All Blog
◄ Chapter 2 : อันยอง ฮาเซโย Korea !!

แก้ไขเนื้อหา ณ วันที่ 21 Jun 2012


Chapter 2 : อันยอง ฮาเซโย Korea !!



หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหกชั่วโมง เจ้านกยักษ์ก็เริ่มลดระดับเพดานบิน

ตอนนี้แหละ โอ้แม่เจ้า....ปวดหูมากกกกกก มากจริงๆ

คนที่ไม่เคยปวดหูอาจจะไม่เข้าใจว่ามันปวดมากแค่ไหน

ที่ nakoze เคยนั่งเครื่องบินมาก็ไม่เคยปวดหูแบบนี้ อย่างมากที่สุดก็แค่หูอื้อ

อาการหูอื้อนี่เกิดขึ้นกับทุกคนแต่อันนี้คืออาการปวดหู ปวดจนลามไปถึงปวดกระโหลก

ปวดกว่าตอนจัดฟันที่หมอฟันดึงฟันเสียอีก ปวดจนน้ำตาแทบจะไหล nakoze ได้แต่นั่งกุมขมับ

รู้สึกถึงเส้นเลือดที่กระตุกตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ .... แหม กลัวเส้นโลหิตระเบิดจะแย่

10 กว่านาที ที่มีอาการนี้ มันเหมือนกับนานแสนนาน

(อันนี้ไม่ได้เวอร์นะ แต่ถ้าเจอจะรู้ค่ะว่ามันทรมานมากจริงๆ)


nakoze ภาวนาให้หายปวดเร็วๆ เพราะไม่เคยเป็น เลยไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไร

และแล้วโชคก็เข้าข้าง เมื่อล้อเครื่องบินแตะกับพื้นรันเวย์ อาการปวดหูก็หายไป

ทิ้งไว้แต่ .... สภาวะหูอื้อข้างเดียว ที่ทรมาณกูเหลือเกิน ฟังใครพูดก็ไม่ค่อยถนัด ไม่ค่อยได้ยิน

ขอบคุณนะเกาหลี .... ประสบการณ์ ต้อนรับที่แสนเจ็บปวด

และแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เราพลาดทัวร์เกาหลีตอนเก้าโมง

(ถ้าขึ้น Asiana เค้าจะมี city tour ให้ฟรี สำหรับผู้โดยสารที่มา transit)


ทำไงดีหล่ะกู  nakozeมีเพื่อนอีก 6 คน ที่่พาชีวิตเค้ามาลำบากด้วย

แต่เอาวะ!!! ในเมื่อพลาดทัวร์ กูก็ขึ้นบัสไปเองก็ได้ !!!

ท้ายที่สุดเด็กนอก[นอกประเทศไทย] ทั้ง 7 คนก็เลยตัดสินใจไปเมียงดง  แหล่งช็อปชื่อดังของเกาหลี

ด้วยตัวเอง แผนที่ไม่ต้อง สลิงไม่เอา แสตนอินไม่ใช้  หลงจริง ตายจริง !!




ด่านแรกก่อนจะผ่านเข้าไปลั๊นลาในเกาหลีได้ก็คือ ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เค้าว่าโหดนักโหดหนา

(สำหรับผู้โดยสารสัญชาติไทย สามารถเดินตัวปลิวเข้าเกาหลีได้เลยไม่ต้องขอวีซ่า 

ดังนั้นผู้โดยสารที่มาเปลี่ยนเครื่องก็สามารถออกไปเที่ยวได้   โดยไม่ต้องกลับมาโหลดกระเป๋าอีกรอบ

เพราะกระเป๋าที่เช็คอินมาตั้งแต่ไทย จะถูกเช็คทรูตรงดิ่งไปสหรัฐอเมริการอบเดียวเลย)

ตอนเข้าช่องต.ม  ปรากฏว่า nakoze กรอกเอกสารไม่ครบ

แต่โชคดีตอนนั้นไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่ในแถวรอตรวจเข้าเมืองแล้ว

ต.มก็เลยอำนวยความสะดวก ว่าจะต้องกรอกอันไหน ยังไงบ้าง ยืนกรอกอยู่หน้าเคาเตอร์นั่นแหละ

กรอกเสร็จแล้วก็ยื่นให้ต.มแสตมป์ เดินผ่านออกมาจากด่าน อย่างง่ายดาย

ไม่ถามซักคำ ไม่พูด หลับหูหลับตา แสตมป์ให้อย่างเดียว

ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า nakoze มีตั๋วว่ามา transfer เฉยๆ มั๊ง เลยอาจจะง่ายหน่อย

จากนั้น nakoze ก็เดินไปถาม information ว่าจะไปเมียงดง นี่ไปยังไง

ก็ได้ความว่าขึ้นบัสสาย 6015 มันจะไปจอดหน้าเมียงดงเลย

ด้วยความที่ nakoze บ้าเกาหลีอยู่แล้ว (ณ ตอนนั้น) ก็เลยกระตือรือล้นมากเดินอย่างว่อง ออกมานอกสนามบิน

แต่แล้ว !!!!!

........ พอเดินออกนอกตัวอาคารเท่านั้นแหละ เจอลมหนาวเกาหลีพัดใส่หน้าอย่างจัง

โอ้ยเม่งงงงง!!!! จะหนาวไปไหนวะ  แม้วันนี้หิมะไม่ตก แต่ร่องรอยหิมะก็ยังดูหนาอยู่



เหล่าเด็กนอกทั้ง 7 ก็เลยมานั่งรวมกันที่ม้านั่งเพื่อรอรถบัสเข้าเมือง

โดยส่งตัวแทนไปทำภารกิจไปซื้อตั๋วรถบัสมาเรียบร้อย ค่าตั๋วคนละ 10,000 วอน ส่งตรงถึงเมียงดง

จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่คอยมาให้ความสะดวก ขอดูตั๋วแล้วก็อธิบายว่าต้องขึ้นคันไหน ยังไง

แถมช่วยถ่ายรูปให้อีกด้วย แหม่...ดีอย่างนี้ใครจะเกลียดเกาหลีได้ลงคอ

นั่งตัวสั่นเป็นลูกแมวตกน้ำกันได้ไม่นานนักรถบัสก็มาถึง



รถบัสใช้เวลาวิ่งชั่วโมงกว่า ก็ถึงเมียงดงจุดที่ลงคือหน้า Sejong Hotel ซึ่งภายหลังได้รู้ว่าจุดนี้มันจะอ้อม

ถ้าจะมาเมียงดงให้ลงตั้งแต่ป้าย Ibis Hotel แต่เมื่อมาแล้วก็แล้วไป

จากหน้าโรงแรม Sejong เราก็เดินเข้าซอยลัดเลาะไปเรื่อย เจอ 7-11 ของเกาหลี แวะซื้อนมกล้วย

ลองพิสูจน์ดูหน่อยซิ๊ ว่าจะสมราคาคุยหรือเปล่า  ซู๊ดด.....อื้ม .... เอ้ย !! อร่อยหว่ะ อร่อยจริงๆ

แต่แล้วนมกล้วยขวดละ1,000 วอนก็ไม่สามารถยื้อเวลาย่อยของกระเพาะอาหารได้นานนัก

พวกเราก็เลยลงความเห็นกันว่า จะไปหาข้าวกินกันก่อน ดั่งคำกล่าวว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง

และแล้วเราก็ได้เลือกร้านอาหารบ้านๆร้านนึง เจ้าของร้านเป็นคุณป้าท่าทางใจดี

ส่วนขายอะไร และเมนูอะไรนี่ไม่ต้องพูดถึง  มันมีแต่ภาษาเกาหลี อ่านไม่ออกค่ะ จบ!!

แต่แล้วเมื่ออาหารมาเสริ์ฟ  เราก็ได้ถึงบางอ้อว่าอาหารมื้อแรกในเกาหลีของกูมันคือ "อาหารเวียดนาม"

ก็มันถูกดีนี่นา แถมหน้าตาก็ไม่เหมือนอาหารเวียดนามบ้านเราด้วย

หลังจากสำเร็จโทษเจ้าอาหารตรงหน้าเสร็จ   เราก็ถามเจ้าของร้านว่า department store ไปทางไหน

ด้วยความไม่เคยรู้ว่าเมียงดงมันเป็นยังไง มันขายอะไร ก็เลยจินตนาการว่ามันคงเป็นห้างแบบประตูน้ำล่ะมั๊ง

ปรากฏว่าคุณป้าเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่แกก็พยายามสื่อสาร

ผลสุดท้าย เค้าก็ "อ้อ ดี พาร์ท เม้น ทึ สะ โท" โอ้!!! มันมาแล้วสำเนียงโคลิช (โคเรีย+อิ้งลิช)

เออ ทึ ก็ ทึ วะ กูผิดเองง  ที่สำเนียงไม่เกาหลี

การถามทางจากคุณป้านั้นไม่มีประโยชน์เลย

เพราะสุดท้ายแล้วเราก็เดินไหลตามฝูงชน ไปตามทางเรื่อยๆ

จนในที่สุดเท้าของ nakoze ก็เริ่มไร้ซึ่งความรู้สึก

เฮ้ย!! ทำไมมันชาอย่างนี้  ท่านผู้ช๊มมมมมมมมมมมมมมม

นี่มันเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต  มันเป็นสิ่งที่ nakoze โง่มาก

มันเป็นอะไรที่แบบ ว่าเอ่อ เอิ่ม..... มันเหลือเชื่อจริงๆ

ท่านผู้ชมจำได้ไหม ที่nakoze บอกว่าแวะซื้อรองเท้าแตะที่ seacon square .... นั่นแหละ !!!

nakoze กำลังหนีบรองเท้าแตะย่ำอยู่บนหิมะ !!!!!!  


....... กรอเทปย้อนกลับไปเมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว  ตอน nakoze อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เห้ย...รองเท้าผ้าใบเม่งเทอะทะว่ะ  ร้อนก็ร้อน เดินนิดหน่อยเหงื่อก็ออก เท้าเหม็นอีก

ทำไงดีนะ .... คิดออกแล้ว เปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทนแล้วกัน บนเครื่องบินต้องใส่อะไรที่สบายๆ

ว่าแล้ว nakoze ก็เปลี่ยนเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะ แล้วเอารองเท้าผ้าใบใส่กระเป๋าเดินทาง

โหลดลงใต้ท้องเครื่องไปเรียบร้อยโรงเรียนเกาหลี ...


โอเคค่ะ ได้โปรดกลั้นเสียงหัวเราะของคุณไว้  ณ จุดๆนี้ nakoze เจ็บปวดมากจริงๆ

จากที่ตอนแรกแค่เย็นเท้า ต่อมามันกลายเป็นเท้าเริ่มชา ไร้ความรู้สึก

จนมาถึงขั้นสุดยอด มันปวดค่ะ   แต่ nakoze จะทำยังไงได้ กลัวว่าเท้าจะตายก็กลัว ปวดก็ปวด

nakoze ก็เลยตัดสินใจ เดินเหยียบเท้าตัวเองไปตลอดทาง เพราะเชื่อว่าถ้ายังเจ็บ ก็แสดงว่ายังมีความรู้สึก



เราเดินช็อปกันชิวๆ จนเวลาประมาณบ่าย 3 ก็ไปขึ้นรถที่จุดเดิม

หยอดเงินใส่กระป๋องด้านหน้าคนขับ มุ่งกลับสนามบินอินชอน เพื่อขึ้นเครื่องต่อไปยังอเมริกา

พอถึงสนามบินแทนที่จะรีบ  แต่เปล่าเลยค่ะ เรายังไปนั่งกินข้าวต่อได้อีกมื้อนึง

แต่พอกินเสร็จนี่แหละ flight status มันโชว์ว่า final call

โอ้โห!!! นาทีนั้นวิ่งใส่เกียร์หมากันเต็มที่  เฉินหลงชิดซ้าย  อาร์โน ชวานสเนกเกอร์ต้องรีบหลบ

เพราะ nakoze สปีดเร็วกว่านรกเสียอีก

กลุ่มของ nakoze วิ่งมาทันขึ้นเครื่องเป็นคิวท้ายๆพอดี 



พอเครื่องปลดสัญญาณนิรภัย ตาnakozeก็เริ่มปรือเพราะความเพลีย 

จนในที่สุด nakoze ก็เริ่มเข้าสู่โหมดความฝัน นอนกรน ครอกฟี้ ครอกฟี้

เตรียมตัวบินเข้าสู่เขตสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว





อย่างแรกเลยนะคะ nakoze ได้ไปสืบค้นที่มาของอาการปวดหู  และพบว่าสาเหตุหนึ่งของการเกิด

มาจากการที่ก่อนเดินทาง nakoze เป็นหวัดค่ะ!! ไอและมีน้ำมูกไหล 

ซึ่งอาการปวดหูนี้จริงๆแล้วมันมีวิธีบรรเทาค่ะ ลองไปหาอ่านตามอินเตอร์เน็ตดู

ทั้งนี้อาการดังกล่าว nakoze ไม่ได้เกิดทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินนะคะ  ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมา

เคยปวดหูแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว  นอกนั้นแค่หูอื้อตามปกติ ซึ่ง nakoze แนะนำให้พกหมากฝรั่งไปเคี้ยวค่ะ





เวลาขึ้นเครื่องบิน ให้เอาพาสปอร์ตเก็บไว้กับตัวหรือที่ๆสามารถหยิบใช้ได้สะดวก

อย่าเอาขึ้นไปเก็บไว้บน overhead compartment หรือช่องเก็บของเหนือศรีษะค่ะ

เพราะว่าบางครั้งเราจำเป็นที่จะต้องกรอกและดูข้อมูลจากพาสปอร์ตของเราค่ะ





บนเครื่องบินแอร์โฮสเตทจะแจกเอกสาร 2 ชุด

อย่างแรกเป็นเอกสารใบขาเข้า  ส่วนอีกใบนึงเป็นใบสำแดงสิ่งของค่ะ 

ซึ่งใบที่สองนี้ถ้าไม่ได้เอาอะไรที่เค้าห้ามก็ติ๊กที่ช่อง no ให้หมด

ใบแรกจะยื่นให้ตรงด่านตรวจคนเข้าเมือง ส่วนอีกใบนึงจะไปยื่นให้ตรงด่านศุลกากรค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยยืนเก็บ





อันนี้ Special สำหรับคนอยากแวะ stop over หรือ transfer ที่เกาหลีนะคะ


การที่จะแวะ stop over หรือว่า transfer ที่เกาหลีได้ เราต้องใช้บริการของสายการบิน Asiana airlines(OZ)

หรือว่า Korean air(KE) เท่านั้นค่ะ  สองสายการบินนี้ไม่ค่อยต่างกันมากนักในเรื่องของบริการ

แต่ว่าราคาตั๋วของ OZ จะแพงกว่า KE    อีกทั้ง OZ เทอยังเคยได้รับรางวัล the best airline มาแล้ว

ดังนั้นการันตีเรื่องคุณภาพได้ในระดับหนึ่งค่ะ สิ่งที่ต่างกันของสองสายการบินนี้อีกอย่างนึงก็คือ

ถ้าซื้อตั๋วจาก OZ แล้วมีการรอเปลี่ยนเครื่องนานมากๆ ซัก 5-6  ชั่วโมงขึ้นไป

ทางสายการบินมีทางเลือกให้สองแบบ ก็คือให้ไป city tour ฟรีรู้สึกจะพร้อมอาหารกลางวันด้วย

หรืออีกอันนึงก็คือเปิดห้องในโรงแรมใกล้ๆสนามบินให้พักฟรีระหว่างรอ

ส่วน KE นั้นหรือ กระเสือกกระสนเข้าเมืองเองเถอะ!!!  แต่!!การเข้าเมืองนั้นง่ายมากๆ

เพราะมีทั้งรถ airport bus และ Arex หรือคล้ายๆ airport link บ้านเรานี่แหละค่ะ

การที่เราจะ stop over ได้นั้น โดยส่วนใหญ่เราจะทำตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วค่ะ

ก็คือบอกกับเอเจนซี่ขายตั๋วไปเลยว่า จะแวะ stop over กี่วัน วันไหน ถึงวันไหน

เค้าก็จะจัดการให้เรียบร้อยค่ะ  ซึ่งในกรณีที่คุณมา stop over ค้างคืนนี้

เวลาออกจากเครื่องแล้วผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จ คุณจะต้องมารอรับกระเป๋า

แล้วลากกระเป๋าเข้าเมืองติดตัวไปกับคุณด้วย ไม่สามารถเช็คทรูกลับไทยได้

ถ้าไม่อยากลากไปลำบากก็แนะนำให้ไปหาเคาเตอร์รับฝากกันดู

ส่วนถ้าเป็นการ transit , transfer ตอนเช็คอินที่ไทยก็บอกเค้าไปว่าเช็คทรูไปถึงอเมริกาเลย

ทีนี้ไม่ว่าจะเข้าเมืองไปเดินเล่นหรือไม่เข้าเมือง  คุณก็ไม่ต้องพะวงเรื่องกระเป๋า

เดินตัวปลิวเข้าไปช็อปได้เลยค่ะ  แต่ว่า!! อย่าลืมนะคะว่าขากลับจะพกของเหลวขึ้นเครื่องได้

ในปริมาณที่เค้ากำหนด  จะโหลดใต้เครื่องก็ไม่ได้ เพราะไม่มีกระเป๋าค่ะ

อีกในหนึ่งก็ของที่สำคัญๆที่คิดว่าจำเป็นในการเดินเล่น ก็เอาออกมาด้วยค่ะอย่าโง่เหมือน nakoze





เกาหลีช่วงเดือน มี.ค อากาศยังหนาวอยู่ค่ะ ถ้าวัดเป็นเซลเซียสก็จะอยู่ที่เลขหลักเดียว

ดังนั้นเตรียมเสื้อกันหนาวเอาไว้ให้พร้อมค่ะ และที่่สำคัญอย่าเอาเสื้อกันหนาว โหลดใต้ท้องเครื่องเด็ดขาด

เพราะอย่าลืมว่าถ้ามา transit เฉยๆ   เราจะไม่ได้ไปรับกระเป๋าคืนค่ะ

ดังนั้นแล้วรองเท้า ถุงมือ เสื้อกันหนาวจัดให้พร้อมค่ะ  จริงๆแล้วถุงมือถามว่าจำเป็นไหม ?

สำหรับ nakoze นะ   ส่วนตัวเดินไปเดินมาซัก 1-2 ชั่วโมงมันก็ชินเอง

เจ้าบ้านเองเค้าก็แทบจะไม่ใส่ถุงมือเดินไปไหนมาไหนกันหรอกค่ะ


Smiley คลิกเพื่ออ่านต่อ
Chapter 3 : ตูดบาน at Seattle,USA

Smiley คลิกเพื่อย้อนกลับ
Chapter 1 : The Begining Of The Journey



Create Date : 24 มิถุนายน 2553
Last Update : 10 กันยายน 2556 20:39:14 น.
Counter : 2279 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nakoze
Location :
  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 60 คน [?]



New Comments