ตะลุยเที่ยว, กิน VS ช๊อปปิ้ง --> มาเก๊ากะฮ่องกงจนขาลาก (Day 4) จบแย้ว
โย่ โย่ วันนี้เราจะอยู่ในมาเก๊ากันค่ะ ไม่ข้ามไปฮ่องกงละ วันนี้เที่ยวใกล้ ๆ เดินเล่นในไทปาก็พอค่ะ แต่เช้าตื่นขึ้นมาก็วุ่นวายแล้วค่ะ เพราะต้องรีบแพ็คของลงกระเป๋าให้หมด เพราะว่าโรงแรมเห็นว่าต้องเช็คเอ๊าท์ 11.00 น. แต่กว่าเราจะเช็คเอ๊าท์ก็ประมาณเที่ยงน่ะ สะดวกดีนะคะ ลงมาปุ๊บ ไม่ต้องไปถึง counter เค้ามีเจ้าหน้าที่รออยู่ตรงลิฟท์ ให้เราเขียนชื่อ ห้อง แค่เนี้ย เค้าบอกว่าพอละ ถือว่าเช็คเอ๊าท์ละ อืม...ดีจัง ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย แล้วเราก็เอากระเป๋าฝากให้กะโรงแรม จะได้ไปเดินสบาย ๆ หน่อย พอออกจากโรงแรมก็เจออากาศแบบนี้ค่ะ วันนี้อากาศไม่ดีเลย อบอ้าว แล้วก็หมอกลงหนามากกกก เดิน ๆ อยู่ก็เลยหันหลังมาถ่ายรูปทางออกซักหน่อย จะได้รู้ว่าประตูไหนนะ อีกรูป ออกมาเราต้องนั่งแท็กซี่แยกกันสามคัน ก็บอกคนขับว่า ช่วยขับตาม ๆ กันได้ไหมคะ เดี๋ยวลงผิดที่กันหมด เราให้เค้ามาส่งแถวร้านอาหาร เค้าเลยพามาจอดแถวนี้อ่ะค่ะ ถนนเส้นนี้อยู่ใกล้กับ food street ค่ะ เดินถึงกันได้ ในรูปจะเห็นร้าน Jumbo ใช่ไหมคะ นั่นเป็นร้านอาหารโปรตุเกสค่ะ บรรยากาศโดยรอบ มองไม่เห็นท้องฟ้าเลยแฮะ จะเห็นว่าร้านอาหารเยอะมาก แต่เราไม่ได้กินร้าน Jumbo กันค่ะ เพราะเหตุว่ากำลังจะข้ามไปนั้น มีกลุ่มวัยรุ่นเกือบยี่สิบคนเข้าไปในร้าน เราก็เลยคิดว่า โหหห อย่าดีกว่า ไปกินอีกร้านนึงที่พี่แท็กซี่แนะนำก็แล้วกัน ระหว่างทางเดินไป ตู้ไปรษณีย์ แปลกตาดี มาถึงแล้ว ชื่อร้าน Pinoccio แหมมม ดูหน้าร้านรู้สึกจะแพงอีกละ ฮ่าฮ่า (แอบมีนายแบบกิตติมศํกดิ์ซะด้วย เหอเหอ) ดูราคาเมนูอาหารโดยคร่าว ๆ กัน เค้าบอกว่าร้านนี้เป็นร้านต้นตำรับ เนื่องจากเปิดเป็นร้านอาหารโปรตุเกสเป็นร้านแรก แหมมม ฟังแล้วรู้สึกว่าเรามาถูกที่แล้วนะเนี่ย มาถึงนี่ก็ต้องกินอาหารโปรตุเกสกันซักกะหน่อยเนอะ ที่นี่ดูค่อนข้างหรูนะ ดูอาวุธพร้อมเลย กินอาหารโปรตุเกสกับน้ำชาแก่ ๆ ค่า ตอนแรกถามเค้ามีน้ำเปล่าไม๊ ไม่อยากกินน้ำร้อน ๆ แต่เค้าบอกว่า ถ้าเป็นน้ำเปล่า มันคือ "น้ำประปา" นะจ๊ะ เราเลยบอกว่า "มิเอา มิเอา" เหมือนอาหารฝรั่งทั่วไป เริ่มต้นด้วยขนมปังกรอบ ๆ ค่า อาหารมื้อนี้ ต้องขอบอกว่าส่วนมากให้พนักงานแนะนำนะคะ แต่ขอราคากลาง ๆ อย่าแพงมากเดี๋ยวหัว โพล๊ะ ฮ่าฮ่า ต่อไปเป็นปลาคอดทอดนะคะ รสชาติยังดีอยู่ค่ะ กลมกล่อม (แหะแหะ สงสัยล่ะสิทำไมพูดแบบเนี้ย) ตามดูกันต่อไป ข้าวผัด อืมมมม จำไม่ได้ว่ามีปลาด้วยป่าว แต่ก็ยังโออยู่นะ (ปล. ภาพส้ม ๆ หน่อยนะคะ เพราะไฟมันน้อย สลัว ๆ) เริ่มละ ต้มผักรวมค่ะ ตอนมาเสริฟ พอกินเข้าไป หืม...เค็มจริงเชียว มันดูเหมือนเอาผักในตู็เย็นมาต้มรวม ๆ กันยังไงไม่รู้ แบบว่าผักหลายชนิด ตัวน้ำของมันก็บาง ๆ ให้ข้นซะทีเดียว แต่เค็ม (แต่ไม่ว่ากัน เรากินได้) จานต่อไป ก็ต้องขอบอกว่า กินมาจานนี้ชอบสุด นั่นก็คือ "ปลาไหลย่าง" จ้า แต่น้ำจิ้มเป็นวาซาบินะ อ้อ...ก้างก็ยังมีบ้าง แต่ช่างมัน เคี้ยวไม่ต้องละเอียดมาก กลืน ๆ มันลงไปเห๊อะ เปลือง แม่ก็ถาม กลืนกันเข้าไปได้ยังไงเนี่ย จานเด็ดจานต่อไป คล้าย ๆ กุนเชียง แต่ "โค-ตา-ระ เค็มเลยจ้า" เนี่ยเลยต้องสั่งข้าวเปล่ามากินด้วย นี่ขนาดเราเป็นคนกินเค็มเก่งแล้วนะ ยังต้องค่อย ๆ เล็มเลย จานต่อไปก็เป็น ไก่โปรตุเกส จ้า รสชาติใช้ได้อยู่ จะว่าเหมือนแกงกะหรี่ ก็ไม่ใช่ มันไม่ข้นมาก ออกบาง ๆ หน่อย แต่ก็ยังรักษาความเค็มหน่อย ๆ อยู่ค่ะ ฮ่าฮ่า เอาล่ะดิ มาอีกจาน นั่นคือ เนื้อ.... จำไม่ได้อีกละ อันนี้เค็มสุด ๆ เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่เนื้อนุ่มมากนะ เสียดายจริงเชียว มันเป็นเนื้อลูกวัวอ่ะค่ะ กินชิ้นนึง ต้องพักสักหน่อย ฮิฮิ จานสุดท้าย กินแล้วหัวเราะก๊ากเลย เค้าเรียก "ปลา (คอด) เค็มค่า" หรือปลาเค็มนั่นเอง ไม่ต้องสาธยายหรอกใช่ไม๊คะ เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้นนน คำเตือน ถ้าใครไตไม่ดี จงระวัง แล้วอย่าหาว่าเราไม่เตือน เหอ เหอ อ๊ะ ลืมบอก ค่าเสียหายมื้อนี้ (สั่งอย่างละสองนะคะ) อยู่ที่ 1400 เหรียญโดยประมาณ . . . ต่อ ต่อ หลังจากอิ่มละ เราก็เดินกันไปเรื่อย ๆ ผ่าน food street ตรงนี้นี่เองที่เกิดเรื่องเศร้าค่า เป็นซอยเล็ก ๆ มีของกินขายสองข้างทาง วันนั้นคนเดินกันเยอะมาก หนาแน่น จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในซอยนี้ให้ฟัง ภายในซอยนี้ จะมีร้านขายหมูแผ่นอยู่ร้านเดียว ซึ่งคนเข้าไปซื้อกันเยอะมาก ๆ (จริง ๆ ก็ถ่ายรูปหน้าร้านมา แต่อย่าดีกว่า) ถือได้ว่าเบียดกันเลยอ่ะค่ะ พอดีว่า วันนั้น คุณแม่อยากซื้อขนมแค่กล่องเดียว ก็เลยให้คุณพ่อเข้าไปจ่ายตังค์ แต่มันเสียตรงที่ว่า พวกเราลูกหลาน ไม่มีใครเดินตามเข้าไปด้วย แล้วเงินทั้งปึก (เพิ่งไปเบิกมาจากธนาคารในฮ่องกง กะว่าจะเอามาใช้ที่ไทย) ก็อยู่ในกระเป๋าสะพายของคุณพ่อ ซึ่งวันนั้นหลังจากเบียดกับคนไปมาในร้าน กระเป๋ามันเลยไปอยู่ด้านหลังอ่ะค่ะ แล้วคุณพ่อก็ไม่ได้เอะใจอะไรเล้ยยยย ว่า "โดนเข้าแล้ว" ก็ยังเดินไปเรื่อย ๆ มารู้ตัวอีกทีตอนจะเอากล้องออกมาถ่ายรูป ปรากฎว่าเงินหายหมดเกลี้ยงเลย เกือบเป็นลมแน่ะ น่าสงสารมาก ๆ เพราะฉะนั้น เพื่อน ๆ ที่ไปนอกจากระวังของ ๆ ตัวเองแล้ว ก็ต้องช่วยดูให้ผู้ใหญ่ด้วยนะคะ . . . อ๊ะ มาต่อกันดีกว่า เดี๋ยวเครียด ช่วงที่พ่อกะแม่อยู่ในร้านหมูแผ่นนั้น พวกเราก็เดินไปดูร้านอื่นกัน มาเจอร้านนี้ เป็นขนมของโปรตุเกสนะ หน้าร้านค่า ขนมดังค่า แหมขาวไปทั้งตู้เลย อันนี้แหละที่มีในร้านอาหารโปรตุเกสด้วย พี่ชายซื้อมาลองสองอย่าง มีคล้ายชีสเค้ก กับเจ้านี่แหละ Serradura ชีสเค้ก รสชาติค่อนข้างหนักเหมือนกัน ข้น ๆ เลย ส่วน Serradura คล้ายวิปครีมโรยถั่วบดค่ะ ก็เย็น ๆ ดีนะ แต่กินเยอะสงสัยอ้วนแหง ฮ่าฮ่า แต่เราซื้ออีกร้านดีกว่า ร้อนจะแย่อยู่แล้ว คือร้านข้าง ๆ ค่ะ มีพุดดิ้งมะม่วงค่ะ มะม่วงของเค้าเหมือนมะม่วงสุก ซู๊ก สุก เลยค่ะ แต่ก็อร่อยดี ซื้อมาสองถ้วยแน่ะ เอาล่ะ เมื่ออิ่มหนำกันละ ก็เดินต่อ เดี๋ยวไปไม่ถึงเป้าหมาย ทางเดินก็จะคล้าย ๆ ขึ้นเนินนะคะ ดีนะที่ไม่มีแดด แต่ร้อนอบอ้าว หมอกก็ยังเยอะอยู่ ที่แรกที่เราเจอ บรรยากาศมองจากด้านบน รู้สึกหมอกลงหนาขึ้นใช่ไม๊คะ มองไม่เห็นยอดตึกแล้ว ตึกอีกด้าน ภาพมองจากด้านบน เราสามารถเดินลงทางบันได หรือว่าลงทางด้านซ้ายมาในภาพ (ด้านบน) ได้นะ ทางเดินสวย ๆ เมื่อลงไปถึงด้านล่าง ถ่ายป้ายซะหน่อย ตรงนี้จะอยู่ด้านหลังของโรงแรมเวเนเชี่ยนค่ะ มีเก้าอี้ให้นั่งชิลล์ ๆ ด้วย เมื่อเดินกันอย่างจุใจแล้ว ก็ถึงเวลากลับโรงแรมแล้ว เดี๋ยวตกเครื่องบิน พอไปถึงโรงแรม เราก็ยังรีบ ๆ ถ่ายรูปส่งท้ายกันอีกครั้ง ภาพบรรยากาศอีกด้านค่ะ ฟ้ามืดเชียว เห็นสาวงามไม๊เอ่ย อ๊ะ หมดเวลาแล้ว ต้องรีบนั่งรถไปสนามบินแล้วค่ะ flight นี้เวลา 18.30 น. เพราะฉะนั้นเราก็ไปถึงเวลา 16.30 เป๊ะ แต่ช้าแต่ เกิดเรื่องอีกแล้ว (แหมมม ไม่จบไม่สิ้นซักที) ทำไมแถวย๊าวววยาววว พี่ชายเลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ รปภ. (ที่คุมแถว) เค้าบอกว่า เครื่องบินหลายลำดีเลย์ค่ะ เนื่องจากหมอกลงจัด พวกสายการบินที่ต้องบินตอนเช้า เพิ่งออกไปตอนบ่ายเอง พอเราถามว่า แล้วสายการบินมาเก๊าล่ะ จะออกได้กี่โมง คำตอบ "ไม่รู้" อ้าวววววว... เราก็เลยวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ของแอร์มาเก๊า เค้าก็บอกว่า "ไม่รู้" ให้เราคอยวิ่งเข้าไปสอบถามละกัน อ้าววววววว... และแล้ว เราก็ได้แต่รอ ๆ ๆ แต่ก็ต้องหาที่นั่งให้พ่อกะแม่ด้วย ก็เลยไปนั่งในร้านชั้นสอง ส่วนเราก็วิ่ง up and down ตลอด ไกด์คนไทยอีกคน ก็เหมือนเราเลย วิ่งไปวิ่งมา สนุกจริงจริ๊ง และแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 18.00 น. เราไปยืนหน้ารปภ.เลย (ที่คุมแถว) แล้วก็เห็นเค้าพูดว่า "มั่ง กู่ มั่ง กู่" เราก็เลยถามว่า ไปได้แล้วเหรอมั่งกู่น่ะ เค้าบอกว่าได้แล้ว เร็ว ๆ (มั่งกู่ คือ กทม.) เราเลยรีบวิ่งไปตามคนที่เหลือ แล้วแต่ละคนก็รีบวิ่งลงมา แซงคิวคนอื่นเค้า ตอนเข้าไปเช็คอิน เจ้าหน้าที่อีกคนว่าเราเฉยเลย ว่า "ทำไมมาช้ามากกกก เครื่องจะออกแล้ว" เราก็ อ้าวววว..... อะไรเนี่ย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกะเค้า ก็รีบเช็คอินซะ แต่... มีแต่...ตอนเช็คอินเข้าไป ได้ถามเจ้าหน้าที่ว่า เครื่องออกกี่โมง เค้าบอกว่า "ยังไม่รู้หรอก ให้เช็คอินเข้ไปก่อน" "น่านนนนน อะไรเนี่ย ระบบมันเป็นยังไง งงซะ" สุดท้าย ก็วิ่งกันอยู่ในนั้นนั่นแหละ ถามคนโน้นทีคนนี้ที เฮ้อ เหนื่อยด้วย ง่วงด้วย ตอนหลังเจอไกด์คนไทยอีกละ เค้าไปเอาคูปองอาหารฟรี เราเลยรีบทำตาม เดี๋ยวไม่ได้กิน ฮิฮิ พอได้มา แถวก็ย๊าวววว ยาววววว ทุกคนถือจานหลุม (นึกถึงสมัยเรียนเลยแฮะ) เดินเลื่อนกันไปเรื่อย ๆ ไอ้เราก็อยู่ข้างหลัง ได้ยินเค้าตะโกนโหวกเหวกกันว่า "เมี่ยน เหมโหย่วเลอ" อ้าววว.... again เหลือแต่ข้าวอ่ะดิ (เมี่ยน คือ บะหมี่) แต่ยังโชคดีเราได้ข้าว ฮ่าฮ่า หลังจากเราไปสักพัก ก็มีคนตะโกนว่า "ฟั่น เหมโหย่วเลอ" "ไช่ เหมโหย่วเลอ" พวกที่ต่อจากเราก็เลยต้องรอ รอ รอ (ฟั่น คือ ข้าว , ไช่ คือ กับ) และนี่คือหน้าตาอาหารที่เราได้มา กับ 2 และข้าวบวกน้ำ ของอีกจาน คล้าย ๆ กันไม๊เอ่ย เอาน่า พอถูไถไปได้ แก้หิว แก้หิว อย่าคิดมาก ในที่สุด เราก็ได้ขึ้นเครื่องเวลา 21.30 น.จ้า เฮ้อ ทริปนี้ รู้สึก ได้ทุกอารมณ์เลยนะเนี่ย เจอทุกอากาศด้วย . . หวังว่า เพื่อน ๆ ที่ติดตามมาถึงตอนสุดท้ายจะได้รับประโยชน์ไปบ้างนะคะ ขอบคุณเจ้าค่ะ
Free TextEditor
Create Date : 25 เมษายน 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 25 เมษายน 2552 1:28:48 น. |
Counter : 6338 Pageviews. |
|
|
|