YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 6 ฤาษีเกศ เมืองหลวงแห่งโยคะ และ Satsang ของ Mooji







เช่นเดียวกับเมืองหลวงทั่วๆ ไป ที่ความเสื่อมโทรมตามมาราวกับเป็นเงาแห่งความเจริญ

ในฐานะที่เป็นเมืองหลวงแห่งโยคะโลก ฤาษีเกศก็หนีความจริงข้อนี้ไม่พ้น

โรงเรียนโยคะที่มีมากมายเต็มไปหมด ทำเอาเลือกไม่หวาดไม่ไหว 

มีคนที่เรียกตัวเองว่าครูและเปิดโรงเรียนสอนคอร์สครูโยคะเยอะมาก ของจริงบ้าง ของเก๊บ้าง 

ที่ลงทุนหน่อยก็จ่ายตังค์ register ตัวเองไว้กับอเมริกาเพื่อให้ดูมีมาตรฐาน

หาซื้อคอร์สโยคะง่ายกว่าหาซื้อกระดาษทิชชู่หลายเท่าตัวเลยทีเดียว

แต่ความเป็นเมืองหลวงก็คือความเป็นศูนย์ happenings ต่างๆ มากมายด้วย

และฤาษีเกศก็เป็นแหลงรวม happenings ทางจิตวิญญาณที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ไม่ใช่แค่โยคะ แต่ยังมีวิปัสสนา ตันตระ สมาธิแบบเคลื่อนไหว ชี่กง เรกิ 

รวมทั้งอายุรเวท และนวดสารพัดแบบ ไปจนถึงวัฒนธรรมอินเดีย ร้องเล่นเต้นรำ ครบสูตร (เรียนสักยังมีเลย)

มีให้เห็นทุกๆ 5 เมตร เลือกช้อป เอ้ย เลือกเรียนกันได้ตามสบาย

การถามตอบพูดคุยเกี่ยวกับปัญญหาทางด้านจิตวิญญาณกับคุรุ 

หรือที่เรียกกันว่า Satsang นั้นก็มีให้เห็นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะครูอินเดีย หรือครูชาติใดก็ตาม

และ Satsang ที่เราจะไปร่วมในวันนี้ก็เป็นหนึ่งใน happenings ทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นที่ฤาษีเกศนี้ด้วย






ป้ายที่ไม่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่



เมื่อวัวจู๋จี๋กันกลางเมือง


Mooji หรือครูมู เป็นชาวจาไมกัน ที่ไปเติบโตอยู่ที่ลอนดอน

Satsang กับ Mooji ที่ฤาษีเกศนี้ มีคนจากทั่วโลกเข้าร่วมฟัง รวมทั้งคนอินเดียด้วย

Mooji ได้พบกับครู คือ Papaji ในเมืองลักเนา ประเทศอินเดีย 

และหลังจากนั้น Mooji ก็กลายเป็นครูทางจิตวิญญาณที่สำคัญอีกคนในยุคนี้

Mooji ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวไทยเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะคนไทยเองก็มีครูบาดีๆ ของไทยเช่นกัน


เราเองตามฟัง Mooji อยู่ใน Youtube มาพักใหญ่ๆ แล้ว

พอรู้ว่าจะได้เจอกับ Mooji ตัวจริงเสียงจริงก็อดดีใจไม่ได้ และต้องหาโอกาสเข้าร่วม Satsang กับเขาสักที

เราสี่คนคือ ผึ้ง เรา นีน่า (เพื่อนร่วมห้อง 8 เตียง) และ อเล็กซ์ตัดสินใจเดินเท้ากันไป

อเล็กซ์นี่ไปทุกวัน ไม่มีพลาด เขารู้จักกับ Mooji ได้ปีกว่าแล้ว และโดนเข้ากับคำสอนของ Mooji เข้าอย่างจัง

สถานที่จัด Satsang อยู่ห่างจาก Hostel พอประมาณ คือประมาณใชัเวลาเดินไป 1 ชั่วโมงพอดี

ลมเย็นๆ นี่สู้แดดจัดของเมืองนี้ไม่ไหวจริงๆ นี่ขนาดยังไม่พ้นหน้าหนาวดีนะเนี่ย


ตลอดทางเราได้เห็นหลากหลายอิริยาบถของชาวอินเดียริมแม่น้ำคงคา ที่สะอาดมากๆ จริงๆ

มีท่าน้ำให้เห็นตลอดทาง สำหรับให้คนอินเดียได้ลงมาใกล้ชิดกับ

น้ำในคงคาคงเย็นเจี๊ยบ แต่ก็เห็นผู้คนก็ลงจุ่มตัวในแม่น้ำกันแทบจะตลอดสาย

เด็กๆ ดำผุดดำว่ายกันสนุกสนาน คนอินเดียบางคนเดินมานั่งสมาธิกลางแดดกันที่ขั้นบันได

เห็นชัดมากถึงความผูกพันระหว่างผู้คนกับแม่น้ำสายนี้

พลังของแม่น้ำสายนี้ไหลเวียนอยู่ในตัวคนพื้นเมืองที่นี่อย่างแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน




















ชั่วโมงกว่าๆ ต่อมา เราก็มาถึง Satsang ในบริเวณอาศรมนี้ ห้ามถ่ายรูป ห้ามพูดคุย ห้ามเล่นโทรศัพท์

อยู่กับที่นี่ เดี๋ยวนี้ กับตัวเราเองเท่านั้นจริงๆ 

ภาพของ Hall ที่เราเห็นจากใน youtube หายต่อหลายครั้งทำให้ขนลุกได้อยู่

มีเหตุผลบางอย่างที่เราได้มาเหยียบที่นี่ ทั้งที่ไม่ได้แพลน ไม่ได้ตั้งใจ เป็นเวลาประจวบเหมาะจริงๆ

เรานั่งอยู่บนพื้น เกือบจะหลังสุด ผู้คนใน Hall เยอะมาก แต่ทุกคนเงียบสบ รอ Mooji

เป็นภาพที่สวยงามนะ แต่เรารู้สึกราวกับว่าเป็นคนนอก แม้เราจะตามฟัง Mooji มาได้สักพัก

แต่ความจงรักนับถือต่อ Mooji ของเราไม่ได้มีเทียบเท่ากับพลังที่เราสัมผัสได้ใน Hall แห่งนี้

มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นถามคำถามต่อ Mooji เรื่องเกี่ยวกับ ตัวตนของเราในเวลาหลับ 

เขารู้สึกว่าเขาไม่สบายใจ เพราะไม่รู้ว่าเขาคือใคร มีตัวตนหรือไม่ในเวลานอนหลับ 

สิ่งที่ Mooji ตอบคือ Don’t You need a little break fro existence?

เธอไม่ต้องการช่วงเวลาพักว่างจากการมีตัวตนบ้างหรือ

มีอีกหลายอย่างที่ Mooji พูดแล้วสะกิดใจเรา แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม


We live in an image, idea of ourselves, limited. 

Joy and pain and suffering from this image is not real.

(เราล้วนมีชีวิตอยู่ในจินตภาพและไอเดียเกี่ยวกับตัวของเราที่เราสร้างขึ้นเอง ซึ่งมันมีข้อจำกัด 

ความสุขและทุกข์จากจินตภาพอันนี้ ไม่ได้มีอยู่จริง)


มีอีกคนพูดเกี่ยวกับเขาไม่สามารถที่จะมีสมาธิกับสิ่งตรงหน้าได้ มีสิ่งรบกวนเต็มไปหมด

Mooji บอกว่า ไม่ต้องไปกำจัดมัน แต่การที่เรารู้ตัวว่าเราไม่มีสมาธิต่างหากที่น่าสนใจ

ใครคือตัวรู้ตัวนั้น .. The observer is not personal

Nobody has true autonomy of consciousness

Rumi said.. 

Time said everything belong to me.

I eat up everything except awareness.

ตัวรู้ตัวนั้นไม่ใช่สิ่งซึ่งมีตัวตน

ไม่มีใครพูดได้ว่านี่คือตัวรู้ของฉัน ตัวรู้นั้นไม่เคยเป็นของใครอย่างแท้จริง

Rumi เคยพูดไว้ว่า

เวลาได้กล่าวไว้ว่าทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นสมบัติแห่งเวลา

เวลากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นตัวรู้ตัวนั้น


เหมือนลูกตุ้มที่ถูกแกว่งไปและกลับ แกว่งไปยังด้านที่เรารู้สึกทุกข์ ไม่สามารถจดจ่อ พลังงานชีวิตต่ำ

แล้วลูกตุ้มก็แกว่งกลับเข้าสู่ด้านใน สู่ความสงบ สันติ พลังงานชีวิตสูง ไร้ความคิดรบกวน

จุดหมายไม่ใช่การให้ลูกตุ้มหยุดแกว่งอยู่ที่ด้านใน แต่คือการถอยออกมามองลูกตุ้มที่แกว่งไปแกว่งมาต่างหาก

ไม่มีใครหยุดความคิดได้ ปล่อยให้มันเข้ามาโดยไม่ต้องไปคุยกับมันต่อ แล้วมันก็หายไป

The sun never tries to get rid of the clouds.

As if you cannot stop guests from coming to your door.

But you can just not answer the door.

พระอาทิตย์ไม่เคยต้องพยายามกำจัดก้อนเมฆออกไป

เช่นเดียวกับที่เธอไม่สามารถหยุดแขกไม่ให้มาเคาะประตูเธอได้

เธอก็แค่ไม่ต้องเดินไปเปิดประตูเท่านั้นเอง


มีหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นเล่าว่า ไม่กีปีก่อนหน้านี้เธอเครียดมากจนกลายเป็นโรคประสาท

ผู้คนรอบข้างเป็นห่วงเธอ และเธอทำงานทำการอะไรไม่ด้เลย และต้องใช้เวลาพอประมาณในการกลับคืนมา

แต่สิ่งที่เธอจำได้ในวันเวลาเหล่านั้นคือ เธอมีความสุขมาก ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย เหมือนเธอได้กลับสู่ตัวเธอจริงๆ

และเมื่อเธอหายเป็นปกติและกลับมาสู่ตัวเธออีกครั้ง เธอบอกว่า มันเปลี่ยนไปจากตอนก่อนหน้าที่เธอจะป่วยมาก

เธอรู้สึกว่ามันเบา สบาย เธอเปิดออกรับสิ่งต่างๆ มากขึ้น และสิ่งต่างๆ ก็เปิดรับเธอมากขึ้น 

แม้ว่าตอนนี้เธอจะสติดี ทำงานทำการได้เป็นปกติ แต่ความรู้สึกโล่ง สบายของใจแบบตอนที่เธอป่วยนั้น 

มันก็ไม่ได้หายไปไหน เธอยังมีความสุขมาก กับการได้ปล่อยให้ใจได้เป็นแบบที่มันเป็น

Mooji ตอบว่า Nothing can disturb you when you are in the natural state.

If you don’t know the natural state, you will only depend on mind and experience.

Ego creates fear and mistrust and then we pull the parachute too early. 

ไม่มีสิ่งใดจะมาแผ้วพานเธอได้ เมื่อจิตกลับอสู่สภาวะธรรมชาติ

ถ้าเธอหาสภาวะธรรมชาตินี้ไม่เจอ เธอก็จะกระทำสิ่งต่างๆ จากอารมณ์จิตในและประสบการณ์ของเธอเท่านั้น

อีโก้สร้างความกลัว และความไม่ไว้วางใจ และเธอก็ดึงร่มชูชีพให้กางเร็วจนเกินไป


สิ่งที่เรารู้สึกโดนที่สุดคือ ประโยคที่ว่า

The only thing that keeps me from you is your idea of me

Meet me when you drop the idea you me and the idea of you

You must know the difference between your self and your mind.

Observe from you true being.

สิ่งเดียวที่กั้นกลางระหว่างเราคือความคิดของเธอเกี่ยวกับตัวฉัน

จงพบฉันในขณะที่เธอไร้ความคิดเกี่ยวกับตัวฉัน และเกี่ยวกับตัวเธอ

เธอต้องรู้ความแตกต่างระหว่างตัวตนที่แท้และจิตใจอารมณ์

จงมองโลกนี้จากตัวตนที่แท้ของเธอ


Satsang จบลงด้วยการนั่งเงียบๆ เป็นเวลา 15 นาที 

เราเดินออกมาอย่างโล่งๆ เงียบๆ พิกล แต่พอพ้นประตูเสียงแป๊นก็ดังขึ้น

คงแบบเดียวกับที่ผึ้งบอกว่าเหมือนเป็นระฆังเรียกสติของหมู่บ้านพลัม

รรรรรรามจุฬาๆ รรรรรรามจุฬาๆ เสียงเรียกหาลูกค้าจากรถตุ๊กๆ ดังกว่าเสียงแตร

ความวุ่นวายจู่โจ่มจนตั้งตัวไม่ทัน รถวิ่งผ่าน ควันกลบหน้า เกือบโดนสะดุดวัว เซไปเกือบเหยียบขี้มัน

เอ่อ.. สติคะ สติ

ตั้งตัวได้ก็เดินต่อ เดินกลับใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงเช่นกัน





บริเวณหน้าอาศรม


ผึ้งหายตัวไปตั้งแต่ Satsang ยังไม่จบ เพราะมีนัดเรียนมันตรา 

เราเลยออกมากับอเล็กซ์และนีน่า มุ่งหน้าไปที่ร้าน Namaste Cafe 

นั่งชิลอยู่ที่ร้านพักใหญ่มากๆ เลยแหละ อาหารที่นี่อร่อย บรรยากาศนิ่งๆ เหมือนมีเวลาทั้งโลก

ความยุ่งวุ่นวายหายไปไหน ความเครียดจากหน้าที่การงานหายไปไหน 

สำหรับเราการมานั่งร้านนี้ให้อารมณ์แบบลอยๆ ฝันๆ

เหมือนไม่มีจุดหมาย มานั่งฆ่าเวลา มานั่งเหมือนไม่มีอะไรทำ

เป็นความรู้สึกแปลกมากสำหรับคนบ้างานอย่างเราที่ไม่ชอบใช้เวลานั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร



ชิลได้อีก Namaste Cafe


เราพยายามหาคำตอบให้ตัวเองว่า แล้วทำไมต้องทำสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาด้วย

เราบอกตัวเองให้รีแลกซ์ ชิล คลาย ไม่ต้องคิด นั่งมองแม่น้ำไป แต่สุดท้ายทำไม่ได้

เราทดแทนความว่างนั้นด้วยการกิน คือสองฝรั่งนั่นงงมาก เอ็งกินเยอะไปไหนเนี่ย

คือเราก็ตกใจตัวเองนะว่า นี่เราอยู่กับตัวเองไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ 

ด้วยความที่อิ่มมาก เลยต้องขอตัวไปเดิน อเล็กซ์บอกว่าจะส่งที่ตีนสะพาน เอ๊ะ ยังไงนินายคนนี้

เข้าใจคนรู้ตัวว่าจะโดนจีบ แต่ไม่อยากให้จีบมั้ย คือตั้งใจมาค้นหาตัวเอง ไม่ได้จะมาค้นหาใคร โอเคนะ

เฮ้อ..


เลยหนีข้ามสะพานไปร้านกาแฟ ฮ่าๆ คาปูชิโน่แท้แก้วแรกที่ฤาษีเกศ 

แล้วต่อด้วยแวะดูร้านหนังสือ เห็นแล้วน้ำลายไหล พรุ่งนี้จะกลับมาใหม่

กลับที่พักหลงไปหลงมา ควรเดิน 10 นาที นี่ปาไปครึ่งชั่วโมง

ถึงบ้านอัพบล็อกต่อ แล้วออกไปกินข้าวอีกมื้อ โดยที่ไม่หลงแล้ว

แล้วก็ผ่านไปแล้วอีกวัน

:)



หนอนน้ำลายไหล



หนังสือโยคะทั้งนั้น อู้วๆ


หมดตัวแน่ค่ะ งานนี้



เตรียมตัวเข้าทางลัด



เลี้ยวผิดแล้วก็หลง



หลงมา แล้วก็หลงไป



เลี้ยวไป แล้วก็หลงมา



หลงอยู่ในซอก วกไปเวียนมา



ประตูโรงเรียน Patanjali


นอกเรื่องประจำวัน

ณ ร้านอาหาร Ganga Beach

เราบอกผึ้ง : Mint Paratha อร่อยนะ (หน้าตาเหมือนโรตีแต่มันน้อยกว่า และมีสะระแหน่ข้างใน)

ผึ้งก็โอเคหันไปสั่งตามนั้น เอามากินกับ Mushroom Masala

สักพักใหญ่ต่อมาระหว่างที่เรากับอเล็กซ์กำลังดูเมนูถกกันว่า Raita นี่มันหน้าตาเป็นยังไงหนอ ไม่เคยสั่ง

อาหารที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ ผึ้งได้ Mushroom Masala หรือแกงกระหรี่เห็ด อร่อยเหอะ

เราสั่ง Masala Papad คือแป้งแผ่นบางๆ แล้วมีผัดหัวหอมกองใหญ่โปะพรึ่บอยู่บนนั้น

ส่วนอเล็กซ์ได้ผัดผักกะเกี๊ยวจากร้อน 

โผล่มาอีกถ้วยหน้าตาเหมือนผักโขมอบชีสในความมืด เรางงบอกไม่ได้สั่ง คืออะไรเนี่ย

พนักงานเสิร์ฟกวนทรีนน่ารักคนเดิมบอกว่า ก็มาดามสั่ง Mint Raita ไง นี่ไง Mint Raita

เราก็งงกันสิ ไม่ได้สั่ง สั่ง Mint Paratha ไม่ใช่ Raita

พารตะ ไรตะ พารตะ ไรตะ พารตะ ไรตะ พารตะ ไรตะ พารตะ ไรตะ พารตะ ไรตะ 

ฮ่วย เออ สงสัยฝั่งเราพูดไม่ชัดเอง เลยคิดว่าไหนๆ ก็ไหนๆ ละ จะได้รู้ไปเลยว่ามันคืออะไร

เถียงๆ กันอยู่เมื่อกี้ คนเสิร์ฟบอกมันเป็นครีมจ้ะมาดาม ครีมใส่มิ้นท์ ก็น่าจะไหวน่ะ

งั้นเอาไว้นี่แหละ อิชั้นจะลองกินดูให้รู้ไป เอา Mint พา-รา-ต่า มาอีกที่ด่วนจี๋ละกัน

แล้วเราก็เริ่มลองชิมกัน ผึ้งลงช้อนคนแรก ใส่ปากแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม

นางบอกว่า ไม่, ผึ้งจะไม่ทน!

อเล็กซ์กับเราลงช้อนตามไปติดๆ เหยย... นี่มันโยเกิร์ตใส่พริกกะสะระแหน่

ไม่ดีงาม ไม่เลวร้าย พอทน ทนไปได้ครึ่งถ้วย เลิก! 

ฮ่าๆๆๆๆ



หน้าตาแบบนี้ ในความมืด



บอกตัวเอง ต้องฝึกโยคะทุกวันนะ แม้พี้นที่โฮสเทลจะไม่อำนวยนักก็ตาม

:)






Create Date : 10 มีนาคม 2559
Last Update : 7 กันยายน 2559 10:14:40 น. 3 comments
Counter : 2345 Pageviews.

 
เป็นการแชร์ประสบการณ์ที่น่าสนใจมากค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 10 มีนาคม 2559 เวลา:16:40:26 น.  

 


โดย: สมาชิกหมายเลข 3772171 วันที่: 21 มกราคม 2561 เวลา:12:28:57 น.  

 
ติดตามครับ....
ผมเพิ่งพบ ( in youtube) Mooji ไม่นาน ชอบ มากคนครับ


โดย: Popspective IP: 182.232.78.228 วันที่: 3 มิถุนายน 2561 เวลา:2:07:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.