โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
|
| ทิวทัศน์บนยอดภูหลวงที่ผาสมเด็จ | | | ป่าส่วนใหญ่ในบ้านเราอาจดูไม่น่าพิสมัยเมื่อยามหน้าร้อน แต่นั่นไม่ใช่กับป่าที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง แห่งจังหวัดเลย เพราะเมื่ออากาศบนยอดภูหลวงเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อนแบบไร้รอยต่อ เหล่า กล้วยไม้ ดอกไม้ บุปผานานาพันธุ์ แห่งคิมหันต์ฤดูต่างก็พากันผลิบานออกดอกสะพรั่ง แต้มสีสันความงามให้กับภูหลวง ชนิดที่ใครซึ่งเป็นผู้นิยม ชื่นชอบ รักถนอมบุปผา ควรจะหาโอกาสขึ้นไปเที่ยวป่าภูหลวงในช่วงหน้าร้อนดูแล้วจะรู้ว่า การได้พบดอกไม้ กล้วยไม้หายาก บานสะพรั่งให้เห็นกับตาจะจะตามธรรมชาตินั้นมันน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน |
| ความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของผืนป่าที่ภูหลวง | | | ตามรอยเท้าไดโนเสาร์อันซีน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง หรือที่รู้จักกันดีในนาม ภูหลวง มีพื้นที่ครอบคลุม 3 อำเภอ คือ อำเภอภูหลวง ภูเรือ และด่านซ้าย ภูหลวงมีความหมายว่า ภูเขาที่สูงใหญ่ หรือภูเขาของพระเจ้าแผ่นดิน มีระดับความสูง 1,200-1,500 เมตร บนยอดภูหลวงมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ภูหลวงได้ชื่อว่าเป็นมรกตอีสาน อุดมไปด้วยสัตว์ป่า แมกไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ นับเป็นอีกหนึ่งผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์และน่าทึ่งมากของเมืองไทย สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี |
| ป่าภูหลวงดินแดนแห่งมรกตอีสาน | | | สำหรับในช่วงต้นหน้าร้อนนี้ อย่างที่หลายๆคนรู้กันดีว่าโลกเราทุกวันนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอุณหภูมิผันแปร วันที่ผมขึ้นไปเที่ยวภูหลวง จู่ๆอุณหภูมิก็ลดฮวบลง แถมมีลมพัดแรงระยับเปรียบได้กับทะเลมีมรสุม ทำให้บนยอดภูหลวงหนาวยะเยือกถึงขนาดอุณหภูมิลดต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสในช่วงใกล้รุ่ง อย่างไรก็ดีนี่หาใช่อุปสรรคในการเที่ยวของผมแต่อย่างใด ดีเสียอีกได้หนีอากาศร้อนระยับที่เมืองกรุงมาเจออากาศหนาวบนยอดภูหลวง ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่าในช่วงที่ผมขึ้นไปเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของต้นปีนี้ หนาวกว่าช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาเสียอีก |
| จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาช้างผ่าน | | | สำหรับเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ศึกษาพันธุ์ไม้บนภูหลวง ทางเขตรักษาพันธุ์ฯได้เปิดหน่วยโคกนกกระบา(1,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ให้เป็นพื้นที่หลักสำหรับการท่องเที่ยว มีทั้งเส้นทางระยะสั้น ระยะกลาง และระยะไกล โดยเส้นทางหลักที่ผมไปเดินในทริปนี้เป็นเส้นทางผาเตลิ่น ที่นอกจากจะมีดอกไม้ กล้วยไม้สวยๆงามให้ชมแล้ว ยังมีไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ยกให้เป็นอันซีนไทยแลนด์ นั่นก็คือ รอยเท้าไดโนเสาร์ ซึ่งจุดที่พบรอยเท้าเจ้ากะปอมยักษ์อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 4 กม. เส้นทางเดินป่าผาเตลิ่นเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่น่าสนใจยิ่ง โดยตั้งแต่เช้าตรู่ผมได้ไปสัมผัสกับส่วนหนึ่งของเส้นทางสายนี้มาบ้างแล้ว กับการเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ผาช้างผ่าน ที่นอกจากจะได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมแดงลอยเด่นขึ้นเหนือเมฆ ท่ามกลางองค์ประกอบของขุนเขาแมกไม้แล้ว บริเวณนี้ยังมีดอกกุหลาบแดง สร้อยระย้า และเอื้องตาเหินบานให้ชมกันเพียบเลย |
| เส้นทางเดินป่าตามรอยไดโนเสาร์ | | | จากนั้นผมกลับมายังที่ทำการหน่วยฯ เพื่อตุนพลังแบบจัดเต็มกับ ข้าวต้มร้อนๆกับไข่ลวก เสร็จแล้วจัดเตรียมเสบียง ข้าวเที่ยง น้ำดื่ม หลังจากนั้นเมื่อเคารพธงชาติแล้วผมกับเพื่อนๆก็ได้ฤกษ์ออกเดินป่าตามรอยกะปอมยักษ์ โดยมีลุงบรรฑิต คำมานิตย์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเดินป่าภูหลวงมากว่า 20 ปี มาเป็นผู้นำเที่ยวในครั้งนี้ |
| สิงโตใบพาย | | | ลุงบรรฑิตไม่พูดพล่ามทำเพลง อธิบายในเบื้องต้นทันทีว่า ป่าที่เราเดินอยู่นี้เรียกป่าดิบเขาประเภทป่าแคระ คือเป็นป่าบนยอดเขาที่มีต้นไม้เตี้ยๆเพราะลมแรง ก่อนจะออกเดินนำพาไปดูดอก สิงโตใบพาย ที่ออกดอกตามโขดหิน จากนั้นลุงบรรฑิตก็พาเดินไป ชมดอกไม้ กล้วยไม้ในระหว่างทางที่ออกดอกบานสะพรั่งไปอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น กุหลาบแดง(Rhododendron simsii) กุหลาบขาว(Rhododendron lyi) ที่ออกดอกบานชูช่อสีขาวนวล สำเภางาม ตะขาบขาว น้ำเต้าฤาษี ส้มแปะ บานอ้า สร้อยระย้า ก็อกมองพืชประเภทกาฝาก และโดยเฉพาะกับเอื้องตาเหินที่มีให้ชมกันเพียบ ทั้งตามต้นไม้ ตามซอกหิน ถือเป็นหนึ่งในดาวเด่นของดอกไม้ประจำฤดูร้อนบนภูหลวง |
| น้ำเต้าฤาษี | | | ในระหว่างทางนอกจากดอกไม้ กล้วยไม้แล้ว ตามพื้นดินในบางช่วง ยังมีขี้ช้างกองเบ้อเริ่มปรากฏให้เห็น ทั้งกองเก่า กองใหม่ ซึ่งใครเห็นขี้ช้างแล้วก็ไม่ควรขี้ตามช้างอย่างเด็ดขาด สำหรับเส้นทางเดินป่าเส้นนี้เป็นทางราบเดินสบาย แถมวันนั้นอากาศเย็นมีลมพักโกรกตลอด ทำให้ไม่ร้อนเดินป่าได้ฉลุยทีเดียว นอกจากดอกไม้ กล้วยไม้ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของภูหลวงยามหน้าร้อนที่มีให้ชมกันเกือบตลอด 2 ข้างทางแล้ว ในเส้นทางสายนี้ก่อนจะถึงจุดรอยเท้าไดโนเสาร์ มีจุดชมวิวเด่นๆให้ไปยืนชมความงามกัน 2 จุด |
| สัญญาณดีที่ผาสมเด็จ | | | จุดแรกคือ ผาสมเด็จ จากจุดนี้เมื่อมองออกไปจะเห็นแนวเทือกเขา(ทางฝั่งซ้าย)ทอดยาว มีแนวชั้นหินเผยเป็นชั้นๆดังแนวกำแพงธรรมชาติ เบื้องล่างเป็นทิวทัศน์ของท้องทุ่งนา มีขุนเขา(ที่มองไกลๆเห็นลูกเล็กๆ) 2 ลูกเป็นจุดรวมสายตาคือ ผาบ่าว(ลูกเล็ก)และผาสาว(ลูกใหญ่กว่า) ลุงบรรฑิตบอกกับผมว่า เหตุที่ผาบ่าวนั้นลูกเล็กประมาณครึ่งของผาสาว เพราะเจ้าบ่าวมัวแต่เสียเวลาไปทำให้ผาให้เจ้าสาวนั่นเอง บริเวณผาสมเด็จแห่งนี้ยังมีลานหินให้ยืนถ่ายภาพ บางมุมมีดอกกุหลาบแดงบานสะพรั่ง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีสัญญาณเน็ตให้เช็คอินกันอีกด้วย |
| ผาเตลิ่น อีกหนึ่งผาไฮไลท์ของภูหลวง | | | เลยจากผาสมเด็จไปอีกประมาณ 1.5 กม. เป็น ผาเตลิ่น อีกหนึ่งหน้าผาไฮไลท์ของภูหลวง ผาเตลิ่น เป็นภาษาถิ่น เตลิ่นหมายถึงลาดลื่น เป็นการตั้งชื่อตามลักษณะของหน้าผาที่เป็นแนวผาทอดยาวลงมาเป็นชั้นๆคล้ายขั้นบันได ผาเตลิ่นเป็นจุดชมวิวชั้นดีเหมือนผาสมเด็จ บางมุมมีกุหลาบแดงออกดอกบานสะพรั่งเหมือนผาสมเด็จ แต่มีความต่างกันตรงที่ผาเตลิ่นมีชะง่อนหินบนแนวสันริมผาให้นั่ง ยืน แอ๊คท่ากันหลายจุด นับเป็นเสน่ห์แห่งภูผาของภูหลวงที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้ดีทีเดียว |
| รอยเท้าไดโนเสาร์อันซีน | | | จากผาเตลิ่นเดินไปอีกประมาณ 700 เมตร จะพบกับ รอยเท้าไดโนเสาร์ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินป่าในทริปนี้ รอยเท้าไดโนเสาร์ที่นี่ เท่าที่มีการสำรวจพบ พบว่ามีอยู่ประมาณ 15 รอย เป็นรอยเท้าที่ถูกระบุว่าเป็นการค้นพบรอยเท้าไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ครั้งแรกในเมืองไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2528 (ย้ำว่าเป็นการค้นพบรอยเท้า ไม่ใช่การค้นพบโครงกระดูกหรือซากฟอสซิลอื่นๆที่มีการค้นพบมาก่อนหน้านั้น) |
| วัดรอยเท้า ไดโนเสาร์อันซีน | | | ในจำนวนรอยเท้าไดโนเสาร์กลุ่มนี้ มีรอยไฮไลท์คือรอยไดโนเสาร์อันซีนไทยแลนด์ ที่มีรอยลึกและชัดเจน มีนิ้ว 3 นิ้วคล้ายรอยเท้านก ที่ปลายของแต่ละนิ้วมีร่องรอยเล็บแหลมคม นักวิชาการระบุว่าเป็นรอยเท้าของไดโนเสาร์พันธุ์กินเนื้อ คาร์โนซอร์ ที่มีความสูงประมาณ 1.8 เมตร เดินเร็วประมาณ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง(เร็วเป็น 2 เท่าของคนเดิน) มีอายุประมาณ 100-140 ล้านปี นักท่องเที่ยวที่มาเจอกับรอยเท้าเจ้ากะปอมยักษ์ตัวนี้ หลายๆคนนิยมนำเท้าของตัวเองมาเทียบเพื่อวัดขนาด เป็นการวัดรอยเท้าของคนกับไดโนเสาร์ เท่านั้นยังไม่พอ บางคนลงทุนถึงขนาดนำใบหน้าของตัวเองไปเทียบขนาดกับรอยเท้าไดโนเสาร์เลยทีเดียว |
| ป่าสนแปกดำ | | | ภูหลวง ดินแดนมหัศจรรย์พันธุ์ไม้ นอกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาเตลิ่น ชมดอกไม้ กล้วยไม้ ชมวิวริมผา และสัมผัสกับรอยเท้าไดโนเสาร์อันซีนแล้ว บนภูหลวงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติอันโดดเด่น ได้แก่ -เส้นทางไปแปกดำ(6.5 กม.) ระหว่างทางผ่าน ลานสุริยัน(1,870 เมตร) เป็นลานหินกว้างขนาดใหญ่ มีหินรูปร่างแปลกตามากหลาย ตามโขดหินมีกล้วยไม้จำนวนมากให้เลือกชม เช่น เอื้องตาเหิน เอื้องลีลา รองเท้านารีอินทนนท์ ส่วนแปกดำเป็นป่าสนสามใบที่ขึ้นเรียงราย มีลักษณะพิเศษลำต้นของลำต้นเป็นสีดำหมด |
| ช่วงหน้าร้อนพบดอกกุหลาบขาวเป็นจำนวนมากได้ที่โคกพรหมจรรย์ | | | -เส้นทางไป โคกพรหมจรรย์ (2.5 กม.) เส้นทางนี้เพื่อนผมหลายๆคน มันชอบชื่อนี้มาก บางคนฟังแล้วหูผึ่ง บางคนฟังแล้วไอ คุกๆๆ โคกพรหมจรรย์ ทำไมถึงชื่อนี้? นั่นเป็นเพราะในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนต้นกุหลาบขาวในบริเวณนี้จะออกดอกสีขาวบานสะพรั่งขาวสะอาดไปทั่วทั้งเนิน กลายเป็นที่มาของชื่อ โคกพรหมจรรย์ |
| โคกนกกระบา | | | -เส้นทางเดินใกล้ๆที่ทำการหน่วยฯ มี โคกนกกระบา เป็นไฮไลท์ โคกนกกระบา เป็นหินทรายที่ถูกสายลม ฝน แดด กัดกร่อน เกิดเป็นก้อนหินรูปร่างประหลาดคล้ายนกกระบา นอนกกไข่อยู่กับพื้น โดยเจ้านกกระบานี้เป็นชื่อภาษาถิ่น ของ นกตบยุง ซึ่งเป็นนกกลางคืนชนิดหนึ่ง |
| กุหลาบแดงสัญลักษณ์แห่งภูหลวง | | | -เส้นทางดูดอกไม้บริเวณที่ทำการหน่วยฯ เหมาะสำหรับคนขี้เกียจเดินหรือไม่อยากเดิน แต่เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจมาก เพราะมันเต็มไปด้วย ดอกกุหลาบแดง (Rhododendron simsii) ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ภูหลวงจะบานสะพรั่งสีแดงสดใสไปทั่วบริเวณ นอกจากนี้ยังมีกล้วยไม้ ดอกไม้น่าสนใจอีกมากหลายให้ เดินก้มๆ เงยๆ ด้อมๆ มองๆ สอดส่ายสายตาชื่นชมในความงามกันอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น เอื้องตาเหิน สร้อยระย้า เอื้องแววมยุรา |
| รองเท้านารีอินทนนท์ | | | ขณะที่บริเวณหลังห้องน้ำแถวที่ทำการฯนั้นก็ไม่ควรมองข้าม เพราะตามต้นไม้ มีกล้วยไม้หายากเกาะลำต้น ให้ชมกันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น รองเท้านารีอินทนนท์(บานนอกฤดูกาล) รองเท้านารีปีกแมลงปอหรือรองเท้านารีสุขะกุล(บานนอกฤดูกาล) สิงโตสยาม และเอื้องสำเภางาม เป็นต้น นับเป็นจุดที่หลายคนคาดไม่ถึงจริงๆ ซึ่งการชมกล้วยไม้ ดอกไม้ป่า บนภูหลวงสำหรับบางคนแล้ว นอกจากมันจะเบ่งบานสวยงามปรากฏทางสายตาแล้ว มันยังเบ่งบานไปถึงจิตใจอีกด้วย ***************************************** |
| ภูหลวง ดินแดนมหัศจรรย์พันธุ์ไม้ | | | จังหวัดเลย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานเลย ได้บรรจุให้กิจกรรมท่องเที่ยวชมกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์บนภูหลวง เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปฏิทินท่องเที่ยวประจำเดือนมีนาคม อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เที่ยวทั้งปี...เที่ยวที่เลย การเดินทางจากจังหวัดเลย ไปยังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ภูหลวง ออกเดินทางจาก อ. เมือง จ.เลย ไปตามเส้นทางสายจังหวัดเลย - อ.ภูเรือ ระยะทางประมาณ 36 กิโลเมตรถึงบ้านสานตมแล้วเลี้ยวซ้ายที่บ้านสานตมอีก18 กิโลเมตรจะถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง การเดินทางจากรุงเทพฯ ไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มี 2 เส้นทางคือ เส้นทางที่ 1 กรุงเทพฯ-จังหวัดสระบุรี-อำเภอสีคิ้ว-จังหวัดชัยภูมิ-อำเภอภูเขียว-อำเภอชุมแพ-อำเภอภูกระดึง-อำเภอวังสะพุง-จังหวัดเลย ระยะทางประมาณ 560 กม. เส้นทางที่ 2 กรุงเทพฯ-จังหวัดสระบุรี-จังหวัดเพชรบูรณ์-อำเภอหล่มสัก-อำเภอหล่มเก่า-อำเภอด่านซ้าย-อำเภอภูเรือ-จังหวัดเลย ระยะทางประมาณ 530 กม. สำหรับเส้นทางที่ 2 ถ้าเข้าไม่ถึงตัวจังหวัดเลย เมื่อเดินทางผ่านอำเภอภูเรือไปตามเส้นทางเข้าจังหวัดเลยได้ ใช้ระยะทาง 14 กิโลเมตร จะถึงบ้านตาสมไปเป็นระยะทาง 18 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง การขอใช้สถานที่และบ้านพัก ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยขออนุญาตล่วงหน้าอย่างน้อย 25 วันทำการ ยื่นได้ที่ฝ่ายบ้านพักสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยดาวน์โหลดแบบฟอร์มการใช้สถานที่และบ้านพักแล้วกรอกแบบฟอร์ม แฟ็กซ์ไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เบอร์ 042-801955 หรือส่งอีเมลล์ที่ pl_011@hotmail.com แล้วโทร.แจ้งที่หน่วยฯตามเบอร์ติดต่อด้านล่าง กรณีนักท่องเที่ยว ถ้าไป-กลับ ซื้อตั๋วได้ที่ศูนย์บริการนักศึกษาธรรมชาติด่านตรวจที่ 1 โดยการเข้าเดินป่าจะต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางทุกครั้ง สำหรับผู้สนใจเที่ยวชมดอกไม้บนภูหลวงสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง โทร.0-4280-1955 และสามารถสอบถามข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร ในจังหวัดเลย เชื่อมโยงกับภูหลวงได้ที่ ททท.เลย โทร. 0-4281-2812 |