W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 
บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > อังคาร 15 มีนา 2011


สุดท้าย....เราก็ไม่สามารถยืนหยัดกับสถานการณ์ต่อไปตัวคนเดียวได้ :'(

คำเตือน บล็อคนี้เป็นแค่บันทึกเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่ใช่การรายงานสถานการณ์สดจากโตเกียวแต่อย่างใด

วันนี้เป็นวันแรกหลังจากเกิดเรื่องที่ไม่ได้ตื่นเพราะเจอแผ่นดินไหวปลุกเหมือนวันก่อนๆ หนนี้ตื่นเพราะนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ เพราะต้องลุกมาแต่งตัวเตรียมไปแล็บพบอาจารย์ (นัดกับอาจารย์ไว้เรียบร้อย ค่อยแลดูขยันขึ้นหน่อย) แต่ก่อนจะทำอะไรก็รีบวิ่งมาเช็คข่าวโรงไฟฟ้า 1.2 (= โรงไฟฟ้า Fukushima No. 1 เตาที่ 2) ต่อจากเมื่อคืนซะก่อน

โดยที่ไม่คาดคิดปรากฏว่ามันมีการระเบิดที่โรง 1.2 ไปแล้วเมื่อเช้านี้ รุ่นน้องบ้านอยู่โตเกียว(เขตเดียวกะเราด้วย)ก็บอกว่าได้ยินเสียงระเบิด แต่เราหลับสนิทอ่ะ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เสียงมันดังขนาดนั้นจริงอ่ะ? อยู่ห่างกันเป็นร้อยๆกิโลยังได้ยินอีกเหรอ?? หมายถึงได้ยินเสียงจากข่าวในทีวีหรือเปล่าเนี่ย????

ยังไม่มีข้อมูลมาแน่ชัดว่าสาเหตุการระเบิดคืออะไร แต่เริ่มมีข่าวรายงานถึงปริมาณของสารกัมมันตภาพรังสีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติทั้งบริเวณรอบโรงงานและที่อื่นๆ แม้แต่ที่โตเกียวเองก็มีรายงานว่า ในบางเวลา ที่บางจุด ตรวจพบระดับกัมมันตภาพรังสีสูงกว่าปกติ แต่พอสักพักก็เห็นว่าลดกลับลงไป (ระดับที่ว่าสูงกว่าปกตินั้นยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้)

แค่ข่าวตะกี้สงสัยกลัวเราจะยังตกใจไม่พอ เปิดทีวีมาเจอข่าว NHK ช่วยตอกย้ำความตกใจเข้าไปอีก มีการประกาศขยายวงอพยพผู้คนอย่างเป็นทางการแล้ว จากที่รัศมีในการอพยพผู้คนอยู่ที่ 20 km รอบๆโรงไฟฟ้ามาตลอดจนถึงเมื่อวาน เช้าวันนี้ทำการขยายวงเพิ่มเป็นว่า คนในรัศมี 20 km ห้ามออกข้างนอก และ คนในรัศมีระยะห่าง 30 km ถ้าจำเป็นต้องออกข้างนอกให้แต่งตัวให้มิดชิด ใส่หน้ากากป้องกัน และ กลับเข้าบ้านให้แยกเสื้อผ้าใส่ถุง รีบอาบน้ำ บลาๆๆๆๆ

เจอข่าวรับอรุณสองข่าวแบบนี้เล่นเอาประสาทกินไปเลยว่า โอ๊ย! มันจะอะไรกันนักกันหนา อุตส่าห์เพิ่งจะทำใจได้กับ aftershock คราวนี้มาตรวจเจอรังสี(แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม)ในโตเกียวอีก รีบโทรไปปรึกษากับเพื่อนคนไทยเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในโตเกียว (บริษัทเค้าไม่ได้ประกาศหยุดพรุ่งนี้ แถมทีหลังยังบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปทำงานได้แล้วด้วย) ปรากฏว่าเค้าก็กำลังจิตตกเหมือนเรานี่ล่ะ เราเองก็ชักสับสนว่า เอ! ตกลงจะไปแล็บดีหรือไม่ไปดี? สถานการณ์ตอนนี้มันควรจะเก็บตัวอยู่ในบ้านมิดชิด มากกว่าไปเดินเสี่ยงอะไรที่มองไม่เห็นนอกบ้านหรือเปล่านะเนี่ย?

ก่อนอื่นรีบวิ่งไปปิดพัดลมดูดอากาศกันไว้ซะก่อน แล้วตัดสินใจโทรสายตรงเข้ามือถืออาจารย์เลย (ไม่เคยกล้าโทรเข้ามือถืออาจารย์มาก่อนเลยนะเนี่ย) ทีแรกอาจารย์ยังพูดเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติหนิ วันนี้เค้าก็ไปมหาลัยอยู่ แต่ถ้าเรากังวลก็วันนี้ที่นัดไว้ยกเลิกไปก็ได้ ไว้วันหลังค่อยมาคุยกันเพราะเค้าไปมหาลัยอยู่แล้วล่ะ (เดาว่าเมื่อวานอาจารย์ก็ไปทำงานแน่เลย สมเป็นคนญี่ปุ่น The life must go on หน้าที่ของตัวเอง ยังไงก็ต้องทำต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น)

วางสายจากอาจารย์ก็รีบโทรปรึกษาคุณแฟน สถานการณ์เช้าวันนี้ แม้อะไรๆจะยังไม่ค่อยชัดเจน และดูเหมือนว่าที่โตเกียวก็ยังไม่(น่า)มีผลกระทบ(มาก)เท่าไหร่ก็ตาม แต่ความอดทนของเรามันก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ อุตส่าห์ทนกลัวอยู่คนเดียวมาได้จนถึงวันนี้ เพื่อรอเก็บผลการทดลองก่อน แล้วค่อยดูอีกทีว่าจะขออาจารย์ไปทำรายงานที่ไทยดีมั๊ย มาเจอสถานการณ์รับอรุณวันนี้แล้วความอดทนขาดผึงทันที ไม่ขอสติแตกอยู่คนเดียวอย่างนี้ต่อไปแล้ว

ว่าแล้วก็รีบลงมือเซิร์ชหาตั๋วกลับไทยทันที ในระหว่างที่กำลังหาๆอยู่อาจารย์ก็เมลมาบอกว่าเค้าเพิ่งเช็คข่าวล่าสุดจาก NHK สถานการณ์มัน much worse ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย(แบบชัวร์ๆ)ให้อยู่ที่บ้านกันไป มีตติ้งวันนี้งด!!! (ทีแรก คือ วันนี้ยังมีมีตติ้งตามปกติอยู่ แต่ไม่บังคับ ถ้าใครเดินทางลำบาก อย่างเช่นรถไฟไม่วิ่งก็ไม่มาได้)

ระหว่างที่ยังช่วยกันเช็คตั๋วกับคุณแฟนอยู่ ก็มีเรื่องที่ทำให้ตัดสินใจได้เด็ดขาดยิ่งขึ้นว่าเราคงต้องขอจรลีกลับไทยไปชั่วคราวแล้ว ก็คุณเพื่อนคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่โตเกียวด้วยกันมาจนถึงตอนนี้น่ะสิ เค้าโทรมาบอกว่าเค้าได้ตั๋วกลับไทยแล้วนะ!!! ได้เร็วสุดคือวันพฤหัสนี้ TG ประมาณ 7 หมื่นเยน(ตั๋ว open ด้วย) เนี่ยแปลว่ารอบตัวเรากำลังจะไม่เหลือคนไทย(ที่รู้จัก)อยู่ใกล้ๆกันแล้ว คราวนี้ถ้าเราไม่กลับล่ะก็หัวเดียวกระเทียมลีบของจริง ที่แย่กว่าก็คือคนที่จะช่วยกันตามข่าวแปลข่าวแบบสดๆทันเหตุการณ์ก็จะไม่มีด้วยนี่่สิ

ส่วนตัวก็ลองโทรไป TG เบอร์ที่แชร์ๆกันบ้างเหมือนกันแต่เจอรอสายจนเบื่อเลยเลิก คนยิ่งกำลังร้อนใจอยู่ด้วย เลยหันมาหาตั๋วออนไลน์ในเน็ตเลยเร็วกว่า (ถามอาจารย์แล้ว อาจารย์บอกว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้อนุญาตให้กลับไทยได้ชั่วคราว)

จริงอยู่ว่าอุตส่าห์ทนมาได้ตั้งหลายวันจนป่านนี้แล้ว ก็น่าจะใจเย็นๆต่อไปอีกหน่อย ค่อยๆโทร ค่อยๆติดต่อรอหาตั๋วถูกหน่อยจาก TG ก็ได้ แต่นาทีนั้นนี่คือ มันถึงลิมิตแล้ว ไม่เอาแล้วอ่ะ ถ้ายอมตัดใจกลับไทยแล้วล่ะก็ก็หมายความว่าอยากออกเดินทางทันทีให้เร็วที่สุด ไม่ใช่อยากได้ตั๋วเครื่องบินมากอดให้อุ่นใจเล่น ไม่อยากรอไปอีกวันสองวันให้โรคประสาทกินหัวเอาเล่น แล้วอีกอย่างคือ ถ้าระหว่างที่รอๆอยู่ เกิดสถานการณ์แย่ลงจนถึงขั้นห้ามออกจากบ้านขึ้นมาล่ะจะทำไง สรุปแล้วคือ ตัดสินใจไปแล้วก็ต้องไปทันที ไปมันวันนี้เลย

จากที่เช็คๆมาถ้าจะเอาไฟลท์ที่ออกเร็วๆวันนี้พรุ่งนี้(สำหรับคนไม่มีตั๋วในมือเลย) ราคาตั๋วไปกลับของแต่ละสายการบินราคาพอๆกันที่ประมาณ 18 - 190,000 เยน (โหย! พอซื้อตั๋วไปกลับ โตเกียว-ปารีส ในเวลาปกติได้เลยนะเนี่ย ) แพงจริง แต่นาทีนั้นอะไรก็เอาล่ะ ยังไงก็ยังถูกกว่าราคาตั๋ว TG ตอนวันแรกๆหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวใหม่ๆละกันน่า (ตอนนั้นตั้งเกือบสามแสนเยน)

ทีแรกมีของ Delta เครื่องออก 18:05 วันนี้เลยทันใจดีแท้ แต่ก็กลัวว่ารถจะติดเหมือนวันก่อน หรือ คิว Limousine bus (@shinjuku)จะยาวจนไปขึ้นเครื่องไม่ทัน สุดท้ายก็เลยเอาไฟลท์ที่ออก 11 โมงเช้าพรุ่งนี้ของ ANA แทน (ช่วงนี้คนไทยที่ญี่ปุ่นเค้าบอกกันว่าให้เผื่อๆเวลาการเดินทางไปสนามบินสักครึ่งวัน เพราะรถไฟหยุดวิ่งหลายสาย รวมถึงรถไฟ Keisei line สายที่ใช้ประจำตอนไปสนามบินนาริตะด้วย)

กว่าจะจองตั๋วได้ก็แสนจะลำบากลำบน นามสกุลแบบคนไทย(เชื้อสายจีน)ที่ยาวแสนยาวกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้ง ปกติก็ขำๆนะแต่ตอนรีบๆอย่างนี้นี่นอกจากจะไม่ขำแล้วยังพาลอารมณ์เสียไปอีกต่างหาก กรอกข้อมูลใส่ไปยังไงระบบของ ANA ก็ error พอถึงเวลาจะจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตก็จ่ายไม่ได้อีก เพราะนามสกุลยาวเกินไป แต่พอตัดให้สั้นพอดีก็กลายเป็นว่ามันไม่ตรงกับไอ้ที่เขียนบนหน้าบัตรเครดิตอีก สุดท้ายก็ยอมแพ้เปลี่ยนวิธีมาจ่ายเงินสดที่คอมบินี่แทน

ปล้ำกับตั๋วเสร็จก็ได้เวลาเก็บของกันแล้ว ไฟลท์ออกพรุ่งนี้ก็จริงแต่เราตั้งใจจะออกจากบ้านมันเดี๋ยวนี้ กะว่าไปนอนค้างรอที่สนามบินเลยเพื่อความชัวร์ เผื่อว่าพรุ่งนี้มีเหตุอะไรเกิดขึ้นทำให้ออกจากบ้านไม่ได้ขึ้นมา ทีแรกก็กะจะเอากระเป๋าลากใบเล็กใส่แต่ของจำเป็นติดตัวมาน่ะนะ แต่แล้วความเสียดาย(=ความงก)ก็เริ่มครอบงำ มองไปรอบห้องของรักของหวงมีเยอะแยะ เกิดกลัว(เกินเหตุ)ขึ้นมาว่า ถ้าสถานการณ์มันเลวร้ายสุดๆจนเราไม่ได้กลับมาที่ห้องนี้อีกล่ะ? เราจะต้องทิ้งทุกอย่างที่เป็นความทรงจำของเราไปหมดนี้เลยเหรอ?

สุดท้ายก็ทำใจไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าเดินทางใหญ่แทน อาศัยว่าโยนทุกอย่างรวมกันเป็นกระเป๋าเดียวเลยยังพอจะลากได้ไม่ทุลักทุเลเท่าไหร่ (ไว้ถึงสนามบินจะเช็คอินแล้วค่อยแยกร่างใบที่จะขึ้นเครื่องออกมา) หน้าไม่แต่ง ผมไม่ทำอะไร แต่งชุดที่มิดชิดที่สุดและคาดปากสองชั้น ใส่ถุงมือเรียบร้อย กลั้วคอ(ไม่ได้กินลงไปนะ)ด้วยที่กลั้วคอของญี่ปุ่น(มีส่วนผสมของไอโอดีน ปกติใช้กลั้วคอตอนกลับจากนอกบ้านเพื่อฆ่าเชื้อโรค) แล้วค่อยออกจากบ้าน ทำตามเป๊ะๆตามคำสั่งของคุณแฟน

ขนาดคุณแฟนเค้าบอกเราว่า ให้ใจเย็นๆไว้ ที่โตเกียวสถานการณ์มันยังไม่มีอะไรเลย แต่ก็สั่งให้เราแต่งตัวเผื่อมากันซะเต็มที่เชียว จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้บอกว่า ถ้ามันจะมีอะไรในอากาศที่โตเกียว ณ ตอนนี้จริง มันก็เป็นแค่อนุภาคกัมมันตรังสีชนิดที่ลอยมาติดตามเสื้อผ้าได้เท่านั้น(น่าจะเป็น Iodine-131 ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งพวกนี้ถ้าไม่กินมันเข้าไปก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเอาน้ำล้างก็ออกแล้ว แต่ถ้าใครกังวลมากนัก กลับบ้านก็ให้รีบไปอาบน้ำอาบท่าซะ ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่ไปนอกบ้านก็แยกไปล้างน้ำก่อนเพื่อกำจัดฝุ่นปนรังสีที่อาจจะติดมา(ในกรณีถ้ามันมีอยู่จริงๆ) ก่อนจะนำไปซักตามปกติ

เตรียมของเสร็จก็ได้เวลาไป ยังจำได้แม่นถึงความรู้สึกก่อนจะออกจากห้องที่ผสมปนเปกันไปหลายๆอย่าง มองข้าวของต่างๆและตุ๊กตาตัวโปรดบนเตียง แล้วก็กลัวว่าจะไม่มีวันได้กลับมาอุ้มมากอดมันอีก ทั้งรู้สึกผิดว่าอาหารเพิ่งทำไปเมื่อวานยังไม่ทันได้กินเลย ของสดอีกล่ะ กลายเป็นว่าซื้อมาเสียเปล่า แทนที่จะให้คนอื่นๆเค้าได้ซื้อไปกินไปใช้กันในช่วงเวลาแบบนี้ แถมยังกังวลด้วยว่าชีวิตปริญญาเอกของเราจะต้องมาจบครึ่งๆกลางๆอย่างนี้รึเปล่านะ

ระหว่างที่เดินออกจากแมนชั่นและตลอดทางที่เดินผ่านแถวบ้านก็ได้แต่มองทุกอย่างและถ่ายรูปทุกสิ่งไว้อย่างคนอาลัยอาวรณ์ที่กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นมัน จริงอยู่ว่าอีกไม่นานก็จะเรียนจบ ยังไงก็ต้องกลับไทยอยู่ดีนั่นล่ะ แต่มันไม่เคยคิดมาก่อนเลยหนิว่าจะมีวันแบบนี้โผล่ขึ้นมา วันที่เหมือนต้องหนีจากไปกะทันหัน แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะได้กลับมาอีกมั๊ย (โปรดอย่าถือสาคนกำลังวิตกจริตคิดมาก ถ้าจะว่าไปแล้วก็กังวลเกินเหตุไปจริงๆนั่นล่ะ)


สถานการณ์ในวันนี้ ทั้งๆที่ในข่าว(โดยเฉพาะในหมู่คนไทยและคนต่างชาติอื่นๆ ยกเว้นคนญี่ปุ่นเอง)ดูจะเลวร้ายลง แต่ท้องถนนของกรุงโตเกียวก็ไม่ได้ดูแปลกแตกต่างไปจากปกตินัก ยังเห็นผู้คนออกมาประกอบอาชีพของตัวเองตามปกติ แม้คนอาจไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ (หลายโรงเรียนและบริษัทประกาศหยุด)


ดอกเหมยที่ศาลเจ้าก็ยังบานสวยอยู่ ร้านขายยาที่วันก่อนปิดก็เปิดแล้ว


ร้าน Sushi-zanmai ก็ยังเปิด มีคนมาเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านพร้อมกับบริการพิเศษช่วงนี้มีแบบซื้อกลับบ้านด้วย ดูแล้วพนักงานร้านก็ยังมีสปิริตแรงดีกันอยู่ แต่แอบมองเข้าไปในร้าน ร้านดูมืดๆเพราะนโยบายประหยัดไฟ แล้วก็ไม่เห็นลูกค้าเลย ทั้งที่ปกติร้านนี้ใหญ่และค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว สงสารอยู่เหมือนกันเพราะชอบที่จะเห็นคนขยันทำมาหากินเค้าขายได้และขายดีมากกว่า

เดินลากกระเป๋าไปก็มองบ้านเรือนและผู้คนที่แสนจะคุ้นเคยพร้อมกับสูดอากาศดีๆที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากทุกวันไปด้วย ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกเศร้า เสียใจ และอาลัยอาวรณ์ อย่างบอกไม่ถูก ณ ตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวก็ยังดูเหมือนๆเดิมก็จริง แต่มันจะอีกนานแค่ไหนกันนะ? ด้วยสถานการณ์แบบตอนนี้ อีกไม่นานสภาพที่เราคุ้นเคยนี่ มันจะเปลี่ยนไปไหมนะ? ที่เราตัดสินใจกลับไทย(ชั่วคราว)นี่ เราตัดสินใจผิดไปหรือเปล่า?


ที่มันจี๊ดที่สุดก็คงเป็นตอนที่เดินไปเห็นต้นซากุระสองต้นหน้าสวนอุเอโนะกำลังบานสวยเต็มต้นอยู่นี่ล่ะ (สองต้นนี้บานเร็วกว่าเพื่อนตรงตามที่คาดการณ์เอาไว้เลย) ทั้งๆที่ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่ผู้คนเริ่มสนุกสนานกับการชมดอกไม้สวยๆที่ทยอยกันบานออกมารับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึงแท้ๆ อะไรๆมันไม่น่าจะกลายมาเป็นอย่างนี้เลยนะ


แม้โตเกียวจะไม่ใช่บ้านเกิดของเรา แต่ก็สอนและให้อะไรคนต่างชาติอย่างเราหลายๆอย่าง เป็นที่ๆเรารักและผูกพันกับมันมากรองลงมาเป็นที่สองเลยล่ะ ถ้าไม่ใช่ว่าเราเกิดที่ไทยและครอบครัวเราทุกคน เพื่อนเรา(ส่วนใหญ่)อยู่ที่ไทยแล้วล่ะก็ ถ้าเรามีเราใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่ลำพังตัวคนเดียวแล้วล่ะก็ หลายๆครั้งเราก็คิดว่าชีวิตในญี่ปุ่นน่าจะให้ความสุขและความปลอดภัยกับเราได้มากกว่าด้วยซ้ำ

ประสบการณ์ที่ต้องมาใช้ชีวิตคนเดียวที่นี่มันมีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้น หลายสิ่งที่เราไม่เคยทำได้ก็มาได้หัดได้ทำที่นี่ การได้มาคลุกคลีในสังคมคนญี่ปุ่น ทำให้เราได้เห็นถึงความละเอียด ตั้งใจ และ ใส่ใจในการทำงานของคนประเทศนี้ ใครอาจจะว่าว่าคนญี่ปุ่นซีเรียสกันเกินไปแต่ส่วนตัวแล้วเราเองก็เป็นคนที่ซีเรียสกับการทำงานเหมือนกัน ดังนั้นการที่เค้าตั้งอกตั้งใจทำงานกันแบบนี้ในทุกๆสายอาชีพจึงเป็นสิ่งที่เราชื่นชมมากๆจากใจจริง

การให้ค่าของความพยายาม ไม่เพียงเฉพาะแต่ค่าของผลงานนี่แหล่ะ คือสิ่งที่เรียกกันว่า Japanese style แม้ช่วงแรกๆเราจะไม่ค่อยชอบใจกับธรรมเนียมนี้นัก ออกจะค่อนไปทางติดลบด้วยซ้ำ แต่พอนานวันเข้าเราก็ซึบซับและหันมายอมรับว่าการให้ค่าของความพยายามด้วยมันไม่ใช่สิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างที่เราเคยคิดตื้นๆไว้ แต่สิ่งนี้นี่แหล่ะที่มีส่วนช่วยปลูกฝังนิสัยการตั้งอกตั้งใจทำงานให้คนในชาตินี้

เรื่องการให้ค่าของผลงานน่ะมันเรื่องธรรมดา ใครเก่งใครผลงานดี ถ้าจะได้เครดิตนั้นไปก็เป็นเรื่องสมควร แต่ในสังคมใช่ว่าทุกคนจะเก่งได้เหมือนกันหมดนี่นะ แม้ว่าเราอาจไม่เก่งพอ ไม่สามารถผลิตผลงานดีๆเลิศๆออกมาได้เท่าคนอื่น แต่ถ้าเรามีความตั้งใจจริงล่ะก็ ก็มั่นใจได้ว่าคนญี่ปุ่นเค้าจะไม่มองข้ามสิ่งนั้นไปเฉยๆเช่นกัน ถ้าผลงานคือรูปธรรม ความพยายามก็คือนามธรรม การจะทำให้นามธรรมนี้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ส่วนตัวคิดว่าคุณค่าของความพยายามในสายตาของคนญี่ปุ่น บางทีมันดูจะให้ผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคุณค่าของตัวผลงานซะด้วยซ้ำ

ระหว่างที่เดินลากกระเป๋ามุ่งตรงไปสถานี Ueno ก็ไม่ลืมแวะกดเงิน จัดการจ่ายค่าเช่าบ้านและบิลทุกอย่างให้เรียบร้อย เพราะเราอาจจะกลับมาไม่ทันจ่ายภายในสิ้นเดือนนี้ก็เป็นได้ อย่างน้อยสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้มาพำนักในประเทศนี้ เราก็อยากจะเคลียร์อยากจะทำให้เรียบร้อยไว้

เนื่องจาก keisei ที่วิ่งไปนาริตะหมดรอบวิ่งของวันนั้นไปตั้งแต่เที่ยงๆแล้ว ทีแรกคิดจะนั่งรถไฟไปชินจูกุ(ไม่รู้จะต้องต่อกี่ต่อ)เพื่อขึ้นลีมูซีนบัส แต่คิดไปคิดมากลัวว่าคิวลีมูซีนจะยาวหรือคนเต็ม (ได้แต่คิด เพราะไม่รู้จะถามสถานการณ์ปัจจุบันจากใครในตอนนี้ที่ระบบอะไรๆก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เนื่องด้วยมาตรการประหยัดไฟ) เลยตัดสินใจโบกแท็กซี่ไปนาริตะเอาโต้งๆจากหน้าสถานีอุเอโนะนี่ล่ะ ได้รู้กันคราวนี้เองว่าแท็กซี่จากบ้านเราไปสนามบินนี่มันราคาประมาณเท่าไหร่


คุณลุงคนขับก็รีบลงมาช่วยยกกระเป๋ารถเก็บที่กระโปรงท้ายรถให้ตามธรรมเนียมญี่ปุ่นๆ ผิดคาดว่ารถไม่ติด วิ่งไปได้เรื่อยๆ(น่าจะ)เหมือนปกติเลย (แต่อย่าลืมว่าที่ญี่ปุ่นไม่ซิ่งกันนะ ไม่คุ้มค่าโดนปรับแน่ๆ)


นั่งผ่าน Tokyo Sky Tree ที่กำลังก่อสร้างด้วย เพิ่งเคยมาเห็นใกล้ๆก็หนนี้เองปกติมองไกลๆจากตึกที่แล็บ อ้อ! แล้วที่เคยมีข่าวลือว่าจะย้าย Tokyo Tower ไปที่อื่น คุณลุงคนขับเค้าบอกว่าไม่จริงนะ ต่อให้ Sky Tree เสร็จก็ไม่มีผลอะไรกับ Tokyo Tower ก็มีไว้เป็นสัญลักษณ์ของโตเกียวทั้งสองแห่งนั่นล่ะ


ระหว่างทางก็มีคุยกับคุณลุงโชเฟอร์บ้าง เค้าก็ถามโน่นนี่ตามสไตล์บทสนทนาตามปกติ เช่นว่า เป็นคนที่ไหน? มาเรียนเหรอ? เรียนที่ไหน? เรียนสาขาอะไร? อยู่ญี่ปุ่นมากี่ปีแล้ว? เราก็เลยถือโอกาสถามซะเลยว่า ทั้งๆที่คนต่างชาติอย่างเราๆนี่ตกใจกลัวกับสถานการณ์กันมากจนแทบไม่กล้าออกไปไหน (ก่อนนี้ก็เฝ้าแต่หน้าทีวีเพราะกลัวแผ่นดินไหว ตอนนี้ก็รีบหนีกลัวรังสีอีก ) แต่ทำไมดูแล้วคนญี่ปุ่นในโตเกียวเท่าที่เราเห็นบนท้องถนนก็ยังดูใช้ชีวิตกันปกติ ไม่ค่อยตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้กันเลยล่ะ

คำตอบของคุณลุงนั้นสั้นๆแต่อธิบายทุกอย่างได้หมด ซึ่งจริงๆก็เป็นเรื่องที่เราเองก็คิดได้มาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วล่ะนะ แต่พอมาเจอข่าวใหม่รับอรุณวันนี้ที่(ท่าทาง)แย่ลงยิ่งกว่าเก่าเลยอดแปลกใจขึ้นมาใหม่ไม่ได้ว่า จนขนาดนี้แล้วยังไม่ตกใจกันเลยเหรอ?

คำตอบของคุณลุงเค้าก็คือ>> ก็ตกใจนะ แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้วหนิ (หรือในอีกนัยก็คือว่า เรื่องที่เกิดไปแล้วมันทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่ตกใจ แต่ life must go on ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต้องทำหน้าที่ตัวเองต่อไป) << คำตอบสั้นๆแต่ฟังแล้วซึ้งเลย แล้วก็พลอยรู้สึกห่อเหี่ยวใจอีกรอบไปด้วยที่เราไม่สามารถจะยืนหยัดกับสถานการณ์ไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างที่เคยตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้

เนื่องด้วยรถไม่ติดผิดคาดเลยใช้เวลาแค่ประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงสนามบินแล้ว


รวมค่าทางด่วนก็จ่ายไปเกือบ 22,000 เยนได้ แต่ก็ถึงนาริตะอย่างสบายเลย ไม่ต้องไปงมรถไฟว่าสายไหนวิ่งสายไหนไม่วิ่ง ไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงสถานี ไม่ต้องไปต่อหรือแย่งคิวลีมูซีนบัสกับใครเค้า (ปกตินั่งรถไฟแค่ 1000 เยนเอง ที่นั่งแข็งๆเมื่อยๆ) ถึงตอนลงคุณลุงก็รีบลงมายกกระเป๋าลงให้อย่างดีก่อนแยกจากไป แอบเป็นห่วงว่าจะมีลูกค้าขากลับเข้าเมืองไหมหนอ ไม่งั้นวิ่งกลับไปรถเปล่าๆเสียเที่ยว เปลืองน้ำมันแย่เลย


ถึงนาริตะแล้วทีนี้ก็สบายนั่งรอเวลาลูกเดียว จริงๆดูเวลาแล้วทันไฟลท์ Delta ตอนหกโมงเย็นด้วยนะเนี่ย แต่ทำไงได้ล่ะ ตอนจองมันไม่รู้หนิ เกิดมีเรื่องให้มาไม่ทันตกเครื่องเอาจะยิ่งยุ่งยากไปซะเปล่าๆ

บรรยากาศที่สนามบินนาริตะวันนั้นดูมืดๆกว่าปกติเพราะมีการดับไฟบางส่วนตามมาตรการประหยัดไฟของ TEPCO แต่ถึงจะดูมืดไปนิดแต่ผู้คนก็คึกคักกันดีมาก


แล้วก็ไม่ใช่คึกคักแบบธรรมดาๆซะด้วยนะ แต่สนามบินตอนนี้ดูเผินๆเหมือนเป็นที่ตั้งแคมป์ของคนต่างชาติไปซะแล้ว คนที่จะรีบหนีออกจากประเทศเลยมารอตั๋วว่างเอย คนที่มีตั๋วแล้วแต่จะมาเลื่อนตั๋วให้เร็วขึ้นเอย ต่างๆนาๆก็พากันมานั่งๆนอนๆอยู่ตามเก้าอี้ตามเสา(และตามปลั๊กไฟ)เต็มไปหมด


บางคนก็ปูเสื่อปูสาด มีถุงนอนมานอนกันเป็นจริงเป็นจังเลย (ยังขาดแต่เต๊นท์ที่ไม่เห็นใครมากาง) แทบจะทุกปลั๊กไฟจะต้องเห็นมีอะไรถูกเสียบชาร์ตคาอยู่ ส่วนใหญ่ก็มือถือกับโน้ตบุคนั่นล่ะ (ในสถานการณ์ปกติไม่น่าทำอย่างนี้ได้โจ่งแจ้งขนาดนี้น่ะนะ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย)


สำหรับเราแล้วเริ่มด้วยการหาของกินก่อน ตื่นมามัวรีบหาตั๋วเครื่องบินทั้งข้าวทั้งน้ำยังไม่ได้กินอะไรเลยสักกะคำ


กินเสร็จก็ไปหามุมเหมาะๆปักหลักกะเค้ามั่ง จุดที่นั่งอยู่สัญญาณ wifi (ฟรีของสนามบิน)แทบไม่มีเลย จะเล่นเน็ตก็ได้แต่ผ่าน 3G ของ iPhone ลงท้ายเลยเลือกที่จะฆ่าเวลาอันเหลือเฟือด้วยการมานั่งพิมพ์บันทึกความทรงจำอันแสนยาวนี้แทน (มีการย้ายวิกหนนึงเพราะแบ็ตโน้ตบุคหมด เปลี่ยนมานั่งพื้นแข็งๆแต่มีปลั๊กไฟอยู่ข้างๆตามในรูป แถวนั้นคนน้อยเลยได้ปลั๊กว่างมาสองอันเลย)


ก็เป็นอันเฉลยตรงนี้เลยนะว่าเอาเวลาที่ไหนมาเขียนบันทึกยาวยืดยาดพวกนี้ ไม่ใช่ว่ากลับไทยมาเพื่อนั่งเขียนบันทึกไร้สาระอย่างนี้หรอกนะ หอบรายงานที่โน่นกลับมาเขียนที่ไทยอยู่ ส่วนบันทึกนี่ก็แค่ตรวจทานที่เขียนไว้แล้ว แล้วก็อัพขึ้นบล็อคไป

จริงๆแล้ว อยู่ที่สนามบินนี่ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าตอนอยู่ที่บ้านเยอะเลยล่ะ เรื่องความสะดวกสบาย แน่อยู่แล้วว่าที่ไหนจะสะดวกไปกว่าที่บ้านตัวเองที่มีเตียงแสนนุ่มได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ได้มีคนอื่นๆอยู่รอบๆเนี่ยมันรู้สึกอุ่นใจขึ้นกว่าอยู่ตัวคนเดียวเยอะๆๆเลย แถมอยู่ที่สนามบินนี่ aftershock อะไรแทบไม่รู้สึก(ก็ตึกไม่สูงนี่นะ) จนต้องมีคนส่งแมสเซจมาบอกว่าตอนประมาณ 22:40 เกิด aftershock แรงมาก ที่โดนไปหนักสุด 震度6強 Shindo 6+ อยู่ตรง Shizuoka 静岡 (จังหวัดนี้แม้ไม่ติดโตเกียว แต่ก็ถือว่าไม่ไกลกันมาก ใกล้โตเกียวมากกว่าแถบ Tohoku) นี่แหล่ะถึงค่อยจะรู้ว่า อ้าว!ตะกี้แผ่นดินไหวหรอกเรอะ ไม่เห็นรู้สึกเลย แล้วค่อยเปิด iPhone เช็คดู (รู้สึกว่าแถวบ้านเราโดนไป 震度3 ก็ไม่แรงมากน่ะ พอทนๆ)

พอดึกๆไปก็มีเจ้าหน้าที่ของสนามบินเดินมาแจกน้ำและขนมให้ทานกันด้วย ขนาดว่ามาขออาศัยนั่งๆนอนๆฟรีๆรอเวลา (แถมยังใช้ห้องน้ำด้วย) ยังอุตส่าห์มาคอยดูแลป้อนขนมกันให้ด้วยนะเนี่ย



ช่วงดึกนี่มองไปทางไหนก็หลับกันเป็นจริงเป็นจัง หลับกันทั้งกรุ๊ปไม่เหลือใครตื่นคอยเฝ้าของเฝ้าอะไรเลย ถอดรองเท้าปูที่นอนกันเรียบร้อยเชียว แต่เรามาคนเดียวน่ะนะไม่กล้านอนหลับก็ได้แต่นั่งพิมพ์บันทึกฆ่าเวลาไปอย่างนี้


พอดึกขึ้นอีกช่วงที่ใครๆพากันนอนกันซะเป็นส่วนใหญ่แล้วเค้าก็ปิดไฟให้นอน (เอ หรือปิดเพื่อประหยัดไฟก็ไม่รู้แฮะ) แล้วในช่วงมืดๆนี้ก็จะมีคนของทางสนามบินคอยเดินรักษาความเรียบร้อยต่างๆให้เป็นระยะๆ (ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของเค้าแท้ๆนะ ที่ต้องมาเดินดูคนนอนกันตามกำแพงตามซอกหลืบในสนามบิน แต่เค้าก็ยังทำให้ เราก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เหตุการณ์ในครั้งนี้มันรุนแรงเหมือนที่กังวลกันในหมู่วงศาคนาญาติคนไทยที่ไทยตอนนี้เลย สาธุ๊ คนเค้าทำดีอย่างนี้ ไม่อยากให้ต้องมาเจออะไรร้ายๆเลย)


อัพเดตสุดท้ายของวันนี้ จากการเช็ค FB โดยคร่าวๆ นักเรียนไทยในแถบโตเกียวและปริมณฑลตอนนี้เผ่นกลับไทยกันเกือบหมดแล้ว คนที่อุตส่าห์อพยพไปถึงคันไซแล้ว เพิ่งจะนั่งชินคันเซ็นไปถึงโอซาก้าวันนี้เองแท้ๆก็เปลี่ยนใจจองตั๋วกลับไทยเอาซะดื้อๆ (ทีแรกก็งงว่าทำไมต้องลงทุนถ่อไปขึ้นเครื่องบินถึงที่โอซาก้าด้วยแฮะ?) คนที่เมื่อวานยังเห็นบอกว่าได้ตั๋วกลับไทยมะรืนนี้ วันนี้ไหงบอกว่าอยู่เคาเตอร์เช็คอิน TG ซะแล้ว (เห็นว่าได้ตั๋วแคนเซิลมาพอดี จ่ายไปแค่ประมาณ 7 หมื่นกว่าเยนเอง)

พูดๆไป เราเองก็คนนึงในนั้นแหล่ะ เมื่อวานยังไม่มีแพลนจะกลับไทยอยู่ในหัวเลยแท้ๆ กำลังฮึดขึ้นมาทำงานได้ที่เลย ฉุกละหุกวันนี้มานอนสนามบินนาริตะรอขึ้นเครื่องกะเค้าซะแล้ว ใจนึงก็เสียใจนะที่เราไม่สามารถยืนหยัดกับสถานการณ์ได้มากกว่านี้ ให้เหมือนคนญี่ปุ่น ให้เหมือนอาจารย์เรา(และครอบครัวของเค้า) กะทันหันก็เกิดยอมแพ้ตัดใจละทิ้งหน้าที่ของเราที่นี่ไปชั่วคราวหอบส่วนที่พอจะหอบได้กลับไปทำที่ไทยแทนซะงั้น --> จริงๆเรื่องว่าควรกลับหรือไม่ควรกลับ ระหว่างอารมณ์กับเหตุผลนี่ ต้องพูดกันยาวเลย ขอยกยอดไว้ในบันทึกสุดท้ายของวันสุดท้ายในญี่ปุ่น(ก่อนจะเดินทางกลับไทยชั่วคราว)ในบล็อคหน้า

ตอนนี้ขอสรุปเพียงแค่ว่าคืนนั้นทั้งคืนใช้เวลานั่งพิมพ์บันทึกทั้งหมดนี่อยู่คนเดียว ท่ามกลางคนแปลกหน้าที่นอนหลับปุ๋ยกรนฟี๊ดๆบนพื้นสนามบิน ช่วงที่อยู่สนามบินนี้เองก็พลอยถูกตัดขาดจากการดูข่าว NHK ไปโดยปริยาย โรงไฟฟ้า 1.2 ที่ระเบิดเมื่อเช้าสืบได้คืบหน้าอะไรถึงไหนบ้างก็ไม่รู้แล้ว ที่แน่ๆคือยังไม่มีเหตุฉุกเฉินอะไรเกิดที่โตเกียว แต่พูดก็พูดเถอะ ได้ห่างพวกข่าวเครียดๆพวกนี้มาซะบ้าง ก็ช่วยให้ใจเย็นและรีแล็กซ์ลงได้เยอะเลยล่ะ (แต่จะเปลี่ยนใจไม่กลับไทยตอนนั้นก็ช้าเกินไปซะแล้ว)

----------------------------------------------------------------------

รวมบันทึกทั้งหมดของเหตุการณ์นี้

1. บันทึก จากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > ศุกร์ 11 มีนา 2011
2. บันทึก จากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > เสาร์ 12 มีนา 2011
3. บันทึก จากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > อาทิตย์ 13 มีนา 2011
4. บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > จันทร์ 14 มีนา 2011
5. บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > อังคาร 15 มีนา 2011
6. บันทึกจากโตเกียว > 6วันในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึนามิ และ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ > พุธ 16 มีนา 2011

----------------------------------------------------------------------

ทั้งหมดถ่ายด้วย Sony NEX-5 + Sony Alpha E 18-55 OSS โหมด P โลด ค่า ISO, WB ทุกอย่างจัด auto ไปให้หมด ถือกล้องมือเดียวแล้วกดทุกภาพ (รู้สึกว่ามือไม่นิ่งเอาซะเลย ภาพหาความคมแทบไม่ได้) ย่อเอาง่ายๆด้วย photoscape


>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด



Create Date : 25 มีนาคม 2554
Last Update : 12 เมษายน 2554 23:33:32 น. 1 comments
Counter : 2177 Pageviews.

 
ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ

ยังไงผมว่าสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นน่าจะค่อยๆทรงตัวและดีขึ้นในที่สุดเองครับ ^ ^


โดย: kirofsky วันที่: 27 มีนาคม 2554 เวลา:15:06:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.