|
การเดินทางครั้งใหม่
๑ การเดินทางที่เริ่มต้น ชีวิตเราเต็มไปด้วยการเดินทาง
ไม่ใช่แค่การเดินทางของความคิดอย่างเดียว เป็นการเดินทางด้วยสองเท้า การเดินทางที่ย้ายตำแหน่งแห่งที่ไปยืนอยู่อีกเส้นละติจูดหนึ่งของอีกฟากแผนที่ การเดินทางแต่ละครั้ง ก็เหมือนกับการสับสวิทช์ให้กับชีวิตตัวเอง ได้โยกย้ายสถานะจากสิ่งแวดล้อมหนึ่งไปสู่อีกสิ่งแวดล้อมหนึ่ง และทุกครั้งบทบาทของเราในเวทีของชีวิตก็เปลี่ยนไปด้วย
ปิดเทอมใหญ่แต่ละครั้งที่เรากลับไปเมืองไทย เราก็ได้ละวางความรับผิดชอบในชีวิตตัวเองลงชั่วคราว กลับไปเป็นลูกสาวและยอมรับให้ใครๆทำอะไรให้สักพัก เป็นการเดินทางที่ทำให้เราได้เว้นวรรคสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะกลับมาสู่ดินแดนที่เวลาเดินผ่านไปรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง
เราว่าเรามันเป็นคนบ้านนอกของแท้เลยล่ะ เราชอบแสงสีและความสนุกสนานของเมืองใหญ่แต่ว่าสักพักเราก็จะเริ่มเหนื่อยเริ่มหนวกหูกับสรรพเสียงของเมือง แล้วก็จะต้องดิ้นรนหาทางออกไปสูดอากาศนอกเมืองจนได้ ไปรับไปรู้ว่าโลกนี้ยังมีเสียงที่แตกต่างยังมีอากาศที่หอมหวาน และยังมี ท้องฟ้าที่กว้างกว่าอยู่หลังหมู่ตึกสูงนั่น
๒ การเดินทางครั้งใหม่
การเดินทางคราวนี้ของเรามีความหมายที่มากเกินไปกว่าแค่การสับสวิทช์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นการเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนขั้วสวิทช์ใหม่กันเลยทีเดียว
ปลายทางของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่เมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าอันแสนงดงามไปด้วยศิลปะโบราณและภูเขาที่โอบล้อม แต่คราวนี้ไม่ใช่การเดินทางไปชมธรรมชาติหรือวัดวาที่มีอยู่เต็มเมืองนั่น รอบนี้เราไปเพื่อจะสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์เพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเกียวโต แล้ว ก็หาที่อยู่ใหม่ให้ตัวเองในเวลาที่จะต้องย้ายไปในเดือนเมษายนด้วย
ใช้เวลาไม่นานสำหรับการเตรียมตัวเพื่อสอบ เพราะเราสอบผ่านระบบ recommendation ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเขาพิจารณาจากผลการเรียน ผลการสอบแล้วก็จดหมายแนะนำจากโรงเรียนแล้ว การสอบครั้งนี้ก็เพื่อยืนยันว่าเด็กต่างชาติอย่างเราจะใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ดีพอสำหรับการเรียน วิชากฎหมายในประเทศนี้หรือเปล่า
สอบข้อเขียนเป็นเรียงความสองเรื่อง หนึ่งเกี่ยวกับการแก้ไขความทุจริต การหลอกลวงที่เกิดขึ้นในสังคมจากมุมมองของผู้เรียนกฎหมาย ซึ่งเราเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริม "สิทธิในการรับรู้" ของประชาชนให้มีมากขึ้น และเรื่องที่สองเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการศึกษาของไทยกับญี่ปุ่น
และต้องขอบคุณประสบการณ์การซ้อมและการสอบสัมภาษณ์นับครั้งไม่ถ้วนสมัยที่เรายังอยู่เมืองไทย อาจจะเพราะอย่างนั้น เราจึงเป็นคนที่พยายามจะมองตัวเองในภาพรวมอยู่บ่อยๆ แล้วก็พยายามจะสื่อความหมายในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเป็นคำพูดให้ได้ การสอบสัมภาษณ์สำหรับเราจึงเป็นการพูดคุยกับตัวเองด้วยในอีกความหมายหนึ่ง สอบสัมภาษณ์รอบนี้ก็เป็นเหมือนการพูดคุยสบายๆ กับกรรมการสองท่านเสียมากกว่า และเราก็แอบเสียดายอยู่นิดหน่อยว่าเขาไม่ถามเรื่องเกี่ยวกับชีวิตม.ปลายของเราเลย ... อุตส่าห์เตรียมเรื่องเล่าไปเสียมากมาย
กลับกลายเป็นว่าเรื่องที่ยุ่งยากไปกว่าการสอบก็คือ การหาบ้านที่แม้นี่จะเป็นการหาบ้านเองเป็นครั้งที่สองของเรา (ครั้งแรกก็เมื่อย้ายจากรร.ภาษามารร.ม.ปลาย) ก็ยังเป็นเรื่องวุ่นวายและน่าเวียนหัวเป็นที่สุด แถมยังเป็นการหาที่อยู่ใหม่ ในถิ่นที่ที่เราแทบจะไม่รู้จักเลย
และผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในจุดมุ่งหมายของการเดินทางตั้งแต่แรก คือการที่เราได้ทำความรู้จักกับเมือง ถนนหนทาง และบรรยากาศของเมืองนี้ไปในตัว ... ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากว่าจุดมุ่งหมายหลักๆ เสียอีก
๓ ที่พักระหว่างทาง
ด้วยภาวะของกระเป๋าสตางค์และอยากได้ที่พักใกล้ๆมหาวิทยาลัย เราก็เลยตกลงใจไปพักที่เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับคณะนิติฯ แค่เดินสิบนาที แทนที่จะไปพักโรงแรม
พอลงจากรถบัสแล้วเดินไปจนถึงทางเข้าเกสต์เฮ้าสปุ๊บ ก็รู้เลยว่าคิดไม่ผิด จากประตูไม้เล็กๆ เป็นถนนแคบๆ ปูหินและจัดไม้ใบต้นเล็กต้นน้อยตามสไตล์บ้านญี่ปุ่นแท้ๆ เปิดเข้าไปด้านในก็เป็นฟรอนท์เชื่อมกับห้องนั่งเล่นต่อไปยังสวนเล็กๆ ที่อยู่ตรงกลางบ้าน เสียดายที่เป็นหน้าหนาว เราเลยไม่อาจจะนั่งหย่อนขาตรงระเบียงและมองซากุระบานในสวนได้ แม้ว่าจะนอนห้องรวมกับแขกคนอื่น แต่ที่หลับที่นอนก็จัดเป็นสัดเป็นส่วนดี ด้วยความที่เป็นเกสต์เฮ้าส์ที่ดัดแปลงมาจากบ้านญี่ปุ่นเก่าๆ มันก็เลยให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับการไปอยู่โรงแรม แต่คล้ายกับว่าเราไปนอนพักบ้านคนรู้จักสักคนซะมากกว่า
ทุกอย่างจัดไว้พร้อมแต่กลับดูเป็นอะไรง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตอง อยากใช้อินเตอร์เน็ตก็มีมุมให้นั่งเล่นสบายๆ นั่งกินขนมไปเล่นไป ออกมานั่งเป่าผมอยู่ตรงห้องนั่งเล่นก็ได้ มีบรรยากาศของการแปรงฟันตรงอ่างล้างหน้ารวม ที่ต้องบอกตัวเองให้กลั้นยิ้มกับภาพฝรั่งหัวฟูๆ แปรงฟันแรงจนฟองฟอด
เช้าวันสอบสัมภาษณ์เราก็ใส่ชุดนักเรียนออกมาตรงห้องนั่งเล่น สั่งข้าวเช้ามาชุดหนึ่ง แล้วคนที่ทำงานที่ฟรอนท์ก็มาคุยกับเรา เป็นเด็กผู้หญิงที่มาจากโตเกียวเหมือนกัน เรียนอยู่เกียวโตแล้วเคยไปเรียนต่างประเทศมาปีหนึ่ง พอพูดภาษาอังกฤษได้ก็เลยมาทำงานที่เกสต์เฮ้าส์ คุยกันเรื่องคนต่างชาติเรื่องกล้องจนถูกคอ เลยได้แลกเมล์กัน พร้อมกับได้คำอวยพรสำหรับการสอบ รู้สึกดีที่เลือกมาพักที่นี่ ช่วยให้เราสบายใจ และไม่รู้สึกแปลกหน้ากับเมืองนี้จนเกินไป สถานที่แบบนี้สินะ ...ที่เป็นรูปแบบเดิมของ "ที่พักของคนเดินทาง" จริงๆ ๔ เพื่อนร่วมทาง
เราชินกับการขึ้นชินกันเซนคนเดียวซะแล้ว และเราก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมีเพื่อนร่วมทางในการเดินทางครั้งนี้
ตอนที่เลือกมหาวิทยาลัยนี้ อาจจะฟังดูแปลก ...มันต้องใช้ความกล้ามากหน่อย ในการเลือกจะไปในที่ที่แตกต่าง ที่ที่ห่างไกลจากเพื่อนฝูงและความคุ้นเคย แต่นอกเหนือไปจากวิธีการเรียนกฎหมายของที่นี่ที่เรานึกชอบแล้ว "ความแตกต่าง" เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราเลือก
เรามันพวกโลภมาก อยากรู้ อยากเรียนอะไรเยอะๆ อยากลองใช้ชีวิตหลายๆ แบบ เป็นพวกที่เชื่อฝังหัวว่า "ประสบการณ์คือกำไรชีวิต" และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของเราไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะในสเกลใหญ่ๆ หรือในสเกลเล็กๆ เช่นชีวิตในแต่ละวัน
ยังมีเพื่อนอีกสองคนเป็นเด็กไทยพัฒน์ที่จะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเกียวโตด้วยกัน แม้จะทำใจมาแล้วว่าต้องเริ่มการเดินทางใหม่ด้วยตัวเอง .. คนเดียว แต่พอรู้ว่าจะมีเพื่อนมาด้วยกัน มันดีใจข้างในบอกไม่ถูกแฮะ วันสอบของฮิมใกล้ๆ กับเรา เราเลยได้เจอกันที่เกียวโต ได้ไปเดินทำความรู้จักกับเมือง และถอดถอนหายใจกับความบ้านนอกของเมือง เมื่อเปรียบเทียบกับมหานครที่เรากำลังจะจากมา
ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องน่าใจหาย ... แต่พอรู้ว่าจะมีใครเดินไปกับเรา การเดินทางนั้นอาจจะไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่เราคิด
๕ เกียวโตเป็นเมืองเงียบๆ
เมืองที่แตกต่างจากโตเกียวโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะเคยมีสถานะเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้เหมือนกับโตเกียวก็ตาม
สิ่งแรกที่เรารู้สึกคือ ท้องฟ้าเหนือเมืองเกียวโตกว้างจัง ถึงแม้จะไม่ได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเพราะเป็นที่ราบมีภูเขาโอบล้อมทั้งเมือง แต่เพราะไม่มีอาคารสูงๆ ขึ้นมาบดบัง แสงอาทิตย์ก็เลยสาดส่องได้ทั่วทั้งเมือง
ถนนหนทางในเกียวโตจำได้ง่ายมาก เพราะว่าเป็นเมืองสี่เหลี่ยม ถนนสายใหญ่ตัดกันเป็นสีเหลี่ยมจตุรัสเล็กๆ จำสี่แยกได้ก็ไปไหนได้ทั่วแล้ว ตรงแถวๆ มหาวิทยาลัยเกียวโตที่มีสถาบันการศึกษากระจุกตัวเต็มไปหมดก็เป็นเป็นเหมือนเมืองเล็กๆ เงียบๆ ข้างแม่น้ำ ที่พอข้ามฟากไปทิศ ตะวันออกแล้วก็จะกลายเป็นจุดรวมแสงสีของเมือง แต่พอไปทางตรงกันข้ามก็จะภูเขา วัด และศาลเจ้าเต็มไปหมด
เราเคยมาเที่ยวที่นี่ก็หลายหน แต่ก็ได้มองเมืองนี้ในมุมมองของนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เราเพิ่งจะรู้ว่า เมืองที่อยู่ตรงกลางระหว่างแหล่งท่องเที่ยวมากมายก็ยังเป็นเมืองธรรมดาๆ มีโรงหนัง มีร้านอาหารที่มีชีวิตของปัจจุบัน ไม่ใช่ร่องรอยของปราสาท วัด หรือซากของอดีตเพียงอย่างเดียว
อยู่ที่นี่ คงจะได้ปั่นจักรยานกันจนน่องโต เพราะไม่มีแสงสี ไม่มีความหลากหลายมากเท่ากับโตเกียว เราคงจะได้ลองใช้ชีวิตสงบๆ ลองเรียนรู้อะไรจริงๆ จังๆ ได้มากขึ้น แล้ววันว่างๆ ก็อาจจะได้ขี่จักรยานไปโรงหนัง ไปพิพิธภัณฑ์ ไปวัด ไปศาลเจ้า หรือไปนั่งเล่นริมแม่น้ำ
มีเรื่องให้ต้องเตรียมตัวมากมายสำหรับชีวิตใหม่ที่จะเริ่มต้น เราจะพยายามทำตัวให้พร้อม ... และเราก็แค่หวังว่า เราคงจะรักเกียวโต ได้เท่าๆ กับที่เรารักโตเกียว
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2551 21:24:38 น. |
Counter : 334 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
Tokyo ---> now : Kyoto Japan
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เพียงคนหนึ่งที่มีความฝัน มีความคิด มีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกเล่า กำลังก้าวเดินไปในโลกกว้างเพื่อเรียนรู้ เพื่อเข้าใจ และเพื่อทำความรู้จักกับ "ชีวิต"
|
|
|
|
|
|
|
|