W H I T E A M U L E T
Group Blog
 
All blogs
 
[[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 2: กินเนื้อโกเบ ทำโรแมนติค(อยู่ได้คนเดียว) ที่ Harborland


>> คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ใน OneDrive

ได้เวลามาต่อจากบล็อคที่แล้วเสียที จบตอนที่แล้วเจอแดดแรงๆบนภูเขาของญี่ปุ่นเล่นเอาเหนื่อยหมดแรงไปเลย ด้วยสังขารที่ไปไม่ไหวเลยต้องตัดโปรแกรมบางอย่างออกไป และไปต่อกับจุดหมายสุดท้ายของวันที่ถือเป็นไฮไลท์สำหรับการมาโกเบอย่างนึงเลย

ตอนขามาใช้ตั๋วที่มาคู่กับตั๋วชินคันเซนนั่งรถมาได้(เพราะตีตั๋วขามายาวจาก 東京 Tokyo ไปจนถึง 西明石 Nishi-akashi โน่นเลย) แต่ตอนขากลับจำเป็นต้องซื้อบัตรเองแล้ว..จริงๆก็มีวิธีตุกติกง่ายๆอยู่นะ แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ก็ไม่อยากไปเอาเปรียบทางรถไฟเค้าเท่าไหร่

ขนาดว่าอยู่ญี่ปุ่นมาสี่ปีก็ยังเกิดอาการงงๆซื้อตั๋วไม่ได้กะเค้าเหมือนกัน ปกติที่โตเกียวจะให้กดอะไรจนเสร็จก่อนแล้วค่อยขึ้นราคามาให้หยอดเงินแล้วตั๋วก็จะออกมา แต่ที่นี่นี่ถ้าไม่หยอดเงินเข้าไปก่อนมันก็กดไม่ไปเสียที งงๆอยู่นานว่าทำไมซื้อตั๋วไม่ได้กว่าจะรู้เรื่องนี่ต้องแอบเหล่คนที่ตู้ใกล้เคียงเอา


เก็บตกกันสักนิด สัญลักษณ์ของ IC card ที่โกเบนี่จะเป็นตัว Kobe PiTaPa อย่างที่เห็นในรูป (ส่วนว่ามันคือตัวอะไรนั้น จขบ ขี้เกียจไปค้นแล้ว) และหลังๆมานี้ IC card พวกนี้นอกจากใช้ขึ้นรถไฟ รถบัสได้ ก็ยังใช้แตะปิ๊ดๆซื้อของในพวกร้านที่มีเครื่องแตะได้ด้วย เรียกว่าพกใบเดียวสารพัดประโยชน์ครบวงจรเลย


ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่าประเทศญี่ปุ่นเค้ามีการ์ตูนอยู่ในวัฒนธรรม พวก IC card (ขอเน้นเฉพาะพวกรถไฟละกันนะ) ที่ใช้ในแต่ละภูมิภาคก็เลยจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปด้วย ถือเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ IC card หลักๆสำหรับรถไฟในญี่ปุ่นมีประมาณ 11 ชนิดตามภาพ มีทั้งของ JR และของบริษัทอื่นๆ (มียิบๆย่อยๆอีกหลายอัน แต่รวมมาไม่ไหวแล้ว) ส่วนที่ว่าอันไหนใช้กับอันไหนได้นี่ขอละไว้ในฐานที่(ไม่)เข้าใจ เพราะ จขบ เองก็ขี้เกียจไปหาเหมือนกัน (ขนาดตอนถาม จนท ที่ขายตั๋วชินคันเซนเค้ายังต้องเปิดเว็บหาให้วุ่นเลย)

Credit: //ja.wikipedia.org/wiki/%E3%83%95%E3%82%A1%E3%82%A4%E3%83%AB:ICCard_Connection.png


ที่น่าสนใจสำหรับ จขบ ก็คือ IC card แต่ละใบเนี่ยมีมาสคอตน่ารักๆ(ซะส่วนใหญ่)เป็นของตัวเองด้วย ของบริษัทรถไฟ JR พอจะสรุปคร่าวๆได้ดังนี้ (เห็นแล้วน่าสะสมเป็นคอลเลคชั่นเหมือนกันนะ แต่ท่าจะไม่ไหวแฮะเยอะจริงๆ)

  • JR東日本ほか Higashi-nihon-hoka เรียกว่า Suica มาสคอตตัวเพนกวิน (ที่โตเกียวใช้อันนี้)

  • JR西日本 Nishi-nihon เรียกว่า Icoca มาสคอตหน้าตาคล้ายตุ่นปากเป็ด

  • JR北海道 Hokkaido เรียกว่า Kitaca มาสคอตกระรอกบิน

  • JR東海 Tokai เรียกว่า Toica มาสคอตลูกเจี๊ยบ

  • JR九州 Kyushu เรียกว่า Sugoca มาสคอตรูปกบ




  • Credit: เยอะแยะมากมาย สรุปว่าหาจาก google.co.jp

ส่วนด้านล่างนี้จะไม่ใช่ของบริษัท JR แล้ว (รายละเอียดไปกูเกิ้ลหาได้ตามสะดวก)

  • 関西ほか Kansai-hoka เรียกว่า PiTaPa ถ้า Kobe PiTaPa ก็มาสคอตหน้าตาคล้ายต้นถั่ว(ไม่รู้ตัวอะไร ขี้เกียจหาแล้ว) ส่วนถ้าเป็น Osaka PiTaPa ก็ทานูกิหรือแร็คคูนสักอย่างนี่ล่ะ

  • 広島地区 Hiroshima-chiku เรียกว่า Paspy มาสคอตเป็นรูปหมีสีเทา

  • 関東 Kanto เรียกว่า Pasmo มาสคอตเป็นหุ่นยนต์สีชมพู (ที่โตเกียวก็ใช้อันนี้เหมือนกัน)

  • 福岡市 Fukuoka-shi เรียกว่า はやかけん Hayakaken มาสคอตตัวอะไรสักอย่าง หน้าคล้ายพวกมิกกี้เม้าส์

  • 西日本鉄道 Nishi-nihon-tetsudo เรียกว่า Nimoca มาสคอตตัว ferret

  • 高松 Takamatsu เรียกว่า Iruca มาสคอตเป็นตัวโลมาสีน้ำเงิน

  • 名古屋 Nagoya เรียกว่า Manaca มาสคอตเป็นหน้ายิ้มกลมๆธรรมดา

  • Urara มาสคอตคล้ายกระรอกบินอีกแล้วเป็นญาติกับ JR Kitaca หรือเปล่าก็ไม่รู้ อันนี้บังเอิญหาเจอไม่รู้ใช้ที่ไหนยังไง อาจจะไม่ใช่กับรถไฟก็ได้ (หาจนมึน)





  • Credit: เยอะแยะมากมาย สรุปว่าหาจาก google.co.jp

ออกนอกเรื่องไปซะไกล ขอกลับๆๆมาที่สถานีรถไฟที่โกเบก่อน ป้ายโปสเตอร์นี้ตอนมองก็ไม่คิดอะไร แต่เพิ่งมารู้ตอนกลับจากเที่ยวว่าพลาดไปซะแล้วกับเจ้าหุ่นยักษ์ 鉄人 Tetsu-jin นี่ (ดีว่ามีโอกาสแก้ตัวกลับไปเก็บตกที่โกเบเร็วๆนี้นะเนี่ย) ถ้าที่โตเกียว(เคย)มีหุ่นยักษ์กันดั้ม (ดูที่ บล็อคนี้) ที่โกเบก็ไม่น้อยหน้ามีหุ่นยักษ์ Tetsu-jin กะเค้าเหมือนกัน หนหน้าไม่พลาดต้องไปถ่ายรูปหุ่นยักษ์หน้าตลกๆนี่มาให้ได้เลย(ถ้ามันยังแสดงอยู่นะ)


ส่วนจุดหมายที่กำลังจะมุ่งหน้าไปอยู่นี้คือแถวๆ Harborland ハーバーランド เพื่อไปถ่ายรูปวิวกลางคืนของท่าเรือโกเบสวยๆ จากการหาข้อมูลสามารถเลือกไปลงได้หลายสถานี แต่ จขบ เน้นว่าไปหาจุดถ่ายวิวโดยเฉพาะเค้าก็แนะนำกันว่าให้มาถ่ายที่ MOSAIC モザイク จะดีที่สุด ก็เลยเลือกลงที่สถานี Harborland ハーバーランド แล้วเดินต่อไปจนถึง MOSAIC แต่ถ้ากะจะไปถ่ายรูประยะประชิดกับ Kobe Tower สีแดงๆ (ชื่อนี้ จขบ ตั้งให้เองนะ เอาไว้เรียกง่ายๆ จริงๆเค้าเรียกว่าอะไรกันก็ไม่รู้) รู้สึกว่าไปลงตรงสถานี Meriken Park จะดีกว่า

จากสถานีไปถึง MOSAIC ก็เป็นระยะทางไกลอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากแดดร่มลมตกแล้วเลยเดินชิวๆได้ กางแผนที่ที่เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟให้มาแล้วก็เดินตรงไปเรื่อยๆ บรรยากาศแถวนี้ให้ความรู้สึกคล้ายแถบ Odaiba ของโตเกียวมาก ประมาณวิวสวยๆ ลมทะเล(?)เย็นๆ บรรยากาศดูชิวๆสบายๆเหมาะสำหรับคู่รักมาจูงมือเดินเล่นกัน และ ที่สำคัญคือเป็นจุดชมวิวงามๆประจำเมืองด้วย หุ่นเอลวิสด้านล่างนี้เป็นหนึ่งในของประดับรายทางที่ จขบ แชะมาได้ระหว่างทางเดินไป MOSAIC (อย่างอื่นก็มีนะ แต่เหนื่อยเลยเริ่มขี้เกียจถ่าย)


ส่วนฝาท่อนี้ก็แชะมาเป็นที่ระลึกเหมือนกันเพราะฝาท่อแต่ละเมืองก็จะมีลวดลายแตกต่างกันไป (มีใครเคยรวบรวมทำเนียบฝาท่อระบายน้ำทั่วโลกไว้บ้างไหมเนี่ย?) จากการเดาเอาล้วนๆ หอคอยที่มีไก่อยู่ตรงกลางน่าจะเป็น Weather Cock House ที่ Kitano Ijinkan ที่ จขบ กะจะไปแต่ไปไม่ไหวเมื่อบล็อคที่แล้ว ส่วนมุมบนซ้ายก็ Kobe Tower ที่กำลังจะไป ส่วนที่เหลือนั้นดูไม่ออกแล้วเหมือนกัน


บรรยากาศดีๆลมเย็นๆ เดินเดี๋ยวเดียวก็ถึง MOSAIC แล้ว มาง่ายกว่าที่คิดซะอีก แค่เดินๆตามผู้คนมาก็เจอ (จะยากหน่อยก็ตอนอยู่ในสถานีรถไฟ เพราะทางออกของสถานีนี้เยอะมากๆ ไม่ถามเจ้าหน้าที่นี่เลือกออกไม่ถูกกันเลย)


จขบ นั้นถึงจะหาข้อมูลมาบ้างแต่ก็หามาไม่ละเอียด จำไม่ได้เหมือนกันว่าจุดถ่ายรูปที่ว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของ MOSAIC แฮะ เห็นตัวตึกนี่ยาวเฟื้อยไปตลอดแนวถนนเลย อาศัยยืนสังเกตการณ์สักแป๊บ เห็นกี่คนๆก็เดินขึ้นบันไดตรงนี้กันหมด ก็เลยว่าไปตามคนส่วนใหญ่ละกัน (วันนั้นเหนื่อยแล้วอ่ะ ไม่อยากเดินหลงทางไปไหนไกลๆอีก)


ขึ้นมาถึงที่ชั้นสองก็ดูเหมือนจะโป๊ะเชะเป็นตรงจุดชมวิวที่เค้าพูดถึงกันพอดีเลย มองไปทางด้านซ้ายจะเป็นทางเข้าไปยังร้านรวงต่างๆมากมาย ส่วนที่เหลือทางด้านขวาจะเป็นที่เปิดโล่งให้นั่งเล่นกัน มีสวนสนุกเล็กๆ และ มีของประดับสวนประมาณในรูปล่าง (จริงๆต้องถ่ายตอนเค้าเปิดไฟแล้วถึงจะสวย)


จากที่ขึ้นบันไดหินมา ถ้ามองตรงไปข้างหน้าก็จะเห็นวิวชายทะเล(คิดว่าใช่นะ หรือว่าเป็นแม่น้ำหรืออ่าวอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน) และชิงช้าสวรรค์ใหญ่ๆอย่างนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเหมือนของที่นี่กับ Odaiba @Tokyo บรรยากาศเดียวๆกัน มีชิงช้าสวรรค์เหมือนๆกันเลย แถมมาถึงได้จังหวะพอดีพระอาทิตย์ใกล้จะตกเลยได้เห็นแสงสวยๆฟ้าสวยๆตอนเย็นๆด้วย (จะว่าไปเห็นชิงช้าสวรรค์ที่นี่แล้วนึกถึง London Eye เหมือนกันนะ แต่อันนี้น่าจะเล็กกว่า คุ้นๆว่า London Eye นี่ใหญ่มาก ขนาดเลนส์ ultra wide ยังเก็บมาไม่ค่อยจะหมดเลย)


เดินตรงไปทางฝั่งทะเลก็จะเป็นระเบียงยาวบรรยากาศชิวๆให้คนนั่งเล่นรับลม ชมวิว และถ่ายรูปกัน


ระเบียงชั้นสองที่ว่านี้จะยาวววววไปจนถึงเกือบสุด MOSAIC เลย(เดาเอานะ) มองเยื้องจากชิงช้าสวรรค์ไปฝั่งตรงข้ามทางด้านซ้ายจะเห็น Kobe Tower สีแดงๆโผล่มาในภาพแล้ว ถ้ามากับแฟนแล้วมานั่งกินข้าวร้านแถวนี้ก็คงโรแมนติคไม่เบาเลย นั่งๆกินไปมองวิวผ่านกระจกดูแสงสีสวยๆของเมืองโกเบยามค่ำคืน อารมณ์เดียวกับกินข้าวที่ Aqua city @Odaiba แล้วดูวิวหอโตเกียวกับ Rainbow Bridge ตอนกลางคืนเลยหนิ >.< (คู่ในภาพยืนขวางทางเลนส์ดีนักจับมาเป็น subject ซะเลย ถ้าคุณแฟนอยู่ด้วยก็คงจับมาถ่ายรูปคู่กันตรงนี้แล้วเหมือนกันเนี่ย)


วิวฝั่งตรงข้าม MOSAIC นี่ล่ะที่เป็นหนึ่งในวิวกลางคืนไฮไลท์ของเมือง Kobe ณ ตอนที่ไปถึงฟ้ายังไม่มืดก็ฝึกมือและหามุมถ่ายแสงยามเย็นไปพลางๆ ตึกทรงกลมๆในภาพคือ Oriental Hotel (อยู่ริมฝั่งบรรยากาศโรแมนติคแบบนี้ ค่าที่พักแพงแหงๆ) ส่วนเรือที่จอดอยู่นั้นเป็นเรือชื่อ Con... อะไรสักอย่างเดาว่าน่าจะ Continental .... อะไรนี่ล่ะ จากการคุยกับคุณลุงตากล้องชาวญี่ปุ่นเห็นว่า จขบ มาที่นี่ได้จังหวะเหมาะมาก เพราะวันนี้มีตากล้องหลายๆคนมาที่นี่เพื่อจะเก็บภาพจังหวะที่มีเรือนี่มาจอดตรงนี้ช่วยเพิ่มแสงสีสวยๆให้กับวิวตรงนี้ในตอนกลางคืน


ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกฟ้ากำลังสีสวยเลย ได้ภาพ Kobe Tower ในโทนอุ่นๆมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกในสต็อครูปภาพอีกหนึ่งใบ


เพื่อที่จะถ่ายวิวฝั่งตรงข้ามได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น จขบ ก็ตัดสินใจเดินลงมาตรงที่ราบด้านล่างแทน (คือ ด้านบนมันที่แคบหน่อย แถมคนก็ยืนๆนั่งๆขวางทางเลนส์กันเยอะ) ตรงนี้จะต่างกับ Odaiba หน่อยเพราะไม่มีหาดทรายให้เดินเล่น (และไม่มีสุมทุมพุ่มไม้ให้คู่รักได้แอบไปซ่อนและจู๋จี๋กันกลางแจ้งด้วย ถ้าที่ Odaiba นี่มืดลงหน่อยเห็นประจำ บางคู่ก็จู๋จี๋แบบเห็นกันจะๆกลางชายหาดเลย)


แถวนี้รูปจะซ้ำๆหน่อยนึง ก็เป็นไฮไลท์หนินะก็ต้องถ่ายกันหลายจังหวะหน่อย แล้วนอกจากวิวพวกนี้ก็ไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้ว (วางแผนสำหรับที่นี่มาแค่นี้อ่ะ) รูปนี้คุณลุงชาวญี่ปุ่นสาวก DSLR Nikon ช่วยกดให้เป็นที่ระลึกว่า จขบ มาถึงที่นี่แล้วจริงๆนะ สังเกตว่าแฟลชจะสาดอยู่แค่ช่วงครึ่งตัวบน ทีแรกก็นึกว่าแฟลชหัวกล้องมันสาดแสงไม่ทั่วอย่างนี้เอง แต่มานึกอีกทีคงเพราะเลนส์และฮู้ดเลนส์มันใหญ่บังแสงแฟลชหัวกล้องไปบางส่วนมากกว่า เนื่องจากทริปนี้ไม่ได้แบกแฟลชแยกมา(แบกไม่ไหวแล้ว)ก็ต้องเลยตามเลย มืดครึ่งตัวก็ยังดีกว่ามืดตื๋อทั้งตัวละกัน


แถวๆนี้จะเริ่มกางขาตั้งกล้องที่อุตส่าห์แบกมาแล้ว(จริงๆเป็นขาตั้งกล้องเล็กใช้ตั้งแต่สมัยกล้องคอมแพ็ค แต่กล้องกับเลนส์ตัวปัจจุบันก็ยังพอไหวถ้าไม่ติดแฟลชแยกและไม่ถ่ายแนวตั้ง ขาตั้งใหญ่ๆก็มีแต่ขี้เกียจแบก) ฟ้ากำลังแดงๆม่วงๆได้ที่ แล้วก็มีเรือสีชมพูๆ(คล้ายเรือที่ Hakone เลยนะ)แล่นผ่านมาเป็นพร็อบพอดีด้วย


จขบ ก็หันกล้องซ้ายๆขวาๆแชะไปเรื่อยๆรอเวลาฟ้ามืดสนิทเพื่อเก็บภาพ Kobe Port Illumination ระหว่างที่ จขบ ถ่ายรูปอยู่คุณลุงที่ช่วยถ่ายรูปให้เมื่อตะกี้ก็ส่องวิวอยู่ไกลๆ ซึ่งรวมถึงส่อง จขบ ด้วยล่ะ ยังไงไม่รู้คุณลุงเค้าบอกว่าขอถ่ายรูปหน่อยได้มั๊ยแบบไม่เห็นหน้าก็ได้ สงสัยจะอยากได้ภาพผู้หญิงกำลังปล้ำกับ DSLR บนขาตั้งกล้องประกอบฉาก (แต่ถ้าเป็น จขบ ก็คงจะแอบแคนดิตเอาเลยจากไกลๆ )


และแล้วก็เริ่มมืดและเริ่มเปิดไฟกันจนได้ วิวประมาณนี้ล่ะที่ จขบ อุตส่าห์ดั้นด้นมาเพื่อจะถ่ายภาพ (แต่ก็ดันถ่ายได้ไม่สวยเท่าที่ต้องการเล้ย)


ที่ชิงช้าสวรรค์อีกด้าน ก็เห็นพระจันทร์ดวงเล็กๆโผล่ขึ้นมาแล้ว ที่เห็นเป็นเหมือนฝุ่นสีขาวติดหน้าเลนส์นั่นล่ะ (จริงๆพระจันทร์โผล่ตั้งแต่รูปก่อนหน้าแล้ว)


ภาพที่ จขบ คิดว่าเป็นภาพที่ดีที่สุดที่ถ่ายมาได้ตรงนี้น่าจะเป็นภาพด้านล่างนี้ล่ะ คร็อปออกมาได้แนวพาโนราม่าพอดี ภาพนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้คลิกไปดูที่ multiply กดดูแบบ Slideshow เพื่อให้เห็นภาพเต็มๆมากกว่า พอ share link มาภาพเหลือติ๊ดเดียวเองมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลย


หลังจากกดวิวแถวนี้ไปเยอะแยะมากมาย(แต่ก็วิวซ้ำๆเลยไม่เอามาลง) ก็เตรียมกลับขึ้นไปถ่ายต่อที่ชั้นสองแล้ว (จริงๆมีใช้รีโมตไร้สายกับขาตั้งกดถ่ายรูปตัวเองมาอยู่นะ แต่เนื่องจากอายคนอื่นเค้า คนอะไรเดินไปเดินมาถ่ายรูปตัวเองอยู่คนเดียวก็ได้ ก็เลยค่อนข้างยืนยุกยิกๆภาพเลยออกมาเบลอๆแนวกดติดวิญญาณซะมาก โชว์ไปก็น่าเกลียดเลยไม่โชว์ดีกว่า บล็อคจะได้โหลดเร็วขึ้นอีกหน่อย)


ที่ชั้นสองไปเจอร้านนี้ตกแต่งอารมณ์ country น่ารักๆไว้เรียกแขกและไว้ให้ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก


เช็คจาก internet มาว่าช่วงนี้ที่ MOSAIC มีการแสดง Ocean Fantasy Illumination พอดี ในเว็บบรรยายซะเลิศหรูอลังการ แต่ของจริงๆก็มีแค่แท่นไฟโค้งๆหลายๆสีที่เห็นในภาพนี่ล่ะ (จินตนาการไว้ว่าจะใหญ่โตอลังการกว่านี้นะเนี่ย)


แท่นไฟนี้จะเปลี่ยนสีสลับไปมาเรื่อยๆ จริงๆสีหลายๆสีอย่างภาพบนนี่ล่ะสวยสุด แต่ยังไงไม่รู้นอกจากภาพด้านบนนี้แล้ว ภาพอื่นกดไม่ได้สีอย่างนี้มาอีกเลย ได้แต่สีม่วงมาเกินกว่า 50% ของรูปทั้งหมด


พอดีว่าเรือลำหรูๆที่จอดอยู่หน้า Oriental Hotel ขยับมาจอดที่ท่าตรงชั้นล่างของ MOSAIC ก็เลยถือโอกาสนี้เก็บทั้ง Ocean Illumination + Kobe Tower + เรือ ไว้ในเฟรมเดียวกันซะเลย (แต่สามารถเก็บในภาพได้ ไม่ได้แปลว่าจะเก็บได้สวยนะ)


ถ้าจำไม่ผิดตรง Ocean Illumination นี่เค้าบรรยายไว้ประมาณว่าเป็นการแสดงแสงสีสวยงาม ประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในมหาสมุทรอะไรประมาณนี้ ซึ่งถ้าไปยืนที่ใต้ซุ้มไฟนี้แล้วค่อยๆซึมซับบรรยากาศก็อาจได้อารมณ์สุนทรีย์อย่างที่ว่า แต่ จขบ มัววุ่นอยู่กับการถ่ายรูปเลยไม่ทันได้รู้สึกสุนทรีย์อะไรกะเค้า ไฟก็สวยดีอยู่นะแต่ไม่มีคนช่วยถ่ายรูปให้นี่สิเซ๊งเซ็ง แต่ละคนมากันเป็นคู่ๆเพื่อมาดื่มด่ำบรรยากาศสุดโรแมนติค ไม่ได้มาตะบี้ตะบันถ่ายรูปอย่าง จขบ กัน ก็เลยไม่กล้าไปขัดจังหวะรบกวนเวลาส่วนตั๊วส่วนตัวเค้าเท่าไหร่


ซูมเรือและ Kobe Tower ชัดๆอีกสักภาพ รอตั้งนานกว่าคนที่นั่งตรงนี้จะลุกออกไปแล้วได้ภาพแบบไม่มีหัวคนบังมา


อุตส่าห์มาได้จังหวะเหมาะเหม๋งขนาดนี้แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า จขบ มีปัญญาครีเอตมุมถ่ายภาพได้แค่นี้ล่ะ ถ้าคนมุมมองดีกว่านี้คงได้ภาพเทพๆกว่านี้เยอะ (สุดท้ายนี้อยากบอกว่าเรือนี้น่านั่งนะเนี่ย ไม่เคยมีโอกาสนั่งเรือหรูๆอย่างนี้ล่องแม่น้ำ ล่องทะเล ทานข้าวกะเค้าเล้ยยย)


กว่าจะเลิกถ่ายรูปได้เล่นเอาเหนื่อยเลย ท้องก็ร้องดังโครกคราก(ดีว่าไม่มีใครได้ยิน เพราะเสียงรอบข้างดังกว่า ) ก็ได้เวลาหาของกินกันแล้ว เดินวนเข้าไปในส่วนร้านรวงต่างๆมองหาใครเหมาะๆที่จะถามหาร้านอาหารที่มีขายเนื้อโกเบที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเนื้อวัวที่ดีและแพงมากชนิดนึงของญี่ปุ่น (สารภาพเลยว่าทีแรกสุดที่ใส่โกเบเข้าไปในแพลนเที่ยวก็เพียงเพราะจะมากิน 神戸牛 Kobe-gyu เท่านั้นล่ะคุณแฟนเคยมากินกับครอบครัวแล้วก็มาแนะนำ จขบ ต่อว่าอร่อยจริงๆๆๆ แต่บังเอิญหาไปหามาเจอที่เที่ยวที่นี่เยอะเลยค่อยๆใส่เพิ่มเข้ามา)


เนื่องจากไม่ได้หาข้อมูลมาเลย แต่เดาว่าที่นี่ต้องมีร้านที่ขายของขึ้นชื่อของเมืองโกเบอยู่แล้วล่ะ สุดท้ายหลังจากเจ้าหน้าที่สาวญี่ปุ่นวอถามกันซะวุ่นวาย ก็ช่วยนำทาง จขบ มาที่ร้านนี้ในที่สุด อยู่ใน MOSAIC นี่ล่ะไม่ต้องไปไหนไกล (=ไปไกลไม่ไหวแล้ว)


ในร้านนี่เปิดไฟส้มๆสลัวๆซะโรแมนติคเชียว (มาคนเดียวนี่ถือว่าเสียเที่ยวอยู่เหมือนกัน โรแมนติคได้ไม่ครบคู่) คนไม่เยอะมากนัก ดูเมนูแล้วก็จัดมาเป็นเซ็ตเลยมีตั้งแต่ออเดิร์ฟยันของหวาน เริ่มจากออเดิร์ฟซุปใสกับสลัดผัก


เว้นระยะนานอยู่เหมือนกัน(แต่ก็ไม่นานมาก)กว่าจานหลักจะมา สเต๊กเนื้อโกเบแบบเน้นๆควันฉุยมาเลยทีเดียว (พร้อมข้าวสวยหนึ่งถ้วยที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา)


กินเนื้อวัวขึ้นชื่อเป็นครั้งแรกทั้งที (พวกเนื้อดังๆอื่นๆอย่างเนื้อ Matsusaka นี่ จขบ ยังไม่เคยกินเลยอ่ะ) คำแรกๆนี่ตั้งอกตั้งใจค่อยๆละเลียดกินอย่างมากกลัวจะลิ้มรสสัมผัสได้ไม่คุ้มเงินที่เสียไป อย่างแรกที่รู้สึกคือ เนื้อนี่นิ่มมากกกกกกกกกกก แทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการหั่นหรือการตัดเหมือนกินเนื้อปกติเลย เข้าปากแล้วก็เคี้ยวง่ายนุ่มนิ่มจริงๆเหมาะกับพวกไม่ชอบบริหารกรามอย่าง จขบ เป็นยิ่งนัก

เนื้อนิ่มมากและอร่อยสมราคาแพงๆเลย แต่ตินิดนึงว่า จขบ ไม่ค่อยชอบน้ำราดสไตล์ของร้านนี้เท่าไหร่อ่ะ (อย่างพวกร้านแฮมเบอร์เกอร์แนวๆ Pepper Lunch ที่ถือเป็นฟาสต์ฟู้ดประเภทนึงมีทั่วไปหลากหลายยี่ห้อในญี่ปุ่น ตัวแฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นเนื้อหมูบดเหมือนๆกันแต่น้ำราดก็ทำให้รสชาติออกมาต่างกันไปในแต่ละร้านแต่ละยี่ห้อ)

สนนราคาของเซ็ตนี้คือ 4300 เยน (ราคานี้นี่ซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าวกินเองได้ทั้งอาทิตย์เลย แต่นานๆกินของดีสักทีก็ต้องกินให้มันดีสุดๆไปเลย) เงินที่จ่ายไปตกหนักที่จานหลักจานนี้ งานนี้เลยกินซะไม่เหลือแม้แต่เศษหัวหอมสักชิ้น

กินอิ่มท้องสมใจอยากแล้วก็ตบท้ายด้วยของหวานในเซ็ตกับ 神戸プリン Kobe-purin (Kobe Pudding) ตรงนี้อ่านมาว่า Kobe จะดังเรื่องพวกขนมฝรั่งเพราะเคยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติเลยได้รับวัฒนธรรมเรื่องขนมๆมาเยอะ ยี่ห้อที่แนะนำกันนอกจากยี่ห้อ 神戸プリン Kobe-purin ก็รู้สึกจะมีพุดดิ้งยี่ห้อ モロゾフ Morozoff ทีแรก จขบ ก็ว่าจะไปหาลองกินอยู่เหมือนกัน แต่ได้กินในเซ็ตนี้แล้วเลยสบาย เผอิญว่าไม่ค่อยชอบพุดดิ้งเท่าไหร่อยู่แล้ว ขอได้ลองสนอง need หนเดียวก็พอใจละ (ไม่ชอบน้ำตาลไหม้ข้างล่างอ่ะ มันขม)


ได้กินของดังของโกเบสองอย่างสมใจอยากแล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นแพลนในวันนี้ จริงๆเห็นว่าใน MOSAIC มีร้านของ ジブリ Ghibli ด้วย ทีแรก จขบ ก็กะจะไปถ่ายรูปคู่กับป้าย トトロ Totoro หน้าร้านซะหน่อย แต่แบบว่าตอนนั้นเหนื่อยมาก ไปเดินหาร้านไม่ไหวแล้วเลยล้มเลิกแผนไปตามระเบียบ

ขอเม้าส์ว่าจขบ ยังไม่เคยไป Ghibli museum เลยเนี่ย ว่าจะหาโอกาสไปอยู่แต่เสียดายนะว่าเค้าไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน ข่าวดีคือ อ่านเจอมาว่าประมาณ กันยา 2011 ก่อน จขบ จะกลับไทยถาวร มีกำหนดเปิด Doraemon Museum แห่งแรกใกล้ๆโตเกียวด้วย งานนี้ไม่พลาดต้องไปให้ได้เลย เพราะเติบโตมากับ Doraemon นี่ล่ะ จขบ ถึงเลือกมาเรียนที่ญี่ปุ่นนี่ ส่วนคุณแฟนของ จขบ ที่กลับไทยไปเรียบร้อยแล้วน่ะเหรอ มีแต่บ่นว่าอยากมา Tokyo Tree ที่เดียว มองจากตึกแล็บ จขบ เห็นมันก่อสร้างอยู่ไกลๆทุกวันเลยเฉยๆ

ขาออกจาก MOSAIC กลับที่พักนี่ไม่มีการยกกล้องถ่ายรูปอะไรอีกเลย หอบสังขารเปลี้ยๆนั่งรถไฟกว่าครึ่งชั่วโมงกลับไปนอนเป็นตายที่ Toyoko Inn สาขา Shin-osaka ได้เป็นพอ วันนั้นนี่หลับสนิทจริงๆ หัวถึงหมอนหลับเป็นตายเลยเหนื่อยมากๆ ปวดไหล่ด้วยเหตุเพราะขาตั้งกล้องเจ้ากรรมที่แบกไป (ข้างที่สะพายกล้องน่ะไม่ปวด ปวดไหล่ข้างที่สะพายกระเป๋าที่โดนยัดขาตั้งกล้องอันเล็กเข้าไปอีกอันนี่ล่ะ)

เท่านี้ก็เป็นอันจบวันแรกของทริปนี้แล้ว ตอนต่อไปจะกลับไปเที่ยวที่ Osaka ไป Universal Studio Japan กัน (ผู้หญิงประหลาด ไปเที่ยวสวนสนุกคนเดียวก็เป็น) ในทริปนี้ USJ เป็นที่ๆ จขบ ชอบมากที่สุดเลย มันบรรยากาศคึกคัก มีอะไรสวยๆแปลกๆสีสันสดใสๆให้ถ่ายรูปเยอะดี เพลินมากขนาดลืมร้อนลืมเหนื่อยลืมเหงาไปซะสนิท(แต่ไม่ลืมกล้องนะ ) ไปคนเดียวเลยไม่มีคุณแฟนมาบ่นร้อน บ่นเหนื่อย บ่นหิวอยู่ข้างๆ อยากเดินนานแค่ไหน เดินไปถึงไหนต่อไหน อยากต่อคิวอะไรก็ลุยโลด ถือว่าเป็นวันนึงที่ จขบ รู้สึกว่าได้เต็มที่กับชีวิตจริงๆ ส่วนรายละเอียดนั้นติดตามบล็อคหน้าจ้า

--------------------------------------------------

ภาพในบล็อคนี้ ถ่ายจาก Canon EOS Kiss X3 + EF-S 15-85mm f/3.5-5.6 IS USM พอฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้วจะถ่ายด้วยโหมด RAW ล้วนๆเพื่อมาแก้ WB ให้ถูกต้องทีหลังด้วย DPP และ หลายๆภาพที่ปักหลักถ่ายวิวกลางคืนจะใช้ขาตั้งกล้องช่วยด้วยเพื่อจะได้ไม่ต้องเร่ง ISO กันมากนัก

--------------------------------------------------

รวมบล็อคทั้งหมดของทริป

1. [[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 1: Kobe Nunobiki Herb Park แดดร้อนกว่านี้มีอีกมั๊ยยยย
2. [[ตะลุยเดี่ยวเที่ยวคันไซ]] ตอนที่ 2: กินเนื้อโกเบ ทำโรแมนติค(อยู่ได้คนเดียว) ที่ Harborland
3.
4.
5.

--------------------------------------------------

>> คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ใน OneDrive
>> คลิกเพื่อดูรายการบล็อคอัพใหม่ทั้งหมด



Create Date : 20 ตุลาคม 2553
Last Update : 31 ธันวาคม 2557 3:17:35 น. 2 comments
Counter : 9214 Pageviews.

 
โห ข้อมูลเสริมเรื่องมาสคอตปึ้กมากครับ

แต่มาสคอตหน้ากลมๆสีเหลืองนี่เรียบจังเลยนะครับ


โดย: kirofsky วันที่: 24 ตุลาคม 2553 เวลา:10:39:16 น.  

 
^
^
ข้อมูลเสริมเราก็เพิ่งรู้จากกูเกิ้ลเหมือนกันค่ะ ปกติรู้แต่ว่ามันมีเยอะแต่ไม่เคยลองรวบรวมดูสักที คิดเหมือนกันว่า Manaca นี่มาสคอตเรี๊ยบเรียบ ผิดปกติมาสคอตญี่ปุ่นจัง


โดย: White Amulet วันที่: 24 ตุลาคม 2553 เวลา:12:22:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

White Amulet
Location :
Bangkok Thailand / Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 35 คน [?]




บล็อคนี้ถึงไม่ค่อยมีอะไรแต่ถ้าจะก๊อปปี้ข้อความหรือรูปอะไรไปโพสที่อื่น ก็รบกวนช่วยใส่เครดิตลิงค์บล็อคนี้ไว้ด้วยนะคะ

เราไม่สงวนลิขสิทธิ์การนำภาพและข้อความในบล็อคไปเผยแพร่(ในแบบที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์)แต่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพถ่ายและเนื้อหาค่ะ

ค้นหาทุกสิ่งอย่างในบล็อคนี้

New Comments
Friends' blogs
[Add White Amulet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.