"ชีวิตมีไว้ให้เราใช้ ไม่ใช่ให้มันมาใช้เรา"
Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องเล่าในวันหนาวๆ

1
Cold Morning
ก็คล้ายๆ กับวันที่มีหิมะตกนั่นแหละ


ผลิตภัณฑ์ของความหนาวมาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวเสมอ ปล่อยให้เราตะลึงงันกับสายลมหนาวและไอเย็นๆ ที่แฝงตัวอยู่ในอากาศที่พรั่งพรูเข้ามาบุกรุกห้องอุ่นๆ จากหน้าต่างบานที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ... จนเราแทบจะสำลักความเยือกเย็นเสียตั้งแต่เช้า

แผนบุกรุกของลมหนาวไม่เคยปล่อยให้เราตั้งรับได้ทัน และมักจะปลอ่ยให้เรางุนงงว่าใครหนอที่ทำน้ำล้างพู่กันหกใส่ผืนฟ้าจนกลายเป็นสีหม่นขนาดนี้ ...

หรือว่าละอองไอแห่งความหนาวเหน็บจะทะลักทะลายขึ้นไปบดบังสีฟ้าสดใสของท้องฟ้าวันวาน จนมันถอดใจกลายเป็นสีเทาหม่น... ให้หัวใจคนเหงาเล่นๆ

ทั้งๆ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของท้องฟ้าเหมือนๆ กัน ทำไมหิมะกับลมหนาวถึงช่างแตกต่างกันนักนะ...?

เช้าที่ตื่นมาเปิดหน้าต่างแล้วเจอหิมะขาวสว่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ หัวใจเรามักจะตื่นเต้นด้วยความเบิกบานของเทพธิดาหิมะ ไม่เหมือนเช้าที่เทพเจ้าแห่งความหนาวบุกรุกเช่นวันนี้ ...ที่ทำเอาหัวใจที่เคยเริงร่ากับท้องฟ้าใสและใบไม้หลากสีอยู่เมื่อไม่กี่วัน กลับหวั่นกลัวกับสายลมตะวันตกที่กำลังจะมาเยี่ยมเยือนซอกมุมเงียบเหงาข้างใน..


2
Seasons Change
เพราะโลกเอียง อากาศจึงเปลี่ยนแปลง


และก็เพราะเราอาศัยอยู่บนโลกเอียงๆ นี่นะ จึงต้องเปลี่ยนแปลงไปตามอากาศที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่บนละติจูดที่สูงหน่อย ก็เลยต้องวุ่นวายมากกว่าคนที่อยู่แถวๆ เส้นศูนย์สูตรเป็นธรรมดา

เรื่องยุ่งยากอย่างแรกๆ ของฤดูหนาวก็พวกเสื้อผ้านี่ล่ะ ตระหนักขึ้นมาทันใดว่าเครื่องนุ่งห่มนี่สมควรจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์จริงๆ หมวก ผ้าพันคอ และถุงมืออุ่นๆ กลายเป็นอาวุธประจำตัวไปแล้ว โดยเฉพาะหมวกนี่เป็นเหมือนยันต์ป้องกันไมเกรนสำหรับเราจริงๆ

ลมหนาวเตือนให้เราเก็บพวกเสื้อแขนกุด เสื้อคลุมที่เป็นผ้าถักบางๆ กระโปรงผ้าฝ้ายพลิ้วๆ ทั้งหลายแหล่ เข้าใต้ตู้ไป ลากเสื้อไหมพรมตัวหนา โค้ทตัวยาว ผ้าพันคอหลากสีหลายแบบ ออกมาจัดเรียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

พอเห็นกองเสื้อผ้าที่เรียงตัวกันเต็มห้องก็แอบสยดสยองกับความช่างช้อปของตัวเองไม่ได้ ตอนย้ายบ้านคงแย่ ทั้งเสื้อผ้า หนังสือ ซีดี เก็บยังไงหมดนะเรา...แต่พอจัดเสร็จแล้วก็สบายใจ จะได้หยิบเสื้อหนาๆ ใส่ง่ายๆ เวลาจะออกไปท้าลมหนาวนอกบ้าน เพราะยิ่งใกล้ปลายปี เราก็ยิ่งต้องทำตัวให้กลมๆ อุ่นๆ มากขึ้นทุกที


3
Appetite of Autumn (and Winter)


ก็ใช่จะมีแต่ความยุ่งยากและหนาวเย็นเท่านั้นหรอก ยังมีความน่ายินดีของฤดูกาลด้วย นั่นก็คือความอยากอาหารที่หายไปตอนที่อากาศร้อนสุดขีดนั่นเริ่มกลับมาเยือนแล้ว

ชอกโกแลตหวานๆ ขมๆ ที่ละลายในปาก ก้อนชีสสีเหลืองน่าอร่อย ซุปข้าวโพดร้อนๆ ปลาดิบเนื้อแน่นมันวาว แล้วก็เค้กฟูๆ ที่ยั่วให้เราเขมือบไปทั้งชิ้น ...

แถมยังมีข้ออ้างในการกินที่เอาหลักการวิทยาศาสตร์เข้าถูแทนสีข้างว่า "ก็ต้องสะสมพลังงานไว้รับมือกับอากาศหนาวๆ " ... เหมือนกับเจ้าหมีจำศีลที่ต้องสะสมอาหารไว้ในพุงไง.. ^^

แต่ยังไงก็ยืนยันว่า อาหารอร่อยๆ เป็นวิธีการคลายหนาวที่เป็นรูปธรรมที่สุด
แล้ว ...ก่อนกินก็เป็นรูปอาหาร หลังกินก็เป็นรูปไขมันในตัวเรานั่นเอง


4
Hard Time of the Year


อากาศหนาวไม่ได้เป็นภัยสำหรับต่อมรับรู้อุณหภูมิของอ่อนไหวร่างกายสั่น
สะท้านเท่านั้น อากาศหนาวยังทำให้ผิวแห้ง เลือดกำเดาไหล (อันนี้อาจเป็นกรณีส่วนตัว) ผมเสียเพราะสระผมด้วยน้ำร้อนแล้วต้องรีบเป่าให้แห้งไวๆ ด้วยดรายร้อนๆ อีก มีโอกาสที่จะเป็นหวัดเนื่องจากนอกตากฮีทเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน

แล้วยังเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ไปโรงเรียนสายเพราะไม่สามารถลากตัวเองออกมาจากผ้านวมขนเป็ดผืนนุ่มนิ่มได้เสียที...

เท่านั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความเหงา ที่ไม่รู้เป็นเพื่อนกับความหนาวรึยังไง กอดคอกันมาจู่โจมหัวใจอ่อนๆ ทุกปีๆ


ลองคิดดู... เวลาที่ตัวสั่นเพราะอากาศที่หนาวเย็น แล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก็เห็นเพียงสีเทาครึ้มหม่นที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก แล้วยังกิ่งไม้สีน้ำตาลดำที่หยัดยืนอยู่บนใบไม้แห้งกรอบที่สละชีพเพื่อต้นไม้ กับบรรยากาศที่เงียบสนิทเพราะนกและแมลงทั้งหลายบินหนีไปยังที่ที่อุ่นกว่า แถมพวกที่ไม่ไปก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหลบไปอยู่ในรูใต้ดินหรือในเนื้อไม้เสียแล้ว

ไม่แปลกใจเลยที่เทศกาลรื่นเริงทั้งหลายมารวมตัวกันอยู่ในช่วงที่อากาศหนาวแสนหนาว ทั้งที่ไม่ได้เข้าบรรยากาศเงียบเหงาเลยสักนิด ...สิ่งมีชีวิตเลือดอุ่นที่ไม่มีปีกจะโบยบินหนีไปไกลกว่าถิ่นที่ตัวเองผูกพัน และไม่โชคดีพอที่จะหลับไหลโดยไม่รู้กาลเวลาได้อย่างสัตว์อื่นๆ จึงต้องรวมตัวเพื่อแบ่งปันไออุ่นที่พอจะหลงเหลือบ้าง...ให้กันและกัน


5
But I Love Winter


อาจจะเพราะเกิดกลางฤดูหนาว หรืออาจจะเพราะเป็นคนที่เคลื่อนไหวมากเกินไปจนรู้สึกว่าหน้าร้อนมันร้อนหนักหนา ...แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร และแม้ว่าลมหนาวจะบาดเนื้อแค่ไหน ...เราก็รักฤดูหนาวอยู่ดี

อาจเป็นเพราะ... อากาศหนาวๆ ทำให้เราไม่ลืมว่าแสงแดดนั้นอบอุ่นเพียงใด

อาจเป็นเพราะ... อากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้เราไม่ลืมว่า เราอาศัยอยู่บนโลกเอียงๆ ที่ไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์ หากมีแต่ความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เราต้องยอมรับ เปลี่ยนแปลง และเติบโตไปกับมัน...




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 18:35:04 น.
Counter : 386 Pageviews.  

Tokyo Urban Life

ข้าพเจ้ารักเมืองโตเกียว

อาจจะด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เพราะว่าเมืองนี้มีคาเฟ่ มีร้านอาหารดีๆ เยอะแยะ เพราะมีแหล่งช้อปปิ้งหลากสไตล์ เพราะมีสถาปัตยกรรมโมเดิร์นที่แสนเจริญตาเจริญใจ

แต่เหตุผลหลักๆ เลยก็เพราะว่า เมืองนี้มี Museum และงานนิทรรศการศิลปะดีๆ ให้เราเลือกเสพได้หลากหลายประเภทตลอดปี เป็นสวรรค์น้อยๆ ของคนรักงานศิลปะเลยจริงๆ แม้กระทั่งย่าช้อปปิ้งอย่าง Shibuya ก็มีมิวเซียมและแกลลอรี่ฝังตัวอยู่ตามซอกมุมถนนเต็มไปหมด

ที่สำคัญ พวกมิวเซียมเหล่านี้มักจะอยู่กระจุกกันเป็นกลุ่มๆ ทำให้เราสะดวกในการไปชม แถมได้ชมในบรรยากาศที่เหมาะกับงานศิลปะเป็นอย่างมาก

แหล่งรวมมิวเซียมที่เยอะที่สุดของโตเกียวก็คือ บริเวณใกล้ๆ สวนสาธารณะ Ueno Park ที่มีอาคารพิพิธภัณฑ์เรียงรายอยู่ท่ามกลางต้นไม้รวมทั้งต้นซากุระที่เวลาฤดูใบไม้ผลิ การชมงานศิลปะท่ามกลางบรรยากาศสีชมพูอ่อนของดอกซากุระก็เป็นความรื่นรมย์มากขึ้นไปอีก

อีกย่านหนึ่งคือ Roppongi แหล่งช้อปปิ้ง ศูนย์รวมความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ในโตเกียว แต่ว่ามีพิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่ใหญ่ๆ อยู่ไม่น้อยเลย มิวเซียมในย่านนี้จะแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์ของรัฐแถวๆ Ueno ตรงที่มีบรรยากาศเฉพาะตัว โดดเด่นในด้านงานดีไซน์ และสร้างสรรค์มาเพื่อคนเมืองโดยเฉพาะ

ตัวอย่างเช่น Tokyo Midtown ที่เพิ่งเปิดใหม่ ก็อยู่ในย่าน Roppongi นี้เช่นกัน นิยามของที่นี่คือ...



"Tokyo Midtown is a composite urban district with a new style."


เป็นแหล่งรวมศูนย์การค้า โรงแรม พิพิธภัณฑ์ ออฟฟิศ ร้านอาหาร ที่ล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะ เรียกว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่เท่ทันสมัยอยู่ใจกลางเมืองโตเกียวเลยก็ว่าได้

มิดทาวน์นี่อยู่ใกล้ๆ ห่างแค่เดินสักสิบนาทีจาก Roppongi Hills ซึ่งก็เป็นสถานที่ยอดฮิตเช่นเดียวกัน ด้านฮิลส์นี่เปิดมาตั้งแต่ปี 2003 ปีที่เรามาญี่ปุ่น บนตึกโมริทาวเวอร์อันเป็นศูนย์กลางนั้น อาจจะเป็นมุมที่เห็นโตเกียวทาวเวอร์สวยสุดแล้วก็ได้แต่ว่าที่ Tokyo Midtown จะะเน้นด้านดีไซน์ แล้วก็การมีพื้นที่สีเขียวรอบล้อมไปพร้อมๆ กับความทันสมัยมากกว่าที่ Roppongi Hills

ในปีที่แล้ว แถมบริเวณใกล้ๆ นี่แหละ มีพิพิธภัณฑ์ใหญ่ยักษ์เปิดใหม่อีกแห่ง ชื่อ The National Art Center พอรวมกับ Mori Arts Center ของ Roppongi Hills กับ Suntory Museam of Art ของโตเกียวมิดทาวน์
รวมกันก็กลายเป็นสามเหลี่ยมวัฒนธรรม หรือเรียกว่า Roppongi Art Triangle ไปเลย

พิพิธภัณฑ์แต่ละที่ที่ว่ามา เดินวันเดียวยังไม่ครบ แถมยังมีแหล่งช้อปปิ้ง มีอาร์ตแกลลอรี่ มีร้านดีไซน์อีกล้านแปดในบริเวณนี้ ... แล้วจะไม่ให้ถูกใจเราได้ไง


กลับไปที่เรื่องของ Tokyo Midtown ต่อ บรรยากาศตรงทางเข้าตึก ทำให้นึกถึง Golden Palace หน้า National Photo Museam (พิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายแห่งชาติดีๆ ที่ต้องปิดตัวไปเพราะไม่มีคนดู) ที่ Ebisu คือเป็นทางเข้าไปสู่ลานกว้างๆ ที่ข้างบนมีหลังคาโปร่งๆ ให้แสงลอดเข้ามาแล้วก็มีลานกว้างๆ ให้นั่งกินกาแฟได้ตรงนั้นเลย

น่าชื่นชมในความพยายามของการสอดใส่ความสบายในเชิงพื้นที่ลงไปในความทันสมัยของสถานที่ได้ดีจริงๆ

ในส่วนของมิวเซียม นอกจาก Suntory Museum of Art ที่เน้นหนักไปทางศิลปะญี่ปุ่นแล้ว ก็ยังมี Design Hub ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและจัดแสดงเกี่ยวกับงานทางด้านดีไซน์ และ Fuji Film Salon แกลลอรี่ภาพถ่ายของบริษัทฟูจิที่เปิดให้ชมฟรี

และที่โดนใจเรามากที่สุด เป็นตึกสีเทารูปร่างยาวประหลาดๆ ที่ชื่อ 21_21 DESIGN SIGHT
เป็นพื้นที่แสดงงานดีไซน์โดยเฉพาะที่อยู่ในสวนสีเขียวห่างจากหมู่ตึกส่วนใหญ่ของ Tokyo Midtown



ตึกนี้ออกแบบโดย คุณ Tadao Ando สถาปนิกที่เราชื่นชอบมากๆ จาก Chichu Art Museam (มิวเซียมที่ครึ่งตัวอยู่ใต้ดิน มีลูกเล่นในงานจัดแสดงที่น่าทึ่งมากๆ อยู่ที่ Naoshima ใกล้ๆ เกาะชิโกกูนู้น)

งานนิทรรศการแรกของที่นี่ที่เราได้ไปชมชื่อ Chocolate

เป็นงานดีไซน์ทั้งหลายที่ได้ไอเดียมาจากชอกโกแลต ตั้งแต่รูป รส กลิ่น สี รวมทั้งงานแกะสลักชอกโกแลตให้เป็นอะไรที่เราคาดไม่ถึงกัน



สิ่งที่ประทับใจเราจากงานนี้มากที่สุดคือ รูปถ่ายของคนงานในฟาร์มโกโก้ที่เอกวาดอร์ ที่เห็นแล้วทำเอาเราสะอึก เค้าบอกว่า...

"พวกเราชอบกินชอกโกแลตมาก แต่ว่ามันแพงเกินไปสำหรับคนงานฟาร์มโกโก้อย่างเราๆ "


สิ่งที่ที่ให้ย่านนี้โดดเด่นขึ้นมาอีกก็คือการปรับตัวไปตามเทศกาล ฤดูกาลและกระแสของเมือง ที่คึกคักที่สุดก็คงไม่พ้นช่วงสิ้นปีที่ทั้ง Tokyo Midtown และ Roppongi Hills ต่างพากันประดับไฟฉลองคริสมาสต์เรียกให้คนเมืองออกไปชมไฟราวกับเป็นแมงเม่าได้ตลอดหลายสัปดาห์

เพราะว่าอยู่ใกล้ๆ กัน แถมคอนเซปท์ของสถานที่ก็ใกล้เคียงกัน ดังนั้นคอนเซปท์ของ Illumination ของทั้งสองที่จึงเป็นสีน้ำเงิน และ สีแดง สร้างคอนทราสต์กันไปเหมือนคนละโลกเลยทีเดียว


ของ Tokyo Midtown เป็นสีน้ำเงิน ใช้พื้นที่มากมายในการฉลองคริสต์มาสแรก



ส่วนของ Roppongi Hills เป็นคอนเซปท์สีแดง ด้านหน้าแปลงเป็นตู้ไปรษณีย์ส่งความสุขกล่องยักษ์

ชีวิตคนเมืองกรุงโตเกียวก็เต็มไปด้วยแสงสี อาจจะจัดจ้านจนน่าหมั่นไส้ แต่เราก็ยังสัมผัสกับกระแสเหงาๆ ของเมืองนี้ได้อยู่ดี


เมืองที่ไม่เคยหลับใหล เมืองที่ไม่เคยเงียบเหงา ... หากก็เป็นเมืองที่ไม่เคยอบอุ่นเลยสักคราว




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 18:19:36 น.
Counter : 775 Pageviews.  

Tokyo Gourme : อันเนื่องมาจากปากเรามันอยู่ไม่สุข


สุดสัปดาห์ของฤดูใบไม้ร่วงเป็นสวรรค์แห่งการบริโภคเสมอ


มันอาจจะเริ่มจากศุกร์ไหนสักศุกร์ ที่อยู่ดีๆ ก็อยากซูชิขึ้นมา
กระทันหัน โทษว่าเป็นเพราะอากาศฤดูใบไม้ร่วงมันช่วย
กระตุ้นต่อมความอยากอาหารแล้วกัน ก็เมล์ไปชวนเพื่อน
แล้วเพื่อนเราก็ตกลงด้วยความรวดเร็ว

ชีวิตสุดสัปดาห์จึงเริ่มต้นด้วยเนื้อปลาสดหวาน ในคืนวันศุกร์
ที่ Shibuya ย่านที่มีวิญญาณแห่งการสังสรรค์สิงสถิตอยู่มาก
ที่สุด


ร้านซูชิเจ้าประจำของเราอยู่บนชั้นแปด ของตึก 109


...ใช่ ตึกที่อัดแน่นไปด้วยแฟชั่นใหม่ล่าสุดของเหล่าสาวเปรี้ยว
ย่านนี้นั่นแหละ แต่ว่าเสื้อผ้าตึกนี้ก็ไม่ดึงดูดเราได้เท่าซูชิหรอก

ร้านนี้ไม่ใช่ร้านซูชิแบบหมุนๆ ราคาก็เลยจะแพงขึ้นมาอีกนิดหน่อย
แต่ขอบอกว่าคุ้มทั้งปริมาณและความอร่อย ที่นั่งมีให้เลือกทั้งแบบเคาน์เตอร์และนั่งโต๊ะ

ถ้าเป็นเคาน์เตอร์เราจะได้ลุ้นว่าจะนั่งตรงคุณลุงใจดีที่จะแอบแถม
แอบเผากุ้งเผาหอยด้วยซอสสูตรพิเศษให้เรารึเปล่า รวมทั้งจะได้
กินไปนั่งมองเนื้อปลาสดที่เรียงรายในช่องเล็กๆ ที่เจาะลึกไปใน
โต๊ะตรงหน้าเราด้วย ถึงไม่รู้ชื่อแต่เห็นว่าน่ากินก็จิ้มๆ ให้คุณลุง
ทำให้กินได้เลย

ส่วนที่นั่งโต๊ะนี่ก็จะมีกระดาษให้เขียนสั่ง แล้วซูชิก็จะมาทีละเยอะๆ
เป็นถาดใหญ่ๆ แล้วเราก็กินกันไม่ยั้งทีเดียว



จริงๆ ก็มีซูชิอีกสองร้านที่ไปบ่อย คราวนี้เป็นซูชิหมุนธรรมดา
ที่สถานีกักคุไดใกล้บ้านเรานี่เอง ชิ้นหนึ่งไม่ใหญ่มาก แค่ว่า
อิคุระกับอุนากิอร่อยเราก็พอใจล่ะ แถมมีชาเขียวรสชาติดี
ก็เลยไปกินได้เรื่อยๆ แบบไม่เป็นภาระกระเป๋าสตางค์มาก

ส่วนอีกร้านเป็นซูชิหมุนร้านเล็กมากๆ อยู่หน้าสถานีIkebukuro
(ไปครั้งแรกกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นเจ้าแห่งการกิน ไม่เสียชื่อ
ลูกหลานร้านอาหารดังเสียเลย แล้วนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้น
ของการ "ตามไปกิน" ของเราและเพื่อนๆ) คุณลุงร้านนี้ใจดี
แถมมีพนักงานเป็นชาวพม่ายิ้มง่ายด้วย ชอบกุ้งสดๆ ตัวเบิ้มๆ
ของร้านนี้มาก

บางคราวก็ได้ไปลองซูชิร้านหรูบ้าง แต่มักจะเป็นกรณีที่
โอก้าซัง (แม่ชาวญี่ปุ่น) เป็นเจ้ามือเลี้ยง หรือรุ่นพี่ลากไป

...ร้านแบบนี้ปลาก็จะทั้งสด ทั้งหวาน รวมทั้งมีบรรยากาศดีๆ
ที่น่าประทับใจสุดๆ ก็คงเป็นตอนที่ไปกินที่ Tsukiji ถึงถิ่น
ตลาดปลากันเลยทีเดียว

ไม่คิดว่าจะชอบกินปลาและบรรดาสัตว์น้ำได้ขนาดนี้จริงๆ
ทั้งปลาดิบ กุ้งสด หอยเผากับน้ำส้มและบ๊วยแบบสุกนิดๆ
หรือปลาซาบะตุ๋นกับมิโซะ ปลาฮกเกะทอดหนังกรอบเนื้อนุ่ม
หอยนางรมชุบแป้งทอด ปลาอิวะชิย่างขายอยู่ริมแม่น้ำ
อิคุระกับแซลมอนราดข้าวมาเป็นชาม

ถ้าเป็นเมนูปลาสุกๆ นี่ก็มีร้านประจำอยู่ทั้งที่สถานี Gakugei
Daigaku และ Sangenchaya อันเป็นสถานีใกล้บ้าน...เรียก
ว่าใกล้ปากเลยทีเดียว

ประเทศนี้ช่างเป็นสวรรค์ของคนช่างกินปลาจริงๆ เลย


เวลาไปกินซูชิ ไม่เคยจบลงแค่การกินซูชิสักที ต้องไปหา
อะไรหวานๆ มาล้างปาก


ร้านเค้กที่เรามักไปต่อหลังดินเนอร์คือร้าน Comme Ca Cafe
คาเฟ่ในเครือของ Comme Ca Company ที่ผลิตตั้งแต่ชุดสูท
ไปจนถึงตะเกียบกะกล่องเบนโตนั่นแหละ

สาขาที่ชิบุย่านี้จะมีเค้กให้เลือกน้อยหน่อย และส่วนใหญ่ก็
เป็นทาร์ตเค้ก จุดเด่นของComme Ca Cafe นี้ก็คือความสว่าง
สดใสของบรรยากาศร้านสีขาวสะอาด และเค้กที่ถูกแต่งหน้า
อย่างงดงามด้วยผลไม้หลากชนิด ที่สำคัญไม่หวานมากจนเกิน
ไปด้วย

ร้านนี้ตั้งอยู่บนเนินเดียวกับตึก Loft ตรงข้ามกับร้านขายออกซิเจน
แล้วเราก็มักจะไปนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ริมกระจก มองดูคนที่เดิน
ผ่านไปมาพลางละเลียดเค้กชิ้นโต วันดีคืนดีก็มีทาร์ตเค้กข้าวเหนียวมะม่วง เอ้ย..ไม่ช่าย เป็นชีสเค้สหน้ามะม่วงจ้ะ เป็นเค้กที่เห็นแล้ว
อยากให้มันสอดไส้ข้าวเหนียวมูลแล้วราดหน้าด้วยน้ำกะทิเสียจริงๆ



ร้านเดียวกันแต่บรรยากาศดีกว่าอยู่ที่หน้าสถานี Harajuku
แหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่นเมืองโตเกียวนี่ล่ะ สาขานี้ร้านใหญ่กว่า
แล้วก็มีเค้กก้อนบึ้มๆ เรียงรายให้เราเลือกอยู่ในแท่นกระจกสีขาว
กลางร้าน แถมชัยภูมิดี๊ดี หันหน้าไปทางศาลเจ้า Meiji ทำให้
ไม่มีตึกใหญ่ๆ บดบังทัศนียภาพและแสงแดดสดใส


ใช่ว่าจะต้องถ่อไปไกลๆ ทุกครั้งที่อยากขนมหวาน มีร้าน
หนึ่งอยู่ใกล้ๆ ขี่จักรยานจากบ้านเราไปสิบกว่านาทีก็ถึง จริงๆ
แล้วเป็นร้านขายของเก่าชื่อ Globe

มีทั้งหมดสี่ชั้นรวมชั้นใต้ดิน ทั้งร้านเต็มไปด้วย โคมไฟ โต๊ะ
ตู้ใส่หนังสือ โซฟา แก้วน้ำ จานชาม กระจก สิ่งละอันพัน
ละน้อยที่เป็นของมือสองสไตล์อังกฤษ แล้วของเก่าทั้งหลาย
ก็จะเวียนเข้าเวียนออกร้านนี้อยู่เรื่อยๆ ของประดับตกแต่งร้าน
ก็จะเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อยทุกครั้งที่เรามา

เวลาเดินเข้าร้านนี้ เราจะต้องเดินลงบันไดไปยังพื้นต่างระดับ
จริงๆ มีที่นั่งที่อยู่ติดริมกระจกหน้าร้านอยู่เหมือนกัน แต่เป็น
ที่ของคนสูบบุหรี่ และเราก็พอใจจะนั่งข้างล่างมากกว่า

เพราะถ้าโชคดีจะได้นั่งโซฟาหนังนิ่มๆ ตรงมุมที่จัดเป็นตู้หนังสือ
นอกจากเค้กสูตรของร้านที่โปะหน้ามาเต็มเครื่องแล้ว ก็ยังมีเมนู
อาหารอร่อยๆ อีกหลายอย่าง แถมมีหลายสัญชาติเสียด้วย



ระหว่างรอให้อาหารมาเสิร์ฟ เราก็มักจะไปเดินดูเฟอร์นิเจอร์สวยๆ
ในร้านได้ รวมทั้งสวนและห้องงานช่างที่อยู่นอกร้านด้วย เวลา
เห็นของเก่าๆ พวกนี้ เรารู้สึกทุกทีว่าถ้ามันพูดได้ เราคงได้ฟัง
เรื่องราวน่าประหลาดใจจากสมัยที่ผืนหนังของโซฟายังมันปลาบ
จนถึงวันที่ตู้หนังสือไม้เริ่มมีริ้วรอยแน่ๆ เลย


ยังมีร้านเค้กใหม่ๆ ที่ทำเราติดอกติดใจอีกหลายร้าน


ร้านหนึ่งอยู่ในย่านที่เราไปบ่อยที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ก็คือฃฃ
ย่าน Roppongi (ก็มีทั้งโรงหนังดีๆ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเจ๋งๆ
ตั้งหลายที่ ..มัดใจเราซะอยู่หมัดเลย) เป็นร้านขนมญี่ปุ่นชื่อ
Koots อยู่ข้างคาเฟ่ Tulleys ข้างร้านเสื้อ Banana Republic

ร้านไม่กว้างมากแต่จัดพื้นที่ใช้สอยได้ดีทีเดียว มีเคาน์เตอร์ยาวๆ
ริมกระจก แล้วก็มุมโต๊ะด้านในร้านให้นั่งเม้าธ์ได้ และมุมที่เรา
ชอบสุดคือโต๊ะสี่เหลี่ยมสูงๆ ด้านหน้าร้าน กว้างพอที่จะวางหนังสือ
หนังหาได้ แล้วผนังข้างๆ ก็ถูกจัดเป็นมุมโชว์ของกระจุกกระจิก
แบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ใช้แสงไฟสีส้มไม่สว่างนักเข้ากับโทนสีดำแต้ม
เขียวของร้าน ให้บรรยากาศทั้งสงบและโมเดิร์นในเวลาเดียวกัน



ที่แปลกกว่าคาเฟ่ทั่วไป คือขนมของที่นี่ไม่ได้ทำด้วยนมเนย
อย่างเดียว แต่มีส่วนผสมของชาเขียว ถั่วแดง วุ้น จนมีสเน่ห์
แบบเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น

ปกติเราไม่ใช่คนพิศวาสขนมญี่ปุ่นเสียเท่าไหร่เพราะแพ้ความ
หวานที่มักจะมากจนเกินไป แต่ร้านนี้แม้เคยลองไม่ครบทุกเมนู
แต่ความหวานของขนมญี่ปุ่นพอดีๆกับต่อมรับรสของเราเลยล่ะ

ที่ชอบมากๆ คือ Matcha Soft Cream (Matcha = ชาเขียวข้นๆ )
ที่ยังคงความขมเอาไว้อย่างกลมกลืนกับไอศครีมเนื้อนุ่มๆ และที่
ขาดไม่ได้คือเครื่องดื่มของร้านนี้ที่เน้นหนักไปที่ชาเขียว เราติดใจ Matcha Americano ที่ขมแบบไม่อ้อมค้อมไปเรียบร้อยแล้ว

พอตกเย็นจะมีเมนูดินเนอร์แบบญี่ปุ่นๆ ไว้บริการด้วย ส่วน
ถ้าเป็นเวลากลางวันก็มีข้าวปั้นขาย ซึ่งรสชาติอร่อยดีทีเดียวเลยล่ะ

อีกร้านหนึ่งเพิ่งไปค้นพบว่ามีสาขาอยู่ที่ Jiyugaoka สถานี
ใกล้ๆบ้าน คือร้าน Tokyo Sweets Factory หลังจากการเดิน
วนเวียนหาร้านขนมอยู่เป็นนาน ก็มาเจอะร้านนี้ที่อยู่ชั้นใต้ดินของ
ร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง

ร้านที่อยากจะไปจริงๆ เป็นร้านเค้กสไตล์หรูแบบมีคนเสิร์ฟใส่
ชุดเมด (แต่ไม่ใช่ Maid Cafe นะ) แต่ว่าตอนนี้มันกลายเป็น
ร้านดอกไม้ไปเสียแล้วล่ะ จะโฉบไปอีกร้านหนึ่งที่มีสามชั้น
บรรยากาศดีๆ ก็จำไม่ได้ว่าอยู่ไหน


พอเห็นร้าน Tokyo Sweets Factory นี่ครั้งแรกก็แทบจะตกหลุมรัก
ไปแล้ว จัดร้านแบบที่น่ารักสุดๆ ทั้งๆ ที่อยู่ใต้ดินแต่เพราะผนัง
กระจกสูงๆ ที่ทำให้แสงแดดสาดส่องเข้ามาทำให้การกินเค้กบน
เก้าอี้บุหวายเป็นไปด้วยความรื่นรมย์ยิ่งขึ้นอีก

ริมผนังอีกด้านเป็นที่นั่งเคาน์เตอร์จิ๋วๆ อยู่ใต้รูปภาพน่ารักๆ (แต่
ใจเราอยากให้มันเป็นภาพเขียนสวยๆ มากกว่า) กลางร้านเป็นโต๊ะไม้ใหญ่ๆ ตกแต่งด้วยไฟสีส้มอ่อนๆ ให้บรรยากาศอบอุ่นคนละแบบ
กับมุมริมกระจก

ผนังด้านข้างเป็นลิ้นชักใส่วัตถุดิบขนม แล้วก็ตู้โชว์วางของกระจุก
กระจิก ส่วนผนังข้างแคชเชียร์ก็เรียงรายไปตลอดความสูงด้วย
ขวดใส่ใบไม้ ลูกไม้ที่คงเป็นวัตถุดิบอีกเช่นกัน



สำหรับร้านนี้ ชอบที่ความกล้าที่จะไม่ติดฝ้าเพดาน ปล่อยให้
เห็นท่ออะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ซึ่งปกติร้านที่ทำแบบนี้คือ
ร้านที่ออกแนวฮาร์ดๆ เท่ๆ หรือจัดแนว natural ไปเลยมากกว่า
แต่กับร้านเค้กนี้ เขาเอาผ้าสีชมพูหวานๆ มาพันรอบๆ ท่อตัดกับ
เพดานและผนังสีขาวสะอาด

ก็ทำให้ร้านน่ารักแบบมีเอกลักษณ์มากๆ เลยล่ะ แล้วยังมีมุม
cooking ที่ทางร้านเปิดครัวสีขาวสะอาดให้เห็นอุปกรณ์มากมาย
ไปจนถึงสีหน้าคนทำเค้กกันจะๆ ไปเลย

วันแรกที่ไป เราสั่งเค้กชอกโกแลตที่เป็นชั้นๆ น่ะ (จำชื่อไม่ได้)
ไม่หวานมากเกินไปแต่ได้รสชอกโกเต็มๆ ส่วนของเพื่อนเป็นมูส
เค้กเบอรี่ก้อนเล็กๆ ที่ข้างในสอดไส้คัสตาร์ด ...อร่อยกรี๊ดไปทั้ง
สองเลยล่ะ แล้วที่ถูกใจเราคือคาเฟ่ลาเต้เข้มขมกำลังดี...ที่เข้ากั๊น
เข้ากันกับเค้กหวานๆ

ได้กินเค้กอร่อยๆ กับกาแฟรสขมถูกปาก ...ช่างเป็นบ่าย
ที่เป็นสุขจริงๆ



ตอนแรกกะจะเล่าเรื่องอาหารสักนิดๆ หน่อยๆ


แต่ท่าทางจะไม่จบง่ายๆ เสียแล้วล่ะ เวลาสี่ปีในโตเกียวนี่นาน
พอที่ปากเราจะแกว่งไปชิมของอร่อยๆไปทั่ว ไม่รู้จะโทษใคร...

จะโทษที่เพื่อนรุ่นพี่ที่เอานิสัยบ้ากินมาติดเรา หรือโทษป๊ากับ
แม่ที่สร้างนิสัยช่างสรรหาของอร่อยปากเจริญตา หรือจะโทษ
กิจการโต๊ะจีนบ้านอาแปะที่ทำให้ลิ้นเรารู้จักแยกแยะของอร่อย
หรือว่าจะโทษเพื่อนที่ยอมให้เราลากไปกินนู่นกินนี่เป็นประจำดี

ขอแนะนำร้านสุดท้ายแล้วกัน เป็นร้านที่นานๆ จะมีขนมเดินทาง
ขึ้นรถไฟออกมาให้ได้ชิมกัน แต่ทุกชิ้น ทุกอันก็มีรสชาติของ
ขนมทำมือที่อร่อยไม่เหมือนที่ไหน

แม้ว่าคุ้กกี้จะมีทั้งไซส์พ่อ ลูก แม่และเมียน้อย แม้ว่ามูสเค้กจะ
กระหน่ำใส่ทั้งครีมและไวท์ชอกโกแลตแบบไม่กลัวขาดทุน
ทุกคำของขนมจากครัวของแมนชั่นเล็กๆ ของพี่กิ๊บเพื่อนเราที่
อยู่ใน Chiba ก็มีความอร่อยที่มาจากความใจดีและความตั้งใจ
ของคนคุ้นเคยกัน


ก็ชีวิตเรามันต้องกินเพื่ออยู่ และบางครั้งก็อยู่เพื่อกิน


ตราบที่ยังมีแรง มีกิเลส เราก็สรรหากันไปล่ะนะ แต่บางครั้ง
ของกินที่เราไม่ได้ไขว่คว้า แต่ลอยมาถึงปากด้วยด้วยน้ำใจดีๆ
นั้นอาจจะอร่อยเต็มปากเรายิ่งกว่าของร้านไหนๆ เหมือนอย่าง
อาหารหน้าตาคุ้นเคย รสมือคุ้นปากที่ออกมาจากครัวของบ้านเรา

และอาหารประเภทนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองเพราะ
บรรยากาศไหนๆ ก็ไม่สู้บรรยากาศของความคุ้นเคย...คุ้นใจ




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2551 23:50:53 น.
Counter : 1100 Pageviews.  


The SoVo
Location :
Tokyo ---> now : Kyoto Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เพียงคนหนึ่งที่มีความฝัน มีความคิด มีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกเล่า กำลังก้าวเดินไปในโลกกว้างเพื่อเรียนรู้ เพื่อเข้าใจ และเพื่อทำความรู้จักกับ "ชีวิต"
Friends' blogs
[Add The SoVo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.