แม่จะเข็มแข็งเพื่อหนู/ที่หนึ่งในหัวใจ
Group Blog
 
All blogs
 
Z Z Z ชีวิตที่เคยพลาดพลั้ง Z Z Z (ใครท้อแท้เรื่องการงานหรืออยากเป็นเจ้าของกิจการ...เชิญอ่านค่ะ)

หลายวันก่อนตามอ่านในไดฯ ของเพื่อน และช่วงนี้มีเข้าไปอ่านในห้องสีลม เกี่ยวกับเรื่องการงานและการลงทุน เลยอยากจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง

ตัวอย่าง เพื่อนเราทำกิจการร้านอาหารที่เป็นแฟรนไซส์ ซึ่งที่ผ่านมา 1 ปี ขายดีมากๆ แต่ก็จะมีปัญหาเรื่องลูกน้องบ้าง เรื่องลูกค้าบ้าง โดนขโมยบ้าง โดนก่อกวนบ้าง แต่เธอก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมาได้ด้วยดี แต่ช่วงหลังบังเอิญมีร้านอาหารอีกร้านเปิดขึ้นมา ทำให้รายได้หายไปจนน่าใจหาย ทำให้เพื่อนกลุ้มใจมาก และด้วยความที่เป็นคนเก่ง จนลูกน้องบอกว่าน่าจะไปทำงานอย่างอื่นมากกว่าที่จะมาเปิดร้านนี้ ทำให้เพื่อนคิดมาก และการเปิดร้านอาหารก็ไม่ใช่อาชีพที่เธอใฝ่ฝันไว้เลย แต่ที่ต้องทำด้วยความจำเป็นและคิดว่ามันลงตัวที่สุดแล้วในเวลานี้ ทำให้เธอสับสนว่าอยากกลับไปทำงานที่ตัวเองถนัดและอยากทำดีไหม ?????????

อีกตัวอย่าง เมื่อ 10 ปีที่แล้วตั้งแต่เริ่มก้าวย่างเข้ามาในบริษัทแห่งนี้ จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังทำงานบริษัทเดิมอยู่ แต่ที่ต่างออกไปคือ เรามีกิจการของตัวเราเองด้วย ถึงแม้จะเป็นกิจการเล็กๆ แต่ก็ทำรายได้ให้เราพออยู่ได้หากในวันหนึ่งเราตกงาน อีกทั้งยังสร้างความภูมิใจให้ตัวเองด้วย แต่ทำไมเราถึงทำได้ และอะไรคือแรงผลักดันให้เรามีกิจการของตัวเอง

ช่วง 0-4 ปีแรก เป็นช่วงขาขึ้น เราเข้ามาตอนที่บริษัทเพิ่งเปิดใหม่ๆ มีพนักงานอยู่แค่ 5 คน เราทำงานทุกอย่างตั้งแต่ รับโทรศัพท์ จัดสินค้า เปิดบิล ทำบัญชี เราไม่ได้เรียนจบมาสูง ตอนนั้นจบแค่ ม.6 พอทำงานแล้วมาเรียนต่อภาคค่ำ เงินเดือนที่ได้คือ 6500 บาท ด้วยความที่บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้งานเยอะมากขึ้นจากที่เดือนๆ หนึ่งขายได้ไม่กี่แสนบาท เป็นเดือนละเกือบล้าน ทำให้นายผุดโปรเจ็กต์ จูงใจพนักงานด้วยการให้ค่าคอมมิสชั่นทุกคน ถึงแม้จะไม่ใช่ส่วนขายก็ตาม นอกจากนี้ยังมีให้เงินปันผลปีละ 2 ครั้ง และในแต่ละปีมีการขึ้นเดือนให้มากจนน่าใจหาย (คือมันเยอะมากเกินที่คาดไว้จริงๆ)

แต่ตอนนั้นเราก็เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป ทำงานได้ก็กิน ใช้ เที่ยว แต่ก็ไม่ได้ใช้ของแบรนด์เนมอะไรกะเค้ามากนัก ส่วนใหญ่หนักไปทางเที่ยว แล้วก็เอาเงินไปดาวน์รถมือสองมาคันหนึ่ง เป็น honda accord ปี 89 มั้ง ชอบนะแต่ก็ซ่อมเยอะหน่อย แต่ละปีต้องซ่อมหนักๆ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งก็เป็นเงินหลายหมื่นอยู่ ทำให้ไม่มีเงินเก็บอะไรกะเค้าเลย ช่วงนั้นใช้ชีวิตแบบสุขีสุโขมาก เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันสมัยมัธยมเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย เพื่อนบอกได้เงินเดือนเริ่มต้นหมื่นกว่าบาท ซึ่งตอนนั้นเราได้เงินเดือนเกือบสองหมื่นแล้ว (แต่เราไม่เคยพูดเรื่องเงินเดือนของเราให้เพื่อนฟัง) ก็คิดในใจว่า เราช่างโชคดีเสียนี่กระไร มีบ้าน (ของพ่อแม่) มีรถ มีเงินใช้แสนสบาย เวลาเงินออกทีพาเพื่อนที่ทำงานไปเลี้ยง พอได้เงินปันผลมาก็แจกเงินให้ลูกน้อง เพื่อนมายืมเงิน ได้เลยเท่าไหร่บอกมาเด๋วโอนไปให้ ไม่ถามว่าจะคืนไหม คืนเมื่อไหร่ (จนป่านนี้ยังมีอีกหลายคนที่ยืมไปแล้วไม่ได้ใช้ มาคิดเสียดายตอนมีลูกแล้ว คริคริ แต่ไม่เคยโกรธหรืออยากไปทวงคืนนะ เพราะเราคิดว่าเราเป็นคนสมัครใจให้เขายืมเองนี่น้า)

พอมา 4-5 ปีหลัง บริษัทมีพนักงานเพิ่มมากขึ้นเป็น 25 คน ทำให้มีคนมาช่วยงานเรา เราสบายขึ้น ดูแลแต่เรื่องการเงินและบัญชีอย่างเดียว แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ เราทำงานแย่ลง ทำงานผิดพลาดบ่อย จนสุดท้ายนายทนไม่ไหว บอกว่า

“คุณไม่ต้องมาคุยกับผม ผมไม่ฟังแล้ว และผมจะไม่คุยกับคุณเรื่องนี้อีก”

นับแต่วันนั้นมา นายก็มองเราในทิศทางที่แย่ลงเรื่อยๆ เสนองานอะไรไปก็ไม่ผ่าน ไม่อนุมัติ จนเราเบื่อและคิดอยากออกจากงาน คิดแต่ว่านายไม่ชอบเราแล้ว ถึงเราอยู่ไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น โดยที่ไม่ได้คิดมามองดูตัวเองว่าทำไมนายถึงคิดกับเราแบบนั้น

บังเอิญไปเจอเพื่อนเก่าที่บ้านเคยอยู่ใกล้สมัยเด็กๆ กำลังตกงานเคยทำงานเกี่ยวกับทัวร์มาก่อน เลยคิดว่าลองทำบริษัททัวร์กับเพื่อนดูดีกว่า จัดแจงดำเนินการทำบ้านเปิดเป็นบริษัททัวร์ มีกันอยู่ 2 คน คือเรากับเพื่อน เราก็ทำงานบริษัทฯ ไม่ค่อยได้เข้ามาดูเรื่องการขาย จะดูเฉพาะเรื่องบัญชี ส่วนเพื่อนก็ทำทุกอย่างในบริษัท เขารู้เรื่องการออกตั๋วการติดต่อบริษัททัวร์ดี แต่ไม่มีหัวเรื่องการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สมัยนั้นยังไม่มีระบบ e-ticket เราจะต้องวิ่งส่งตั๋วเอง บางทีอยู่ไกลมากก็ต้องไปส่งให้ทั้งๆ ที่ได้กำไรแค่ไม่กี่ร้อย ซึ่งมันไม่คุ้มทั้งเวลาและค่าเดินทางเลย

การทำบริษัททัวร์ปัญหาที่เจอคือ ทำเล ถ้าสามารถหาทำเลริมถนน คนผ่านไปมาเห็นสะดวก ก็เท่ากับเป็นการโฆษณาไปในตัว ที่จอดรถควรมีอย่างน้อยๆ 1 คัน เพราะบางทีลูกค้าที่เราได้มา ก็เพราะไปบริษัททัวร์ใหญ่ๆ แต่ไม่มีที่จอดรถ ถึงจะถูกกว่า แต่ตัดรำคาญ ซื้อที่สะดวกดีกว่า ตอนแรกที่คิดว่าจะจับเสือมือเปล่า โดยการให้ลูกค้าโอนเงินมาก่อนแล้ว ค่อยไปออกตั๋วนั้น บางทีก็ทำไม่ได้ ยิ่งเคสใหญ่ๆ เป็นกรุ๊ป เราต้องสำรองจ่ายไปก่อน แถมยังไม่สามารถสู้ราคากับบริษัททัวร์ใหญ่ๆ ที่สามารถออกตั๋วเองได้อีก และด้วยความรู้ที่มีอยู่ของเพื่อน บวกกับความไม่รู้เรื่องของเราที่มีแต่เงินทุน ไม่รู้ตลาด ไม่มีกลยุทธ์ใดๆ ที่จะดึดดูดลูกค้าให้มาซื้อ ทำให้มันไม่ประสบความสำเร็จ ปิดยอดเดือนทีไร ติดลบทุกที จุดอวสานมาถึงเมื่อมีโรคซาร์ระบาดหนัก ทัวร์เมืองจีน ฮ่องกง สิงคโปรที่เคยขายได้ กลับแน่นิ่ง จึงตกลงกลับเพื่อนว่า คงต้องถึงเวลาทางใครทางมันแล้ว หลังจากที่ร่วมงานกันมา 1 ปี เพื่อนเองก็เข้าใจดี บอกว่าจะหันไปทำอาชีพอื่นที่รักมากกว่า คือเลี้ยงปลาขาย ปัจจุบันก็ไปได้สวยทีเดียว

ส่วนเราก็หันหน้ากลับไปทำงานตามเดิม โดยตลอดเวลาที่เราเปิดบริษัททัวร์ นายเราก็รู้ แต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร เนื่องจากเราไม่ได้เอามายุ่งเกี่ยวกับงานที่บริษัท ตอนที่เราปิดบริษัท นายเราก็มาถามว่า
“จะปิดเหรอ น่าเสียดาย บางทีอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ มีสายป่านที่ยาวกว่านี้ เพราะถ้าเราผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ มันก็น่าจะไปได้ดี “

“ขอบคุณค่ะที่แนะนำ แต่เราไม่มีเงินแล้ว ก็คงต้องปิดไปล่ะค่ะ” เราตอบ ขนาดนายเกลียดขี้หน้าเรา ก็ยังมีแก่ใจมาแนะแนวทางให้ ซึ่งเรายังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้

ขอไว้เขียนต่อครั้งหน้าแล้วกันค่ะ (รู้สึกจะติดไว้หลายเรื่องเหลือเกิน)

































Create Date : 30 มกราคม 2550
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 22:13:30 น. 5 comments
Counter : 423 Pageviews.

 

อ่านแล้วได้อะไรเยอะเลย เขียนต่อเมื่อไหร่จะตามมาอ่านอีกนะค่ะ


โดย: N_BEE810 วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:14:13:10 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ กะลังคิดจะหาอะไรทำเพิ่มอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ลงตัวหลายอย่าง .....


โดย: หนูชล IP: 203.149.12.136 วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:17:46:14 น.  

 
จริงๆค่ะ..............

คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า...........

ที่พูดได้เพราะเราเป็นแล้วทั้ง 2 อย่าง....

ทั้งลูกน้อง ทั้งเจ้าของ..............

ตอนเป็นลูกน้องมองพวกเจ้าของกิจการว่า โน่นก็กำไร นี่ก็กำไร.........

แต่พออกมาทำ.......หากำไรกันให้ควัก..........

ถ้าจะทำอะไรต้องศึกษาอย่างดี ลงลึกทุกเรื่อง....และต้องเป็นงานที่เรารัก......

อย่าฟังคำคนที่ว่า.........

กำไรมากกำไรน้อยก็เป็นของเรา.......

เพราะถ้ากำไรน้อย.....มันไม่พอกินซิคะ......

ใครจะทำกิจการ อย่าคิดว่ามันง่ายๆอย่างที่เราเห็นๆกันค่ะ....


โดย: ปลายปัญญา วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:18:56:43 น.  

 




คนเรากว่าอารายๆ มันจะลงตัวทุกย่างมันก้อต้องใช้เวลาค่ะ

อากาศเริ่มเย็นอีกแล้วค่ะ รักษาสุขภาพด้วยจ้า อย่าลืมห่มผ้าก่อนนอนน่ะค่ะ


โดย: icebridy วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:21:34:28 น.  

 
เคยเป็นมาทั้งสองอย่างเหมือนกัน เป็นนายต้องเอามจลูกน้อง เป็นลูกน้องก็ต้องเอาใจนาย เมื่อก่อนเราเคยมีร้านขายหมูกระทะที่ชลบุรีน่ะ ขายดีมากจนไม่มีวันหยุด แต่ก็ต้องจบลงเพราะปัญหาลูกน้องน่ะ ปวดหัว เครียดมาก เลยเลิกทำ เพราะยังไงเราก้อไม่เดือดร้อนเรามีงานประจำทำอยู่แล้ว พูดแล้วเครียดน่ะ


โดย: เสลาสีม่วง (เสลาสีม่วง ) วันที่: 30 มกราคม 2550 เวลา:21:44:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แม่เจ้าปัน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ขอรหัสผ่านหลังไมค์นะค่ะ
Free Counters
Friends' blogs
[Add แม่เจ้าปัน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.