ทูตฮังการีพบประวิตรสานสัมพันธ์ร่วมมือด้านน้ำระหว่างประเทศ
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ นายชานโดร์ ชีโปช เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง และหารือทวิภาคีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจด้านน้ำระหว่างไทย-ฮังการี โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ฝ่ายไทย)
เข้าร่วม โดยมีประเด็นที่หยิบยกในการหารือครั้งนี้ ได้แก่ ความร่วมมือเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไทย-ฮังการี ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจด้านน้ำระหว่าง สทนช. และกระทรวงมหาดไทยของฮังการี และการมอบเครื่องกรองน้ำ เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา ให้กับโรงเรียนชุมชนวัดรางบัว (แหลมราษฎร์บำรุง) จ.ราชบุรี โดยเลขาธิการ สทนช. เป็นผู้รับมอบ นอกจากนี้ ยังได้หารือในประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ฮังการี และความร่วมมือด้านต่างๆ รวมถึงโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2566 ด้วย รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลฮังการีที่ได้ร่วมสร้างและพัฒนาการความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างทั้งสองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และยินดีในความสำเร็จของการบูรณาการขับเคลื่อนความร่วมมือในการจัดการน้ำร่วมกัน ภายหลังการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระหว่าง สทนช. และกระทรวงมหาดไทยฮังการี (เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562) ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรมและเทคโนโลยี
รวมถึงการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเฉพาะการจัดการน้ำเสียและคุณภาพน้ำ แม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมขอบคุณฮังการีสำหรับการมอบเครื่องกรองน้ำให้โรงเรียนชุมชนวัดรางบัว (แหลมราษฎร์บำรุง) จ.ราชบุรี ซึ่งช่วยให้คนในชุมชนได้เข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัย ที่เป็นความจำเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต อันส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
สำหรับการหารือในครั้งนี้ ไทยได้แสดงความประสงค์เชิญให้ฮังการีร่วมหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในสาขาที่ฮังการีมีความเชี่ยวชาญ เช่น อาหารและการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ การบริหารจัดการน้ำและการจัดการน้ำเสีย วิทยาศาสตร์การแพทย์ และยานยนต์แห่งอนาคต รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนของไทยในฮังการีเพื่อผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดยุโรป ด้านฮังการีได้แสดงความประสงค์ให้ไทยใช้กลไกความใกล้ชิดทางการเมืองเพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศสมาชิก EU ประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตร อาหาร เทคโนโลยีการบริหารจัดการน้ำ และอุปกรณ์การแพทย์ พร้อมการผลักดันการเยือนระดับสูงและการประชุมตามกลไกทวิภาคีของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งเสริมสร้างความสามารถในการดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วม หรือ soft power ในไทย ผ่านความร่วมมือด้านการศึกษา และการมอบทุนการศึกษาให้นักศึกษาไทยไปศึกษาที่ฮังการี