เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

ประหลาด!!! “ต้นไม้ 2 เพศ-หินเต่ายิ้ม” : “พุหางนาค” มากของดี ที่สุพรรณฯ

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

จุดชมวิวพุหางนาคบริเวณต้นจันทน์ผายักษ์อายุหลายร้อยปี
       สุพรรณบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีของดีซุกซ่อนอยู่หลากหลาย

       สำหรับ“พุหางนาค” ถือเป็นอีกหนึ่งของดีซ่อนกายแห่งสุพรรณ เพิ่งเปิดตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่ แต่ว่ามาแรงไม่เบา

       พุหางนาคหรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “อุทยานสวนหินพุทธสถานทวารวดีอู่ทอง(พุหางนาค)” เป็นส่วนหนึ่งของ “วนอุทยานพุม่วง” ในพื้นที่เขตเทศบาล ต.ท้าวอู่ทอง อ.อู่ทอง ซึ่งวันนี้ทางองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(อพท.) สมาพันธ์สมาคมเครือข่ายท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สคท.) กับเจ้าของพื้นที่อย่างวนอุทยานพุม่วง และเทศบาลตำบลท้าวอู่ทอง ได้ร่วมมือกันพัฒนา ผลักดัน ให้พุหางนาคเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำอีกแห่งหนึ่งของเมืองสุพรรณ

อาคารเรียงหินพบหลายแห่งในเมืองโบราณอู่ทองรวมถึงที่พุหางนาค
       พุหางนาค มีความโดดเด่นทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์และธรรมชาติ (รวมไปถึงความเชื่อ“เฉพาะบุคคล”ในเรื่องของสิ่งศักดิสิทธิ์และความลี้ลับบางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้)

       ในทางประวัติศาสตร์ มีการค้นพบ “อาคารเรียงหิน”ซ้อนชั้นกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งพบทั้งที่พุหางนาค และที่อื่นๆอีกกว่า 20 จุดในเขตเมืองโบราณอู่ทอง กระจายตัวอยู่ทั่วไปตามแนวเทือกเขา

       อาคารเรียงหินเหล่านี้ มีข้อสันนิษฐานจากนักวิชาการแตกต่างกันไป บ้างว่าเป็นยุคเดียวกับวัฒนธรรม “หินตั้ง” เมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ในยุคบูชาผีหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ บ้างเชื่อว่าเป็นดังเจดีย์หินใช้บูชาพญาแถนหรือเทพเจ้า ส่วนบ้างก็สันนิษฐานว่านี่เป็นอาคารแบบเดียวกับ “หอคอยหิน” ในต่างประเทศ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้สัญญาณไฟหรือสร้างเป็นที่ระวังภัย ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่นักวิชาการ นักโบราณคดีคงต้องไปศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลกันต่อไป

เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกับธรรมชาติแปลกตา
       ส่วนในทางธรรมชาติ พุหางนาคนอกจากจะมีระบบนิเวศที่หลากหลายแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งธรรมชาติแปลกตาน่าทึ่ง มากไปด้วยเสน่ห์ชวนค้นหา ซึ่งปฐมบทการเที่ยวพุหางนาคของผมเริ่มขึ้นที่ “สำนักสงฆ์พุหางนาค” ที่วันนี้มีอีกบทบาทหนึ่งในฐานะศูนย์บริการนักท่องเที่ยว(ชั่วคราว)

       สำหรับการจะเข้าไปเที่ยวตามจุดต่างๆของพุหางนาค ควรมีเจ้าหน้าที่หรือมัคคุเทศก์น้อยนำทาง เพื่อป้องกันการหลงทางของนักท่องเที่ยวรวมถึงคอยให้ข้อมูลความรู้ต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีป้ายบอกทางและป้ายสื่อความหมาย โดยผู้ที่จะทำหน้าที่พาผมและคณะออกตะลุยในครั้งนี้คือ พี่“สมเกียรติ สำเร็จทรัพย์” เจ้าของฉายา “หางนาค 6” หนึ่งในทีมจิตอาสาพาเที่ยวพุหางนาค

       งานนี้พี่สมเกียรติไม่ได้มาคนเดียวโดดๆ หากแต่พาเด็กสร้าง อย่าง “น้ำหวาน”(ด.ญ.ปวันรัตน์ ศรีสว่าง) และ “แชมป์”(ด.ช.พิชิตชัย สมนึก) สองมัคคุเทศก์น้อยมาร่วมเป็นกองหนุนด้วย

หลวงปู่ใหญ่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งพุหางนาค
       ก่อนที่จะออกเดินตะลุย พี่สมเกียรติพาผมไปสักการะ“หลวงปู่ใหญ่” เพื่อความเป็นสิริมงคลเอาฤกษ์เอาชัย

       หลวงปู่ใหญ่เป็นพระปางไสยาสน์(พระนอน) สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พุหางนาค ที่ประดิษฐานอยู่ใน “ถ้ำหลวงปู่ใหญ่” ถ้ำที่มีหลักฐานการค้นพบมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ก่อนมาเปิดเป็นศาสนสถานในปี พ.ศ. 2513

       ถ้ำหลวงปู่ใหญ่เป็นถ้ำมีโพรงเปิดให้แสงแดดสาดส่องลงมายังบริเวณช่วงบนของหลวงปู่ใหญ่ ซึ่งช่วงกลางองค์พระมีหินเป็นรูปหนุมาน ส่วนช่วงเหนือเศียรมีหินเป็นรูปหัวช้างให้จินตนาการ แต่น่าเสียดายที่ปัจจุบันน้ำฝนเหนือถ้ำเปลี่ยนทางไหลลงมากระทบพระพักตร์ของหลวงปู่ ทำให้ต้องทำเพิงสังกะสีกันไว้ ดูประดักประเดิด ซึ่งหากทางพุหางนาคได้งบพัฒนามา ควรปรับปรุงภูมิทัศน์ในจุดนี้ให้กลมกลืนดูดีกว่านี้ก็จะดีมาก

หินรูป(หัว)พญาวานร
       จากหลวงปู่ใหญ่พี่สมเกียรติพาผมเดินผ่านดงจันทน์ผาต้นโตไปแวะหยุดยังบ่อพักน้ำตามธรรมชาติที่ใช้สำหรับรดน้ำต้นไม้ที่นี่ พร้อมอธิบายถึงที่มาของชื่อพุหางนาคให้ฟังว่า “พุ” คือ น้ำผุดตามธรรมชาติที่ผุดขึ้นมาทางด้านล่างของภูเขา ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนของหางนาค

       พูดถึงนาคแล้ว ชาวบ้านที่นี่(ส่วนหนึ่ง)มีความเชื่อว่าที่พุหางนาคเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีพญานาค 3 ตน คอยปกปักรักษา แบ่งพื้นที่กันดูแลในช่วงบน กลาง ล่าง

       พี่สมเกียรติพาพวกเราเดินหน้าต่อไป ระหว่างนี้น้องน้ำหวานชี้ให้ดูหินก้อนหนึ่งที่ดูด้านล่างไม่เห็นว่ามันจะเด่นตรงไหน แต่เมื่อเดินขึ้นไปด้านบนแล้วมองย้อนลงมาจะเห็นเป็นรูปหัวลิง(ต้องจินตนาการตาม) ที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “หินพญาวานร”

น้องน้ำหวานเดินผ่านซอกหินประตูสู่เมืองลับแล
       จากนั้นเมื่อเดินถัดสูงขึ้นไปจะเป็นซอกหินแคบๆให้มุดลอด พี่สมเกียรติบอกว่านี่เป็นประตูเมืองลับแลที่ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนสมัยก่อนที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน พร้อมๆกับเรื่องเล่าว่าในวันขึ้น 15 ค่ำ เคยมีคนได้ยินเสียงปี่พาทย์และการจัดงานมหรสพดังมาจากที่แห่งนี้

หินเต่ายิ้ม
       ภายในเมืองลับแลถือเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญของพุหางนาค ในนี้มีสวนหินที่มากไปด้วยหินรูปร่างประหลาดชวนให้จินตนาการเพียบ ไม่ว่าจะเป็น หินรูปปลาซัคเกอร์ที่แชมป์ชี้ให้ดูเห็นมันกำลังเกาะห้อยอยู่ริมกำแพงหินใหญ่ หินรูปหัวใจที่หากใครกำลังอกหักอาจมองเห็นเป็นอย่างอื่นได้ หินรูปเต่ายิ้มกำลังเดินลงเขาอันแสนน่ารักเห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้ หินรูปเต่ากำลังเดินขึ้นเขา หินรูปช้าง รูปหัวช้าง หินรูปเศียรพญานาค หินรูปวาฬสวมหมวกแก๊ป หินรูปปลาไหล หินรูปเป็ด(ย่าง)หรือรูปนกสุดแท้แต่จะมอง เป็นต้น

หินรูปเป็ดหรือนก
       นอกจากนี้ก็ยังมีก้อนหินประหลาดลักษณะดูคล้ายเปลือกไม้กลายเป็นหินปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก หินหลายก้อนวางซ้อนชั้นเรียงกันอยู่ บางก้อนวางเหมือนจะตกแต่มันคงแข็งแรง โยกผลักกันไม่มีสั่นไหว

สวนหินเมืองลับแล ที่มากไปด้วยหินตะกอน
       พี่สมเกียรติบอกว่าหินพวกนี้เป็นหินตะกอน เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนใต้ทะเล มีอายุประมาณ 400-500 ล้านปีในยุคออร์โดวิเชียน ก่อนที่โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดกลุ่มหินพวกนี้ขึ้นที่พุหางนาค

       ในบรรดาก้อนหินตะกอนมากหลาย มีอยู่ 2 ก้อน ก้อนแรกมีเส้นสายลวดลายรอยสีเหลืองที่พี่พี่สมเกียรติบอกเป็นรูปงูสู้กับนกอินทรี ส่วนก้อนที่ 2 เป็นก้อนไฮไลท์ มีริ้วรอยเป็นทางขาวมองคล้ายลำตัวช่วงบนของพญานาคที่ช่วยตอกย้ำความเป็นพุหางนาคให้ดูหนักแน่นยิ่งขึ้น เพราะด้านบนเขาเป็นส่วนหัวนาค ด้านล่างที่มีพุเป็นส่วนหางนาค

หินตะกอนหลายก้อนมีลวดลายคล้ายเปลือกไม้
       ในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสายนี้ยังมี ต้นไม้หายาก สมุนไพรมากมาย อาทิ สลัดไดต้นโตที่ขึ้นอยู่มากมายดูคล้ายตะบองเพชร, ต้นสุพรรณิกาดอกไม้ประจำจังหวัดสุพรรณที่ยามหน้าแล้งช่วงก.พ.-มี.ค.จะออกดอกสีเหลืองอร่าม, ต้นเปาะที่นำใบไปยำกินอร่อยนัก, ต้นกลอยที่ดอกมีกลิ่นหอม หัวกลอยกินกับข้าวเหนียวหน้ากลอยของอร่อยที่เด็กสมัยนี้น้อยคนนักที่จะรู้จัก, กล้วยไม้ช้างผสมโขลงที่หาชมไม่ได้ง่ายๆในเมืองไทยแต่พบว่ามีมากที่พุหางนาค, ต้นลีลาวดีดอกสีขาว แดง ที่คนปลูกขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีที่แล้วจนโตใหญ่, ต้นงิ้วที่แจะมีหนามแหลมคมแต่ใครหลายๆคนกลับชอบปีนกันไม่น้อย และกระเจียวหลากสีที่ในหน้าฝนจะออกดอกสวยงามอวดโฉมให้ชมกัน

รอยลาย(สีขาว)ที่ดูคล้ายพญานาค
       ขณะที่ต้นไม้ในระดับไฮไลท์นั้น เห็นจะหนีไม่พ้นต้นจันทน์ผาที่นอกจากจะมีต้นโตขึ้นทั่วไปแล้ว ยังมีจันทน์ผาต้นเด่น 2 ต้นขึ้นอยู่ในจุดที่แตกต่างกัน ต้นแรกเป็นจันทน์ผาต้นใหญ่โดดๆขึ้นบนก้อนหินตะกอน ได้ชื่อว่าเป็น“จันทน์ผาสัญญารัก” สัญลักษณ์ของพุหางนาค อีกต้นหนึ่งเป็นจันทน์ผาต้นยักษ์อายุหลายร้อยปีที่ขึ้นบริเวณจุดชมวิว มองลงไปเห็นอำเภออู่ทองและเห็นถึงความเป็นแหล่งดอกไม้นานาชนิดของขุนเขาลูกนี้ จนที่นี่ได้ชื่อว่า “ภูเขาบุษยคีรี” ที่หมายถึงภูเขาที่มีดอกไม้หลากหลาย

ต้นจันทน์ผาสัญญารัก
       นอกจากต้นไม้เด่นๆทั้งหลายตามที่กล่าวมาแล้ว ในช่วงขาเดินลง พี่สมเกียรติพาไปดูต้นมะกลักประหลาด ซึ่งแกเรียกว่าเป็นต้นไม้ 2 เพศ ที่เมื่อเห็นแล้วไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ แต่ละคนก็ถึงบางอ้อในความเป็น 2 เพศของมัน

นับเป็นอีกหนึ่งธรรมชาติประหลาดส่งท้ายการเที่ยวพุหางนาคของผมในครั้งนี้ ที่ยังไงก็ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายช่วยกันดูแลรักษาป่าพุหางนาคไว้ให้ดี อย่าให้เกิดกรณีดังแล้วเสียศูนย์เหมือนกับแหล่งท่องเที่ยวหลายๆแห่งในบ้านเรา


//www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000058917



Create Date : 16 พฤษภาคม 2556
Last Update : 16 พฤษภาคม 2556 21:00:39 น. 3 comments
Counter : 2543 Pageviews.  

 
แวะมาเยี่ยมชมและอ่านเรื่องราวดีๆ ครับ


โดย: 3KKK วันที่: 16 พฤษภาคม 2556 เวลา:21:39:16 น.  

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 17 พฤษภาคม 2556 เวลา:4:50:56 น.  

 
ไม่เคยรู้จักที่นี้เลย.....ไปมาหลายที่เหมือนกัน ดูแปลกตาดี แล้วจะตามไปเที่ยวนะ


โดย: ouanoy วันที่: 17 พฤษภาคม 2556 เวลา:12:24:29 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]