All Blog
◄ Chapter 12 : ใครขโมยเงิน !!


Chapter 12 : ใครขโมยเงิน !!





(ภาพประกอบจาก : //cmsmechanical.com/recent-news/saving-energy-means-saving-money/)

แน่นอนค่ะว่าการไป Work and Travel คุณจะได้เจอกับคนที่มาจากร้อยพ่อพันแม่

จะบังคับให้เขาคิดเหมือนเรา หรือให้เราพยายามคิดให้เหมือนเขาก็คงเป็นเรื่องที่ยาก

ดังนั้นแล้วการอยู่ร่วมกันก็จะมีปัญหากระทบกระทั่งกันบ้าง 

แต่ส่วนมากแล้วปัญหาเล็กๆเหล่านั้นก็จะคลี่คลายไปได้เองในที่สุด

แต่เรื่องบางเรื่องที่ผ่านเข้ามา แม้ว่าในที่สุดมันจะผ่านพ้นไปแต่มันก็ทิ้งรอยจางๆไว้ในใจของใครอีกหลายๆคน

Chapter นี้ต้องบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวในหมู่เด็กไทย 

อะไรเป็นสาเหตุและเกิดอะไรขึ้น ไปติดตามพร้อมๆกันเลยค่ะ


เพราะว่า nakoze แลกเงิน USD เป็น pocket money ติดตัวไปแค่ประมาณ $600

และด้วยความที่เป็น week แรกๆของการมาอยู่อเมริกา ทำให้เราต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้เยอะกว่าปกติ

ผลสุดท้ายก็คือ nakoze ช็อตเงินค่ะท่านผู้ช๊มมม   เงินหมดก่อนที่เช็คจากแมคโดนัลจะออก


... ขอเกริ่นย้อนกลับไปตอนทำSSCนะคะ  ตอนที่พี่เบลล์ได้รับคำสั่งจากนายจ้างให้พาเด็กไทยไปทำSSCเนี่ย

เป็นวันที่ nakoze เพิ่งจะมาเหยียบอเมริกาวันแรก ตอนนั้นกำลังอยู่ในสภาวะงงๆ มึนๆ เบลอไปหมด

เลยทำให้ตอนที่พี่เบลล์ขับรถพาไปทำ SSC เนี่ย nakoze ดันลืมเอกสารทุกอย่างเอาไว้ที่ๆพัก  ก็เลยอดทำ SSC

ได้แต่ไปนั่งดูคนอื่นเค้าทำตาละห้อย แต่เรื่องมันก็กลับตาลปัดไม่เป็นไปตามแผน

เพราะเนื่องจากวันที่พี่เบลล์พาไปทำSSCเนี่ย

คนอื่นๆเค้าเพิ่งมาถึงอเมริกาได้ประมาณ 1 วันเอง  ซึ่ง ณ ตอนนั้นข้อมูลจาก immigration

มันยังส่งมาไม่ถึง Social security office ทำให้ข้อมูลการเข้าเมืองเนี่ยมันไม่อัพเดท 

พอไปทำ SSC ก็กลายเป็นว่ามันหาข้อมูลไม่เจอ

nakoze ซึ่งต้องรอไปอีกประมาณ 1 อาทิตย์เพื่อให้พี่เบลล์ว่างพาไปทำ

ข้อมูลการเข้าเมืองของ nakoze มันก็เลยอัพเดทได้ปกติไม่มีปัญหาอะไร

2 อาทิตย์ต่อมา nakoze ก็ได้รับบัตร SSC ตามปกติ

ส่วนเพื่อนๆที่เหลืออีก 4 คน กลายเป็นว่า ดำเนินเรื่องใหม่ได้ SSC มา 2 คน

ส่วนนีน่าและแทมนั้น ณ ปัจจุบันผ่านมา 3 ปีพวกเขาก็ยังไม่ได้ SSC เลย


เอาล่ะค่ะย้อนกลับมาเรื่องเงินๆทองๆต่อ

ทีนี้เนี่ยพอไม่ได้ SSC แดเนียลนายจ้างของ nakoze เนี่ยเค้าก็บอกว่าออกเช็คให้ไม่ได้

เงิน $600 ของ nakoze ที่ติดตัวมาเนี่ยมันก็เลยเริ่มหดหายร่อยหรอลงไปทุกวันๆ

จนในที่สุด nakoze ก็ถังแตก  ไม่มีเงินใช้ต้องไปขอยืมพี่ลูกเกด

และเนื่องจากที่ nakoze เป็นคนที่ไม่รอบคอบเรื่องเงินมาตั้งแต่สมัยยังวัยเยาว์

nakoze เป็นคนที่ไม่นับเงินทอนและเก็บเงินไม่เป็นที่เป็นทาง

และที่ร้ายกาจที่สุดคือ nakoze เป็นคนไม่ใช้เหรียญค่ะ

โอเค ในประเทศไทยเนี่ยไม่มีปัญหากับการใช้เหรียญหรอกค่ะ

แต่ว่าที่อเมริกาอย่างนึงที่ต่างไปคือการซื้อของเนี่ย สินค้าต่างๆมันยังไม่ได้รวม sale tax

ราคาตามป้ายที่ติดไว้ nakoze ก็คำนวณไม่ถูกว่าท้ายที่สุดต้อง +tax ไปอีกกี่ดอล

แล้วทีนี้ถ้าไปยืนนับเหรียญที่หน้าช่องแคชเชียร์เนี่ยมันลนลาน

nakoze ก็เลยจะตัดปัญหาด้วยการจ่ายแต่แบงค์

ยืนยันด้วยภาพค่ะว่าไม่ชอบใช้เหรียญจริงๆ ไปเที่ยวต่างประเทศทีไรต้องหอบเหรียญกลับไทยทุกที


จนวันนึงมันเกิดปัญหาขึ้น  เมื่อเงินในกระเป๋าสตางค์ของนีน่าหายไป $100

และที่สำคัญกว่านั้นคือ นีน่าที่เดิมอยู่อีกห้องนึงร่วมกับพิมและแทม ได้ย้ายมานอนห้อง nakoze ในช่วงหลัง

ทีนี้ก็เอาละมองหน้ากันเลิกลั่ก งานนี้มีผู้ต้องหาอยู่หลายราย

และแน่นอนหนึ่งในคนที่งานเข้าก็คือ nakoze !!

โดยนีน่าให้เหตุผลที่สงสัย nakoze ว่า

1. Nakoze นอนหลับคนสุดท้ายทุกคืน nakoze เลยอาจจะเป็นคนแอบเอาไป

แต่ในความเป็นจริงแล้วคือ nakoze เป็นคนที่ติดคอมมากๆ โดยเฉพาะ facebook ที่ตอนนั้นยังเป็นเรื่องใหม่

Nakoze เพิ่งมีเฟสบุคก็เลยเล่นปลูกผัก ปลูกหญ้า ตกปลา เลี้ยงสัตว์อยู่จนดึก

ประกอบกับเป็นคนที่กลัวผีมากๆตอนอยู่หอมันทำให้ nakoze จะหลับได้ก็ต่อเมื่อง่วงจริงๆ

ด้วยเหตุผลนี้ nakoze ก็เลยจะกลายเป็นคนนอนดึกไปโดยปริยาย

2. nakoze บ่นตลอดว่าไม่มีเงินแล้ว แต่ก็ยังไปซื้อของใช้ ซื้อของกินได้ตลอดเวลามีเงินใช้ไม่ขาดมือ

ซึ่งต้องเข้าใจอย่างนึงค่ะว่าคนเราเนี่ยต่างกัน คือสมมุติเงิน1,000บาท สำหรับคนบางคน

อาจใช้ชีวิตอยู่ได้หลายอาทิตย์  คุณก็จะมองว่าเออเม่งมีเงิน 1,000 นี่เยอะนะ

แต่สำหรับ nakoze แล้วเงินพันนึงเนี่ยขึ้นแท็กซี่ไปกลับบ้านมหาลัยก็หมดเกินเกินครึ่งพันแล้ว

เงินเท่านี้อยู่ได้อย่างเก่งก็สองวัน  nakoze ก็เลยจะมองอีกมุมว่าถ้ามีเงินพันนึงเนี่ยคือแทบไม่มีตังแล้ว (อันนี้ยกตัวอย่างนะ)

ดังนั้น nakoze ก็จะบ่นอยู่ตลอดเวลาว่าโอ้ยเม่ง เงินจะหมด ไม่มีเงินแล้ว แต่จริงๆยังเหลือเงินมั๊ยก็เหลือ

แต่เหลือไม่เยอะพอที่จะใช้จ่ายได้อย่างสบายๆเหมือนเดิม

ประกอบกับ nakoze พอไม่มีเงิน ก็ต้องเริ่มควักเงินเหรียญออกมาใช้

บวกกับที่ nakoze ไปยืมเงินพี่ลูกเกดมาส่วนนึง ก็เลยทำให้ nakoze มีเงินหมุนอยู่ตลอด

3. เวลาเล่นไพ่ nakoze ชอบโกง

คืออันนี้นี่เคลียยาวเนื่องจากเป็นสันดานเดิม  nakoze ชอบแกล้งคนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว

เช่นแบบว่าเอายางลบ ปากกา ดินสอของเพื่อนไปซ่อน

ไปซ่อนก็ไม่ใช่ที่ไหนหรอกค่ะ ซ่อนในกระเป๋าของมันเอง  พอมันหาไม่เจอเราก็จะแบบแฮปปี้มีความสุข

จนได้รับฉายาอันแสนภาคภูมิใจว่าดาวโจร  หมายความถึงผู้สาวที่เป็นโจรนั่นแล  55+

ทีนี้เนี่ย nakoze ก็เลยติดการชอบแกล้งคน  ชอบทำอะไรให้คนอื่นขำ ชอบแกล้งอำ

และจะบอกว่าเวลาจะโกงอะไรเนี่ย nakoze ไม่ได้ทำลับๆล่อๆนะ

คือทำโจ่งแจ้งให้มีคนเห็นว่า nakoze กำลังจะแกล้งมันนะ  คนที่เห็นก็จะเชียร์แบบ เออๆดีๆแกล้งมันเลยอะไรอย่างงี้

แล้วไม่ได้โกงแค่ไพ่นะ โกงทุกเกมส์นั่นแหละ  ยิ่งเกมส์เศรษฐี

โอ้โห่ อย่าให้ nakoze มาเป็นธนาคารนะ  รับรองว่าคอรัปชั่นกระจุย

สรุปคือ nakoze มีอารมณ์ขันมากๆน่ะ  แต่ประทานโทษที่โกงนี่เอาแค่เรื่องที่อยู่ในขอบเขตนะ

ถ้าให้ไปแอบหยิบซอส หยิบช้อนส้อมจากที่ทำงานกลับบ้าน แบบนี้ nakoze ไม่ทำ


ทีนี้เนี่ยด้วยเหตุผลข้างต้นทั้ง 3 ประการ ทุกอย่างมันก็เลยดูลงตัว

ทำให้ nakoze เป็นผู้ตัองสงสัยเบอร์ต้นๆไปโดยปริยาย (แต่ nakoze ไม่ได้เอาไปนะจ๊ะ)

แต่ทั้งนี้นีน่าก็ยังสงสัยในตัวแฟนต้าเพื่อนสนิทด้วยเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้แฟนต้าเคยอยู่ในเหตุการณ์สร้อยทองหาย

เลยทำให้กลายเป็นคนมีประวัติติดตัว  พอมาเจอเรื่องนี้นีน่าก็เลยไม่ไว้ใจแฟนต้าไปด้วย

ส่วน nakoze นี่ซ้ำร้ายตอนที่นีน่าเงินหายกลับดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อน (เอ้า!! แน่สิไม่ใช่เงินกูนี่ )

แถมยังปากเปราะไปปลอบใจเค้าในทางที่ผิด

nakoze เสือกไปพูดว่า เอาเถอะนีน่าเงิน$100อ่ะ ทำงานเพิ่มอีก 2 วันก็ได้คืนแล้ว

คือเป้าหมายของ nakoze เนี่ยจะปลอบใจเค้า  แต่สิ่งที่นีน่าเก็ทกลับกลายเป็นว่า nakoze ไปแดกดันและปากหมา

เรื่องนี้มาจบลงตรงที่คืนนั้นนีน่าก็ขนข้าวของ ย้ายกลับไปนอนที่ห้องตัวเองถาวร

ท่ามกลางความสบายใจของทุกฝ่าย แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นรอยร้าวเล็กๆ ที่ทำให้เราทั้งหมดเริ่มไม่ลงรอยกัน

แน่นอนค่ะว่าการโดนกล่าวหาว่าเป็นขโมยนั้น  ถ้าหากว่าไม่ได้ขโมยไปจริงๆก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้เหมือนกัน

อีกทั้งก่อนหน้านี้ นีน่าเองเคยไปลืมกระเป๋าเอาไว้ในรถของพี่เบลล์

ดังนั้นแล้วตัวแปรและความน่าจะเป็นเนี่ยมีเยอะมาก (เริ่มเข้าคณิตศาสตร์ 55+)

ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ย อาจจะไม่มีใครขโมยของใครด้วยซ้ำไป

เพราะ nakoze นอนอยู่ห้องนี่กับแฟนต้าและพี่ลูกเกดมาเป็นเดือน

เงินก็ทิ้งไว้ทั่วห้องตามที่รู้กัน  nakoze เก็บเงินไว้ตรงไหนทุกคนรู้หมด

มันก็เลยอาจเป็นไปได้ว่า ตัวของนีน่าเองเนี่ยเอาแบงค์ $100 ไปแตกซื้อของแล้วจำไม่ได้เองหรือเปล่า

งานนี้จะมีขโมยจริงหรือไม่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

แต่ที่แน่ๆ nakoze เริ่มได้กลิ่นไอดราม่าจางๆลอยมาจากการไป Work and Travel ครั้งนี้แล้วสิ


สำหรับการที่จะเอา pocket money ไป Work and Travel นั้น   ก่อนอื่นต้องไปอ่านรายละเอียดค่าบ้านใน job offer

   ต้องเช็คดูให้แน่ใจว่ามีการเก็บมัดจำค่าบ้านหรือเปล่า? แล้วมัดจำนี้จ่ายอย่างไรเท่าไร ?

จ่ายจากที่ไทยไปเลยหรือไปจ่ายเมื่อถึงบ้านพักแล้ว  ถ้าหากจ่ายเมื่อไปถึงบ้านพักคุณก็ต้องเตรียมเงินไปมากหน่อย

ดูว่าเค้าเรียกเก็บเท่าไร จากนั้นเนี่ยส่วนที่เหลือหากเป็นการไปครั้งแรก ควรเหลือเงินติดตัวไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท

หรือมากกว่า 20,000 บาทก็ยิ่งดี แต่ว่ารักษาเงินให้ดีหน่อยแล้วกัน เพราะถ้าเงินหายขึ้นมาเนี่ย

มันไม่ใช่แค่คุณที่เสียความรู้สึก ถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองเก็บเงินได้ก็ให้เอาเงินไปเปิดบัญชีซะ

ทำไมต้อง 20,000 ?  อย่าลืมว่าการไป work and travel ครั้งแรกนั้น

คุณยังไม่มี SSN และกว่าจะทำเรียบร้อยจนได้บัตรเนี่ย มันจะกินระยะเวลาประมาณ 2 อาทิตย์หรือมากกว่า

อีกทั้งเงื่อนไขของการรับเงินเดือนเนี่ย ถ้าเป็นร้านฟาสฟู้ดส่วนมากแล้วเงินจะออกทุกๆวันที่ 15 และ 30 ของเดือน

ก็คือออกเดือนละ 2 ครั้ง หรือบางที่ก็อาจจะออกทุกๆ 2 สัปดาห์

และช่วง 2 สัปดาห์แรกนี้เองจะเป็นช่วงที่คุณต้องค่อนข้างใช้เงิน ไหนจะซื้อซิมส์โทรศัพท์ใหม่

ไหนจะอุปกรณ์หมอนมุ้งบางที่พักก็ไม่มีให้ต้องจัดการซื้อหากันเอาเอง

ซ้ำร้ายบางที่ทำงานที่นายจ้างเค้าไม่ไปรับที่สนามบิน หรือเกิดเหตุฉุกเฉินตกเครื่องแผนล่ม

รถบัสหมด  ต้องเรียกแท็กซี่จากสนามบินเข้าที่ทำงาน หรือต้องเปิดโรงแรมนอนกลางดึกกะทันหัน

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องไม่คาดคิดที่คุณต้องใช้เงินทั้งนั้น

ดังนั้นแล้วเงิน 20,000 นี้ก็เลยน่าจะครอบคลุมให้คุณพออยู่รอดได้จนเช็คออก

อย่าลืมค่ะเรื่องเงินเนี่ยเผื่อเหลือย่อมดีกว่าขาด





Social Secirity Card (SSC) มีหน้าตาแบบนี้ค่ะ


(ภาพประกอบจาก : //www.fogcityjournal.com/wordpress/4854/how-secure-is-social-security/)

ส่วน Social security number (SSN) ก็คือตัวเลข 9 หลักที่ปรากฏอยู่บนบัตร social security ดังภาพค่ะ

จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว พอไปถึงอเมริกาอย่าเพิ่งรีบร้อนไปทำ SSC ค่ะ

ให้รอประมาณ 5-7 วัน แล้วค่อยไปทำและเช็คที่อยู่สำหรับจัดส่งให้ดี

กรอกที่อยู่ในอเมริกาให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นส่งไม่ถึงก็มีปัญหาตามมาอีก

หลังจากวันที่ไปทำ SSC ส่วนมากก็จะรอประมาณ 1-2 อาทิตย์ก็จะได้รับบัตรกันแล้วค่ะ

ถ้าหากเลย 1 เดือนไปแล้วยังไม่ได้รับบัตรก็ให้รีบไปติดต่อค่ะ ดูว่าเกิดปัญหาอะไรหรือไม่

การไปทำ SSC จะไปทำที่ไหนก็ได้ค่ะ เช่นอยู่ NJ แต่จะไปทำที่ NY ก็ได้

เพียงแต่ถ้าเค้าถามว่าทำไมไม่ทำที่ NJ ก็หาคำตอบดีๆแล้วกันค่ะ



Create Date : 22 กรกฎาคม 2555
Last Update : 22 กรกฎาคม 2555 19:40:32 น.
Counter : 2197 Pageviews.

2 comments
  
โห... กลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยายเลยเนาะ
เรื่องเงินนี่ทำให้เพื่อนแตกคอกันก็มีมามากแล้ว

เรื่องเงินหาย หรือ มีการขโมยเกิดขึ้น เราเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด
แต่ถ้ามีการขโมยเกิดขึ้น ก็ต้องระวังไว้เหมือนกันนะ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงคราวเรา

คนมันจ้อง กับ คนระวัง มันต่างกัน
โดย: เด็กน้อยตัวแสบ วันที่: 2 สิงหาคม 2555 เวลา:12:56:05 น.
  
@ คุณเด็กน้อยตัวแสบ : เดี๋ยวนี้พยายามแนะนำให้น้องๆเก็บเงินกันให้ดีๆ หายขึ้นมาจับมือใครดมไม่ได้ โทษกันไปโทษกันมาปัญหาบานปลายหนัก
โดย: nakoze วันที่: 3 สิงหาคม 2555 เวลา:3:36:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nakoze
Location :
  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]



New Comments