้วยสีทอง นกกระจิบพากันบินกลับรังเพื่อพักผ่อน


“นราวดี.. ตื่นได้แล้วนี่มันจะเย็นแล้วนะ” สุวรีพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา


“อ้าวหรอ แฮะๆ โทษทีหลับเพลินไปหน่อย” ผู้ที่ถูกปลุกให้ตื่นพูดแก้เก้อออกไป พลางยืดแขนขึ้น คล้ายบิดขี้เกียจน้อยๆ ลุกขึ้นยืนเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้น


“แหม..เธอหลับสบายเชียวนะ ฉันนี่เมื่อยแทบแย่” เจ้าของไหล่บ่นอุบ พลางบีบนวดไหล่ข้างที่เมื่อยอย่างเบามือ


“งั้นเดี๋ยวฉันช่วยนะ ไอ้พร หมอนวด เอ้ย ไม่ใช่!
คุณหมอฝึกหัดแผนปัจจุบัน มาให้บริการบีบนวดแล้วจ้า” พลางนักเรียนหมอมือหนึ่งก็กระโดดเข้าไปนวดไหล่ที่ด้านหลังของศศิตาอย่างเบามือราวกับหมอนวดมืออาชีพ


ทุกคนพากันหัวเราะดังๆขึ้นพร้อมกัน มันทำให้นราวดีหัวเราะขึ้นได้ที่สุด


ราวๆ ชั่วโมงได้ที่นราวดีผลอยหลับลงบนไหล่ของศศิตา


แม้เธอจะร่วมหัวเราะไปกับเพื่อนๆ


แม้แววตานั้นจะฉายแววร่าเริง


แต่นั่นก็เพราะต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกจริงที่ฝังลึกอยู่ภายในเอาไว้เพียงคนเดียว


เธอจัดเผ้าจัดผมของเธอให้เป็นระเบียบอีกครั้ง และเช็คคราบน้ำตาที่เหลือเพียงเล็กน้อยออกจนหมดจด


ดวงตากลมคู่นั้น ดูไม่ร่าเริงเหมือนตอนแรกที่นัดพบกัน ทำให้เพื่อนเก่าของเธอไม่กล้าที่จะซักถามอะไรมากไปกว่านั้น


“ฉันว่า เราแยกย้ายกันกลับบ้านเถอะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาคุยกันได้ เราพร้อมรวมตัวเสมอจ้า” ไอ้พรพูดตัดบท พลางสบสายตากับทุกคน


“เดี๋ยวฉันกลับพร้อมศศิตานะ ว่าไงพร้อมให้ฉันติดรถไปลงด้วยไหมจ๊ะ” ไอ้พรทำเสียงออดอ้อนพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้มให้ เล่นเอาเพื่อนๆพากันขนลุกเป็นแถว โดยเฉพาะศศิตาแทบจะวิ่งหนีจากไปให้ไกลที่สุด



“ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายนี่ ที่มีบ้านใกล้แกนะไอ้พร ฉันล่ะกลัวจริงๆว่า แกจะกระโดดกัดคอฉันระหว่างทาง” พูดพลางลูบต้นคอไปมาและยิ้มน้อยๆ จากนั้น ทุกคนจึงเดินไปที่รถของศศิตาที่จอดอยู่หลังสวนสาธารณะ ซึ่งบริเวณที่จอดนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสวยสดงดงาม ดอกดาวเรืองชูช่ออยู่ตามทางที่ถัดไปยังที่จอดรถ ดอกพลับพลึงสีม่วงบานรับกับพระอาทิตย์ยามอัสดง อากาศยามเย็นที่ลมพัดเอื่อยๆ ยิ่งช่วยบรรเทาจิตใจให้ผ่อนคลาย



ศศิตาหยิบกุญแจขึ้นมาจากกระเป๋า พลางไขกุญแจรถเข้าไปนั่งพร้อมกับปิยะพรที่ก้าวเข้าไปนั่งที่ข้างคนขับรถ ที่ตอนนี้กำลังสตาร์ท พร้อมไอแอร์อันเย็นฉ่ำก็ไหลออกมา


“เอาล่ะ ฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกันอีกนะ ยัยสุวรีอย่าลืมไปส่งยัยนาด้วยนะ ไม่งั้นล่ะก็มีเคือง” คนที่นั่งอยู่ข้างศศิตาไขกระจกลงมาพูดด้วยความเป็นห่วง


“เอ้อรู้แล้ว แล้วเจอกันอีกนะ ศศิตา ไอ้พร” ทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างรถต่างยกมือขึ้นโบกอำลา ทั้งคู่ที่ตอนนี้ขับรถออกไปจากบริเวณนั้นแล้ว


“ไปกันเถอะนา เดี๋ยวจะดึกเกินไปนะ เธอจะต้องกลับหอเองหรือเดี๋ยวฉันไปส่ง” สุวรีกล่าว


“จะดีหรอ บ้านเธออยู่ไกลจากหอของฉันตั้งเยอะ” นราวดีพูดอย่างความเกรงใจในน้ำใจของเพื่อนที่มีต่อเธอ


“ไม่เป็นหรอก ปรกติฉันก็กลับดึกอยู่แล้ว นี่ยังเช้าอยู่ด้วยซ้ำ ไปเถอะ เร็วๆ ไปที่รถฉันกัน” มือนั้นเอื้อมมาโอบไหล่เธอด้วยความรักใคร่ พากันออกวิ่งไปยังรถชอปเปอร์สีดำมะเมื่อมคันงามที่จอดอยู่


“แหม..เธอนี่ทำให้ฉันแปลกใจอยู่เรื่อยนะ รถคันนี้ของเธอหรือ”
นราวดีพูดพลางชี้ไปที่รถชอปเปอร์คันนั้น



“แน่นอน ป๋าฉันซื้อให้เพราะว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยนะ ตั้งใจจะเอามาอวดเธอโดยเฉพาะ ปรกติไม่ค่อยได้ใช้หรอก เพราะว่าฉันขี้เกียจขัดเงามันนะ นี่โอกาสพิเศษ กับเพื่อนคนพิเศษเท่านั้น ถึงจะให้นั่ง เอ้า! อย่าพูดมากเลยขึ้นเร็วๆ” ยังไม่ทันไร สุวรีก็ก้าวกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถชอปเปอร์ พลางสตาร์ทรถอย่างชำนาญ นราวดีจึงรีบก้าวขึ้นไปนั่งบนช็อปเปอร์คันนั้นแต่โดยดีอย่างไม่ขัดข้อง


“เอ้านี่ ก่อนสตาร์ทรถออกไป เราต้องใส่หมวกนิรภัยไว้ เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน” พูดจบก็โยนหมวกสีดำขลับให้เธอสวมไว้


เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรถจึงออกวิ่งไปยังจุดหมายนั้นด้วยความเร็วสูง


ระหว่างที่รถออกตัว นราวดีเกาะเอวสุวรีด้วยแรงทั้งหมดที่มี พลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้



ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะ..จำไม่ได้แม้กระทั่งเธอ...







โปรดติดตามตอนต่อไป



ก่อนอื่นต้องขอ สวัสดีปีใหม่ไทยนะคะ ขอให้ทุกท่านมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดสมปรารถนานะคะ ต้องขอภัยที่ทำไมลงช้าจัง เพราะ ก่อนหน้านั้นหลายวันไม่สามารถเข้ามาใน Bloggang ได้สงสัยจะเพราะทุกคนกำลังสนุกวันสงกรานต์ เพราะฉะนั้นกิจกรรมที่จะบอกเล่าให้คนอื่นฟัง รวมถึงรูปมากมายจึงมากเป็นพิเศษ
แต่ยังไงผู้เขียน ก็ต้องลงตอนที่ 7 ให้ได้ค่ะ ตอนนี้จึงคลอดออกมาเป็นที่เรียบร้อยค่ะ หลังจากพากเพียร แก้ไขคำผิด เท่าที่จะทำได้ สนุกไม่สนุกก็โพสต์บอกกันหน่อยนะคะ ยังไงผู้เขียนขออกตัวก่อนน่ะคะ ว่าไม่ได้เขียนเก่งอะไรมากมายค่ะ แต่ก็ขอกำลังใจกันด้วยค่ะ




พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ในปลายเดือนเหมือนเช่นเคยคะ ถ้าไม่มีอะไรมาขัดกลางอากาศค่ะ



ปีกแห่งลม











 

Create Date : 12 เมษายน 2555    
Last Update : 22 เมษายน 2555 20:30:09 น.
Counter : 718 Pageviews.  

บทที่6:สิ่งที่ไม่คาดฝัน




ยัยซุ่มกับนายจอมซ่า


บทที่ 6 :สิ่งที่ไม่คาดฝัน




ปึง!


เสียงกระทบของอะไรบางอย่างที่กระแทกอย่างแรง จนเกิดเสียงดังก้องหน้าห้องสมุดอีกครั้ง พร้อมกับอาการหน้าแดงเรื่อขึ้นมา ด้วยอาการอายสุดๆ ที่มีมากกว่าอาการเจ็บ แทบจะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ดีของโลกใบนี้ ซึ่งตอนนี้มันไม่ทันแล้ว เพราะทุกสายตาที่เดินผ่านไปมาหน้าห้องสมุด ต่างหันมาหยุดมองเธอเป็นตาเดียว


“นราวดี เธอเดินยังไงเนี่ย ประตูก็ออกจะบานใหญ่ ตัวหนังสือก็ออกจะโต๊โต มองไม่เห็นหรือไงยะ” วรินทรบ่นอย่างเสียไม่ได้ ของการกระทำของเพื่อนรักที่ซุ่มซ่ามเสียเหลือเกิน


“ดีน่ะที่เจ้าแม่ เจ๊แกไม่อยู่ช่วงนี้ไปสัมมนาห้องสมุดที่ต่างจังหวัด ไม่งั้นเธอคงได้เช็ดถูห้องสมุดไปอีกเดือนแน่ๆ และคราวนี้ เธอจะกลายเป็นทาสรับใช้ในห้องสมุดไปจนตาย แบบนางทาสแน่ๆ เลย” เสียงเหน็บแนมของเพื่อนอีกหน่อหนึ่งเจ้าประจำของการเหน็บแนม นายอำนาจตัวดีนี่เอง


“ช่างฉันเถอะช่วงนี้ ก็ยังใช้หนี้กับเจ๊แกไม่หมด ก็ช่าง ๆ มันเถอะ อยู่ห้องสมุดก็ดีสบาย ๆ แอร์ก็เย็น ประหยัดไฟที่หอด้วย ไม่ต้องคิดไรมาก ก็ดันมาหลงเรียนวิชา บรรณารักษ์นี่ ช่วยไม่ได้จริงๆนะเนอะ” ว่าพลางนราวดีก็ก้มลงเก็บหนังสือที่ทำหล่นขึ้นมาประคองไว้แล้วออกเดินต่อไปที่เคาน์เตอร์บริการระหว่างนั้น สายตาของวรินทร ก็ดันไปสะดุด เข้ากับนักศึกษาที่สวมชุดกาวน์ยืนอ่านหนังสืออยู่ในชั้นหนังสือที่อยู่ห่างจากเคาน์เตอร์ไม่เท่าไรนัก


“อุ๊ย หล่อจัง ใครนะที่ยืนอยู่ตรงชั้นหนังสือนั้น ท่าทางจะเรียนหมอน่ะเนี่ยตั้งใจอ่านน่าดูเลย อยากรู้จังว่ายืนอ่านหนังสือไรอยู่น่ะ” ว่าแล้วเธอก็ชำเลืองมองขึ้นไปยังป้ายของชั้นหนังสือนั้น อาการแปลกใจก็เริ่มปรากฏบนสีหน้า


“แปลกแฮะนักศึกษาหมอคนนี้ ทำไมมายืนอ่านหนังสือเกี่ยวกับบรรณารักษ์น่ะ ว๊าว...หรือว่า เค้ากำลังสนใจใครในหมู่พวกเราที่กำลังเรียนเอกบรรณารักษ์อยู่นะ ตื่นเต้นๆ อยากรู้จังว่าใครนะ


“ท่าทางเค้าคร่ำเคร่งน่าดู ยิ่งมีเสน่ห์อย่าบอกใครเลย เอ๊ะ! นั่นๆเค้าเงยหน้าขึ้นมาแล้ว.. แล้วดูเหมือนเค้าจะเดินตรงเข้ามาหาพวกเรานะ แย่ล่ะสิ”
ว่าแล้วผู้ที่เพิ่งเอ่ยชมเมื่อครู่ก็หายไปอยู่ข้างหลังเพื่อนจอมซุ่มซ่ามอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าเค้าจะจับได้อย่างงั้นแหละ ว่าแอบดูเค้าอยู่ตั้งนานสองนาน


ชาวหนุ่มรูปร่างสูงในเสื้อกาวน์เดินมาตรงกลุ่มที่ทั้งสามยืนอยู่อย่างรวดเร็ว


“อ้าว นึกว่าใครที่ไหน คุณนะเอง เปลี่ยนแว่นเสียจนจำแทบไม่ได้แน่ะ ไม่รู้ยังจำกันได้หรือเปล่าน่ะครับ ผมวิชูเพื่อนเจ้าสุดเดชที่วันนั้นโวยวายกับคุณหวังว่าคุณคงหายโกรธแล้วนะครับ” วิชูออกตัวขอโทษขอโพยอีกครั้ง


“อ๋อ คุณวิชู นี่เองดิฉันนึกออกแล้วคะ” นราวดีว่าพลางขยับแว่นที่ใส่อยู่
และพยักหน้าน้อยๆ


“อ้าว แย่แล้วใกล้เวลาเรียนวิชากายวิภาคแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวจะไปสาย
หวังว่าเราคงได้เจอกันอีก
” หลังจากก้มลงดูนาฬิกาข้อมือเรือนทองที่สวมอยู่ที่ข้อมือ
และยิ้มอำลา พลันก้าวเท้าฉับๆออกจากห้องสมุดไปอย่างรวดเร็วดั่งพายุ


นักศึกษาทั้งสามถึงกับยืนตะลึงเป็นหินกับสถานการณ์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ชนิดว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยไรไปมากกว่าทักทายทั่วไป


“งงง่ะ คนหรือว่าลิงเนี่ยเร็วจังแฮะ” เสียงอุทานจากสมาชิกหนุ่มตัวแสบในกลุ่ม
ทำให้ทุกคนเริ่มกลับมาได้สติกันอีกครั้งนึง


“ไปซะแล้ว ทำไม ? เธอไม่เคยเล่าให้ฟังเลยนะ ว่าเคยเจอนักศึกษาหมอสุดหล่อคนนั้น แล้วคุณ


สุดเดชนี่ใครบอกมาเดี๋ยวนี้นะ คุณนา ไม่งั้นฉันโกรธด้วย” วรินทรเริ่มส่งสายตาเอาเรื่องพลางยื่นหน้าท้าวสะเอวน้อยๆเข้าไปใกล้


“เฮ้อ เอาล่ะๆ นักศึกษาแพทย์คนนั้นชื่อ คุณวิชู ส่วนคนที่เค้าพูดถึงเป็นเพื่อนเค้าชื่อนายสุดเดชจอมแสบนะ แล้วฉันก็เคยไปเดินชนเค้า มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันก็เลยรู้จักเท่านั้นเอง ไม่มีไรมากกว่านั้นหรอก” นราวดีรีบไกล่เกลี่ย


“จริงหรอ แต่จากสายตาเธอนี่ดูมันไม่ธรรมดานะ”วรินทรมองด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยเพื่อจับพิรุธ


“ไม่มี ๆ จริงๆ เชื่อฉันสิ” นราวดีรีบกล่าวตอบทันควัน


“แล้วทำไม ต้องไปเรียกเค้าว่า จอมแสบ ด้วยล่ะ”


“ก็เจ้าบ้า นั้นโวยวายแค่เรื่องฝุ่นจากหนังสือไปเลอะโดยเสียกาวน์ของนายนั่นนะสิ แล้วมันก็โวยวายๆเสียลั่นเลย” นราวดี เล่าด้วยอารมณ์โมโห


“อ๋อ อย่างงี้นี่เอง..” วรินธรพยักหน้าหงึกๆ


“นอกจากนั้น ก็ไม่มีอย่างอื่นจริง” นราวดีพูดย้ำอีกครั้ง


“อืม ก็ได้ตกลง
ฉันจะเชื่อเธอ คราวหน้าเธอต้องแนะนำฉันให้คุณวิชูรู้จักด้วยเข้าใจไหม นราวดี
” วรินธรพูดคะยั้นคะยอ


“จ้าๆ ฉันสัญญา”
นราวดีพยักหน้าน้อยๆ ยอมตกลงแต่โดยดีอย่างเสียไม่ได้ ทำให้วรินทรยิ้มออกกระโดดเข้าเกาะคอนราวดีแน่นหนึบราวกับปลาหมึก เล่นเอานราวดีรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก


“ปล่อยคอได้แล้ว วรินทรฉันจะแย่แล้ว ปล่อยๆ” นราวดีร้องด้วยเสียงอันแหบแห้ง


“จ้าๆ ปล่อยๆ ฮิฮิ โทษทีดีใจมากเกินไปหน่อย” ว่าพลางก็ปล่อยนราวดีออกจากการกอดรัดฟัดเหวี่ยงของตน


“ว่าแต่นี่มันกี่โมงแล้วนะ นายอำนาจ” ว่าพลาง อำนาจก็ยกข้อมือพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตน


“เวลาเที่ยงสิบนาทีแล้วนะ” อำนาจพูดออกมาพลางลดข้อมือลง


“ตายแล้ว!! วันนี้ฉันมีนัดนะ ตอนเที่ยงครึ่งเสียด้วย เหลือเวลาแค่ 20 นาที เอง ฉันต้องไปก่อนหละ แล้วไว้เจอกันนะ” ว่าแล้วก็รีบวิ่งผลุนผลันลงบันไดออกจากห้องสมุดไป ปล่อยให้เพื่อนสองคนยืนค้างเติ่งไปหลายวินาที จนกระทั่งวรินทรผู้ได้สติก่อนหันมาเขย่าแขนของนายอำนาจ


“ว่าแต่นราวดี ทำไมรีบร้อนจังเลยนะ ปรกติไม่เห็นจะไวเหมือนลิงขนาดนี้ ถ้าเป็นนายก็ว่าไปอย่างเนอะ”


“เอ..เธอกำลังว่าฉัน ว่าฉันเป็นลิงใช่ไหมเนี่ย” อำนาจโวย


“ อ้าว..ร้อนตัวนะยะ ฉันไม่เกี่ยว พูดตามความจริงยะ ขอตัวไปหาหนังสือนิยายสนุกๆอ่านดีกว่า” ว่าแล้ว วรินทรก็รีบวิ่งไปเข้าห้องสมุดส่วนที่เก็บนวนิยายทันที



 



 



ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง


“แฮ่กๆๆ” เสียงหอบหายใจถี่ๆ พลางทรุดลงนั่งยังม้านั่งที่ตั้งอยู่ใต้หอนาฬิกา ของสวน


“โอย...
เหนื่อยแทบแย่
” ผู้พูดพลางยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา
ซึ่งเข็มบอกเวลาเที่ยงครึ่งพอดี


“ดีนะ
ยังไม่มีใครมาถึง
” ว่าพลางนราวดี ก็ถอนหายใจ อย่างโล่งอก
ไม่งั้นมีหวังโดนโวยแน่เลย..



“หรอจ๊ะ..” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังของหอนาฬิกา
นั่นเอง..


“งั้นเธอคงต้องหูชาแน่ๆ
เพราะ พวกเรามารอเธอนานแล้ว..
” เสียงอีกเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆ
หอนาฬิกา แล้วเจ้าของเสียง..นั่นก็ปรากฏตัวขึ้น จากพุ่มไม้
เผยให้เห็นสาวน้อยผิวขาว รูปร่างอวบ ในชุดนักศึกษา กระโปรงยาวทรงจีบรอบตัวสีดำ เธอก้าวตรงเข้ามาหาเธอ
พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก ยิ่งส่งให้เธอดูน่ารักยิ่งขึ้น


“ ยัย ศศิตา
!!” ว่าแล้วก็ นราวดีก็กระโดดเข้าไปกอดเพื่อนของเธอเสียเต็มรัก


“โอย..คิดถึงจังเลย
แหม..หุ่นแกนี่ยังไม่เปลี่ยนเลยนะจ๊ะ ไหนบอกว่าจะลดน้ำหนักไง
”


“แหม..เจอปุ๊บก็ทักปั๊บเลย
รู้แล้วๆ กำลังพยายามอยู่
” ศศิตาโวยขึ้นเล็กน้อย
พลางเอ่ยทักทายตอบ ทันใดนั้นสายตาของนราวดี ก็เหลือบไปสะดุดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง
เธอสวมเสื้อแขนยาวสีขาวที่มีโบว์ลายสก็อตติดอยู่ที่ชายแขนเสื้อ
ซึ่งรับกับผิวขาวและหุ่นของเธอมาก กระโปรงสายสก็อตยาวพอดีกับเข่า เครื่องแบบนักศึกษาที่มีสไตล์กระเดียดไปทางต่างประเทศ
ทันใดนั้นนราวดีก็ปล่อยมือที่กอดศศิตาทันที และวิ่งไปหาอย่างรวดเร็ว



“ว่าไง ยัยสุวรี
คิดถึงจังเลย แหม...แต่งตัวเสียอินเตอร์เลยนะ
” นราวดีพูดด้วยน้ำเสียงดีใจอย่างที่สุด ที่เธอได้เจอเพื่อนสนิทของเธออีกครั้ง เธอจับมือผู้ที่พูดด้วยไว้แน่น



“อ๋อ แน่นอนฉันนะ เด็กอินเตอร์นี่หว่า ไม่ใช่พวกเด็กมหาลัยรัฐอย่างพวกหล่อนนี่ยะ เครื่องแบบมันก็ต้องแปลกเป็นธรรมดา โฮะๆๆ” พลางสุวรีก็เชิดหน้าหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ และสะบัดผมไปข้างหลังอย่างภูมิใจ เหมือนเธอจะมีออร่าเปล่งประกายออกมาด้วย.. โอ้ มาดคุณหนู..จริ๊งๆ เพื่อนฉัน



“ว่า
แต่เหมือนจะขาดใครไปคนนึงนะ
” สายตาสบที่เพื่อนทั้งสองของเธอ อย่างผิดหวังเล็กน้อย



“แต่น
แตน แต๊น... ไอ้พรมาแล้ว...
”
เสียงแปร๋นๆดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับแรงที่ถาโถมเข้ามาจากด้านหลังของนราวดีอย่างสุดแรงด้วยมิตรภาพ ความรักและคิดถึงจากดวงใจ มันยิ่งทำให้นราวดีหัวใจพองโตทีเดียว น้ำตาไหลคลอเบ้า แทบจะไหลออกมาด้วยความปลื้มปีติยินดี
กับมิตรภาพของเพื่อนที่ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของเธอเลยแม้แต่น้อย



“ ไอ้พร นี่มันไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ ยังขี้เล่นไม่เปลี่ยนเลยนะยะ” เจ้าตัวเอ่ย



“ ฮะๆๆ แน่นอน ไม่งั้นก็ไม่ใช่ปิยะพรจอมแก่นประจำกลุ่มสิ” ปิยะพรหรือไอ้พร
ก็ยืดอกพูดอย่างภาคภูมิใจในตำแหน่งของมันมาก..



“ เอ่อ..แต่ฉันว่า
ฉันสงสารประเทศนะ
” สุวรีพูดโพล่งขึ้นมา
สายตาหันไปจับจ้องที่ไอ้พรอย่างเหลืออด


“ ทำไมล่ะ สุ”
ศศิตาถามด้วยความสงสัย พลางหันไปมองเพื่อนตัวจุดประเด็นของเรื่อง



“ ก็..ประเทศเราคงต้องมีคุณหมอหน้าใหม่ ที่ขี้เล่น และต๊องที่สุดนะสิ ถามได้” พอจบประโยค ทุกคนก็หัวเราะดังลั่นขึ้นพร้อมกัน



“โทษทีนะที่ช้า คงไม่รอนานใช่ไหมนราวดีเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



“ไม่หรอกเธอตรงเวลาพอดีเลย ไม่สายหรอกจ้า ถึงสายยังไงพวกฉันก็คงจะยังรอแกแหละ เพราะพวกเราทุกคนคิดถึงแกทั้งนั้นแหละ จริงๆนะ”แววตาทุกคู่หันมาจับจ้องอยู่ที่นราวดี พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นดังแสงตะวันอันอบอุ่น



“เพื่อนนราวดีของเรานี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ยังดูซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลย..” สุวรีพูดพลางยิ้มขำ และชี้ไปยังผมที่ตอนนี้มันชี้โด่ชี้เด่ ซึ่งมาจากความรีบร้อน ที่ดันไปเดินชนเข้ากับประตูที่หน้าห้องสมุดนั่นเอง


“มานี่ ๆ เลย
เดี๋ยวฉันจะหวีผมให้เธอ ไม่ไหวๆ ผมเป็นทรงรังนก ก็ไม่ยอมพกกระจกตามเคยเลยนะยะ เอ้า
!
นี่ถือกระจกไว้” ศศิตา ว่าพลางส่งกระจกบานจิ๋วจากในกระเป๋าที่สะพายไว้ของเธอ
ยื่นส่งให้กับนราวดี และก้มหน้าก้มตาล้วงหาหวีประจำตัวที่เธอมักพกติดตัวเสมอขึ้นมา ส่วนสุวรีก็จัดแจงจับนราวดี มานั่งยังม้านั่งตัวที่ใกล้กับจุดที่พวกเธอยืนอยู่แล้ว ส่วนปิยะพรเอง ขะมักเขม้นเข้าไปช่วยดึงแว่นออก เพื่อให้การหวีผมเป็นไปอย่างง่ายดาย


“ถามจริงๆ เถอะ นราวดีทำไม นี่ก็ป่านนี้แล้ว เธอทำไมไม่เปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์นะ
มันน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่านะ
” ปิยะพรพูดพลางดึงแว่นออกจากที่ที่มันอยู่
มาถือไว้อย่างระมัดระวัง


เมื่อถอดแว่นหน้าตาของนราวดีก็เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนจากคนที่เฉยเปิ่นก็กลายเป็นสาวน้อยน่ารักอย่างไม่ยากที่ใครๆที่เห็นก็ต้องหลงรักเธอแน่นอน


“ไม่ล่ะ ฉันไม่ค่อยชอบนะ ใส่แล้วสบายใจกว่า กลัวมันคันๆด้วยนะ” นราวดีพูดขณะที่เพื่อนๆกำลังช่วยเธอจัดทรงผมอยู่


“แล้ว แว่นอันเก่าหายไปไหนล่ะ เห็นเธอชอบมันมากไม่เคยเปลี่ยนเลยนี่ แล้วทำไมเปลี่ยนจ๊ะ” ศศิตาเอ่ยถาม


“ใช่ๆตอนนั้นจำได้ไหม? พวกเราเคยแกล้งเอาแว่นเธอไปซ่อน เธอโกรธพวกฉันไปตั้งหลายวันเลยนี่ ฉันยังจำตอนนั้นได้ดี”
สุวรีพูดสมทบ พลางนึกถึงอดีตเมื่อครั้งก่อน สมัยยังผูกคอซองกระโปรงจับจีบสีน้ำเงินวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน


“ว่าแล้วก็คิดถึงจัง อยากกลับไปตอนนั้นอีกจัง”
นราวดีรำพึง พลางเอามือเท้าคางหวนรำลึกถึงอดีต


สักพักทุกคนก็เงียบไปและนึกย้อนถึงอดีตอันแสนสุขที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน



เพี๊ยะ เพี๊ยะๆ



เสียงดังมาจากม้านั่งที่ตั้งอยู่หลังพุ่มไม้ซึ่งไม่หากจากที่พวกเธอนั่งกันอยู่นัก เรียกความสนใจจากทุกคน ให้หันไปสนใจกับเสียงนั้นโดยอัตโนมัติ..



ทุกคนพากันก้มลงต่ำและมุดตัวเขยิบเข้าไปใกล้หลังพุ่มไม้ที่อยู่หลังม้านั่งของพวกเธอ สุวรีค่อยๆเอื้อมมือไปแหวกพุ่มไม้นั้นออกช้าๆอย่างเงียบกริบ
ทำให้เห็นภาพเหตุการณ์ได้ชัดเจน


ภาพของสาวสวย มือที่ดูบอบบาง ดูนุ่นนวลชวนให้น่าทะนุถนอม บัดนี้มันได้ทำหน้าที่ส่งออกไปตบกระทบกับหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าเต็มแรง จนปรากฏรอยนิ้วจางๆสีแดง ขึ้นบนหน้าของฝ่ายชายด้านหน้าเธอ ผมยาวสลวยของเธอสะบัดไปตามแรงโกรธที่อัดอั้นมานาน แสงอาทิตย์ในยามบ่ายส่องกระทบผมของเธอสะท้อนถึงการได้รับการดูแลอย่างดี
ใบหน้าของหญิงสาวแสดงถึงอารมณ์ที่ดูเจ็บปวด ฉายชัดขึ้นในสายตาทุกคู่ที่แอบซุ่มมองดูอย่างเงียบๆ



“เราเลิกกันเถอะ” หญิงสาวเอ่ย พลางวิ่งออกไปจากพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา ปล่อยให้ฝ่ายชายตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิด มืออันสั่นเทาค่อยๆ
ยกขึ้นลูบลงบนแก้มที่แดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆจากแรงตบกระทบ ซึ่งตอนนี้เริ่มชาจากฝ่ามือเรียวงามของหญิงสาวที่เพิ่งกล่าวประโยคที่ทำให้โลกๆทั้งโลกหยุดนิ่งไปชั่วขณะ



เหมือนเสียงบนโลกนี้ได้ดับวูบไปไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ คล้ายตกลงไปยังหลุมดำอันมืดมิด ไม่มีแม้แต่แรงที่จะพยุงกายไว้ให้หยัดยืนอยู่ต่อไปได้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงบนม้านั่งนั้นพลางบ่นพึมพำ



“สกุณาบินไปไม่หวนกลับ ไยไม่รับรักฉันไว้ในหทัย


จากสวนแห่งนี้ไปแสนไกล ไร้เงาบินผกผินกลับรังนอน”



เสียงที่เอ่ย ออกมานั้นทำให้ นราวดีถึงกับตกตะลึง นั่นมัน เสียงที่คุ้นเคย ..


พลางพึมพำออกมาอย่างลืมตัว


สุดเดช..




โปรดติดตามตอนต่อไป


ตอนที่ 6 เป็นตอนที่เตรียมเอาไว้ลงโดยเฉพาะ มีความยาวเป็นพิเศษ เพราะไม่แน่ใจว่า ปลายเดือนจะมีการมาลงต่อตามกำหนดการเดิมหรือไม่ เพราะเป็นช่วงที่กำลังทำตัวเล่มวิทยานิพนธ์ค่ะ แต่ยังไง ผู้เขียนจะพยายามเคลียร์ให้เสร็จก่อนวันนั้นนะคะ ดังนั้น ตอนนี้อาจจะมีคำผิดอยู่ด้วย


ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านนะคะ




Free TextEditor




 

Create Date : 01 มีนาคม 2555    
Last Update : 18 กันยายน 2555 20:12:56 น.
Counter : 454 Pageviews.  

บทที่5:การกลั่นแกล้ง




ยัยซุ่มกับนายจอมซ่า


บทที่ 5 :การกลั่นแกล้ง





“เบื่อ ๆ เซ็งแบบนี้ ทำไมต้องมาทำรายงานส่งอาจารย์หมอนะ” น้ำเสียงที่บ่งพึมพำด้วยอารมณ์หงุดหงิดของใครบางคน


“เจ้าวิชูก็ร้ายจริง ปล่อยให้เราต้องมาหาข้อมูลทำรายงานคนเดียว คอยดูเถอะ จะเก็บเงินค่ารายงานให้หงายเก๋งไปเลย ทำกับเราไว้ดีนัก รู้จักนายสุดเดชน้อยเกินไปแล้ว”
บุคคลที่ขี้โมโหหงุดหงิดยังคงอารมณ์เสียไม่เลิกไม่รา ระหว่างที่บ่นพึมพำไปก็เดินแทรกตัวเข้าไปภายในชั้นเก็บหนังสือ เพื่อหาหนังสือที่ต้องการตามชั้นไปเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์บูดสุดๆ แต่ก็ได้มาเพียงบางส่วนเท่านั้น
ว่าแล้วก็เดินถือหนังสือที่หาได้พร้อมกับเดินไปที่เคาน์เตอร์บริการของห้องสมุดซึ่งอยู่ใกล้ๆ บรรณารักษ์คนสวยผู้ให้บริการอยู่ส่งยิ้มให้กับเขาอย่างเป็นกันเอง


“มีอะไรให้ช่วยค่ะ” บรรณารักษ์ถามอย่างเป็นมิตร


“คือผมเป็นนักศึกษาแพทย์ครับ อยากจะหาหนังสือเกี่ยวกับกายวิภาค (Anatomy) ของมนุษย์ในส่วนของสมองครับ ผมต้องไปค้นหาตรงส่วนไหนชั้นไหนครับ”
บรรณารักษ์จดคำถามที่เขาต้องการภายในสมุดบันทึกข้อมูลผู้ใช้บริการ


“คุณต้องการข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย หรือจะเอาทั้งสองภาษาค่ะ” ระหว่างที่ถาม เธอก็ค้นหาข้อมูลภายในฐานข้อมูลของห้องสมุดอย่างคล่องแคล่ว


“ผมต้องการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ถ้าได้เป็นภาษาอังกฤษจะดีมากครับ เพราะใช้มากกว่า"”เขารีบแจ้งให้ทราบทันทีภายใน 2-3 นาที บรรณารักษ์ก็พิมพ์รายการข้อมูลหนังสือที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ที่ค้นได้ยื่นให้เขา


“นี่คือรายการหนังสือที่คุณต้องการค่ะ
คุณสามารถไปหาหนังสือเหล่านี้ได้จากบริเวณชั้น
3 รวมทั้งจะมีห้องที่เก็บเฉพาะข้อมูลทางการแพทย์ คุณอาจจะสนใจก็ได้ลองไปดูนะค่ะ ซึ่งอยู่ใกล้บริการตอบคำถาม ถ้าคุณหาไม่เจอลองสอบถามบรรณารักษ์ตรงนั้นได้ค่ะ เค้าจะช่วยคุณได้มาก” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เค้าอย่างเป็นมิตร


“ขอบคุณครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นหน้าที่ของบรรณารักษ์ที่ต้องช่วยเหลือผู้ใช้บริการ”
พอดีมีผู้ใช้คนอื่นเข้ามาสอบถามข้อมูล เธอจึงหันไปให้บริการกับผู้ใช้คนอื่นต่อ แล้วเขาก็เดินดูรายการ และหนังสือบางส่วนที่หาได้ก่อน พร้อมกับเดินตรงไปขึ้นลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังชั้น
3



ลิฟต์เปิดกว้างออกพร้อมกับไอแอร์ที่เย็นฉ่ำไหลเข้ามาแทนที่ ชั้นนี้มีเครื่องปรับอากาศที่เปิดแรงกว่าทุกชั้น เขาคิดในใจ


บรรยากาศของชั้นนี้เงียบสงบมาก มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เมื่อได้ย่างก้าวเข้ามายังชั้นนี้ เขามองสำรวจไปทั่วบริเวณทางด้านขวามีป้ายระบุว่า “บริการตอบคำถาม”


เขาจึงเดินตามลูกศรนั้นตรงไปยังโต๊ะบริการตอบคำถาม
อย่างเงียบๆ ตามลักษณะของผู้ใช้บริการที่ดี


แล้วสายตาของเขาฉายแววประหลาดใจพร้อมรอยยิ้มขำกับภาพที่เห็นตรงหน้า


ภาพของหญิงสาวที่เขาเคยเจอเมื่อวันก่อนแจ่มชัดขึ้น ในสภาพสัปหงก แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า คงเป็นเพราะ เธอใส่แว่นอันใหญ่
และกรอบแว่นมีการประดับด้วยคริสตัลชั้นดีที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างบรรจง


โป๊ก โป๊ก.... เสียงศีรษะที่กระทบกับขอบโต๊ะ ยังคงดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณในช่วงเวลาที่เงียบสงบของยามบ่ายซึ่งไม่ค่อยมีผู้ใช้ห้องสมุดเท่าไรนัก เมื่อเขาเข้าไปใกล้ยังโต๊ะบริการตอบคำถามนั่นเอง โดยเธอไม่ทราบถึงการมาของเขา รอยยิ้มในดวงตาของคนเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ ผู้อารมณ์ร้อนจนดูน่ากลัว.. พลันสุดเดชก็เดินย่องอ้อมไปข้างหลังเคาเตอร์อย่างเงียบกริบ แล้วก้มตัวเข้าไปหาอย่างช้า..พร้อมกับเอามือป้องใส่หูของคนที่หลับอย่างไม่ได้สติ



“ตื่นได้แล้ววววววไฟไหม้ห้องสมุด...............................ครับ คุณบรรณารักษ์”


เสียงตะโกนก้องสุดเสียงดังเข้าหูผู้หลับ ที่ถูกเรียกสะดุ้งตกใจผลุนผลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และผวาเข้ากอดแน่นกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดด้วยความไวเหนือเสียง พร้อมกับหลับตาปี๋ บ่นงึมงำด้วยความตกใจ เสียงร้องด้วยอาการตกใจสุดๆดังมาจากผู้อยู่ในอารามตกใจ จนคนแกล้งถึงกับแอบอมยิ้มปนขำๆ จนเผลอหัวเราะออกไปเบาๆ


“คุณบรรณารักษ์ครับ ปล่อยผมได้แล้วนะครับ ผมล้อเล่นนะ ลองลืมตาขึ้นมาดูเองสิครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีไฟไหม้อย่างที่คุณคิดหรอก เชื่อผมสิ” เขาพูดพร้อมกับแอบอมยิ้ม และยกมือขึ้นปิดบังอาการขำค้างจากเรื่องที่เพิ่งผ่านไป ด้วยอาการสะใจนิดหน่อย


นราวดียังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องโกหกยังคงกอดสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดไว้แน่นด้วยอาการหวาดผวา อย่างไม่สนใจสิ่งรอบๆข้าง จนคนแกล้งเริ่มรู้สึกผิด จึงพูดปลอบประโลมอีกครั้ง เพื่อย้ำให้เธอมั่นใจอีกครั้ง


“เชื่อผมสิครับ ลองลืมตาดูก่อน แล้วก็ช่วยกรุณาปล่อยมือที่กอดผมไว้หน่อยน่ะ ผมชักเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว เดี๋ยวผมป่วยจะว่ายังไงครับ”
ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นราวดีเริ่มใจชื้นขึ้นแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ และเริ่มสำรวจขึ้นไปมองสิ่งที่เธอกอดอยู่ ทันทีที่สมองเริ่มทำงาน เธอถึงกับสะดุ้ง รีบผลักออกห่างจากสิ่งที่เธอกอดอยู่ด้วยอาการหน้าออกสีแดงเรื่อ


“เฮ้อ! ค่อยหายใจได้ทั่วท้องหน่อย คุณนี่แรงดีไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่า
บรรณารักษ์อย่างคุณเนี่ยจะแรงดีขนาดนี้ แต่ก็น่าเสียดายอยู่นา..รู้งี้น่าจะปล่อยให้กอดต่ออีกแป๊บจริงไหมครับ
”


พลางกอดอกและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ส่งยิ้มให้กับสาวที่เข้ากอดเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวเองก็ไม่กล้ามองสบตาเท่าไรนัก แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ เธอเริ่มเงยหน้าขึ้นพูดตอบโต้ทันที


“คุณตะโกนเสียงดังลั่นห้องสมุดแบบนี้ เดี๋ยวก็มีคนว่าหรอก ทำให้คนอื่นตกใจแล้วยังหัวเราะอีก”


“ก็ผมเห็นคุณหลับในเวลาทำงานนี่คุณมันไม่ดี และอีกอย่างนะ ผมก็ไม่ได้รบกวนผู้ใช้บริการอย่างที่คุณว่าหรอกเพราะว่าบนชั้นนี้ที่ผมขึ้นมายังไม่เห็นใครเลย เห็นแต่ผมกับคุณนี่แหละ” ว่าแล้วก็ส่งสายตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เดินตรงเข้ามาใกล้ขึ้นๆ จากจุดเดิมที่ยืนห่างอยู่จนฝ่ายตรงข้ามเริ่มชักกลัวๆ เดินถอยหลังไปเรื่อยๆจนหลังชนกำแพงห้องสมุดหลังเคานเตอร์นั่นเอง


“แล้วคุณต้องการอะไร อย่าเดินเข้ามาใกล้ฉันได้ไหมฉันไม่ชอบนะ ไม่งั้นฉัน..” ยังไม่ทันกล่าวจบ หญิงสาวก็ถึงกับหายใจรดต้นคอ หลับตาและยกมือขึ้นป้องกันตัว ผู้ที่เดินเข้ามาจับแขนของเธอไว้ พร้อมกับก้มลงมองสบนัยน์ตาเธอ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบประชิดกัน จนเธอหลับตาปี๋ หัวใจเต้นโครมครามอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน


“อืม...
ก็ไม่บาดเจ็บอะไรนะ ว่าแต่ทำไมมีรอยแผลที่แขนด้วยไปโดนอะไรมานะ แว่นตาก็ด้วยดูเหมือนมันจะต่างจากคราวที่แล้วน่ะ ยัยสี่ตา บอกตามตรงนะ แว่นอันนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเธอเท่าไรเลย
” ว่าแล้วก็ยืดตัวขึ้น ถอยออกห่างจากเธออย่างช้าๆ พร้อมกับปล่อยมือที่จับแขนเธอไว้เบาๆ


“มันก็เรื่องของฉันนะ คุณไม่เกี่ยว” ว่าพลางก็ขยับแว่นให้เข้าที่ อย่างมีอารมณ์


“ผมขึ้นมาเนี่ย ก็เพราะต้องการหาหนังสือที่เกี่ยวกับกายวิภาคมนุษย์ในส่วนของสมองนะ บรรณารักษ์ข้างล่างเค้าก็บอกให้ผมมาหาบรรณารักษ์ที่ชั้นนี้” ว่าพลางก็ยื่นกระดาษที่มีรายการหนังสือที่ต้องการให้เธอดู เธอยื่นมือรับกระดาษที่ยื่นมา กวาดสายตาดูรายการหนังสือที่ได้รับ พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ใช้บริการที่บริการปลุกบรรณารักษ์ถึงที่โดยไม่ได้ร้องขอ


“ค่ะ
งั้นฉันก็ต้องขอโทษคุณน่ะค่ะ ที่เสียมารยาทกับคุณ งั้นเดี๋ยวฉันจะช่วยหาหนังสือในรายการนี้ให้คุณแล้วกัน แต่คุณก็อย่าเอาเรื่องที่ฉันแอบนอนหลับไปบอกหัวหน้าห้องสมุดนะค่ะ ไม่งั้นอาจโดนลงโทษได้ เพราะแค่นี้ก็แย่อยู่แล้วค่ะ
”
นราวดีพูดพลางเดินนำเขาไปยังช่องที่เก็บหนังสือทางด้านการแพทย์ พร้อมกับมองลงบนกระดาษที่มีรายการหนังสือ และเงยหน้าสลับกันไปมา เพื่อมองหาหนังสือตามชั้นที่ต้องการให้ชายหนุ่ม


“ว่าแต่คุณบรรณารักษ์ตั้งแต่คราวที่แล้ว ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยคุณชื่ออะไรครับ บอกหน่อยได้ไหม เวลาเจอกันคราวหน้าผมจะได้เรียกถูก เวลาเรียกว่า บรรณารักษ์มันดูห่างเหินยังไงชอบกล ดูจากหน้าตาคุณก็น่าจะรุ่นเดียวกับน้องผมนะ ผมชื่อสุดเดชครับ เรียกว่า พี่เดชเฉยๆก็ได้ ” เขาเอ่ยแนะนำตัว พลางชำเลืองมองหาหนังสือจากอีกด้านหนึ่งเช่นกัน


“ฉันนราวดีค่ะ ส่วนใหญ่ใครๆก็เรียกนา หรือ นราวดีนี่แหละค่ะ รู้ชื่อแล้ว ก็โปรดเรียกให้ถูกๆด้วย อย่าเรียกว่า ยัยสี่ตา ฉันไม่ชอบค่ะ” เธอย้ำในถ้อยคำนั้น พลางหันไปส่งสายตาอาฆาตแค้น แยกเขี้ยวใส่ ด้วยอาการไม่ชอบใจอย่างที่สุด กับสรรพนามที่เขาชอบใช้เรียกเธอเป็นประจำ


“เอาน่า ผมจะพยายามไม่ลืมน่ะยัยสี่ตา เอ้ย...ม่ายใช่สิ น้องนราวดี” พลางส่งยิ้มแหยๆให้
ด้วยอาการกลัวเธอจะโกรธเอาง่ายๆ แล้วพาลไม่ช่วยเขาหาหนังสือทำรายงาน



หลังจากเวลาผ่านไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้หนังสือตามรายการที่ต้องการครบ ตำราทางการแพทย์ว่าด้วยเรื่องสมองทั้งไทย และอังกฤษตั้งเรียงรายบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ด้วยฝีมือการค้นหาของนราวดีเสียเป็นส่วนใหญ่ มีบางเล่มเท่านั้นที่สุดเดชหาเจอเอง แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น


“เอาล่ะค่ะ แค่นี้ก็คงจะพอน่ะค่ะ หวังว่าคงจะใช้ได้”


“ต้องขอบคุณจริงๆครับ ยัยสี่ตา ยังไงไว้คราวหน้าจะมาใช้บริการน่ะครับ”
ว่าพลางแลบลิ้นใส่ ใช้มือคว้าหนังสือที่หาได้ขึ้นยกอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งไปยังลิฟท์ตัวเดิมก่อนที่จะรีบกดปุ่ม หนีลงลิฟท์ไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ใส่ใจอารมณ์ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อย ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้า กำหมัดแน่นไว้ด้วยอาการเคืองสุดๆ


หลังจากสุดเดชออกจากลิฟท์แล้ว
เขาก้าวเดินช้าๆ ไปยังมุมหนังสืออ้างอิง เพื่อหาคำศัพท์บางตัวที่เขายังไม่เข้าใจเพิ่มเติม
เมื่อไปถึงมุมนั้น เขาวางหนังสือที่หาได้ไว้บนโต๊ะ ก้าวเดินไปตามช่องเพื่อหาหนังสืออ้างอิงตามปรกติ ระหว่างที่กำลังยื่นมือหยิบหนังสือชั้นที่สูงที่สุดนั้น พลันสายตาก็ไปกระทบกับบางสิ่งเข้า ทำให้หมดความสนใจกับหนังสืออ้างอิงที่ต้องการ


เขาค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปหยิบสิ่งๆนั้นออกจากชั้นหนังสือด้วยอาการประหลาดใจ แล้วยกขึ้นส่อง มันคล้ายๆกับแว่นตาที่เขาเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ซึ่งตอนนี้สภาพมันไม่บ่งบอกว่า อยู่ในสภาพที่ใช้การได้เลย แต่ที่แน่ๆเค้าก็พอเดาได้ว่า แว่นตาอันนี้เป็นของใคร


เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็เก็บมันลงไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ตัวเก่งของเขา แล้วค้นหาหนังสืออ้างอิงที่ต้องการต่อไป


เขาจัดแจงนำหนังสือบางเล่มที่เขาไม่สามารถยืมออกให้จากห้องสมุดได้ไปให้ร้านถ่ายเอกสารทำการสำเนาไว้ เพื่อจะได้สะดวกในการเอาไปใช้ในโอกาสหน้า หลังจากที่เขาบอกให้พนักงานถ่ายเอกสารให้เสร็จแล้ว และแจ้งว่า จะกลับมารับทั้งหมดในช่วงเย็น เขาก็จัดแจงเก็บของและถือหนังสือที่ยืมได้
เดินออกมาจากห้องสมุด


ระหว่างที่เดินเขาก็ดึงเอาของที่เก็บได้จากในห้องสมุดขึ้นมา พินิจพิเคราะห์ เพื่อนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง


ทันใดนั้น อาการปวดหัวจี๊ดๆก็เริ่มทำให้เขามีอาการมึนงงจนต้องนั่งลงกับม้านั่งที่ใกล้ที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะล้มลงหมดสติได้


“อะไรมันจะมาเป็นตอนนี้นะ
ไม่เข้าใจเลย” เขาบ่นพึมพำ


ชายหนุ่มค่อยๆเอนตัวลงบนม้านั่งที่อยู่ด้านในสวนของมหาวิทยาลัยอย่างผ่อนคลายที่สุด


เพราะกลัวเพื่อนๆคนอื่นที่ไม่ใช่ เจ้าวิชู
จะมาเห็นว่า ตัวผมไม่แข็งแรง มันทำให้ผมหัวเสียมิน้อย ตั้งแต่ที่หมอที่รักษาพยายามให้เขาพยายามนึกถึงเรื่องต่างๆ
ในอดีตก่อนที่ผมจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนั้น จนทำให้ต้องสูญเสียคุณพ่อไป


มันทำให้ผมเจ็บปวดมาก จนบางทีการที่จำอะไรไม่ได้เลย ก็น่าจะดีกว่าต้องมารับรู้และเจ็บปวดแบบนี้


แต่..นี่ผมกลับจำได้ตั้งแต่ตอนที่ประสบอุบัติเหตุ
แต่เรื่องก่อนหน้านั้น ผมจำอะไรไม่ได้เลย แม้ว่าคุณแม่ ท่านจะพาไปรักษากับหมอที่เก่งๆในต่างประเทศ
แต่ดูเหมือนความทรงจำเก่าๆเหล่านั้น ก็ไม่กลับคืนมา


คุณหมอคนสุดท้ายที่รักษาด้วยบอกว่า
วิธีเดียวที่จะทำให้เขาจำอดีตได้ ก็คือการกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย ดังนั้น
คุณแม่จึงตัดสินใจพาผมกลับมาที่นี่ และมารักษาต่อกับคุณหมอที่รู้จักกันในประเทศไทย ซึ่งตอนที่กลับมาก็เป็นช่วงสอบเอ็นทรานซ์พอดี ผมเลยต้องคร่ำเคร่งเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม จนกระทั่งสอบติดคณะแพทยศาสตร์


ถึงแม้คุณแม่ท่านจะไม่เห็นด้วย เพราะเป็นห่วงสุขภาพของลูกชายที่รัก


แต่ผมเอง กลับคะยั้นคะยอไม่เลิกรา
ท่านก็เลยตามใจและสนับสนุนผม


ท่านคอยเป็นกำลังใจดูแลอยู่ห่างๆไม่ให้เขาต้องหักโหมเกินไป


ใครๆก็ตกใจที่ตัวผมสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้
ก็คงไม่แปลกเพราะ คุณพ่อผม ท่านเป็นศัลยแพทย์มือดีในสมัยก่อน ดังนั้นอาจารย์บางท่านในคณะ จึงเกรงใจผม


เพราะคุณพ่อของผม ท่านเคยเป็นอาจารย์สอนท่านเหล่านั้นมาก่อน


แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือ
การที่ท่านเหล่านั้น มาพูดแสดงความเสียใจเรื่องคุณพ่อกับผม
มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มีคนมาร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้า
บ้างก็มาพูดสรรเสริญเยินยอ จนผมเอือมระอาจริงๆ


เขาได้แต่ถอนใจ อาการปวดหัวค่อยทุเลาลงแล้ว
หลังจากนั่งสักพัก


ผมคิดว่า มันอาจจะเป็นเพราะ
ผมได้เจอกับอะไรบางอย่างในอดีตที่เกิดขึ้น
เพราะบ่อยครั้งที่หมอที่รักษาเล่าเรื่องเก่าๆ พอเริ่มจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เขาจะปวดหัวขึ้นมาทันที


อยู่ๆเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
ก่อนจะเอามือล้วงเอาแว่นที่เก็บได้ในห้องสมุดขึ้นมาดู


ทำไม?
มันคุ้นจัง หรือว่า เขาจะเคยเห็นมาก่อน


สัญชาติญาณบอกเขาอย่างนั้น
ว่า ของชิ้นนี้แหละ น่าจะเป็นของที่สำคัญของใครบางคน..ที่เขาน่าจะรู้จัก
และบางทีอาจจะเป็นคนบางคนในอดีตที่เขาเคยเจอก็ได้


ส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขา..หรือ?


 



โปรดติดตามตอนต่อไป


ตอนที่ 5 มาแล้วค่ะ ถึงยังไม่มีใครมาอ่านแต่ก็ขอโพสต์ตามเวลาที่วางไว้นะคะ


Free TextEditor




 

Create Date : 01 มีนาคม 2555    
Last Update : 1 มีนาคม 2555 21:54:13 น.
Counter : 362 Pageviews.  

บทที่4:เจ้าแม่ห้องสมุด




ยัยซุ่มกับนายจอมซ่า


บทที่ 4 : เจ้าแม่ห้องสมุด






““โอย ยากจริงๆ เลยอาจารย์นวลนะ อาจารย์นวล สั่งงานอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะหาคำตอบได้เลย แถมยังต้องหาจากหนังสือหลายๆ เล่มด้วย.. รวมทั้งยังต้องเขียนบรรณานุกรมอีก เบื่อที่สุดเลย” เสียงบ่นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในห้องสมุด


“จะบ่นหาพระแสง ทำไมมิทราบครับ คุณหญิงทอน บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก ดูคุณนาของเราสิ ขยั๊น ขยัน เข้าช่องนู๊นออกช่องนี้ ก็ได้หนังสือมาเต็มโต๊ะ เธอน่าจะเอาอย่างเค้านะ นั่งบื้ออยู่ได้" อำนาจนั่งไขว้ขาไว้เหนือโต๊ะยิ้มอย่างไม่ทุกร้อน มองดูบนโต๊ะซึ่งตอนนี้เริ่มไม่มีที่ว่างให้วางอย่างอื่น หนังสือนับหลายเล่มถูกกองพะเนินขึ้นเรื่อยๆ เหมือนภูเขาก็ไม่ปาน ด้วยฝีมือของสาวแว่น


“แล้วนายล่ะยะ นายอำนาจ ไม่เห็นจะไปช่วยเค้าเลย นายเองก็เหมือนกันแหละ” ผู้ที่ถูกตำหนิก่อนหน้า ลุกขึ้นส่งค้อนให้วงใหญ่
“ ก็มันเรื่องของฉันนี่ ยัยวรินทร ให้ฉันได้พักผ่อนหน่อยสิ กลางคืนฉันก็ต้องทำงานนะ ไม่เหมือนเธอนี่กลับบ้านก็ได้พักผ่อนนอนหลับสบาย อีกอย่างถ้าฉันเข้าไปช่วยคุณนา เดี๋ยวจะเกะกะเปล่าๆ เพราะงั้นฉันเลยขออยู่เฝ้าโต๊ะดีกว่ามีประโยชน์ต่อพวกเธอเยอะ จะได้พักผ่อนเสียที” เอ่ยเสร็จ เขาก็หลับตาลงช้าๆ ยังไม่ทันขาดคำ


เสียงบางอย่างก็ดังขึ้นที่ชั้นหนังสือมุมที่นราวดีเดินเข้าไปไม่นาน แล้วทันใดนั้น หนังสือทั้งชั้นก็ไหลล้มลงลื่นไหลยังกับโดมิโนที่มีคนตั้งใจไปผลักหรือแกล้งให้คนที่ขวัญอ่อนสะดุ้งได้ คนทั้งห้องสมุดต่างหันกันไปเป็นตาเดียว รวมทั้งอำนาจและวรินทรต่างรีบวิ่งไปรวมกันที่จุดเกิดเหตุอย่างไม่ต้องนัดหมาย


“นั่นเอาแล้วไหมล่ะ เพื่อนเรา ปล่อยไว้นานเกินไปเสียแล้ว ยิ่งวันนี้มันลอยๆ ชอบกล” อำนาจเอ่ย พลางยกมือกุมขยับ ทุกคนพร้อมด้วยอำนาจและวรินทรต่างก็ยืนมองหาตัวนราวดี ที่ตอนนี้นอนจมกองหนังสืออ้างอิงอยู่ตรงจุดไหนก็ไม่รู้
“นั่นๆ นั่นไง มีคนอยู่ในนั้นด้วย” เสียงตะโกนจากนักศึกษาสาวคนหนึ่งโพล่งขึ้น พลางชี้ไปยังจุดที่หนังสือขยับขึ้นๆลงๆ ช่องมุมในสุดของชั้น
เสียงเล็กๆ ดังรอดขึ้นมาจากหนังสือ


“ฉันอยู่ตรงนี้จ้า ช่วยที โอย…หนักจังหนังสือพวกนี้” แล้วมือเล็กๆก็ยื่นขึ้นมาเพื่อขอความช่วยเหลือ พร้อมกับใช้แรงเท่าที่มีดันหนังสือที่สุมอยู่เหนือหัวออกจากตัว ด้วยสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย ฝุ่นที่จับหนังสือที่ตั้งไว้นานๆ พาลกันมาเกาะบนตัวของสาวน้อยตัวต้นเหตุ


นราวดี สาวแว่นที่ตอนนี้หน้าตาเลอะเทอะ ยิ้มให้อย่างแหยๆ แว่นที่ตอนนี้ตกลงไปอยู่ตรงจุดไหนก็ไม่รู้ เผยให้เห็นใบหน้าของสาวเจ้ายามไม่ใส่แว่นตา ที่ดูน่ารักจิ้มลิ้ม จมูกโด่งน้อยๆ
ใบหน้าที่เปราะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นสีดำ หากล้างออกเสียหน่อย แต่งหน้าสักนิด เธอคงจะมีเสน่ห์น่าเย้ายวนอยู่มิน้อย วรินทร ได้แต่คิด สายตาก็มองไปที่เสื้อผ้านักศึกษาของเพื่อนเธอที่เพิ่งใช้ไม่ได้นานแปรสภาพจากขาวใหม่ เป็นหมองเก่า อย่างเห็นได้ชัด สงสัยถึงใช้ผงซักฟอกโอโมผสมเปาเอ็มวอช ก็คงซักออกยากนะเนี่ย งานนี้


นายอำนาจเดินเข้าไปเอื้อมมือดึงสาวแว่นที่ซุ่มซ่ามเสียเต็มประดา ขึ้นมาจากกองหนังสือ ส่วนวรินทร และผู้มุงดูอยู่ที่เป็นนักศึกษาเอกเดียวกัน ก็ต่างรีบมาเอาหนังสือที่หล่นระเนระนาดค่อยๆจัดขึ้นชั้นอย่างทุลักทุเล เพราะจำนวนหนังสือนั้นเยอะมากๆ


“ใครกัน ? ที่ทำหนังสืออ้างอิงหล่นทั้งชั้นเนี่ย โอ้โห สุดๆไปเลย ดังไปถึงหน้าตึกเลยนะ…เก่งจริงๆ” เสียงแหลมเฟี้ยว ที่ตะเบ็งมาแต่ไกล แสดงถึงอารมณ์ที่ชักไม่ค่อยดีนัก เป็นเสียงที่ตอนนี้ทุกคนต่างไม่อยากได้ยินสักนิด


“เอาล่ะสิ งานนี้ทำไงดี” เสียงๆหนึ่งในกลุ่มเพื่อนนักศึกษาเอกบรรณารักษศาสตร์เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี


“เอาน่า ทำตัวปรกติไว้ทุกคนรีบเก็บหนังสือเข้าชั้นด่วนเลยนะ ก่อนที่เจ๊เธอจะมาเห็นเข้า” ว่าแล้วทุกคนก็รีบจัดหนังสือขึ้นชั้นอย่างพัลวันด้วยความรวดเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้
สำหรับคนที่ไม่ค่อยเข้าห้องสมุดอาจจะไม่รู้จัก แต่สำหรับนักศึกษาที่เข้าใช้ประจำ โดยเฉพาะที่เรียนเอกบรรณารักษ์ด้วยแล้ว ที่นี่ต่างตั้งสมญาให้กับเธอว่า


“เจ้าแม่แห่งห้องสมุด”


เธอผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเอะอะโวยวายภายในห้องสมุดได้
เธอผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถชี้ชะตาให้ใครอยู่หรือตายก็ได้
เพราะเธอคือ หัวหน้าห้องสมุดผู้มีปากเป็นอาวุธนั่นเอง
ร่างสูงสง่า ยืนท้าวสะเอว สะบัดผมยาวหยิกสลวยเป็นลอนของเจ้าหล่อน พลางใช้สายตาที่คมดุดเหยี่ยวกะจะตะครุบเหยื่อยังไงยังงั้น มองหาผู้กระทำความผิดในบริเวณชั้นหนังสืออ้างอิงต้นเหตุนั่นเอง ทุกคนต่างยิ้มแหย และผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงรีบย่องเดินถอยหลังกันออกไปจากบริเวณนั้นทีละคนสองคน จนเหลือเพียงแต่ นราวดี วรินทร และอำนาจ


“เอาล่ะ ใครช่วยอธิบายให้พี่หน่อยสิว่า ใครทำ แต่ถ้าให้เดาพี่ว่าต้องเป็นเธอแน่ใช่ไหม นราวดี เสื้อผ้าเลอะเสียขนาดนั้น แล้วแว่นตาเธอล่ะมันหายไปไหน บอกหน่อยสิ..” น้ำเสียงคมบ่งว่าเอาจริงเอ่ย พร้อมกับสอดส่ายสายตามองเธอตั้งแต่หัวจดเท้า


“เอ่อ..คือ” แต่ก็มีคนชิงตัดหน้าพูดก่อนที่นราวดีจะพูดจบ


“อ๋อ คืองี้ครับพี่สาว ผมนะซุ่มซ่ามเองครับ ดันเอาหลังไปชนกับหนังสืออะไรไม่รู้ที่มันยื่นออกมา มันก็เลยพลอยทำให้หนังสือทั้งชั้น ล้มลงมา โดยไม่ตั้งใจครับ แล้ว...นราวดี พอดีเค้าอยู่ข้างหน้าผม ผมเองก็ไม่ทันสังเกตเลย พอหันมาอีกทีหนังสือมันก็หล่นลงมาทับนราวดีแล้วครับ ยังไงต้องขอโทษจริงๆครับ พี่สาวคนสวย” รอยยิ้มกวนๆ ที่พยายามทำให้มีเสน่ห์ที่สุด เพื่อช่วยเพื่อนเอาไว้จากโทษทัณฑ์ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมยิ้มกลับเลยแม้แต่น้อย


“ ฉันไม่เชื่อหรอกพ่ออำนาจ นายตั้งใจจะช่วยเพื่อนนะสิ ฉันนะรู้ดีว่า นราวดี เพื่อนเธอเนี่ยซุ่มซ่ามขนาดไหน อย่างงี้มันต้องเพิ่มโทษเสียแล้ว..” พลางชี้นิ้วไปที่นราวดี ที่ตอนนี้พูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้ารอรับชะตากรรมที่ตัวเองจะได้รับในครั้งนี้
“พี่ จะให้เธอมาดูแลส่วนของบริการตอบคำถามในห้องสมุดเป็นเวลา 2อาทิตย์ เข้าใจไหม มีอะไรขัดข้องหรือไม่ เพราะช่วงนั้นพี่ต้องไปสัมมนาที่เชียงใหม่ เธอยินดีรับโทษไหม นราวดี”แสดงถึงความเหนือกว่าอย่างชัดเจน


“ ค่ะ เป็นความกรุณาของพี่มากเลยค่ะ” นราวดีผู้จนแต้ม ตอบด้วยเสียงอ่อยๆ
“อืม ก็ดี งั้นพรุ่งนี้ก็มาเริ่มเลย พี่มีคนคอยตรวจเช็คตลอดเธอห้ามเบี้ยวเด็ดขาดเข้าใจไหม”


“ค่ะ”


“ก็ดี งั้นฉันไป แล้วก็เก็บชั้นนี้ให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”


ว่าเสร็จก็เดินจากไปจากบริเวณนั้นทันที อย่างอารมณ์ดีสุดๆ ที่ได้โอกาสแกล้งใครตามประสา “เจ้าแม่แห่งห้องสมุด” ที่ชอบกลั่นแกล้งนักศึกษาเป็นที่สุด ได้มีโอกาสวางระเบิดได้สมใจตามสไตล์ที่เจ๊แกชอบมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนราวดีชอบเปิดช่องว่างให้เจ๊ได้เล่นงานอยู่เป็นประจำ เพราะความซุ่มซ่ามที่ใครๆก็รู้ดี


“นราวดี ทำไมเธอไม่ต่อรองกับเจ้าแม่หน่อยล่ะ ตั้ง 2 อาทิตย์เชียว แล้วฉันเองก็ไม่ว่างด้วยไม่รู้จะช่วยไงนะ วันนี้เจ้าแม่แกดูอารมณ์ไม่จอยตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะแกไม่ได้แกล้งใคร นราวดีแกเลยโดนเต็มๆเลย แจ็คพอตจริงๆ เลยเพื่อนเรา” พลางถอนหายใจกับพฤติกรรมของเพื่อนรักที่ไม่เคยยอมต่อสู้เพื่อตัวเองเอาเสียเลย


“ช่างเถอะ ขืนฉันไปต่อรองมีหวังคงต้องได้ทำเป็นเดือนๆแน่ เพราะคราวก่อนฉันก็เพิ่งได้รับโทษจากการทำปกหนังสือขาดแค่นิดเดียว ก็โดนเรียกให้ไปซ่อมหนังสือ อย่างน้อยงานนี้มันก็สบายสำหรับฉันมากกว่าการไปนั่งซ่อมหนังสือเป็นไหนๆ เออใช่เกือบลืมเสียสนิทเลย” ว่าแล้วเธอก็เริ่มมองซ้ายมองขวาและก้มลงคลำหาของบางสิ่ง ทั้งที่ตัวเองก็มองไม่ค่อยชัด


“อะไรเหรอ” เพื่อนทั้งสองร้องอุทานขึ้นพร้อมกัน


“ก็ ฉันยังหาแว่นที่ฉันทำหล่นไม่เจอเลยนะ ทำไงดี” นราวดีร้องด้วยความร้อนใจ


“ทำไมหรอ แว่นนั่นมันสำคัญกับเธอมากขนาดเลยหรอ เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่ก็ได้” วรินทรเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสงสัย ว่าแว่นตาที่แสนเก่า ไม่พังมิพังแหล่นั่น จะยังมีความสำคัญกับเธออยู่


“เอ่อ คือไม่มีไรหรอก แค่ฉันมีแว่นที่ใช้ประจำแค่อันนี้อันเดียวเอง และที่สำคัญฉันไม่อยากรบกวนพวกเธอด้วย” ว่าเสร็จ นราวดี ก็ก้มลงคลานหาแว่นอยู่อย่างร้อนใจ จนนายอำนาจต้องดึงตัวเธอขึ้นมายืน แล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมองสำรวจดู
“นี่ นา เราว่า เธอรีบออกจากตรงนี้ไปล้างหน้าล้างตาทำแผลดีกว่า นี่ดูสิที่ข้อศอกมีรอยเลือดซึมอยู่ด้วย สงสัยจะโดนปกหนังสือแหลมๆข่วนเอา เดี๋ยวเราค่อยกลับมาหาต่อก็ได้ เดี๋ยวบาดทะยักมันจะถามหานะ อันตรายออก เดี๋ยวเราพานาไปห้องพยาบาล ส่วนเธอ ทอนก็หาไปก่อนแล้วกัน” ว่าเสร็จนายอำนาจก็รีบดึงนราวดีพาเดินไปยังห้องพยาบาลซึ่งเป็นตึกที่อยู่ใกล้กันนั้นเอง โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของวรินทรที่ร้องตะโกนว่าดังมาแต่ไกล


“หนอย นายนี่เข้าใจนะ ปล่อยให้ฉันสาวน้อยตัวเล็กๆ อย่างฉันหา ไว้คราวหน้าเถอะนายอำนาจ นายต้องเจอดีแน่ ฮึ่มๆ” ว่าพลางก็ก้มหาแว่นตาของเพื่อนต่อไป จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ก็หาได้พบแว่นของเพื่อนไม่ แม้ว่าเธอจะพยายามค้นหาแค่ไหนก็ตาม





หลายชั่วโมงผ่านไป ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากกระเป๋าเสื้อของนายอำนาจ ที่ตอนนี้พานราวดีมาทำแผลที่ห้องพยาบาลจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว


"อ้าวไง เจอแว่นไหม ทอน อ๋อ อืม ได้เดี๋ยวจะบอกยัยนาให้ ไม่ต้องห่วง ทอนเธอเองก็รีบกลับบ้านล่ะ เย็นแล้ว" สักพักก็วางสายลง นราวดี ซึ่งได้ยินบทสนทนาและสีหน้าของเพื่อนแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่า แว่นของเธอคงจะสูญหาย


"ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็พอมองเห็นบ้างแหละ ถึงไม่ชัดก็ตาม ช่วงนี้ก็แค่ไม่ใส่แว่นสักพักนึงไม่เป็นไรหรอก" พลางชันตัวขึ้นนั่ง และยิ้มให้กับเพื่อนที่อุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยเธอ
แต่นายอำนาจก็อดกังวลไม่ได้เพราะ สายตาของนราวดีมันดูเศร้าสร้อยชอบกล


“ฉันไปส่งเธอที่หอพักดีไหม เพราะเดินไปแบบนี้คนเดียวคนไม่สะดวกนะ นี่ก็เย็นมาแล้วด้วย”


“มันจะดีหรอ อำนาจ ฉันกลับเองได้น่า” นราวดีเอ่ยด้วยความเกรงใจ ก่อนจะค่อยๆชันตัวลุกขึ้นยืน จากเตียงพยาบาล และลุกเดินไปที่ประตู ก่อนจะมีมือๆหนึ่งรีบคว้าแขนของเธอไว้


“ไม่เอาน่าอย่าดื้อ ไปกับฉัน เดี๋ยวฉันไปส่ง หอพักเธออยู่ไม่ไกลกับที่ทำงานพิเศษฉัน” อำนาจเอ่ยปาก ก่อนจะเดินนำนราวดีไปยังรถจักรยานคู่ชีพของเขา
รถจักรยานคันสีแดง สภาพครึ่งเก่าครึ่งใหม่ ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายที่ต้องซื้อคันใหม่เลยตัดสินใจซื้อรถในสภาพมือสองแบบนี้มาใช้แทน เขาใช้เงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงซึ่งได้จากงานพิเศษเป็นผู้ช่วยกุ๊กในโรงแรม ที่เขาต้องทำงานพิเศษก็เพื่อหาเงินสำหรับใช้เรียนด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มเอากระเป๋าที่ใส่ตำราเรียนของเขาและเธอวางไว้ที่ตะกร้าหน้ารถก่อนจะขึ้นนั่งค่อมบนรถจักรยาน


“เอ้า รีบขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันเข้างานสายนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ พลางเอี้ยวตัวหันมากวักมือให้นราวดีขึ้นมานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของเขา นราวดีที่ลังเลเล็กน้อย ก็ตัดสินใจไปกับเขาด้วย เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมนราวดี? ถึงได้กลัวการนั่งซ้อนรถจักรยานนักหนา เธอคงมีความในใจอะไรบางอย่างที่บอกใครๆไม่ได้เป็นแน่ อำนาจได้แต่คิด แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป


จากนั้นเขาก็ถีบจักรยานคันนั้นลัดเลาะไปตามทางด้านหลังของมหาวิทยาลัย เพื่อตรงไปยังที่พักของเธอ หลังจากที่ขี่มาได้สักระยะ เขารู้สึกได้เลยว่า นราวดี เกาะเอวเขาแน่นมาก เขาแอบเอี้ยวตัวไปมองเล็กน้อย นราวดีหลับตาปรี๋ ไม่ยอมมองทิวทรรศน์ข้างทางแม้แต่น้อย ทั้งที่อากาศก็ดีมากๆ


เขาได้แต่นิ่งเงียบและรีบปั่นไปจนกระทั่ง
อำนาจปั่นจักรยานจนมาจอดที่หน้าหอพักตึกสีขาวสะอาดตา ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัยเป็นหอพักหญิงของมหาวิทยาลัยที่เปิดให้นักศึกษาเช่าในราคาที่ถูกกว่าของเอกชนที่เปิดเรียงรายอยู่ใกล้ๆกันนั้นเอง


“เอาล่ะ ถึงแล้ว ไม่เป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเอ่ยปาก ก่อนหยิบเอากระเป๋าเป้ที่ใส่ตำราไว้เต็มของเธอยื่นให้ หลังจากที่เธอลงจากจักรยานของเขาอย่างทุลักทุเลเต็มที
เธอสะบัดหน้าเต็มแรง แม้จะพยายามฝืนยิ้มไว้ แต่เขาสังเกตเห็นได้ว่า ใบหน้านวลนั้น สีขาวซีดลงมาก ถึงนราวดีจะไม่ได้เป็นคนสวยเด่นอะไร แต่ก็จัดว่าเป็นคนน่ารักทีเดียว ดวงตากลมโต คิ้วเรียวงามได้รูป จมูกเล็กๆ ปากสีชมพูระเรื่อ แก้มที่มีสีแดงเรื่อๆตามธรรมชาติ ไม่เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นในมหาวิทยาลัยที่แต่งหน้าจัดมาก จนบางทีเขาคิดว่า จะนักศึกษาสาวทั้งหลาย จะต้อง
แต่งหน้าให้มันเปลืองไปทำไม


นราวดีกลับไม่ค่อยแต่งหน้าอะไร มีเพียงแป้งฝุ่นอ่อนๆบนใบหน้านวลนั้น และยิ่งไม่ได้ใส่แว่นแบบนี้ ดูจะสวยกว่าตอนที่เธอใส่แว่นด้วยซ้ำ ทั้งที่วรินธรเองก็บอกเธอแล้วว่า ให้เปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์ แต่เจ้าตัวกลับไม่ใส่ใจนัก เพราะเห็นว่า มีแว่นอยู่ และอีกอย่างเธอกลัวคอนแทคเลนส์จะมามีปัญหากับดวงตา เหมือนกับที่มักมีข่าวตามหนังสือพิมพ์ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น


ยิ่งพอแว่นของเธอมาหายแบบนี้แล้ว เธอยิ่งดูร้อนใจยิ่งนัก ดูไม่ร่าเริงเลย


“ขอบใจนะ อำนาจ นายรีบไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ” นราวดีเอ่ย


“ได้ ไงเราคงจะกลับไปหาแว่นให้เธออีกทีพรุ่งนี้กันนะ” อำนาจพูดเพื่อให้นราวดีวางใจ ก่อนจะปั่นจักรยานออกไปที่ทำงานพิเศษของเขา
นราวดี ยืนมองหลังของอำนาจไปจนลับตา ก่อนจะเดินขึ้นหอพัก ไปยังห้องพักของตน ก่อนจะเปิดประตูไขเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือมากมาย ทั้งกองหนังสือเรียน หนังสือนิยายที่ยังอ่านค้าง นิตยสารที่วางไว้เต็มไปหมด ทั้งบนเตียงและที่พื้นห้องด้วย จนแทบจะไม่มีทางเดินเลย


ว๊าย..
เสียงร้องดังนั้น ตามมาด้วยเสียงล้มดังตึง


“สงสัยฉันต้องจัดห้องเสียหน่อยแล้ว” เธอบ่นพึมพำ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมา และขยับกองหนังสือนั้นๆ ไปอย่างลวกๆให้เดินได้สะดวกขึ้น


“ฉันอยากได้แว่นนั้นคืนจัง ทำอะไรก็ไม่ค่อยสะดวก ไม่รู้จะหาเจอไหมนะ” เธอได้แต่ครุ่นคิด ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงในห้องพัก


แว่นที่เธอใช้ประจำนั้น เป็นของดูต่างหน้าของคุณยายที่เพิ่งเสียไปไม่นานเสียด้วย ถ้ามันหายเธอก็คงหาสิ่งที่จะระลึกถึงท่านได้ยาก ตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่ของเธอเอง ก็ไปทำงานที่มาเลเซีย ท่านทั้งสองพาเธอไปฝากไว้กับคุณยายที่ต่างจังหวัด คุณยายเองก็ไม่ใช่คนมั่งมีอะไร เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ทำขนมขายที่ตลาด เธอเป็นเพียงลูกมือที่ช่วยห่อ และช่วยขนไปขายที่ตลาดตอนเช้าวันหยุดเสมอ


ตอนที่คุณยายรู้ว่า ฉันสายตาสั้นมาก ท่านก็พยายามทำขนมเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะหาเงินมาตัดแว่นให้ฉันจนได้ เพราะตอนนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอ ไม่ได้ส่งเงินมาให้เลยในขณะนั้น แว่นอันนี้เลยเปรียบเสมือนของล้ำค่าที่สุดที่คุณยายเหลือไว้ให้เธอจริงๆ




โปรดติดตามตอนต่อไป


ตอนที่ 4 คลอดแล้วค่ะ นึกว่าจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เกิดปัญหาทางเทคนิคกับ Notebook เลยให้เกิดอาการเปิดเครื่องไม่ได้ ตอนแรกก็ลุ้นอยู่ว่า เราจะสามารถกู้้ข้อมูลได้ทันก่อนไหม ซึ่งก็เพิ่งกู้ได้เมื่อวานค่ะ่ จากนั้นก็มัวแต่ทำงานอื่นๆ เลยเอามาลงตรงวันที่ 16 กุมภาพันธุ์ 55 ค่ะ


ปรับปรุง Font ให้อ่านง่ายแล้วนะคะ







Free TextEditor




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 1 มีนาคม 2555 21:36:44 น.
Counter : 475 Pageviews.  

บทที่3:ห้องสมุด




ยัยซุ่มกับนายจอมซ่า


บทที่ 3 :ห้องสมุด



"แย่จริงๆ วันนี้มีแต่เรื่อง ตั้งแต่โดนยัยสี่ตาทำเสื้อกาวน์เลอะแล้ว ยังโดนอาจารย์หมอหักคะแนนความประพฤติเพราะมาสายอีก เซ็ง! " น้ำเสียงหงุดหงิดปนโมโหดังมาจากสุดเดช ผู้ที่มีอารมณ์ร้อนไม่เลิกราหลังจากเลิกเรียนแล้ว


"ก็นายน่ะแหละ ผิดเอง นายเป็นอะไรไป สุดเดช เรื่องเสื้อกาวน์แค่นี้เอง นายยังกลับมาคิดเล็กคิดน้อยเหมือนผู้หญิงไปได้" นายวิชู เพื่อนผู้เริ่มบ่นในความอารมณ์ร้อนของเพื่อนซี้ขี้โมโหเริ่มกุมขมับด้วยความเซ็งสุดขีด


"นายก็รู้นี่วิชู ว่าฉัน นายสุดเดชไม่เคยยอมใครง่ายๆอยู่แล้วเว้ย
ว่าแต่นายจดเลคเชอร์ทันไหม ขอยืมหน่อยสิ" พลางยักคิ้วหลิ่วตาส่งสายตาแกมขมขู่แกมหยอกเล่น คนฟังถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย กลืนน้ำลายเอื๊อก...แล้วยิ้มขำ


"เอ้อ....ยังจำได้หรือนี่ เอ้านี่สมุดเลคเชอร์ฉัน" วิชูว่าพลางยื่นสมุดเลคเชอร์ให้ แต่ก่อนที่สุดเดชจะทันได้จับสมุดเลคเซอร์นั้น มันกลับถูกดึงกลับไปอยู่ที่มือเจ้าของ


"แต่...ว่า นายต้องสัญญากับฉันเรื่องหนึ่ง ไม่งั้นสมุดเลคเชอร์เล่มนี้จะไม่ตกถึงมือนายเป็นแน่" เจ้าของสมุดเลคเชอร์ เริ่มยิ้มและส่งสายตายียวนกวนประสาท ให้คนฟัง


"เรื่องอะไรล่ะ ถ้าเราทำได้ก็จะทำ" สุดเดชเริ่มชักสงสัยในแววตา ที่แฝงอะไรบางอย่างอยู่...ของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เป็นต่อเขาอยู่หลายขุมนัก


"นายต้องไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดที่วันนี้เราเพิ่งไปมาภายในสองอาทิตย์นี้ เพียงคนเดียว เพราะไม่งั้นโปรเจ็คของพวกเรามันจะไม่เสร็จ เราต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัดเลยช่วยนายไม่ได้นะ" ผู้ฟังผู้เพิ่งหายร้อนชั่วคราว เริ่มเกิดไฟปะทุขึ้นอีกครั้ง ตบโต๊ะดังเปรี้ยง!!ว่าแล้วไงล่ะ เจ้านี่ต้องโมโหอย่างไม่ต้องสงสัย


"เราไม่ยอม นายทำแบบนี้ได้ไง วิชู แบบนี้มันมัดมือชกนี่หว่า!!"
น้ำเสียงแข็งกร้าว ผู้ไม่เคยยอมให้ใคร ส่งสายตากึ่งแค้นกึ่งโมโห เพราะคงต้องยอมตามข้อเสนอของมันไม่งั้นแลคเชอร์นั่น ก็อาจไม่ได้ไป


"เอาไงล่ะ คิดดีๆ เราให้เวลานาย 5 นาทีในการตัดสินใจ"วิชูมองเพื่อนตรงหน้า พร้อมนั่งรอเพื่อนจอมอารมณ์ร้อน ที่ขณะนี้กำลังนั่งนิ่งคิดหนักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน...


"เราจะนับแล้วน่ะ 5 - 4 -3 -2 -1 หมด...." แล้วเสียงนั้นก็ต้องสะดุด เมื่อทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่ๆมือหนึ่งยกห้ามไว้ พร้อมเปล่งเสียงออกจากลำคอ ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง


"ก็ได้ ๆ เรายอมแพ้ เอาเลคเชอร์นั่นมาให้เรา แล้ว รีบๆ ช่วยไปให้พ้นหน้าเราด้วย ไม่งั้นเราอาจจะเผลอปล่อยหมัดงามๆ ให้นายลงไปนอนกองกับพื้นไม่รู้ตัวได้" สีหน้า แววตาที่บอกว่าเอาจริง ทำให้คนถือเลคเชอร์รีบยัดสมุดเลคเชอร์ให้กับผู้ที่ตอนนี้ร้อนเป็นไฟแทบไม่ทัน
แล้วจัดการย้ายตัวเองออกจากห้องแลปอย่างเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น


เพราะวิชูเอง เคยเห็นอาการฉุดไม่อยู่ของเพื่อนคนนี้ว่า คนที่หาเรื่องเขามันจะมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าไม่เดี้ยงก็อาจจะนอนหยอดน้ำข้าวต้มเลย แต่เนื่องด้วยพ่อของสุดเดชมีหุ้นส่วนอยู่กับโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย จึงทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไร ทุกคนต่างให้ความเกรงใจ นักศึกษาแพทย์ในคณะยังเรียกเขาว่า “นศ.แพทย์หนุ่มวัยคะนอง”




กริ๊ง.... เป็นสัญญาณหยุดการเรียนการสอนดังก้องไปทั่วทุกตึกเรียนในมหาวิทยาลัย เปรียบเหมือนเสียงสวรรค์สำหรับนักศึกษาหลายคน เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของนักศึกษาที่เดินคุยกันหลังเลิกเรียนวิชาที่แสนน่าเบื่อดังขึ้น
อย่างเป็นปรกติประจำวัน



"เอ้า หมดเวลาเรียนแล้ว พวกเธออย่าลืมไปค้นหาข้อมูลเรื่อง สาระสังเขปพรรณนาคืออะไร ที่ห้องสมุด แล้วเขียนรายงานมาส่งอาจารย์อาทิตย์หน้านะ อาจารย์จะให้คะแนนด้วย" อาจารย์นวลผู้สอนวิชาดรรชนี และสาระสังเขป ผู้ไม่เคยปล่อยให้นักศึกษามีเวลาว่างในแต่ละอาทิตย์เอ่ยทิ้งท้าย
ก่อนจะเก็บเอกสารการสอนเดินออกจากห้องไป


"ค่ะ/ครับ"
เหมือนเสียงสวรรค์ บรรดานักศึกษาต่างเก็บข้าวของกันอย่างขะมักเขม้น
เพื่อที่จะกลับบ้าน กลับหอ บ้างก็ไปหาแฟน บ้างก็ไปเที่ยวกลางคืน
ตามสไตล์เด็กชอบเที่ยว


"นี่ ยัยนา! เป็นอะไร เห็นเหม่ออยู่ตั้งแต่เริ่มเรียนแล้วนะ
ปรกติเธอไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่" วรินธรพูด เพื่อนที่สนิทในชั้นเรียนของเธอเอ่ย พลางหันไปมองคนที่เหมือนจะเข้าฌานไปเยี่ยมพระอินทร์นานแล้ว ตั้งแต่กลางคาบ


"ถ้าเป็นนายอำนาจเจ้าชายนิทราก็ว่าไปอย่าง รายนั้นหลับทุกคาบ ทุกชั่วโมง ไม่ก็เข้าฌาน..." ผู้ที่ถูกกล่าวถึง ถึงกลับสะดุ้งเฮือกตกใจตื่นจากพะวัง พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ
รีบแก้ตัวทันควัน


"ง่า !! ก็เราต้องทำงานดึกทุกคืนนี่นา... แล้วยังต้องเรียนอีก ไม่ง่วงไหวหรอ...ว่าแต่
นา เถอะเห็นเป็นอย่างนี้ตั้งแต่บ่ายๆแล้ว เป็นไรหรือเปล่า" เสียงจากเจ้าชายผู้ชอบนอนหลับในเวลาเรียนเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง


"อ๋อ ไม่มีไรหรอกจ๊ะ เออเรารีบไปห้องสมุดกันเถอะเดี๋ยวคนเยอะน่ะ จะไม่มีโต๊ะนั่งกัน" เธอรีบพูดกลบเกลือ่น พลางส่งยิ้มจาง ขอบคุณในความห่วงใยของเพื่อนสนิทในชั้นเรียนทั้งสอง และขยับแว่นให้เข้าที่ตามเดิม เธอรีบก้มเก็บสมุดเล็กเชอร์ และเครื่องเขียนลงในกระเป๋าใบย่อมสมบัติคู่กาย พร้อมสะพายขึ้นหลังเดินลงจากตึกเรียน ไปพร้อมกับเพื่อนทั้งสอง มุ่งสู่จุดหมาย คือ ห้องสมุด....


ระหว่างทางที่เดินไปจากตึกเรียนไปยังห้องสมุด ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 2 ช่วงตึก นราวดีพยายามทำตัวให้เป็นปรกติทุกอย่าง แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาช่างสงสัยของวรินธรเพื่อนของเธอไปได้


วรินธรได้แต่เก็บความสงสัยไว้ ตัดสินใจเดินนำไปข้างหน้า
เพื่อคุยกับอำนาจเพื่อนสนิทของนราวดีอีกคน


“นี่ นายอำนาจ นายคิดเหมือนที่ฉันคิดหรือเปล่า” วรินธรกระซิบถาม เพราะไม่อยากให้นราวดีรู้ตัว


“หือ เรื่องอะไรล่ะ ทอน อำนาจเอ่ยก่อนจะพยายามเอียงหูเข้าไปใกล้ๆ


“อ้าว ก็เรื่องที่ คุณนา เธอนั่งเหม่อในห้องเรียนไง” วรินธรเอ่ยทวนเรื่องที่ค้างคาใจ


“มันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนนี่ คุณหญิงทอน
ใครๆเค้าก็นั่งเหม่อในห้องเรียนได้กันทั้งนั้นแหละน่า” อำนาจเอ่ยสำทับ


“มันแปลกสิ เพราะ ยัยนา เค้าเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก มากเสียจนเรียกได้ว่า
พวกบ้าเรียนตัวยงเลย ทุกวิชาจดทุกคำทุกตัวอักษรยิกๆ แทบไม่สนใจคุยเวลาเรียนด้วยซ้ำ
ไม่เหมือนนายหรอก หลับประจำ ไม่ก็คุยโม้ไปเรื่อย”


“อะไรๆ หลอกด่ากันนี่หว่า มันก็เรื่องของเราน่า จะหลับ หรือทำอะไร ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย” อำนาจโวยขึ้นทันที จนเสียงดังไปเข้าหูคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่
ซึ่งเดินตามมาด้านหลัง


“กำลังคุยอะไรกันอยู่จ๊ะ ขอคุยด้วยได้ไหมจ๊ะ ทอน”นราวดีเอ่ยก่อนจะพยายามเดินตามจนทันเพื่อนทั้งสองของเธอ


“ไม่มีอะไรจ๊ะ นา ทอนกำลังคุยกับนายอำนาจเรื่องที่ว่า เราจะไปค้นหาเรื่องสาระสังเขปพรรณนาที่ตรงไหนดีนะจ๊ะ จะได้สะดวกๆนะ” วรินธรรีบพูดกลบเกลื่อน พลางหันไปทำตาขยิบใส่นายอำนาจเพื่อส่งสัญญาณ


"อืม ใช่ๆ" อำนาจพูดพร้อมกับพยักหน้ารับ ตามที่วรินธรส่งสัญญาณมา


“อ๋อ ก็ไม่เห็นยากนี่ทอน เดี๋ยวเราก็ใช้โต๊ะตรงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับชั้นหนังสืออ้างอิง
ตรงตึก
2 นะ บริเวณน่าจะสะดวกเพราะใกล้กับหนังสือที่เราต้องการอยู่” นราวดีเอ่ยตอบก่อน ที่ทั้งหมดจะเดินถึงหน้าห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัย ที่พวกเขาต้องมากบดานอยู่เป็นประจำ เนื่องจากสาขาวิชาที่เรียนต้องใช้ห้องสมุดจึงต้องมีการห้องสมุดอยู่เป็นประจำทุกวัน จนแทบจะเรียกว่าบ้านหลังที่สองก็ว่าได้


ทางเข้าห้องสมุดมีบริการตู้ล็อคเกอร์อยู่ทั้งหมดประมาณ 150 ตู้เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการเข้าไปใช้บริการห้องสมุดและป้องกันการลักลอบขโมยหนังสือออกมาด้วย


นายอำนาจ
รีบไปยื่นบัตรนักศึกษาเพื่อขอกุญแจล็อคเกอร์กับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลให้บริการอยู่ เจ้าหน้าที่รับบัตรของอำนาจและยิงเข้าระบบ ก่อนจะส่งกุญแจและบัตรนักศึกษาให้เขา


“เอ้า เดี๋ยวพวกเธอเอากระเป๋ามาใส่ตู้ล็อคเกอร์ หมายเลข 17 นะ” พูดจบนายอำนาจก็เดินมองหาตู้ล็อคเกอร์หมายเลขนั้น
จนกระทั่งไปหยุดยืนที่ตู้เป้าหมาย ก่อนจะไขเพื่อเปิด จากนั้นจึงเอาสมบัติของตัวเองทั้งหมดเก็บเข้าไปในนั้น หญิงสาวทั้งสองก็เดินตามเข้าไปและยื่นกระเป๋าให้นายอำนาจเก็บเข้าไปด้วย เหลือไว้แต่สมุดจด กับเอกสาร
2-3 ใบที่เกี่ยวข้องกับรายงานที่ต้องทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเปิดตู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก


หลังจากนายอำนาจปิดตู้แล้ว ก็เดินมารวมกับทั้งสอง เดินตรงเข้าไปยังทางเข้าของห้องสมุด


“อ้าว น้องๆวันนี้มาทำอะไรในห้องสมุดละ” เสียงพี่ใหญ่เอ่ยเบาๆ ขณะที่กำลังจัดชั้นหนังสือในโซนหนังสือแนะนำอยู่


“วันนี้อาจารย์นวลให้พวกผมเข้ามาหาข้อมูลเรื่องสารสังเขปพรรณนาครับ”
ชายหนุ่มในทีมยิ้มยิงฟัน


“งั้น วันนี้ก็ไม่ว่างล่ะสิ ตอนแรกตั้งใจจะให้มาช่วยเสียหน่อย” พี่ใหญ่เจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุดเอ่ย ก่อนจะหันไปง่วนกับการจัดให้หนังสือใหม่วางในตู้โชว์อย่างสวยงาม


“ว๊าว..นิยายเล่มใหม่ น่าอ่านมากๆเลยพี่” วรินธร หญิงสาวผู้คลั่งไคล้ในการอ่านนิยายเอ่ยอย่างชื่นชม ขณะที่แววตาเป็นประกายแวววาว


“เล่มนี้ ได้มาตอนไหนค่ะ ยืมได้หรือยัง ? วรินธรรีบถามทันที


“เพิ่งสั่งเข้ามาเดือนนี้ค่ะ แต่ตอนนี้ยังยืมไม่ได้จ๊ะ น้อง เพราะว่าเล่มนี้เป็นหนังสือที่ยังไม่ได้ลงรายการลงในระบบห้องสมุดค่ะ แต่เอามาโชว์ไว้ในตู้ก่อนค่ะ” พี่ใหญ่พูดขณะเอามือยื่นเข้าไปจัดดอกไม้ที่พับจากกระดาษที่วางเรียงในตู้โชว์หนังสือให้ดูสวยงาม


“อ๋อ แล้วต้องรออีกนานไหมคะ หนูถึงจะยืมได้”


“ไม่นานหรอกจ๊ะ รออีกสัก 1 สัปดาห์ก็จะเอาไปให้บรรณารักษ์ที่ดูแลเรื่องการลงรายการบรรณานุกรมในระบบเป็นคนออกเลขหมู่และรายการเข้าระบบให้
ประทับตราทะเบียน ติดบัตรยืมคืน เหมือนที่เคยเรียนตอนน้องอยู่ปี 2 ไงจ๊ะ” พี่ใหญ่เอ่ยตอบ


“งั้นหนูขอจองก่อนได้ไหมจ๊ะ”
วรินธรทำสายตาอ้อนวอน เล่นเอาพี่ใหญ่ถึงกับเหงื่อแตกเล็กน้อย


“เอ่อ..ก็ได้จ๊ะ เดี๋ยวพี่จะดูให้นะ ว่าได้ไหม แต่ยังไม่รับปากนะ”


“เย้..ดีใจๆ ขอบคุณค่ะ แค่พี่ใหญ่เอ่ยปากหนูก็มีหวังแล้ว” วรินธรกล่าวขอบคุณ พลางถูมือไปมาด้วยความปลื้มสุดๆ


นราวดีได้แต่ยิ้มๆด้วยความเกรงใจที่พี่ใหญ่ต้องมาลำบากกับเรื่องของเพื่อน เพราะส่วนใหญ่แล้วการจองหนังสือแบบนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันทำให้คนอื่นๆ ที่อยากยืมหนังสือ อาจต้องรออ่านหนังสือนานโข แล้วยิ่งวรินธรชอบอ่านนิยายซ้ำไปซ้ำมา สัก 2-3 รอบได้ ไม่รู้จะอ่านเอาโลห์หรือไงไม่รู้ เธอได้แต่นึกในใจ


“รีบไปหาข้อมูลรายงานดีกว่านะ เดี๋ยวคนเยอะไม่รู้ด้วยค่ะ” พี่ใหญ่รีบเอ่ยเตือน ก่อนที่ทั้งสามจะกล่าวคำอำลาจากมุมหนังสือใหม่ และเดินไปยังตึก 2 ตามที่วางแผนกันไว้



โปรดติดตามตอนต่อไป


ตอนที่ 3 ออกมาแล้ว หวังว่าจะยังตามอ่านกันอยู่นะคะ  






 

Create Date : 31 มกราคม 2555    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2555 9:14:50 น.
Counter : 576 Pageviews.  

1  2  

นายยีราฟน้อย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แม้ว่าจะคอยาว ตัวจะอ้วนกลม ขนาดนี้ ก็น่ารักนะขอรับ




Friends' blogs
[Add นายยีราฟน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.