สอบเข้าคณะนิติศาสตร์ คลิ๊ก ... http://tutorlawgroup.blogspot.com/
Group Blog
 
All blogs
 
บุคคลสิทธิ และ ทรัพยสิทธิ

คำว่าบุคคลสิทธิ และทรัพยสิทธิ แม้จะเป็นภาษากฎหมายซึ่งมีความหมายพิเศษต่างหากจากภาษาธรรมดาทั่วไปก็ตาม แต่ก็ไม่มีคำอธิบายหรือวิเคราะห์ศัพท์ไว้ในที่ใด คำว่าบุคคลสิทธิ ตรงกับคำว่า Jus in personam ในภาษาลาติน ส่วนคำว่า ทรัพยสิทธิตรงกับคำว่า Jus in rem ใน Concise Law Dictionary ของ P.G. Osboru ให้ความหมายของคำว่า Jus in personam ว่า “A right against a specific person” และคำ Jus in rem ว่า “A right against the world at large”

บุคคลสิทธิ หมายถึง สิทธิที่มีอยู่เหนือบุคคลในอันที่จะบังคับบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญาหรือเป็นลูกหนี้ให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้งดเว้นมิให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือให้ส่งมอบทรัพย์ให้ เช่น สิทธิของเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ซึ่งสามารถบังคับให้ลูกหนี้ชำระเงินตามสัญญากู้ได้ สิทธิตามสัญญาเช่า ซึ่งผู้ให้เช่ามีสิทธิบังคับผู้เช่าให้ชำระค่าาตามสัญญาเช่าได้ และผู้เช่าก็มีสิทธิบังคับผู้ให้เช่าให้ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าได้ หรือสิทธิตามสัญญาจ้างทำของซึ่งผู้ว่าจ้างมีสิทธิบังคับให้ผู้รับจ้างทำการใด ๆ ตามสัญญาจ้างทำของได้ และผู้รับจ้างก็มีสิทธิบังคับให้ผู้ว่าจ้างชำระค่าจ้างได้ หรือสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในทางละเมิด ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิบังคับผู้ทำละเมิดให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตนได้เป็นต้น บุคคลสิทธินี้เป็นสิทธิที่จะบังคับเอาแก่คู่สัญญาผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา หรือ ลูกหนี้เท่านั้น จะใช้บังคับหรือใช้ยันต่อบุคคลอื่นทั่วไปมิได้เลย และหากคู่สัญญาผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา หรือลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามสิทธินั้น ๆ ผู้ที่มีสิทธิความสัญญาหรือเจ้าหนี้ต้องฟ้องร้องบังคับคดียังโรงศาล จะบังคับกันเองมิได้ บุคคลสิทธินี้อาจเกิดขึ้นได้โดยนิติกรรม เช่น สัญญา หรือนิติเหตุ เช่นละเมิดก็ได้


ทรัพยสิทธิ หมายถึง สิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สิน หรือเป็นสิทธิที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินโดยตรง เช่น กรรมสิทธิ์เป็นทรัพยสิทธิที่ทำให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพยสิทธิสามารถใช้สอย จำหน่ายทรัพย์สิน ติดตามเอาทรัพย์สินนั้นคืนจากผู้ที่ไม่มีอำนาจยึดถือไว้ได้ ทรัพยสิทธิเป็นสิทธิที่ใช้ยันแก่บุคคลได้ทั่วไป หรือใช้ยันแก่บุคคลได้ทั่วโลก เช่น เรามีกรรมสิทธิ์ในนาฬิกาของเราซึ่งเป็นทรัพยสิทธิ แม้ว่าเราจะนำนาฬิกานั้นไปต่างประเทศแห่งใด เราก็ยังมีกรรมสิทธิ์ในนาฬิกาของเราอยู่ ผู้ใดมาเอาไปโดยไม่มีสิทธิ เราย่อมติดตามเอาคืนได้เสมอ ทรัพยสิทธินอกจากตัวอย่าง เช่น กรรมสิทธิ์แล้วยังมีสิทธิครอบครอง สิทธิจำนำ สิทธิจำนอง สิทธิยึดหน่วง ลิขสิทธิ์ สิทธิในเครื่องหมายการค้า ภารจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพื้นดิน และภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์เป็นต้น เนื่องจากทรัพยสิทธิเป็นสิทธิที่ใช้ยันต่อบุคคลใด ๆ ได้ทั่วไป ทรัพยสิทธิจึงจะก่อตั้งขึ้นได้ก็โดยอาศัยอำนาจของกฎหมาย เพื่อที่จะให้บุคคลทั้งหลายทั่วไปได้รับรู้ เพราะมีหลักอยู่ว่าบุคคลจะอ้างความไม่รู้กฎหมายมาเป็นข้อแก้ตัวมิได้ เช่น สิทธิอาศัยจะก่อตั้งขึ้นได้ก็เฉพาะในโรงเรือนเท่านั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1402 จะตกลงให้มีสิทธิอาศัยในที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นมิได้


จากความหมายของคำว่าบุคคลสิทธิ และทรัพยสิทธิดังกล่าวแล้ว เราพอจะแยกความแตกต่างระหว่างคำทั้สองได้ดังนี้

1. บุคคลสิทธิ เป็นสิทธิระหว่างคู่สัญญา ผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา หรือเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ในอันที่จะบังคับให้คู่สัญญา ผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา หรือลูกหนี้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ หรือส่งมอบทรัพย์ตามสัญญา หรือตามมูลหนี้ สิทธิเช่นนี้เป็นสิทธิเรียกร้องอย่างหนึ่ง
ทรัพยสิทธิ เป็นสิทธิที่ใช้บังคับเอาจากทรัพย์สิน โดยไม่คำนึงถึงตัวบุคคลว่าจะเป็นคู่สัญญาผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา หรือลูกหนี้ของผู้ทรงทรัพยสิทธิหรือไม่ เช่น สิทธิจำนองเป็นทรัพยสิทธิ ฉะนั้นผู้จำนองจึงมีสิทธิบังคับจำนองเอาจากตัวทรัพย์จำนองได้เสมอ ไม่ว่าทรัพย์จำนองจะโอนไปเป็นของผู้ใดทั้ง ๆ ที่ผู้นั้นมิได้เป็นผู้จำนองทรัพย์นั้นต่อผู้รับจำนองเลยก็ตาม (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702)

2. บุคคลสิทธิ เกิดขึ้นได้โดยนิติกรรม เช่น ทำสัญญาจะซื้อขาย ทำสัญญาเช่าทรัพย์ ทำสัญญาจ้างแรงงาน หรือจ้างทำของเป็นต้น สิทธิที่จะบังคับคู่สัญญาหรือผู้สืบสิทธิของคู่สัญญาให้ปฏิบัติตามสัญญานั้น ๆ คือ บุคคลสิทธิ นอกจากนี้บุคคลสิทธิยังเกิดจากนิติเหตุได้ เช่น เมื่อมีการทำละเมิดนั้น ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิด สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนี้ก็เป็นบุคคลสิทธิ
ทรัพยสิทธิ เกิดขึ้นได้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายเท่านั้น กล่าวคือ ถ้าไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจในการก่อตั้งไว้แล้ว ผู้หนึ่งผู้ใดจะคิดค้นก่อตั้งทรัพยสิทธิขึ้นมาเองมิได้ ทรัพยสิทธิที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้อำนาจก่อตั้งได้ เช่น กรรมสิทธิ์ สิทธิอาศัย การจำยอม สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพื้นดิน ภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ บุริมสิทธิ สิทธิยึดหน่วงจำนอง และจำนำเป็นต้น ส่วนทรัพยสิทธิตามกฎหมายอื่น เช่น ลิขสิทธิเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม สิทธิในเครื่องหมายการค้าเกิดขึ้นตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า

3. บุคคลสิทธิ ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้น เช่น ในกรณีสัญญาก็คือคู่สัญญา หรือผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา ในอันที่จะกระทำการ งดเว้นกระทำการ หรือส่งมอบทรัพย์ตามสัญญา ในกรณีละเมิดก็คือผู้ทำละเมิด หรือผู้อื่นที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดร่วมกับผู้ทำละเมิดด้วยเท่านั้น เช่น นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ตัวการต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนตามมาตรา 427 ผู้ว่าจ้างต้องรับผิดในการทำละเมิดของผู้รับจ้างตามมาตรา 428 ครูอาจารย์ นายจ้าง ผู้รับดูแลผู้ไร้ความสามารถ ต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา 430 เป็นต้น
ทรัพยสิทธิ ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลทั่วไปกล่าวคือบุคคลใด ๆ ก็ตามจะต้องรับรู้ในทรัพยสิทธิของเจ้าของทรัพยสิทธิ จะต้องไม่เกี่ยวข้องขัดขวางการใช้ทรัพยสิทธินั้น เช่น ก. มีการจำยอมในอันที่จะเดินผ่านที่ดินของ ข. เป็นเวลา 10 ปี ก่อนครบ 10 ปี ข. ขายที่ดินนั้นให้ ค. ค. ก็จำต้องยอมให้ ก. มีสิทธิเดินผ่านที่ดินนั้นได้ต่อไปจนกว่าจะครบ 10 ปี ค. จะอ้างว่าภารจำยอมมีอยู่ระหว่าง ก. และ ข. เท่านั้น ตนมิได้ยินยอมรู้เห็นด้วยมิได้

4. บุคคลสิทธิ เป็นสิทธิที่ไม่คงทนถาวร มีระยะเวลาจำกัดในการใช้ หากไม่ใช้เสียภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ บุคคลสิทธินั้นย่อมสิ้นไป ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้นี้เรียกว่า อายุความ ทั้งนี้จะเห็นได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 163 ซึ่งบัญญัติว่า “อันสิทธิเรียกร้องอย่างใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับเสียภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้ ท่านว่าตกเป็นอันขาดอายุความ ห้ามมิให้ฟ้องร้อง” อายุความที่ยาวที่สุดที่กฎหมายอนุญาตไว้มีกำหนด 10 ปี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 164
ทรัพยสิทธิ เป็นสิทธิที่คงทนถาวร แม้จะไม่ใช้ทรัพยสิทธิช้านานเพียงใด ทรัพยสิทธิก็หาระงับสิ้นไปไม่ เช่น กรรมสิทธิ์ แม้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์จะมิได้ใช้สอยทรัพย์นั้นช้านานเท่าใดก็ตาม กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นก็ยังมีอยู่ ทรัพย์นั้นยังเป็นของเจ้าของอยู่เสมอ เว้นเสียแต่จะปล่อยให้บุคคลอื่นครอบครองปรปักษ์ทรัพย์นั้นจนครบระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1382 หรือ มาตรา 1383 บุคคลอื่นย่อมได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่บุคคลอื่นได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ หาใช่กรรมสิทธิ์ระงับไปเพราะการไม่ใช้ไม่ เพราะเพียงแต่ไม่ใช้กรรมสิทธิ์โดยไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ไม่มีทางที่กรรมสิทธิ์จะระงับไปได้เลย มีข้อยกเว้นสำหรับทรัพยสิทธิอยู่ 2 ประเภท คือ ภารจำยอมและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 และ มาตรา 1434 บัญญัติว่า ถ้าไม่ใช้ 10 ปี ย่อมสิ้นไป การสิ้นไปของทรัพยสิทธิ 2 ประเภทนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากหลักทั่วไป

เพื่อความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคลสิทธิ และทรัพยสิทธิ ตามข้อ 4 นี้ ขอยกตัวอย่างดังนี้ ก. เป็นเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ในสร้อยคอ 1 เส้น ถ้า ข. ยืมสร้อยคอนั้นไปจาก ก. แล้วไม่ส่งคืน สิทธิที่ ก. จะเรียกสร้อยคอคืนจาก ข. เป็นบุคคลสิทธิเพราะเป็นสิทธิที่จะบังคับ ข. ตามสัญญายืม ให้ส่งมอบสร้อยคอคืนให้ ฉะนั้น ก. จะต้องฟ้องเรียกสร้อยคอนั้นคืนเสียภายใน 10 ปี นับตั้งแต่วันครบกำหนดที่จะต้องส่งสร้อยคอคืนตามสัญญา หรือถ้ามิได้กำหนดเวลาคืนไว้ ก็ต้องฟ้องเสียภายใน 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ ข. ยืมสร้อยคอนั้นไป (การฟ้องเรียกทรัพย์ที่ยืมคืน กฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้ จึงใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และอายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ตามมาตรา 169 หนี้ที่ไม่กำหนดเวลาชำระไว้ เจ้าหนี้ย่อมเรียกให้ชำระหนี้ได้ทันทีตามมาตรา 203)
จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าแทนที่ ข. จะยืมสร้อยคอของ ก. แต่ ข. กลับเอาสร้อยคอของ ก. ไปโดย ก. มิได้อนุญาตหรือยินยอม ก. มีสิทธิติดตามเอาสร้อยคอนั้นคืนจาก ข. เมื่อใดก็ได้ แม้ว่าจะนานถึง 20 – 30 ปี เพราะการที่ ก. ติดตามเอาสร้อยคอของตนคืนจาก ข. ผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้นั้น เป็นการเรียกร้องสร้อยคอของตนโดยอาศัยอำนาจกรรมสิทธิ์ซึ่งเป็นทรัพยสิทธิ หาใช่เรียกร้องโดยอาศัยบุคคลสิทธิดังตัวอย่างข้างต้นไม่
ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่า บุคคลสิทธิใช้บังคับได้เฉพาะคู่สัญญา ผู้สืบสิทธิของคู่สัญญาหรือลูกหนี้เท่านั้น ขออธิบายเพิ่มเติมว่า คู่สัญญานั้นรวมถึงตัวการซึ่งมอบให้ตัวแทนเข้าทำนิติกรรมแทนตนด้วย ทั้งนี้เพราะตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลาย อันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจของตัวแทน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 ส่วนผู้สืบสิทธิของคู่สัญญานั้นได้แก่ทายาทของคู่สัญญา ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยธรรม หรือผู้รับพินัยกรรมก็ตาม ทั้งนี้เพราะมาตรา 1600 บัญญัติว่า “ฯลฯ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้” และ มาตรา 1603 บัญญัติว่า “กองมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมายหรือโดยพินัยกรรม ฯลฯ” นอกจากนี้หากมีกฎหมายบัญญัติให้บุคคลใดซึ่งได้รับโอนทรัพย์สิน ต้องรับสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนไปด้วย ก็ถือว่าผู้รับโอนทรัพย์สินนั้นเป็นผู้สืบสิทธิของผู้โอนทรัพย์ด้วย เช่น ผู้รับโอนทรัพย์สินหรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ขายฝากตามมาตรา 498 และผู้ที่รับโอนทรัพย์สินที่เช่าย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 569 เป็นต้น
อาจมีข้อสงสัยได้ว่า เมื่อทรัพยสิทธิเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์ หรือบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์โดยตรงเช่นี้แล้ว เหตุใดจึงมีการฟ้องร้องตัวบุคคลให้ปฏิบัติตามทรัพยสิทธิเล่า มิกลายเป็นสิทธิที่บังคับเอาแก่ตัวบุคคลหรือ หากเป็นเช่นนี้จะแตกต่างไปจากบุคคลสิทธิได้อย่างไร เช่น ก. เอานาฬิกาของ ข. ไปเมื่อ ข. ติดตามเอาคืน แต่ ก. ไม่ให้ ข. ก็ต้องฟ้อง ก. ให้ส่งมอบนาฬิกาให้แก่ตนเช่นกัน ข. จะอ้างว่าตนมีทรัพยสิทธิคือกรรมสิทธิ์ในนาฬิกา และบังคับเอานาฬิกาคืนโดยตรงหาก ก. ไม่ยอม ข. ก็บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์มิได้ แล้วจะว่าทรัพยสิทธิที่บังคับเอาแก่ตัวทรัพย์ได้อย่างไร ความจริงแล้ว ถ้าเป็นทรัพยสิทธิย่อมบังคับเอาแก่ตัวทรัพย์ได้เสมอ เช่น ในตัวอย่างข้างต้น หาก ก. ยอมรับว่านาฬิกาเป็นของ ข. จริงแต่ไม่ยอมคืนให้ ข. ย่อมมีสิทธิเอานาฬิกานั้นคืนได้ แม้จะถึงแก่ยื้อแย่งมาก็ตาม โดยไม่ต้องฟ้อง ก. แต่ประการใด การที่ ข. ต้องฟ้อง ก. ก็เนื่องจากทรัพยสิทธิคือกรรมสิทธิ์ในนาฬิกาของ ข. นั้น ยังไม่แน่นอนต่างหาก เพราะ ก. อาจจะเถียงว่านาฬิกานั้นเป็นของ ก. เป็นการโต้เถียงทรัพยสิทธิกัน ข. จึงต้องฟ้องให้ศาลแสดงว่า นาฬิกานั้นเป็นของ ข. คือให้แน่ชัดว่า ข. มีทรัพยสิทธิเหนือนาฬิกานั้นเสียก่อน เมื่อศาลชี้ว่านาฬิกาเป็นของ ข. แล้ว ก. ก็มีหน้าที่ต้องคืนนาฬิกานั้นให้แก่ ข. ศาลจึงพิพากษาไปเสียทีเดียวว่า นาฬิกาเป็นของ ข. และให้ ก. ส่งมอบนาฬิกาให้แก่ ข. การที่ ข. ฟ้อง ก. เช่นนี้ หาใช่ฟ้องโดยอาศัยอำนาจบุคคลสิทธิไม่ แต่เป็นการฟ้องเพื่อให้แสดงว่าผู้ใดเป็นผู้มีทรัพยสิทธิต่างหาก



Create Date : 20 กรกฎาคม 2550
Last Update : 20 กรกฎาคม 2550 9:52:48 น. 0 comments
Counter : 1716 Pageviews.

hanayo_boyz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




NEWS UPDATED!! ** hanayolaw@gmail.com **

อ่านความรู้เกี่ยวกับสอบเข้าคณะนิติศาสตร์

คลิ๊ก .. http://tutorlawgroup.blogspot.com ครับ

ขอบคุณสำหรับ
การติดตามและกำลังใจมากมายของทุกๆท่านครับ


หากมีข้อสงสัยหรือปัญหากฎหมาย

** อีเมลติดต่อผมได้โดยตรงครับ **

** hanayolaw@gmail.com **
หรือ
** hanayo_dona@hotmail.com **



** อยากรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมก็เมลมาถามได้นะครับ

** ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุดครับ...
Friends' blogs
[Add hanayo_boyz's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.