กาญจนบุรี(3): ทางรถไฟสายมรณะ

กลับเข้าสู่บล็อกท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีกันอีกครั้งครับ หลังจากเที่ยวเส้นทางถ้ำธารลอดและเขื่อนศรีนครินทร์ไปแล้ว คราวนี้ตามเส้นหลัก 323 หรือถนนแสงชูโต ที่ลากยาวตั้งแต่บ้านโป่งถึงพม่า ผ่าตัวเมืองกาญจนบุรี เส้นทางท่องเที่ยวหลักของเมืองกาญจน์ล้วนเรียงตัวอยู่บนถนนเส้นนี้ ตั้งแต่ตัวเมือง ไทรโยค ทองผาภูมิ จนถึงสังขละบุรีเลยครับ
 
 
นอกจากถนนแสงชูโตแล้ว มีเส้นทางคมนาคมอีกอย่างที่ขนานกันไปยาวๆ ก็คือทางรถไฟ ซึ่งเส้นทางรถไฟในจังหวัดกาญจนบุรีสร้างขึ้นในสมัยสงคราามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นที่เกณฑ์เชลยมาก่อสร้างจนเสียชีวิตไปมากมาย จึงถูกเรียกว่า "ทางรถไฟสายมรณะ" ยาวตั้งแต่สถานีหนองปลาดุกที่บ้านโป่ง ไปจนออกประเทศพม่า ไปสุดสายที่เมืองตาน-พยูซะยะ มีความยาว 415 กม. อยู่ในเขตประเทศไทย 304 กม. แต่หลังสิ้นสุดสงครามทางรถไฟส่วนใหญ่ก็ถูกรื้อไป ที่ยังใช้งานปัจจุบันเหลือเพียง 131 กม. เริ่มที่สถานีหนองปลาดุกและสิ้นสุดที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อยเท่านั้น

และบล็อกเที่ยวเมืองกาญจนบุรีนี้ จะพาเที่ยวตลอดเส้นทางรถไฟสายมรณะกันเลยครับ เอ็นทรี่นี้เป็นการรวมเอาหลายๆทริปเข้าด้วยกัน เรียงเนื้อหาตามตำแหน่งของสถานที่นะครับ 124


 


มาเริ่มต้นกันที่ต้นสาย สถานีหนองปลาดุก อ.บ้านโป่ง นี่เคยทำงานบ้านโป่งมา 3 ปี ไม่รู้มาก่อนเลยครับว่าจุดเริ่มต้นทางรถไฟสายมรณะอยู่ตรงนี้เอง


เข้าตัวเมืองกาญจนบุรี นอกจากเส้น 323 แล้ว เส้นอื่นๆก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเยอะเลยนะครับ ขอเถลไถลข้ามแม่น้ำแม่กลองออกมาเที่ยวใต้ตัวเมืองกาญจนบุรีสักนิด จะมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจติดกันทั้งวัดถ้ำเสือ ถ้ำแก้วกาญจนาภิเษก และต้นจามจุรียักษ์


วัดถ้ำเสือ
(Tham Sue Temple)

วัดถ้ำเสือเป็นวัดใหม่ก่อตั้งโดยหลวงพ่อชื่น ปาสาทิโก ในปี พ.ศ.2514 ตัวถ้ำเสือเป็นถ้ำเล็กๆ อยู่ด้านล่างของเนินไม่มีอะไรเลยครับ แต่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนคือสิ่งก่อสร้างด้านบนเนินมากมาย โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ที่เห็นแต่ไกล

 


หลวงพ่อชื่นมรณภาพในปี พ.ศ.2542
ร่างของหลวงพ่อชื่นบรรจุในโลงแก้วหน้าถ้ำเสือ

 


จอดรถด้านล่างแล้วขึ้นรถรางไปได้เลยครับ (คนละ 10 บาท)
หรือใครแข็งแกร่งจะขึ้นบันไดก็ได้นะ

 

แลนด์มาร์คของแถบนี้คือหลวงพ่อชินประทานพร ขนาดมหึมาประดับด้วยแก้วโมเสกทั้งองค์ เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรที่องค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี


เจดีย์เกษแก้วมหาปราสาท สูง 59 เมตร ภายในขึ้นไปได้ 9 ชั้น ชั้นบนสุดประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากอินเดีย นอกจากขึ้นมาไหว้พระธาตุแล้วขึ้นไปถ่ายรูปวัดถ้ำเสือจากมุมสูงก็สวยนะ


ใกล้กันมี ถ้ำแก้วกาญจนาภิเษก เป็นถ้ำหินควอตซ์สีขาวงดงาม จอดรถแล้วเดินไม่ไกลจะเห็นทางลงถ้ำ เดินเข้าไปหน่อยเดียวจะเป็นโซนที่มีผลึกควอตซ์สะท้อนแสงไฟสวยงาม




แม้ชื่อเสียงและความสวยงามจะเป็นรองถ้ำแก้วโกมลที่แม่ฮ่องสอน แต่ถ้ำนี้เข้าง่ายกว่าและถ่ายรูปได้! ของแม่ฮ่องสอนควบคุมสภาวะเข้มงวดเพื่อไม่ให้ขัดขวางการเติบโตของผลึก แต่ที่นี่พอไม่มีคนเฝ้าดูแลก็กังวลนะครับว่าจะมีคนเข้าไปทำให้ผลึกเสียหายรึเปล่า (อย่างพวกที่เอาเหรียญมาเหน็บนี่ไง)

 
ด้านหลังมีพระพุทธรัตนมุนีองค์พระสีขาวทรงเครื่อง บริเวณนี้ยังมีถ้ำปะการังและถ้ำแก้วมหัศจรรย์ แต่ดูข้อมูลแล้วขึ้นยากและความสวยงามเป็นรองถ้ำแก้วกาญจนาภิเษกเลยไม่ได้ไปครับ
 

 

เลยวัดถ้ำเสือและถ้ำแก้วกาญจนาภิเษกลงไป 10 กม. จะมี ต้นจามจุรียักษ์ อายุ 110 ปี นี่คือต้นไม้ต้นเดียวเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหญ่ไปเลยครับ ด้วยความสวยงามของกิ่งก้านสาขา ทำให้คนมาเที่ยวมีร้านค้าชุมชนเกิดขึ้นรายล้อม เขาทำทางเดินรอบๆ  ไม่ให้นักท่องเที่ยวที่มากขึ้นทุกวันไปย่ำจนรากตายนะครับ




กาญจนบุรีมีร้านอร่อยๆ เยอะมาก นักท่องเที่ยวนิยมไปกินเมนูปลาตามร้านริมน้ำ ร้านที่บ้านผมไปบ่อยคือชุกโดน แต่ไม่ได้ไปมาเป็นสิบปีแล้วครับ ช่วงหลังๆนี้เที่ยวกาญจน์ทีไร ไปตรงมื้อเที่ยงเอาที่อื่นตลอด จนล่าสุดได้มีโอกาสไปกินร้านไผ่ริมแคว น้องแนะนำมาเพราะสมัยทำงานที่กาญจน์คนที่ทำงานแนะนำมากินกัน ซึ่งมาลองแล้วก็เด็ดจริง! ร้านนี้ให้เลือกไซส์ปลาแล้วจะทำเมนูคิดราคาตามน้ำหนักปลาเลย ปลาคังโลละ 270 บาท รับประกันความสด วันนี้เลือกไซส์ 4 โล ทำกับข้าวได้ 3 อย่าง ร้านนี้อร่อยด้วยรสชาติวัตถุดิบเลย ไม่มีปลาคังลวกจิ้มที่ไหนจะสด เด้ง ฉ่ำ กรอบ ได้เท่านี้อีกแล้วครับ ส่วนเมนูที่ปรุงเพิ่มเติมอย่างฉู่ฉี่กับต้มยำนี่คือโคตรเผ็ดอะครับ คนกาญจนบุรีกินเผ็ดจริงๆ  ร้านนี้คนเยอะ รอกับข้าวนานหน่อย แถมเด็กเสิร์ฟพม่าล้วนๆ สั่งได้มั่งไม่ได้มั่ง วันที่ไปเจอสุหฤท สยามวาลา ดีเจชื่อดังและอดีตผู้สมัครผู้ว่า กทม. มานั่งกินร้านเดียวกันด้วย

 
กลับเข้าเมืองกาญจนบุรีแล้วเที่ยวกันต่อครับ วิมลวุ้นมะพร้าวอ่อนที่สาขาท่าม่วงนี้เป็นสาขาแรกของร้านวิมลด้วย ปกติผมกินสาขาตลาดลูกแก เพราะอยู่ใกล้ที่ทำงานเก่าที่บ้านโป่ง ร้านนี้วุ้นมะพร้าวอ่อนและพายมะพร้าวอ่อนคือเดอะเบสต์เลยครับ
 

 


กาญจนบุรีเป็นจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยม ที่พักก็เยอะไปด้วย ทั้งบนแพ บนภูเขา และในเมือง รอบที่ไปล่าสุดพักในเมืองเพราะจะไปเดินถนนคนเดินปากแพรก เลยพักที่โรงแรมกนกกาญจน์ เป็นโรงแรมใหญ่เหมือนกัน มีสระว่ายน้ำด้วย ราคานี้รวมมื้อเช้าแล้วครับ


พอแดดร่มลมตกก็เดินถนนคนเดินกัน แม้ยุคนี้จะมีถนนคนเดินทุกมุมเมือง แต่ถนนคนเดินปากแพรก ของกาญจนบุรีใช้ความคลาสสิคของบริเวณประตูเมืองและโซนเมืองเก่าปากแพรกเพิ่มสเน่ห์ขึ้นไปอีกระดับ โดย ร.3 ได้ย้ายเมืองกาญจนบุรีจากท่าเสาเขาชนไก่มาที่ปากแพรก ที่แม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่บรรจบกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง ไหลลงอ่าวไทย ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ วันที่ 31 มี.ค. (วันคล้ายวันเกิด ร.3) อบจ.กาญจนบุรีจะมีการจัดงานวันที่ระลึกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า วางพานพุ่มที่อนุสาวรีย์ ร.3 หน้ากำแพงเมือง



 


 

บริเวณนี้มีศาลหลักเมืองและจวนผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีสร้างในปี พ.ศ.2374 ตั้งแต่แรกสร้างเมืองกาญจน์ แต่หลังที่เห็นนี้สร้างใหม่ในปี พ.ศ.2475 ปัจจุบันเป็นที่ดินราชพัสดุ
 

ถนนคนเดินปากแพรกจัดขึ้นทุกวันเสาร์เวลา 16.00 - 21.00 น. บริเวณนี้เป็นย่านเมืองเก่า มีอาคารอายุเกือบร้อยปีมากมาย แต่ละหลังมีป้ายให้อ่านประวัติด้วยนะครับ และช่วงหลังคนรู้จักเมืองปากแพรกมากขึ้นเพราะเป็นถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ด้วย




ของกินขึ้นชื่อของตลาดนี้คือหมี่กรอบและขนมไข่กรอบ แต่ผมไม่ชอบกินทั้งคู่ หนนี้ลองกินขนมข้าวโพดและขนมนึ่งก็อร่อย ราคาถูกดีด้วย



ในตัวเมืองกาญจนบุรีสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับทางรถไฟสายมรณะนะครับ ก่อนเที่ยว ขอเล่าเรื่องนี้เพิ่มเติมจากที่อินโทรไว้ต้นบล็อกอีกสักนิด...

 
างรถไฟสายมรณะ ถูกสร้างขึ้นโดยทหารญี่ปุ่นเพื่อลำเลียงของระหว่างไทยและพม่า ในการก่อสร้างใช้เชลยฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ กว่าหกหมื่นคน และกรรมกรชาวเอเชียอีกเป็นจำนวนมาก ด้วยระยะทางที่ยาว ความหิวโหย และโรคภัย ทำให้เชลยศึกล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ประมาณได้ว่ามีเชลยศึกเสียชีวิตราว 16,000 คน และกรรมกรท้องถิ่นเสียชีวิตไปอีกราว 100,000 คน จึงทำให้ทางรถไฟนี้ถูกเรียกว่า "ทางรถไฟสายมรณะ" ทางรถไฟสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2486 โดยใช้เวลาก่อสร้างเพียง 1 ปี แต่หลังสิ้นสุดสงคราม ทางรถไฟก็ถูกเลิกใช้งาน บางส่วนถูกรื้อทิ้ง และบางส่วนจมอยู่ใต้เขื่อนเขาแหลม อังกฤษในฐานะฝ่ายชนะสงครามได้เทคโอเวอร์ทางรถไฟไป และรัฐบาลไทยขอซื้อต่อจากอังกฤษด้วยเงิน 50 ล้านบาท เพื่อเอามาซ่อมแซมและใช้งานเป็นทางรถไฟปกติจนถึงทุกวันนี้ แต่ความยาวของส่วนที่ยังใช้งานได้หดจากเดิม 415 กม. เหลือเพียง 131 กม. สิ้นสุดที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อยเท่านั้น
 


จากประตูเมืองลงมาทางใต้ 450 เมตร หน้าวัดไชยชุมพล มี พิพิธภัณฑ์สงครามอักษะและเชลยศึก (JEATH War Museum)  รวบรวมประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไว้ ที่นี่เล็กและคนรู้จักน้อยกว่าพิพิธภัณฑ์ที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำแคว แถมชื่อยังคล้ายกันจนหากันไม่ค่อยเจอด้วยครับ

พิพิธภัณฑ์นี้สร้างในปี พ.ศ.2520 โดยท่านเจ้าคุณพระธรรมคุณากรณ์ เจ้าอาวาสวัดไชยชุมพล จำลองเป็นกระท่อมแบบค่ายเชลยในสมัยสงครามโลก รวบรวมภาพวาดและภาพถ่ายเรื่องราวการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ มีสิ่งของเครื่องใช้และอาวุธในสมัยนั้นจัดแสดงด้วย ค่าเข้าเพียง 10 บาทเท่านั้นครับ

 
ด้านขวานี้คืออนุสาวรีย์คุณทาเคชิ นากาเสะ ประธานมูลนิธิสันติภาพแม่น้ำแคว เป็นอดีตทหารล่ามญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบการก่อสร้างทางรถไฟ แต่หลังสงคราม คุณนากาเสะพยายามให้ปากคำในเรื่องราวต่างๆ และดำเนินการสานสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร

เรื่องราวการปรับความเข้าใจของคุณนากาเสะกับคุณอิริค โลแมกซ์ อดีตทหารที่เคยเป็นเชลยในการก่อสร้างทางรถไฟได้ถูกตีพิมพ์และสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Railway Man (2013)

คุณนากาเสะบวชเป็นพระอยู่ที่เมืองไทยและทำภารกิจต่างๆเพื่อชดใช้ความผิดของกองทัพญี่ปุ่นจนเสียชีวิตในปี 2011

 

ภาพนี้ชัดเจนดีครับ ทางรถไฟไทย-พม่า หรือทางรถไฟสายมรณะสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมทางรถไฟไทย ที่ดิ่งลงใต้ กับทางรถไฟของพม่าเข้าด้วยกัน โดยแยกออกจากทางหลักที่สถานีหนองปลาดุก จุดยอดนิยมอย่างสะพานข้ามแม่น้ำแควนี่ถือว่าเป็นต้นๆสายเลยนะ


จากวัดไชยชุมพลขึ้นมาทางเหนือ 3 กม. จะมี สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก (Kanchanaburi War Cemetery) เป็นสุสานที่ฝังร่างของทหารสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในสงคราม และเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางรถไฟสายมรณะ ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่เคยเป็นค่ายกักกันเชลย หน่วยสุสานทหารบกของสัมพันธมิตรได้สร้างขึ้น โดยย้ายศพเชลยที่ฝังตามค่ายต่างๆ มาฝังรวมกันที่นี่ ประกอบด้วยทหารอังกฤษ 5,000 นาย และทหารฮอลันดา 1,800 นาย สำหรับร่างที่เคลื่อนย้ายมาไม่ได้ ได้จารึกชื่อไว้ตรงทางเข้าสุสาน ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคณะกรรมาธิการสุสานสงครามแห่งเครือจักรภพ มีลูกหลานของเหล่าผู้เสียชีวิตมาเคารพบรรพบุรุษอยู่เรื่อยๆ แม้จะผ่านสงครามมากว่า 70 ปีแล้วครับ


ข้างสุสานมีพิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไทย-พม่า อยู่นะครับ จัดแสดงประวัติศาสตร์ของทางรถไฟสายมรณะ เล็กกว่าพิพิธภัณฑ์ตรงสะพานข้ามแม่น้ำแควเยอะ แถมค่าเข้าโหดนิดๆ คนไทยหัวละ 100 เคยไปสมัยยากจนแล้วไม่เข้า ตอนนี้รวยแล้วแต่ผ่านกาญจน์ทีไรลืมไปทุกทีครับ ใครเป็นแฟนฮาร์ดคอร์ของทางรถไฟก็แวะเข้าไปชมกันได้นะ

จากสุสานดอนรักขึ้นมา 3 กม. ก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควอันโด่งดัง บริเวณนี้มีทั้ง พิพิธภัณฑ์ ตลาดค้าพลอย และทางรถไฟ จอดรถที่ตลาดแล้วเดินเที่ยวได้ยาวๆ ครับ

ตรงข้ามทางรถไฟเป็นตลาดค้าพลอยขนาดใหญ่ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่นำมาจาก อ.บ่อพลอย ที่เป็นแหล่งอัญมณีของจังหวัดครับ

 


 

หน้าตลาดมีหัวรถจักรที่เลิกใช้งานแล้ว รุ่น C56 ตั้งไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 เป็นแลนด์มาร์คหน้าทางรถไฟ
 

หอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II & JEATH War Museum) ก่อตั้งโดยคุณอรัญ จันทร์ศิริ ในปี พ.ศ.2529 โดยปรับปรุงอาคารที่เคยเป็นกองบัญชาการของกองทัพญี่ปุ่นในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ อาวุธ และเรื่องราวของไทยช่วงสงครามโลก เป็นพิพิธภัณฑ์สงครามโลกที่ใหญ่โตที่สุดของไทยแล้วครับ นอกจากสงครามโลกแล้วยังมีการจัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดพบขณะสร้างทางรถไฟ อาคารประวัติศาสตร์ชาติไทย และหอสมุด ค่าเข้าผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท


ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์มีซากรถไฟสมัยสงครามโลกที่กองทัพญี่ปุ่นใช้ขนอาวุธไปยังพม่า-อินเดีย เลิกใช้งานในปี พ.ศ.2507


อาคารต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์มีทั้งอาคารยุทธภัณฑ์ที่จัดแสดงอาวุธและโครงกระดูกผู้เสียชีวิต อาคารอาร์ตแกลเลอรี่จัดแสดงภาพถ่าย อาคารประวัติศาสตร์ชาติไทย จัดแสดงรูปกษัตริย์อยุธยาทุกพระองค์ และอาคารหอสมุดเป็นที่เก็บหนังสือ ตรงกลางพิพิธภัณฑ์คือพระธาตุแควใหญ่ ที่คุณอรัญนำพระธาตุที่ได้จากอินเดียมาบรรจุไว้ สร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2519 เพิ่งเสร็จปี พ.ศ.2549 นี้เอง


สิ่งที่น่าสนใจต้องลงไปชั้นล่างของพิพิธภัณฑ์เลยครับ เป็นข้าวของเครื่องใช้ ยานพาหนะ และอาวุธในสงครามโลก จัดแสดงในอาคารที่เคยเป็นกองบัญชาการของญี่ปุ่นและมีโบกี้รถไฟที่ใช้ขังนักโทษจริง ทำให้มีความเรียลกว่าพิพิธภัณฑ์สงครามโลกที่อื่นมาก  


และนี่คือคอสะพานข้ามแม่น้ำแควเดิมที่ให้เชลยสร้างในปี พ.ศ.2485 ก่อนจะย้ายไปสร้างที่ตำแหน่งปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์นี้มีทุกอย่างจริงๆครับ มีกระทั่งสะพานข้ามแม่น้ำแคว

 


ส่วนที่ติดแม่น้ำแควเป็นลานชมวิว มีเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์สมัยสงครามโลกจอดอยู่ด้วย

 


ถ้ามองไปด้านขวามือจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำแคว นั่นคือไฮไลต์ของเมืองกาญจน์แล้วครับ ไปกันเลยดีกว่า 118

 

ช่วงที่โหดที่สุดของการสร้างทางรถไฟสายมรณะคือช่วงข้ามแม่น้ำแควใหญ่ ต้องสร้างสะพานรองรับรางรถไฟยิ่งบั่นทอนชีวิตของเชลยศึกเข้าไปอีก นี่คือตำแหน่งที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดของทางรถไฟสายมรณะครับ สะพานข้ามแม่น้ำแคว

สะพานข้ามแม่น้ำแคว
(The Bridge of the River Kwai)


สะพานแห่งนี้ถูกสร้างโดยเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรและกรรมกรท้องถิ่นเช่นเดียวกับทางรถไฟ ใช้เวลาสร้างเพียงหนึ่งเดือน แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2486 แต่สร้างเสร็จเพียงปีเดียวก็ถูกทิ้งระเบิดพังไป หลังสงครามโลก รัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้งในปี พ.ศ.2489 มีความยาว 323 เมตร แต่ก่อนคิดว่าข้ามไปอีกฝั่งจะเป็นพม่านะครับ อันที่จริงมันก็แค่ข้ามแม่น้ำแควเองนะ

จุดนี้มีนักท่องเที่ยวคึกคัก แต่ไม่รู้ว่าหลังโควิดเป็นไงบ้าง มีร้านค้าแผงลอยยาวตั้งแต่เชิงสะพานไปถึงสถานีเลยครับ


ข้ามแม่น้ำแควมาอีกฝั่ง ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรแล้ว ก่อนออกจากตัวเมืองกาญจน์ขอแวะเที่ยวอีกที่หนึ่งก่อนครับ สุสานทหารสัมพันธมิตรช่องไก่ เป็นสุสานทหารสัมพันธมิตรเช่นกัน แต่เล็กและเป็นที่รู้จักน้อยกว่าดอนรัก บริเวณนี้เดิมคือค่ายช่องไก่ เคยมีโบสถ์ โรงพยาบาล และสุสาน หลังสงครามสิ้นสุด ก็มีการนำศพจากที่อื่นๆ มาฝังรวมที่นี่และขยายสุสานขึ้น มีศพของทหารชาวอังกฤษ 1,400 นาย ชาวฮอลันดา 300 นาย ฝังอยู่ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคณะกรรมาธิการสุสานสงครามแห่งเครือจักรภพเช่นเดียวกับที่ดอนรัก

 


...ทุกท่านครับ เรามาได้ครึ่งทางของบล็อกนี้แล้ว ยาวใช่ม้า! นี่แค่อ่านบล็อกนะ คิดถึงคนที่ต้องทำรางรถไฟยาวขนาดนี้สิ! (นี่ก็จะแถให้เกี่ยวกันให้ได้) ออกจากเมืองกาญจนบุรีขึ้น 323 ต่อจะเป็น อ.ไทรโยค จุดท่องเที่ยวยอดนิยมของทางรถไฟสายมรณะรองจากสะพานข้ามแม่น้ำแควก็คือถ้ำกระแซที่ อ.ไทรโยค แต่ก่อนอื่นแวะเที่ยวถ้ำเชลยที่อยู่ใกล้ๆกันสักหน่อยครับ

ถ้ำเชลย อยู่ห่างตัวเมืองกาญจนบุรีขึ้นมาทางเหนือราว 40 กม. เป็นสถานที่ซึ่งทหารญี่ปุ่นและพวกเชลยศึกใช้หลบภัยจากการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรในสมัยสงครามโลก
 


ทางเข้าถ้ำด้านหน้ามีอาคารพิพิธภัณฑ์อยู่
แต่ร้างและปิดตัวถาวรไปแล้วนะครับ

 


จากทางเข้า เดินลุยป่าไป 400 เมตร
จะถึงตัวถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงาม

 





 

มีเรื่องเล่าว่าสมัยนั้นคนป่วยเป็นไข้ป่าตายกันเยอะ แต่เมื่อได้ดื่มน้ำจากแอ่งหินในถ้ำแล้วก็หายไข้อย่างน่าอัศจรรย์ และนี่คือแอ่งหินในถ้ำที่เรียกว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หน้าน้ำจะมีน้ำเต็มตลอดเวลา
 


 
 

ถ้ำกระแซ
(Krasae Cave)

ถ้ำกระแซ อยู่ห่างจากถ้ำเชลย 1 กม. แต่ขับตรงไปไม่ได้นะครับ ทางขาด ต้องอ้อมไปเข้าข้างหลัง 8 กม. กว่าๆ
 


จากที่จอดรถเข้ามามีร้านค้ามากมาย สมเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม

 


หลุมจากการถูกทิ้งระเบิดจริงๆในปี พ.ศ.2488 แต่ที่ปักอยู่นั่นระเบิดปลอมทำไว้เป็นสัญลักษณ์นะครับ

 


จากสถานีถ้ำกระแซ เดินต่ออีกหน่อย จะเป็นช่วงที่สร้างทางรถไฟเลาะริมผา ตรงนี้เป็นอีกจุดที่สร้างยากที่สุดของทางรถไฟสายมรณะ และสังเวยชีวิตผู้คนไปมากมาย ทุกวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มองเห็นวิวแม่น้ำแควน้อยด้านล่าง


ตัวถ้ำกระแซเป็นถ้ำเล็กๆ เป็นที่พักของแรงงานก่อสร้างทางรถไฟ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป


กลับมาถนนแสงชูโตเส้น 323 ขึ้นเหนือมาอีก จะมีช่วงที่รถจอดเยอะๆ ตรงนี้คือ น้ำตกไทรโยคน้อย อยู่ริมถนนเลย เป็นแหล่งท่องเที่ยวสามัญประจำบ้านที่สุดของอำเภอไทรโยคแล้วครับ และที่นี่คือสถานีปลายทางของทางรถไฟสายมรณะเท่าที่ยังมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันด้วย
 


ตรงทางขึ้นน้ำตกมีแผงขายเหรียญมีตำหนิ ราคาสูงเอาเรื่องเหมือนกัน สำหรับนักสะสมมืออาชีพเลยครับ

 


รถจักรไอน้ำ C56 ปลดระวางในปี พ.ศ.2519 การรถไฟมอบให้จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเป็นอนุสรณ์สุดทางรถไฟสายมรณะ

 


คุณลุงคนนี้เล่นเพลงพระราชนิพนธ์ที่น้ำตกไทรโยคน้อยมาหลายปี
พบได้ทุกครั้งที่ไป

 


แปะป้ายช้าไป

 
น้ำตกไทรโยคน้อย เรียกอีกชื่อว่าน้ำตกเขาพัง เพราะดูเหมือนพังลงมาจากผาสูงชัน สูงราว 30 เมตร ด้านล่างเป็นแอ่ง ช่วงนี้ยังห้ามเล่นน้ำอยู่นะครับ แต่พอจะขึ้นไปโพสต์สวยๆ บนน้ำตกได้ ภาพนี้ตั้งแต่เดือน ก.ค. ถ้าไปช่วงนี้น้ำจะเยอะ สวยกว่านี้มากมาย


ที่จอดรถหน้าน้ำตกเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ถ้าผ่านมาแถวนี้พอดีมื้อก็จัดไป


แม้จะสิ้นสุดทางรถไฟไปแล้ว แต่ทางรถไฟเดิมยังเหลือร่องรอยให้ตามอยู่นะครับ แม้จะไม่ได้ใช้งานแล้ว จากน้ำตกไทรโยคน้อยขึ้นไปอีก 19 กม. จะมาถึงช่องเขาขาด เป็นอีกจุดที่คนสนใจประวัติศาสตร์สงครามโลกไม่ควรพลาด ถ้าเดินทางโดยกูเกิ้ลปักหมุดตรงพิพิธภัณฑ์ (ช่องเขาขาดพิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ) นะครับ อย่าไปปักหมุดช่องเขาขาดนะ ไม่งั้นมันพาขึ้นด้านหลังเขาเลยจ้า

ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด
(Hellfire Pass Interpretive Centre)

พิพิธภัณฑ์อยู่ในพื้นที่ของกองทัพไทยร่วมกับสำนักงานสุสานสงครามออสเตรเลีย สร้างศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาดขึ้น เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์เลวร้ายของการก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะ เปิดทุกวันเวลา 9.00 - 16.00 น. เคยปิดยาวๆ ช่วงโควิด แต่กลับมาเปิดตามปกติแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่สร้างขึ้นเพื่อการรำลึกและไว้อาลัยเช่นเดียวกับสุสานทหารสัมพันธมิตร ขอให้เข้าชมด้วยความสงบนะครับ
 


ผนังจารึกชื่อผู้คนที่เสียชีวิตจากงานก่อสร้าง

 


กลางห้องนี้แสดงปริมาณกองหินที่เชลยต้องขนย้ายในแต่ละวัน (3 ลบ.ม.)
และอาหารที่เชลยได้รับต่อคนต่อวัน (370 กรัม)

 
จากศูนย์ประวัติศาสตร์ลงไปด้านล่างคือช่องเขาขาดที่เชลยต้องขุดเจาะภูเขาเพื่อก่อสร้างทางรถไฟ ยังคงเหลือร่องรอยของทางรถไฟที่ถูกเลิกใช้งานแล้วอยู่ ช่องเขาขาดเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าช่องไฟนรก (Hellfire Pass) มาจากสภาพการทำงานที่เลวร้ายของงานก่อสร้าง ทางรถไฟแถบนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2486 เช่นเดียวกับทางรถไฟช่วงอื่น และมีการเร่งงานก่อสร้างเนื่องจากล่าช้ากว่าแผน ทำให้เชลยและแรงงานท้องถิ่นต้องถูกบังคับให้ทำงานทั้งวันทั้งคืน อาศัยเพียงแสงจากตะเกียง ทำให้สภาพที่นี่เหมือนกับนรก

ช่องเขาขาดที่เจาะภูเขาเข้าไปทำรางรถไฟ มีไม้หมอนและรางรถไฟที่ขุดพบ


เส้นทางเดินสำรวจจนถึงสุดทางถนนหินตกยาว 2.6 กม. ถ้าแข็งแกร่งก็เดินไปได้นะครับ (ไป-กลับ 5 กม.) ควรขอวิทยุให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปได้นะ เผื่อไปแล้วไม่กลับเจ้าหน้าที่จะได้ไปตามตัวถูก แต่ถ้าเป็นมนุษย์ปกติก็เดินถึงอนุสรณ์สถานประมาณ 500 เมตรครับ ขออุปกรณ์โสตเพื่อฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ได้นะ

สุดทางช่องเขาขาด แต่เส้นทางเดินยังยาวต่อไปอีก อีกจุดที่น่าสนใจคือช่องหินตกที่เชลยต้องสร้างสะพานทางรถไฟข้ามหุบเหว (แต่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยแล้ว) จะไปต่อก็ได้แล้วแต่ความแข็งแกร่งและพาสชั่นครับ ส่วนผมขอกลับแค่นี้จ้า~


ในปี พ.ศ.2528 ทางการออสเตรเลียให้เงินสนับสนุนคุณจอห์น มอริส อดีตเชลยศึกคนหนึ่งในการสำรวจหาทางรถไฟ ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้แล้ว และพบร่องรอยของทางรถไฟหลายแห่ง โดยพิจารณาแล้วเห็นว่าช่องเขาขาด เป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นั้น จึงทำการถางป่าให้นักท่องเที่ยวเดินชมร่องรอยทางรถไฟได้สะดวก และสร้างอนุสรณ์สถานขึ้น


จากช่องเขาขาดขึ้นไปอีก 20 กม. คืออุทยานแห่งชาติไทรโยคที่มีทั้งน้ำตกไทรโยคใหญ่ และน้ำตกไทรโยคเล็ก บรรยากาศดี เหมาะเดินชิล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินปูน ป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบแล้ง เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์หายากสองชนิด คือค้างคาวกิตติและปูราชินี แต่ไม่เคยเจอทั้งสองอย่างนะครับ

ช่วงนี้เล่นน้ำไม่ได้ จำกัดคนเข้าไม่เกิน 500 คน และค่าเข้า 100 บาท ตามราคาอุทยานแห่งชาติที่อัพขึ้นมาจนเหี้ยมลึกเหมือนกันคนจนออกไป ตอนเข้าเห็นรถวนออกกันรัวๆ เลยครับ ไม่รู้เพราะราคาหรือเพราะเล่นน้ำไม่ได้

จากด่านเก็บค่าเข้าเข้ามาจะมีร่องรอยของอดีตสถานีบนเส้นทางรถไฟสายมรณะอยู่ริมถนน


แผนที่ท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติไทรโยค

 


 

อุทยานแห่งชาติไทรโยค
(Sai Yok National Park)

 
จากจุดจอดรถเดินเข้ามาจะถึง น้ำตกไทรโยคใหญ่ ไหลลงแม่น้ำแควน้อย


สะพานแขวนข้ามมาอีกฝั่ง จะเห็นวิวของน้ำตกไทรโยคใหญ่และไทรโยคเล็กชัดเจนขึ้น ใต้สะพานมีแพร้านอาหาร อยากลองเหมือนกัน แต่สุดท้ายกลับไปกินส้มตำใกล้ที่จอดรถครับ


เดินจากสะพานแขวนลงมา จะมีน้ำตกไทรโยคเล็กอยู่ทางใต้ของน้ำตกไทรโยคใหญ่ 300 เมตร ทั้งสองน้ำตกมาจากพุต้นน้ำเดียวกัน แยกไหลลงแม่น้ำแควน้อยเป็นสองสาย มีน้ำไหลตลอดทั้งปี ถ้ามาหน้าแล้งน้ำในแม่น้ำน้อย จะเห็นน้ำตกสูงขึ้นครับ


ร.5 เคยเสด็จมาเที่ยวไทรโยค 2 ครั้ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ที่ตามเสด็จได้นิพนธ์เพลงเขมรกล่อมลูก โดยดัดแปลงจากเนื้อเพลงเขมรกล่อมลูกเดิม และเพิ่มเนื้อหาความงามของไทรโยคเข้าไป เพลงนี้ถูกเรียกขานโดยผู้คนในยุคต่อมาว่า "เขมรไทรโยค" เพราะจำได้แค่ว่ามีไทรโยคอยู่ในเนื้อร้อง
 


เตาหุงข้าวของทหารญี่ปุ่นที่เข้ายึดพื้นที่น้ำตกไทรโยคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

 


มื้อเที่ยงนี้ฝากท้องไว้กับร้านส้มตำตรงที่จอดรถ อร่อยผิดคาด!

 

เลยจาก อช.ไทรโยคขึ้นไปเพียง 1 กม. จะมี ถ้ำดาวดึงส์ ชาวบ้านเพิ่งค้นพบในปี พ.ศ.2515 มีหินงอกหินย้อยสวยงาม อยู่ในความรับผิดชอบของ อช.ไทรโยคเช่นกัน ถ้ำนี้ต้องให้เจ้าหน้าที่พาเข้าไปครับ


เดินลุยป่ามาประมาณ 20 นาทีจะถึงตัวถ้ำ ค่อนข้างชื้นและลื่น โปรดก้าวด้วยความระมัดระวัง

 


ด้วยความที่เพดานถ้ำต่ำ เลยได้เห็นค้างคาวชัดๆ

 


จิ้งหรีดถ้ำ

 

 


หน้าถ้ำมีนกกางเขนดงมาเกาะสายไฟ เจ้าหน้าที่บอกว่าตัวนี้คุ้นคนมาก ถ่ายรูปง่าย มือใหม่อยากหัดถ่ายนกเชิญทางนี้เลยครับ แต่ใครช่วยสอนให้มันไปเกาะอย่างอื่นที่ไม่ใช่สายไฟหน่อยสิ ไม่ออร์แกนิคเลย

 


ร่องรอยของเส้นทางรถไฟสายมรณะยังคงมีต่อยาวไปจนถึงพม่าเลยนะครับ แต่ต้องงมในป่าหรือตามทุ่งกันเอาเองแล้วล่ะจ้า จึงขอจบเรื่องราวของทางรถไฟสายมรณะไว้แต่เพียงเท่านี้...

เลยจากนี้ขึ้นไปอีกก็ทองผาภูมิแล้วครับ ขออาสาพาเที่ยวในบล็อกถัดไป 127



 



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2563 22:48:44 น.
Counter : 3603 Pageviews.

37 comments
เที่ยวฟิน in ภาคกลาง ๑๒-๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี อุ้มสี
(20 เม.ย. 2567 15:02:48 น.)
春和歌山市 : Wakayama Zoo Park, Taga Shrine, Maruman Ramen mariabamboo
(20 เม.ย. 2567 09:39:39 น.)
ทริปอเมริกา #2 - ต่อเครื่องที่มะนิลา+ผ่านตม.แบบ fast trackที่นิวยอร์ค ฟ้าใสทะเลคราม
(18 เม.ย. 2567 18:15:13 น.)
มหาสงกรานต์ '67 (รักโดรนมาก) สมาชิกหมายเลข 7777777
(17 เม.ย. 2567 18:18:19 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร, คุณtoor36, คุณสองแผ่นดิน, คุณกะว่าก๋า, คุณKavanich96, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณตะลีกีปัส, คุณhaiku, คุณThe Kop Civil, คุณInsignia_Museum, คุณmcayenne94, คุณอุ้มสี, คุณnonnoiGiwGiw, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณtuk-tuk@korat, คุณทุเรียนกวน ป่วนรัก, คุณSai Eeuu, คุณเริงฤดีนะ, คุณเนินน้ำ, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณTui Laksi, คุณมาช้ายังดีกว่าไม่มา, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณmariabamboo, คุณที่เห็นและเป็นมา

  
เจิมก่อน ผ่อนทีหลัง!!



๙๙
๙๙๙
| |
++++
_๙๙๙๙๙_


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2563 เวลา:21:34:49 น.
  
ชีริว Travel Blog ดู Blog
ขอบคุณที่พาไปเที่ยวแบบเจาะลึกจ้า

โดย: หอมกร วันที่: 14 พฤศจิกายน 2563 เวลา:22:04:30 น.
  
วัดถ้ำเสือ
ในภาพสิ่งก่อสร้างบางส่วนน่าจะได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมของทางจีนมาเลย ทีรถรางแบบนี้ก็ดีสะดวกดีครับ เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องการทำเวลาในการท่องเที่ยว คุ้นๆ ว่าเพื่อนบล็อกหลายคนก็เคยถ่ายภาพวัดนี้มาลงในบล็อกเหมือนกัน

ถ้ำมีพวกพวงมาลัยเต็มไปหมด เอกลักษณ์ของบ้านเราจริงๆ

ต้นจามจุรียักษ์ ถ่ายรูปสวยนะครับ ใหญ่โตดีจริงๆ

พวกถนนคนเดินมันก็มีเสน่ห์ในแต่ละเมืองเหมือนกันนะครับ

พิพิธภัณฑ์สงครามอักษะและเชลยศึก อันนี้ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเคยไปรึเปล่า (นานมากแล้วจำไม่ได้เลย) แต่สุสานอันนี้ได้ไปครับ พุดถึงหัวรถจักร ของบ้านเรานี่ใช้จนไม่รู้จะใช้ยังไงแล้ว เก่าแก่มากๆ

พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมรู้สึกว่าจัดของข้างในเบียดกันเกิน ก็พอเข้าใจว่าที่ไม่พอล่ะครับ แต่มันเบียดอัดกันมากเกินไปจริงๆ

สะพานข้ามแม่น้ำแคว อันนี้ถ้าบอกไม่ได้ไปโดนถีบแน่ๆ ตรงนี้ทางเดินไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ ที่ดูน่ากลัวเป็น ทางรถไฟเลาะริมผา ตรงนี้ทางเดินน่ากลัวครับ เดินไม่ดีพลาดตกลงไปนี่แย่เลย

ตรงห้ามขีดเขียนมันเป็นสันดานคนครับ ทุกประเทศก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น ไม่จำกัดด้วยนะว่าเป็นใคร ทุกคนถ้ามีโอกาส จะจารึกเสมอว่าตนเองเคยมาเที่ยวแล้ว แย่จริงๆ

ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด ที่นี่ดูดีทีเดียวครับ อุทยานแห่งชาติล่ะนะ ราคาก็เลยโหดหน่อย คนจนได้แต่เจียมตัว ถ้ำดาวดึงส์ค้างคาวเยอะไปมั้ยเนี่ยะ ยังไงก็ต้องมีพวกมาลัยล่ะนะ

เอนทรี่นี้ยาวมากจริงๆ ต้องค่อยๆ อ่านค่อยๆ จับประเด็นเลย ไม่งั้นจำไม่ได้เนื้อหาเยอะเกินไม่เหมาะกับคนไทย (ใช่เหรอ)
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 14 พฤศจิกายน 2563 เวลา:22:16:21 น.
  
ทริปนี้ได้ทั้งธรรมชาติและประวัติศาสตร์เลยนะครับ
วัดถ้ำเสือคนเยอะดีจังเลยครับ
ดูคึกคัก

ต้นจามจุรีใหญ่ยักษ์สะใจมากครับ



พี่ก๋าอัพบล็อกทุกวันเพราะแทบจะไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยครับ
เก็บตัวสงบเสงี่ยม
รอแก้ปัญหาทุกวันเลย 555

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 พฤศจิกายน 2563 เวลา:23:53:19 น.
  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2563 เวลา:4:48:42 น.
  
สวัสดียามเช้าครับน้องชีริว

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤศจิกายน 2563 เวลา:6:07:40 น.
  
จากบล็อก
เอเลนเปิดตัวตั้งแต่ หลักกิโลเมตรที่ 221 "คู่หู" แล้วครับ แล้วก็มีโอกาสแสดงบ้างบางโอกาส (แต่น้อย)
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 15 พฤศจิกายน 2563 เวลา:22:12:04 น.
  
จะว่าไป
ชีวิตก็คือความเสี่ยงจริงๆครับ
อยู่ที่ใครจะบริหารความเสี่ยงได้ดีกว่ากัน

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤศจิกายน 2563 เวลา:22:31:59 น.
  

สวัสดียามเช้าครับน้องชีริว

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:7:00:31 น.
  
โห คุณชีริวไปเที่ยวได้ซอกแซก เยอะจริง ๆ เมืองกาญมีที่
เที่ยวเยอะจริง ๆ ผมก็ชอบไป แต่ขอไปฤดูฝน เย็นดี หน้าร้อน
มะอาว 555

...
ไปสนุกมี 3 ครั้ง ครั้งแรก ไปกับเพื่อนแม่ครัวกะทะหลุดบล๊อก
แก๊งค์นี่แหละ เพื่อนบล๊อกเจ้าของร้าน แคร๊ฟคาเฟ่ คุณต้อคุณโพด เปิดบ้านพักริมแม่น้ำให้ ไปกินอาหารปลาคังที่ร้าน แปดริ้ว
ที่ทองผาภูมินะครับ อร่อยมาก

กับรีสอร์ท เพื่อนกลุ่มแอโรบิค ไปสังขละกับครอบครัวรวม
ทั้งพัก บ้านแหม่มเหมืองแร่สมศักดิ์

อ้าว เฮ้ยเยอะกว่านั้นอีก 555 นับครั้งไม่ถ้วนที่ไปเที่ยวกาญ
แต่เจาะแต่ละจุดน้อยกว่าคุณชีริว

คุณชีริวงานเยอะนะดีแล้ว อิจฉา.... วันนี้ผมเลยเขียนคนเคย
งานเยอะ เพราะลุง ๆ 555 เป็นแบบไหน หนีงานไปอ่าน
ได้เลย
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:7:02:25 น.
  
สวัสดีมีสุขค่ะ

เมืองกาญจน์ เป็นจังหวัดที่ไปบ่อย ตั้งแต่เด็กจนแก่ค่ะ
ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ไปซ้ำๆที่กันก็บ่อย
ยิ่งล่องแก่ง นอนแพนี่ เดินป่าชอบสุดๆเลยค่ะ
ขอบคุณที่แวะไปให้กำลังใจข้าวหอม มะลินะ
ชื่อน่ากิน แต่กินไม่ได้ค่ะ ขนยาวไปหน่อย
โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:9:54:04 น.
  
สวัสดีครับ
ตามคุณชีริวมาเที่ยวเมืองกาญฯ ด้วยคน ไปมาหลายครั้งเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้เจาะรายละเอียดลึกแบบบล็อกคุณชีริวเลยครับ รอบนี้ผมอ่านประวัติศาสตร์ได้รับความรู้ไปเต็ม ๆ เลยครับ มีอีกหลายที่เลยครับที่ผมยังไม่เคยไป ต้องไปตามรอยเสียบ้างแล้ว อยากให้มีรถไฟไปพม่าเหมือนกันนะครับแต่คงจะยากแล้ว ผมว่าน่าจะคลาสสิคเลย
โดย: The Kop Civil วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:11:16:26 น.
  
เห็นภาพที่ท่องเที่ยวในเมืองกาญจน์แล้ว
ผู้คน นักท่องเที่ยวชาวไทย ยังคึกคัก
ที่สำคัญใกล้ กทม. มีสิ่งหลากหลายให้ชม
ข้อมูลนี้ทำให้น่าใปเที่ยวมากๆครับ
โดย: Insignia_Museum วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:13:49:52 น.
  
พี่ไปเที่ยวผ่านไปมาตั้งแต่เด็ก
วันนี้ได้ชมพิพิธภัณฑ์ และเรื่องราวน่าสนใจ
อ่านแล้วอดหดหู่ไปไม่ได้
สงสารพวกสัมพันธมิตรจริงๆ

ส่วนน้ำตกไทรโยคน้อย
ก็ไม่เคยว่างเว้นนักท่องเที่ยวรถแน่นทุกครั้งที่ผ่าน
กาญจนบุรี ยังเที่ยวกันได้เรื่อยๆ
ทั้งที่มีศักยภาพมาก แต่ยังไม่สามารถทำให้
เป็นตลาดบนได้เหมือนเขาใหญ่เนอะ
โดย: mcayenne94 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:18:40:49 น.
  
ครบถ้วนกระบวนความ
แหล่มเลยเรื่องท่องเที่ยว
โดย: อุ้มสี วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:19:09:22 น.
  
แปะใจไว้ก่อนนะค้าาา
โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 16 พฤศจิกายน 2563 เวลา:22:47:31 น.
  
ผมเพิ่งไปกาญนะจ๊ะบุรีมาเหมือนกันครับ
อ่ะ เอ่อ.....ปีที่แล้วโน้นแนะ แต่ทำไมผมไม่ได้ไปอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้เลยไม่รู้ 555555
ขับๆ ไปก็ไปเจอต้นก้ามปูยักษ์ ขับๆ ไปก็เจอคาเฟ่ ขับๆ ไปก็ร้านอาหาร แล้วก็คาเฟ่อีกแล้ว

วัดถ้ำเสือผมชอบนะครับ สวยดี ไปตอนรับน้อง ป.โท
ทางรถไฟก็ไปครับ แต่ไปยืน ๆ แป้บๆ เพราะร้อนมาก แล้วเหมือนตอนั้นจะหิวข้าว เลยตั้งหน้าตั้งแต่รอเข้าร้านข้าวอย่างเดียวเลย

เอาจริงๆ ผมอยากไปช่องเขาขาดมากเลย อยากไปเที่ยวกาญฯแบบธรรมชาติๆ แบบธรรมชาติไม่ลงโทษ
ขอแปะไว้เป็นTarget destination อีกทีแล้วกันครับ
อยากรู้เหมือนกันว่า ห้องสวรรค์ดึงดาว เอ้ย! ดาวดึงส์มันมีอะไร


จากบล๊อก
ถ้วยสีนำตาลที่บ้านผมก็มีครับ แต่ฝาบิ่นไปหมด ล้างไปแตกไป - -''
ตอนเห็นที่ รพ ทีแรก รู้สึกว่า ...อ้า.... Feel like home สินะ......
โดย: จันทราน็อคเทิร์น วันที่: 17 พฤศจิกายน 2563 เวลา:9:27:55 น.
  
ปลาคังเนื้อขาวจั๊ว เด้งดึ๋ง สดมะว๊ากกกกก
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 17 พฤศจิกายน 2563 เวลา:10:09:12 น.
  
จริง ๆ ก็รู้อยู่นะครับ ว่ากาญจนบุรีนี่มีที่เที่ยวเยอะ
แต่ไม่นึกว่ามีพิพิธภัณฑ์ (เกี่ยวกับสงครามโลก) จำนวนมากขนาดนี้
แถมแต่ละที่ทำแบบจริงจังซะด้วยแน่ะ ^^
น่าจะเป็นเพราะ มีอะไรเกี่ยวพันกับผู้คนหลายประเทศด้วยแหละ
เลยมีบันทึกช่วยจำมากมาย (เอาแค่ JEATH นี่ก็หลายชาติแล้วล่ัะ)
ถึงประสบการณ์อันเลวร้าย ๆ ที่ไม่ควรให้เกิดซ้ำอีกต่อไป...
(ซึ่งผมก็ว่ามันไม่แน่หรอก...พวกสนธิสัญญาอะไรเนี่ยแทบไม่สามารถบังคับใช้กับฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าเลย พวกเค้าพร้อมจะฉีกมันได้เสมอ)



ป.ล. เม้นต์ซีเรี้ยส~ซีเรียส เอ่อ...ก็เรื่องมันซีเรียสจริง ๆ นั่นแหละ
โดย: ทุเรียนกวน ป่วนรัก วันที่: 18 พฤศจิกายน 2563 เวลา:0:20:05 น.
  
แถวนครพนม ถ้าอากาศเย็น
จะผสมกับลมแรงทำให้หนาวมากไปอีกค่ะ
ติดเสื้อหนาวไปด้วยนะคะ
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 18 พฤศจิกายน 2563 เวลา:9:46:10 น.
  
กาญจนบุรี เป็นเมืองที่ไม่เปลี่ยนตัวเองมากนะคะ ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะเยอะแค่ไหน

ดีมากๆ เลยค่ะ
โดย: Sai Eeuu วันที่: 18 พฤศจิกายน 2563 เวลา:14:00:33 น.
  
มาแล้วๆๆๆ เห็นรูปแล้วอยากไปเที่ยวถ้ำมากหลายถ้ำเลย
ที่กาญยังไม่เคยไป น่าไปเก้บภาพมาก อยากไปถ่ายรูปค้างคาวด้วย
ไว้มีโอกาสจะไปตามรอยนะค้าาาา


เสาร์นี้จะพาแม่เที่ยวทะเลเหมือนกัน
แต่คงไปแบบกินๆ ว่ายน้ำ นอนๆ ตามประสาสาวๆๆ
โดย: nonnoiGiwGiw วันที่: 18 พฤศจิกายน 2563 เวลา:17:46:02 น.
  

มาเที่ยวด้วยค่ะ
ต้นจามจุรียักศ์สวยจัง
อาหารก็น่ารับประทาน
โดย: newyorknurse วันที่: 19 พฤศจิกายน 2563 เวลา:5:04:01 น.
  

อาหารร้านไป่ริมแพ
น่าทานทุกอย่าง
แค่ปลาลวกก็เนื้อขาวๆก็ทำเอาน้ำลายสอแล้ว
เมืองกาญจน์โดยรถไฟไปหลายๆครั้ง
กับเพื่อนบล็อกก็เคยไป
กับพี่น้องครอบครัวตัว อ.
กับคนใกล้ตัว
ไม่มีเบื่อ..ลุยป่าตามมาที่ถ้ำดาวดึงส์
ชมนกกางเขนแดง..เจ้าถิ่นด้วย

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 19 พฤศจิกายน 2563 เวลา:10:11:04 น.
  
หนีไปเที่ยวเชียงรายมาครับ ตอนนี้กลับมาประจำการเหมือนเดิมแล้วคราบ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 20 พฤศจิกายน 2563 เวลา:11:25:26 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องชีริว

เพิ่งไปใช้สิทธิ์ไทยเที่ยวไทยที่น่านมาจ้ะ ลูกศิษย์เป็นคนจัดการ
จองที่พัก จองรถทัวร์ เครื่องบิน ไปเกือบอาทิตย์ สนุกสนานตาม
ประสาคนชอบเที่ยว เฉลี่ยค่าใช้จ่ายคนละเป็นหมื่น เพราะคนที่บอกจะไปด้วย ไม่ไปชะงั้น ตัวหารเลยน้อย อิอิ

ทริปท่องเที่ยวเมืองกาญจนบุรีบล็อกนี้ ยาวมากและละเอียด
ได้ความรู้มากทีเดียว อ่านเพลินใช้เวลาอ่านครึ่งวัน อิอิ
ที่จริง เมืองกาญจน์ ครูไปหลายครั้ง แต่ไม่ได้ทราบประวัติของสถานที่อะไรมากมายนัก มาอ่านรายละเอียดของเธอได้
ความรู้เพิ่มเติมมากขึ้น
-ทางรถไฟสายมรณะนี่ ไปเที่ยวตั้งแต่ยังไม่เกษียณฯ และที่จำได้
แม่นคือ ไปงานแต่งของลูกศิษย์เจ้าบ่าวต้องแห่ขันหมากเดินไป
ตามทางรถไฟข้ามแม่น้ำแควไปบ้านเจ้าสาว สนุกสนานมากเลยจ้ะ
เพิ่งได้ความรู้เกี่ยวกับรถไฟสายนี้ว่า เริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก
ที่ราชบุรี และสิ้นสุดที่สถานีน้ำตกไทรโยคน้อย
-วัดถ้ำเสือ ครูน่าจะไป 2-3 ครั้ง แต่ไม่เคยไปถ้ำแก้วกาญจนา
ภิเษก ถ้ำแก้วมหัศจรรย์ ถ้ำปะการัง รูปภายในถ้ำแก้วกาญจนา
ภิเษก สวยมาก ถ้ามีโอกาสไปวัดถ้ำเสือต้องแวะไปแน่นอน
-ต้นจามจุรียักษ์ครูไปสองครั้ง เป็นต้นไม้ที่ใหญ่มาก แผ่กิ่งก้านสาขากว้างมากจริง ๆ นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกับต้นจามจุรี ต้องเข้า
แถวรอกันเลย อิอิ รวมทั้งพวกครูกับลูกศิษย์ด้วย ห้าห้า
-ร้านอาหารชุกโดน ร้านนี้ครูกับลูกศิษย์น่าจะมากินตอนขากลับ คน
เยอะเหมือนกัน มีสาวเชียร์เบียร์ด้วยใช่ไหม อาหารก็อร่อย ใช้ได้
แต่ร้านริมไผ่แคว ยังไม่เคยไป ร้านวุ้นกะทิวิมล เจ้าอร่อย รู้จักจ้ะ
-พิพิธภัณฑ์สงครามอักษะและเชลยศึก สุสาน ทั้งหลายไม่ได้แวะ
ผ่านเฉย ๆ มาเอาความรู้จากบล็อกเธอนี่แหละ
-ถ้ำกระแช ครูไปสองครั้ง ร้อนมาก ๆ โดยเฉพาะตรงที่แย่งถ่ายรูปตรงรางรถไป นั่นแหละ นักท่องเที่ยวถ่ายกันที่นี่เยอะมาก ทั้ง ๆ
ที่แดดก็ร้อนมาก ๆ ไม่มีใครยอมถอยเลย อิอิ
- น้ำตกไทรโยคน้อย ตอนครูไป มีรถเข้าแถวยาวมาก ๆ และก็เริ่มเย็นแล้ว เลยตัดสินใจไม่เข้า
- ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด ก็ได้เข้าไปทุกคนเสียเงินคนละ 100 บาท แต่ครูไม่ต้องเสีย เพราะอายุเกิน 60 ปีแล้ว ข้างใน
ก็น่าเดินมาก มีจุดชมวิวด้วย แต่ชอบที่มีต้นไม้ใหญ่มาก มีช่องให้
มุดโผล่หน้าถ่ายรูปด้วย สนุนสนานดี
สรุปทริปนี้ของเธอได้ประโยชน์มากนะ ได้ภาพสวย ๆ ประวัติของสถานที่ต่าง ๆ คุ้มค่าในการอ่านจ้ะ

โหวดหมวด ท่องเที่ยว
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 20 พฤศจิกายน 2563 เวลา:15:23:22 น.
  
ตามมาเที่ยวด้วยค่ะคุณซีริว
มาเที่ยวกาญหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเที่ยวแบบเจาะลึก
ไม่ละเอียดเหมือนตามอ่านบล็อกคุณซีริวเลยค่ะ
โดย: เนินน้ำ วันที่: 20 พฤศจิกายน 2563 เวลา:17:56:10 น.
  
เที่ยวได้คุ้มสุดๆ คนหนุ่มไฟแรงไปลุยได้ทุกที่อยู่แร๊ววว...
โชคดีสำหรับเราได้ชมถ้ำสวยๆที่มีหินงอกหินย้อยหลายที่
มีค้างคาว มีนกกางเขนสวยๆให้แช๊ะ และร้านอาหารอร่อยๆเพิ่มเติม
หลายที่ในช่วงแรกๆเราได้ไปมาหมด ยกเว้นเข้าถ้ำค่ะ

ปล. เราโหวตหมวดพิเศษให้ทุกคนที่คุ้นเคยรวมถึง จขบ.นี้ด้วย
ช่วงนี้เราไม่เน้นอัพบล๊อกละ เน้นมาโหวตอ่านบล๊อกเพื่อนๆแทนจ้า
ได้นั่งลุ้นเทนนิส รายการสุดท้ายของปี และฟุตบอลทีมรักได้ก็โอเค
แล้วจะมาแวะเยี่ยมชมอ่านตอนต่อไปคร้า

โดย: Tui Laksi วันที่: 20 พฤศจิกายน 2563 เวลา:20:18:51 น.
  

สวัสดียามเช้าครับน้องชีริว

เดาว่าหยุดยาวแบบนี้
น้องชีริวมีโปรแกรมเที่ยวแน่นอน

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 พฤศจิกายน 2563 เวลา:7:01:47 น.
  
กำลังว่าจะมาแซวแบบคนข้างบนเลย 555
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 22 พฤศจิกายน 2563 เวลา:19:44:38 น.
  
กาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่สมัยทำทัวร์พี่ไปบ่อยมากกกกกกกกกก 555

อ่านแล้วก็คิดถึง

บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
หอมกร Movie Blog ดู Blog
ชีริว Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 24 พฤศจิกายน 2563 เวลา:10:13:09 น.
  

อรุณสวัสดิ์ครับน้องชีริว

รอติดตามบล็อกน้องชีริวนะครับ
ไปอีสานรอบนี้ก็ต้องมีที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์แน่ๆ
ไม่งั้นไม่ใช่น้องชีริวตัวจริง 555

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 พฤศจิกายน 2563 เวลา:6:02:59 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องชีริว

ขอบใจจ้ะที่แวะมาเม้นท์และให้กำลังใจ ช่วงนี้งานเธอคงยุ่ง
นึกว่าขึ้นบล็อกใหหหหมหห่แล้วเสียอีก

ช่วงนี้ครูก็แย่ เพราะถมบ้านสูงหนีน่ำท่วมเข้าบ้าน อยู่ชั้นสอง
ของใช้ก็ไม่สะดวก ยกคอมมาไว้ในห้องนอน เกะกะเดินชนโน่นนี่
เฮ้อ! ไม่รู้ ถึงกลางเดือน ธ.ค. จะเสร็จไหม หลังเสร็จก็ต้อง
มีงานชุดใหญ่ คือการจัดบ้านใหม่ โดยเฉพาะจัดหนังสือเข้าตู้น่ะซี
ตอนนี้แว่นไม่รู้ไว้ที่ไหน พรุ่งนี้ต้องไปตัดแว่นใหม่แล้ว ห้าห้า

บ่นให้อ่านแก้เซ็ง อิอิ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 29 พฤศจิกายน 2563 เวลา:14:22:03 น.
  
จากบล็อกที่ไปคุย
ปีนี้เลวร้ายมาก ผมปล่อยเกรดด้วยแหละ มันมีความสุขที่เราทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ แต่มันก็ไม่สุดครับ ถ้ามันราบรื่นเป้าหมาย มีความสุขจะเป็นเป้าหมายที่เต็ม 100 เลยแหละ นี่ถือว่าตัดคะแนนเยอะอยู่

เดินวันละหมื่นก้าว ถ้าได้เดินวันละประมาณ 1 ชั่วโมง (เดินจริงจัง ไม่รวมเดินไปเข้าห้องน้ำ เดินไปเดินมา เดินเล่น ขึ้นลงตึก) ทำได้อยู่ครับ เมดคาเฟ่ผมไปช่วงต้นๆ ปีเลยครับ แปลกใหม่ท้าทายกับตัวเองมาก กล้ามาก เก่งมากจริงๆ ตัวเรา มีโอกาสก็อยากไปอีก แต่ไม่กล้าเข้าคนเดียวครับ พวกกล่องกระดาษ เศษกระดาษ ขวดแก้วพลาสติก ผมเรียกรถมารับซื้อเลย เก็บมานาน แต่ราคาตกกว่าเดิมมาก เพราะเศรษฐกิจแย่ แต่ได้ยินจากพวกสายรถซาเล้งเขาว่า มีการเปิดให้ทางจีนเข้ามาทำโรงงานแยกขยะ ที่มันมีข่าวนำเข้าขยะน่ะแหละ มันมีผลกระทบในส่วนนี้ด้วย

เป้าหมายเสริมพอผ่านมาครึ่งปีผมเห็นว่าน่าจะทำได้ เลยลองตั้งเป้าดู แล้วเก็บแบบจริงจัง ที่ทำได้ส่วนหนึ่งเพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์รอบๆ ตัว เลยต้องเซฟไว้ก่อน (ขอบคุณนะ i hear too ที่ทำให้ผมกังวล แต่ไม่ต้องอยู่ต่อแล้วก็ได้ ทำไม่สำเร็จผมก็ไม่ซีเรียสหรอก)
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 29 พฤศจิกายน 2563 เวลา:17:16:28 น.
  
สวัสดีอกีรอบเน้อ

โดยราคาโออยู่แหละ อาหารนี่เชียร์เฉพาะอาหารจากห้องอาหารจีนอ้ะ นอกนั้นเฉยๆ นะ
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 1 ธันวาคม 2563 เวลา:10:17:52 น.
  
สวัสดีคร้าคุณชีริว
ค่ำคืนนี้แวะมาบล็อกบ้าง...ไม่ได้เข้ามาอัพบล็อกเลยคร้า
แต่บอกว่าตัวเองเป็น Blogger Review ในFB ซ๊ะงั้น
คือรีวิวลงในเฟซตัวเองอ่ะค่ะ มันสะดวกง่ายดีเร็วด้วย
ส่งภาพตรงจากมือถือเล่าเรื่องได้เลย ...

รอให้ว่างมากๆจะมาอัพบล็อกต่อคร้า แต่มาโหวตหมวดพิเศษ
ให้เพื่อนที่รักที่อัพบล็อกดีตามเนื้อหาไปเกือบครบแล้วจร้า

คร้า...มาเคาะบ้านบอกด้วยน๊าว่าอัพบล็อกใหม่ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
โดย: Tui Laksi วันที่: 1 ธันวาคม 2563 เวลา:23:20:14 น.
  
กาญเห็นเขาเที่ยวแล้วอยากตามมั่งค่ะ ก็ยังไม่ได้เยือนกาญสักที
ส่งกำลังใจนะคะ
โดย: mariabamboo วันที่: 3 ธันวาคม 2563 เวลา:20:19:37 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Shiryu.BlogGang.com

ชีริว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 89 คน [?]

บทความทั้งหมด