Nichar love Beauty ^^ Beauty love Nichar
 
 

กำแพงหมากฝรั่ง สถานที่ท่องเที่ยวประหลาด แห่ง Seattle

กำแพงหมากฝรั่ง สถานที่ท่องเที่ยวประหลาด แห่ง Seattle
 

    บางครั้งสถานที่อันดึงดูดใจ ไม่จำเป็นต้องสวยจนน่าทึ่ง แต่กลับ “น่าเกลียด” จนน่าอึ้ง เหมือนกับกำแพงประหลาด ชวนยี้ ที่ Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกา ใครช่างคิดช่างทำ กำแพงหมากฝรั่ง (ที่เคี้ยวแล้วซะด้วยน่ะสิ!) แปะกันยิบยับ กระจัดกระจาย ไม่แปลกใจที่สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่จับจ้องของนักท่องเที่ยว รวมถึงเจ้าเชื้อโรคที่กำลังหาที่พำนัก!

กิจกรรมเคี้ยว คาย แปะ Gum Wall หรือ กำแพงหมากฝรั่ง (เอ๊ะ! หรือจะ กรรมเอ๊ยยย กำแพง
 
เริ่มขึ้นในช่วงต้นยุค 90 ที่มาเนื่องจากคนกลุ่มหนึ่งหงุดหงิด งุ่นง่าน ขณะต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วดูละคร จึงแก้เซ็งด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่ง เคี้ยวแล้วเคี้ยวเล่า เริ่มเยอะ จึงนึกสนุก เอาหมากฝรั่งแปะที่เหรียญและผนึกฝังลงไปที่กำแพง แต่นานวันเข้า เจ้าเหรียญค่อยๆ หายไป สิ่งที่ยังคงไว้คือ “ซากหมากฝรั่ง”

จริงๆ แล้วก็มีการช่วยกันขูด ทำความสะอาด กำแพงหมากฝรั่ง แต่ความพยายามนั้นก็ล้มเลิกไป ในปี ค.ศ. 1999 เนื่องจาก Gum Wall ได้จดทะเบียนกลายเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวประหลาดของ Seattle ปัจจุบันหมากฝรั่งที่ฝังรากอยู่บนกำแพง มีจำนวนมหาศาล หลากสีสัน บางชิ้นเพิ่มลูกเล่นด้วยการสลักชื่อ บางชิ้นใส่ลวดลายสัญลักษณ์ สนุกสนานกันไป กลายเป็นวัฒนธรรมไปซะแล้ว!

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการเยี่ยมชม กำแพงหมากฝรั่ง แห่งนี้ เพราะถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่รวมเชื้อโรคไว้มากที่สุด











ข้อมูล teenee.com




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555   
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 20:38:03 น.   
Counter : 4025 Pageviews.  


รับมืออากาศเปลี่ยนแบบบ้านๆ กับวิตามินในผักผลไม้

รับมืออากาศเปลี่ยนแบบบ้านๆ กับวิตามินในผักผลไม้
 

คนทั่วไปรู้ดีว่าการนอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า บริหารร่างกายเป็นประจำ และหมั่นสวดมนต์หรือฝึกสงบใจให้มีสมาธิ กินเนื้อสัตว์พอประมาณกินผักผลไม้ให้มาก เป็นหนทางของการมีสุขภาพดี และคือยาดีไว้ป้องกันโรค รวมถึงการรับมืออากาศแปรปรวนได้ด้วย แต่คนส่วนใหญ่ "รู้" แต่ "ไม่ค่อยได้ทำ"


หลายคนจึงชอบอะไรที่เป็นโปรดักต์ ทำหรือกินแล้ว ร่างกายจะแข็งแรงสู้กับโรคต่างๆ ได้ทันที โปรดักต์เพื่อสุขภาพจึงขายดิบขายดี เพราะเหมาะกับความต้องการส่วนตัว และสอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนเป็นสังคมเมืองที่ต้องการสินค้าและบริการแบบสำเร็จรูปด้วยแต่วันนี้ขอลองเสนอแนวสวนทางหรือฝืนความเคยชิน ชวนผู้อ่าน "ทำสมุนไพรใช้เอง" สร้างสมดุล บำรุงร่างกายไว้สู้กับอากาศเปลี่ยนแปลง

อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นนวัตกรรมใดๆ แต่เป็นเรื่องที่ท่านต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติ จากเร่งรีบรวดเร็วสู่เนิบช้าบ้าง และทดลองทำเองแทนที่จะสั่งซื้อ เพราะเพียงแค่ลดความเร็วลงร่างกายก็ได้พักและเกิดการฟื้นฟูอย่างไม่น่าเชื่อและถ้าลองเริ่มง่ายๆ ด้วย กินผักผลไม้ที่ช่วยต้านความอ่อนเพลีย จะช่วยชุบชีวิตท่านให้มีพละกำลังอย่างไม่น่าเชื่อ

มองในมุมวิชาการแบบโภชนาการและคุณค่าของวิตามิน เกลือแร่ ยามที่ร่างกายอ่อนล้าหมดเรี่ยวหมดแรง นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสารอาหารหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี ธาตุเหล็ก ธาตุแมกนีเซียม เป็นต้น คราวนี้ลองมาดูกันว่าในวันที่อ่อนล้าและยังต้องสู้กับอากาศเดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวร้อนอบอ้าว เราน่าจะกินผักผลไม้อะไรดี เลือกกินให้มากในยามนี้เลย

วิตามินซี รู้จักกันดีว่าผลไม้อะไรรสเปรี้ยวๆ มักมีวิตามินซี แต่ที่ไม่เปรี้ยวจี๊ดจ๊าดก็มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง แครอต มะเขือเทศ และที่เป็นสมุนไพรเด่น คือ มะขามป้อม มีวิตามินซีสูงมากๆ ในผักที่ควรรู้จักมากินบ้าง เช่น ดอกแค ใบทองหลาง ผักกระเฉด หรือเด็ด ใบมะยม มาทำอาหารกินก็ฟื้นกำลังได้ดี

ที่ไม่ค่อยรู้กันว่าพืชผักอีกชนิดที่มีวิตามินซี คือ หัวหอม นำมาทอดไข่กินก็ได้ หัวหอมยังได้รัการยอมรับจากสากลว่า เป็นสมุนไพรบำรุงกำลังที่ดี และมีรายงานศึกษาว่าช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดได้ด้วย คนไทยแต่อดีตกินหัวหอมสดๆ กับผักและข้าวเป็นยาบำรุงกำลัง

วิตามินบี วิตามินชนิดนี้เป็นที่ต้องการของร่างกายมาก ที่หาได้ง่ายสุดๆ ให้กิน กล้วย มีประสบการณ์หลายท่านที่กินกล้วยน้ำหว้าเป็นประจำทุกวัน วันละ 1-2 ลูกร่างกายแข็งแรงในแต่ละปีไม่ค่อยเป็นหวัด

วิตามินบีที่หาง่ายอีกอย่างคือ กินข้าวกล้อง และธัญพืชต่างๆ ที่ยังไม่ได้ขัดสี ถ้าจะเพิ่มรสชาติอร่อยและกำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ให้กินข้าวโพด จะสีเหลืองหรือสีม่วงก็กินเถอะ มีทั้งวิตามินบี และเอ รสหวานของข้าวโพดช่วยให้ร่างกายหายเพลีย และกากใยอาหารช่วยขับถ่าย ไม่สะสมพิษในร่างกาย



ธาตุเหล็ก มีอยู่ในอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่ว เต้าหู้ และผักใบเขียวต่างๆ ถ้าใครไม่นิยมกินเนื้อสัตว์มากๆ ให้เลือกกินผักที่มีการจัดอันดับธาตุเหล็กสูง 10 อันดับ ได้แก่ 1. ผักกูด 2. ถั่วฝักยาว 3. ผักแว่น 4. เห็ดฟาง (เขานับเห็ดเป็นพืชผักอาหารที่เรากินด้วย) 5. พริกหวาน 6. ใบแมงลัก 7. ใบกะเพรา 8. ผักเม็ก 9. ยอดมะกอก 10. ยอดกระถิน

เมื่อท่านเลือกกินผักผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงนั้น ควรรู้ด้วยว่าร่างกายของเราดูดซึมธาตุเหล็กจากสัตว์ได้ดีกว่าที่มาจากพืชผัก ดังนั้น ถ้าจะช่วยให้ร่างกายดูดธาตุเหล็กได้คล่องขึ้น หลังกินพืชผักเหล่านี้ให้กินพืชผักที่มีวิตามินซีสูงๆ ตามลงไปด้วย หรือ ดื่มน้ำส้มสักแก้วจะช่วยให้กลไกในร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

แมกนีเซียม อันที่จริงสุดยอดอาหารอันโอชะที่มีวิตามินแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายอยู่ที่ ข้าวกล้อง และธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งก็มีธาตุแมกนีเซียมอยู่จำนวนมากแมกนีเซียมจำเป็นต่อร่างกายมาก ช่วยสร้างพลังงานให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ช่วยให้เอนไซม์นับร้อยชนิดทำงานได้ปกติ ช่วยด้านจิตประสาท ลดอาการเครียด นอนไม่หลับ เป็นต้น ยามที่ร่างกายเพลียๆ หาอาหารที่มีแมกนีเซียมกิน

ในพืชผักที่มีแมกนีเซียมสูง ขอแนะนำ กระเจี๊ยบมอญ หรือที่เรียกว่ากระเจี๊ยบเขียว เป็นผักจิ้มน้ำพริกที่อร่อยมาก หรือให้กินถั่วต่างๆ ถ้าพอมีสตางค์กินของแพงก็กิน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อร่อยมันทีเดียว



ปิดท้ายแนะนำ พืชผักหรือสมุนไพรต้านความอ่อนล้า หรือช่วยให้มีพละกำลังรับมืออากาศเปลี่ยน สมุนไพรชนิดนี้เคยฮิตเมื่อหลายปีก่อน แต่เพราะกระแสการตลาดมาแล้วไปจึงลดคุณค่าสรรพคุณแท้ดั้งเดิม ของ ลูกยอ ทั้งๆ ที่พบว่าน้ำต้มลูกยอ มีสารโพลีแซกคาไลน์ที่ช่วยเพิ่มการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกาย สรรพคุณทางยาไทยลูกยอช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนดี เหมาะกับสุภาพสตรีแต่ก็ไม่ได้ห้ามสำหรับบุรุษเพศนอกจากนี้ กินใบยอ ยังได้รับวิตามินเอ บี 1 บี 2 และซี ยังมีแร่ธาตุอีกเพียบ ทั้งธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน โดยเฉพาะแคลเซียมสูงจริงกินประจำช่วยบำรุงกระดูกและฟันอย่างดี

อากาศเปลี่ยนรับมือได้ถ้าลงมือทำ

ข้อมูล teenee.com




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555   
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 20:30:53 น.   
Counter : 754 Pageviews.  


หมากฝรั่ง" ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ?

หมากฝรั่ง" ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ?
 

สมัยหนึ่งการเคี้ยวหมากของคนไทยรุ่นย่ารุ่นยายกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป เพราะถือว่าการที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเทียบกับอารยชนชาติตะวันตกได้นั้น ประชาชนคนไทยต้องกระทำตนให้ทันสมัยตามไปด้วย และสิ่งหนึ่งก็คือ ต้องไม่กินหมากแต่อารยชนชาติตะวันตกก็เคี้ยวหมากเหมือนกัน เพียงแต่เป็นหมากคนละชนิดกัน

 
(ซ้าย) ต้น Sapodilla (ขวา) chicle resin

หมากฝรั่งที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดีจะอยู่ในรูปแบบของขนมลักษณะคล้ายลูกอม เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ใช้เคี้ยวแต่ห้ามกลืน ประเทศต้นกำเนิดหมากฝรั่งก็คือ เม็กซิโก ธรรมเนียมการเคี้ยวหมากฝรั่งของชาวเม็กซิโก เริ่มมาตั้งแต่สมัยชาวมายันโบราณ ที่ทำหมากฝรั่งจาก chicle resin ที่คล้ายกาวลาเท็กซ์ โดยชาวมายันเก็บมาจากต้นไม้ที่เรียกว่าต้น Sapodilla ชาวมายาจะเคี้ยว chicle ซึ่งไม่มีรสเพื่อทำความสะอาดฟันให้สะอาด

ชาวเม็กซิโกยุคใหม่ลืมเลือนยางจากธรรมชาติที่ชาวมายันเคยเคี้ยวไปหมดแล้ว และอ้าแขนยอมรับหมากฝรั่งยางสังเคราะห์จากสหรัฐฯ อย่างเต็มอกเต็มใจ ปัจจุบัน เฉลี่ยแล้วชาวเม็กซิโกเคี้ยวหมากฝรั่งกันคนละ 1.2 กิโลกรัม/ปี หรือครึ่งหนึ่งที่ชาวอเมริกันเคี้ยว แต่ก็ยังถือว่ามีอัตราส่วนสูงสุดในประเทศแถบลาติน อเมริกา



 การเคี้ยวหมากฝรั่งในโลกยุคใหม่เริ่มมาจากช่วงทศวรรษที่ 1860 เมื่อนายพลเม็กซิโชื่อ Antonio Lopez de Santa Anna นำยาง chicle ของเม็กซิโก ไปให้นักประดิษฐ์สหรัฐชื่อ Thomas Adams และตอนแรกเขานำไปทดลองเพื่อดูว่าสามารถนำไปใช้งานแทนยาวพาราได้หรือไม่ แต่ในตอนหลัง กลับเติมรส เติมกลิ่น และนำออกขายในฐานะเป็นของขบเคี้ยวเพื่อความบันเทิง

ฝรั่งถือว่าการเคี้ยวหมาก (ฝรั่ง) เป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อกราม ช่วยลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบนใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผ่อนคลายร่างกาย เพราะบ้านเมืองเขาเป็นเมืองหนาวร่างกายส่วนอื่นๆ ยังหาอะไรให้ความอบอุ่นได้ แต่บริเวณใบหน้านี่ต้องทนเอา

หมากฝรั่งยุคแรกๆ ของโทมัส อดัมส์ ทำเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ยังไม่มีรสชาติ วางขายในร้านขายยาแห่งหนึ่งในเมืองโฮโบเค็นรัฐนิวเจอร์ซี่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1871 โดยขายราคาเม็ดละ 1 เพนนี ต่อมาจึงได้ดัดแปลงทำเป็นรูปแผ่นสี่เหลี่ยมแบนๆ

บุคคลแรกที่เติมรสชาติให้หมากฝรั่งคือเภสัชกรจากหลุยส์วิล รัฐเคนตักกี้ ชื่อ John Colgan ในราวปี ค.ศ.1875 เขาไม่ได้เติมรสแบบลูกอมรสเชอร์รี่ รสเปปเปอร์มินต์ หรืออื่นๆ อย่างในสมัยนี้ รสชาติที่เขาเติมให้หมากฝรั่งคือตัวยาทางการแพทย์ เป็นขี้ผึ้งหอมทูโล ทำจากยางไม้ต้นทูโลในอเมริกาใต้ รสชาติคล้ายกับยาแก้ไอน้ำเชื่อมของเด็กในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คอลแกนเรียกหมากฝรั่งของเขาว่า "แทฟฟี-ทูโล" เป็นหมากฝรั่งที่ประสบความสำเร็จกว่าหมากฝรั่งอื่นๆ ที่เติมรสชาติแล้วในสมัยนั้น

 ต่อมาโทมัส อดัมส์ ใช้รสชะเอมเติมในหมากฝรั่ง เรียกชื่อสินค้าของเขาว่า "แบลคแจค" ซึ่งเป็นหมากฝรั่งเติมรสที่เก่าแก่ที่สุดที่มีขายอยู่ในท้องตลาด (ของอเมริกา) ส่วนรสเปปเปอร์มินต์ซึ่งเป็นรสยอดนิยมเริ่มมีในปี ค.ศ.1880

หมากฝรั่งที่วางขายอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ยางไม้ที่ทำเลียนแบบทอฟฟี่อย่างหมาก ฝรั่งของนายพลซานตา แต่เป็นยางสังเคราะห์นุ่มๆ ซึ่งโดยตัวมันเองแล้วไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ชื่อก็ไม่ชวนกิน แต่คนอเมริกันก็เคี้ยวเจ้ายางสังเคราะห์นี้กันถึงปีละ 10 ล้านปอนด์

สำหรับหมากฝรั่งที่ใช้เป่าเป็นลูกโป่งได้ ผู้คิดค้นคือ สองพี่น้อง Frank Fleer และ Henry Fleer แต่คุณภาพของหมากฝรั่งที่ Frank ผลิตให้เป่าได้ในตอนนั้นยังมีปัญหา คือไม่ยืดหยุ่นพอลูกโป่งยังไม่ทันโตก็แตก และเมื่อแตกแล้วจะติดแก้มติดจมูก จนปี ค.ศ.1928 Frank ก็สามารถผลิตหมากฝรั่งที่เป่าเป็นลูกโป่งได้ขนาดโตเป็น 2 เท่าของที่ทำได้ในช่วงแรกๆ

หมากฝรั่งไม่ได้แพร่หลายเฉพาะแต่ในอเมริกาเท่านั้น ในหมู่ชาวเอสกิโมก็เคี้ยวหมากของฝรั่งแทน "หมาก" จากไขปลาวาฬ ซึ่งใช้เคี้ยวมานานหลายศตวรรษ โดย จี.ไอ. สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำไปเผยแพร่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก My firstbra

ข้อมูล teenee.com




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555   
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 20:27:55 น.   
Counter : 2679 Pageviews.  


อาการ"หน้าเบี้ยว"

อาการ"หน้าเบี้ยว"
 


อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเกิดจากเส้นประสาทเส้นที่ 7 ที่ควบคุมการทำงานกล้ามเนื้อแสดงสีหน้ามีการทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยมักแสดงอาการค่อนข้างเร็ว บางรายเป็นแบบเฉียบพลัน เช่นตื่นเช้ามาพบว่าใบหน้าครึ่งซึกอ่อนแรง รู้สึกตึงหนักใบหน้าซีกนั้น เวลาบ้วนน้ำหรือน้ำลายจะไหลออกมาทางมุมปากข้างนั้น ตาข้างนั้นปิดได้ไม่สนิท เคืองตา ยักคิ้วไม่ขึ้น บางรายปวดบริเวณหลังหู อาจรู้สึกมีเสียงก้องๆ ในข้างหูข้างที่เป็นและอาจพบความผิดปกติของการรับรสของลิ้นส่วนหน้าซีกที่เป็น

 อาการจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยแตกต่างกันในแต่ละราย ส่วนใหญ่มักมีอาการมากขึ้นในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกจนถึง 1-3 วันแรก แต่บางรายอาจมีอาการเป็นมากขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ถึง 14 วัน

อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีกนี้ เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ตามสถิติส่วนใหญ่พบในหญิงอายุน้อยมากกว่าชาย แต่หากอายุมากกว่า 40 ปี จะพบในชายมากกว่า ในหญิงตั้งครรภ์พบมากกว่า 40 ปีจะพบในชายมากกว่า ในหญิงตั้งครรภ์พบมากกว่ากลุ่มอื่นประมาณ 3 เท่า และพบได้มากขึ้น 4-5 เท่าในผุ้ป่วยเบาหวานหรือผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

 สาเหตุ
ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน เชื่อว่าเป็นการอักเสบของเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการติดเชื้อไวรัส แต่บางรายเกิดจากการติดเชื้อเริมที่แฝงอยู่ในปมประสาท ซึ่งในกรณีนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดและอาจมีตุ่มใสบริเวณรูหูส่วนนอกนำหน้ามาก่อน นอกจากนี้อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีกยังอาจเกิดก้อนในสมองหรือในโพรงกะโหลกศีรษะโต กดเส้นประสาทสมองเส้นที่ 7 นี้ ซึ่งต้องอาศัยแพทย์ตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกโรค


การวิจิจฉัยควรพบแพทย์เพื่อได้รับการซักประวัติ ตรวจร่างกายทางระบบสาทโดยละเอียดซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้ และแพทย์จะทำการแยกผู้ป่วยที่มีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีกนี้ออกจากโรคเส้นเลือดสมองตีบ ซึ่งมีอาการหน้าเบี้ยวได้เช่นกัน แต่จะมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย และผู้ป่วยจะยังสามารถยักคิ้วข้างที่เบี้ยวได้ การตรวจเพิ่มเติมที่แพทย์อาจแนะนำ ได้แก่ การตรวจกราฟไฟฟ้าของเส้นประสาท การตรวจน้ำไขสันหลัง การตรวจเอกซเรย์สมอง ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องทำในบางรายตามที่แพทย์เห็นสมควร

 การรักษา
ยากลุ่มสเตียรอยด์ สามารถลดการอักเสบของเส้นประสาทได้ รับประทานประมาณ 2 สัปดาห์ รับประทานยาต่อเนื่องและจะมีการปรับลดขนาดยาตามที่แพทย์แนะนำ ยาป้ายตา ยาหยอดตาและใช้ผ้าปิดตาสนิทขณะนอนหลับ เพื่อป้องกันการเกิดเยื่อบุตาอักเสบ เนื่องจากอาการกระพริบตาที่ลดลง ยาฆ่าเชื้อไวรัสพิจารณาให้ในรายที่เห็นว่ามีอาการความสัมพันธ์กับเชื้อเริม การทำกายภาพ ทำโดยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าใช้ในผู้ป่วยบางราย

ระยะของโรค 80% ของผู้ป่วยมักจะหายดีในเวลา 4-6 สัปดาห์ 10% ของผู้ป่วยจะมีอาการเบี้ยวที่ในหน้าทั้งสองข้าง 7% ของผู้ป่วยจะเกิดเป็นซ้ำได้ อาจพบมีการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าเกิดขึ้น เนื่องจากการงอกเกินหลังจากการซ่อมแซมเส้นประสาทของผู้ป่วยรายนั้น


ข้อแนะนำเพิ่มเติม
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จำเป็นต้องคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เนื่องจากยาสเตียรอยด์จะทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นจนเป็นอันตราย ผู้ป่วยควรทำการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า โดยการยักคิ้ว ปิดตาแน่น ยิงฟัน เป่าแก้มป่อง หากมีอาการอื่นเพิ่มเติมทางระบบประสาท เช่นหน้าชา การได้ยินลดลง อ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกหรือมีอาการชาปลายมือ เท้า 2 ข้าง พูดไม่ชัด เห็นภาพซ้อน เดินเซ ซึมลง สับสน อาการลามเป็นมากขึ้นทั้งสองข้าง ควรพบแพทย์เร็วขึ้น

 วิชาการ.คอม




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555   
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 20:24:51 น.   
Counter : 858 Pageviews.  


ฟันแท้หลุด เก็บถูกวิธีมีโอกาสใส่คืนได้

ฟันแท้หลุด เก็บถูกวิธีมีโอกาสใส่คืนได้
 

ความซุกซนของเด็กๆ บางครั้งนำมาซึ่งอุบัติเหตุที่อาจทำให้ฟันแท้หลุดได้ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฟันแท้หลุด ผู้ปกครอง คุณครู หรือเพื่อนนักเรียน ที่พบเห็นมักเกิดอาการตกใจรีบสำรวจภายในช่องปาก และไม่สนใจตัวฟันที่หลุดออกไป


วิธีช่วยเหลือเบื้องต้นที่ถูกต้อง เมื่อพบเห็นเด็กฟันแท้หลุด ว่าควรทำอย่างไรดีก่อนพาเด็กมาพบทันตแพทย์

สิ่งแรกควรสำรวจก่อนว่าเด็กได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้าง ถ้าพบว่าฟันแท้หลุดหายไป สิ่งที่ควรทำต่อไป คือ

 1. รีบหาฟันให้เจอ
 2. ถ้าเจอฟันแล้วเวลาจับฟันขึ้นมา ให้จับตรงตัวฟัน ไม่ควรจับบริเวณรากฟัน
 3. ล้างด้วยน้ำสะอาดที่ไหลเบาๆ เพื่อเอาเศษสิ่งสกปรกออกจากฟัน ห้ามขัดถูฟันหรือใช้น้ำยาเคมี เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจานทำความสะอาดฟันเด็ดขาด
 4. ตรวจสอบว่ารากฟันหักหรือไม่ ถ้ารากฟันไม่หักให้รีบใส่ฟันกลับเข้าที่ให้ถูกต้อง (ถ้าสามารถทำได้) แล้วรีบพาเด็กไปพบทันตแพทย์ทันที



กรณีใส่ฟันกลับเข้าที่ไม่ได้ ให้นำฟันไปแช่ในน้ำนม แนะนำให้ใช้นมรสจืด ไม่ว่าจะเป็นนมพลาสเจอร์ไรซ์, UHT, Whole fat, Low fat ได้ทั้งหมด เนื่องจากผลการศึกษาพบว่า นมรสจืดช่วยรักษาเซลล์ที่อยู่รอบรากฟันให้ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ดีกว่าน้ำชนิดอื่นๆ หรือถ้าหาไม่ได้จริงๆ จะแช่ฟันที่หลุดในน้ำเกลือล้างแผล น้ำดื่ม น้ำก๊อก หรือให้เอาผ้าห่อฟันแล้วอมไว้ในปากให้เปียกน้ำลายอยู่ตลอดก็ได้ ที่สำคัญคือ อย่าปล่อยให้ฟันแห้ง เพราะเซลล์ที่อยู่รอบฟันจะขาดน้ำ ทำให้ความสำเร็จในการนำฟันที่หลุดกลับเข้าที่มีโอกาสน้อยลง จากนั้นไปพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อทันตแพทย์จะได้นำฟันกลับเข้าที่ และยึดฟันที่หลุดไว้ เพราะยิ่งนำฟันที่หลุดกลับเข้าที่ได้เร็วมากแค่ไหน ความสำเร็จในการรักษาก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นทันตแพทย์จะนัดเพื่อทำการรักษาคลองรากฟัน และติดตามผลการรักษาเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

อุบัติเหตุคือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ป้องกันได้ หรือหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้ว หากรู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็จะทำให้อุบัติเหตุนั้นคลี่คลายด้วยดีที่สุดได้


ขอขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี





 

Create Date : 12 มิถุนายน 2555   
Last Update : 12 มิถุนายน 2555 17:36:17 น.   
Counter : 1041 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

chiza_love
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




New Comments
[Add chiza_love's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com