กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๕
บทที่  ๕

ไม่ง่ายอย่างที่คิดหลังจากที่ลงมาจากรถไฟกลุ่มของทุติต้องเดินเท้าเพื่อปีนขึ้นไปยังยอดมาชูปิกชูอีกเป็นกิโล

“ไม่อยากบอกเลยพี่จิ๊ดเหนื่อยจนขาจะลากอยู่แล้ว”

อัปสรกระซิบบอกเสียงเหนื่อยแฮก

“อย่าบ่นเลยพี่ก็เหนื่อยเหมือนกัน เอาน้ำไหม”

ทาฬิดายื่นขวดน้ำให้กับอัปสร

“ไม่ล่ะคะดื่มแล้วจุก” อัปสรปฏิเสธ

“ถ้าไม่ดื่มเสียน้ำมากๆจะเป็นตะคริวนะ จิบๆ ก็พอ อย่าดื่มอักๆ”

“ของจิ๊ดยังมีค่ะเอาของตัวเองกินดีก่า จะได้ไม่ต้องแบกของหนัก”

อัปสรปลดเป้สะพายหลังของเธอลงมาจากนั้นจึงล้วงหยิบขวดน้ำในนั้นขึ้นมาดื่ม

“ไปต่อเถอะจารย์ทุเดินนำไปโน่นแล้ว” ทาฬิดาว่า

ทุติเดินเรื่อยๆขึ้นไปยังยอดเขานักท่องเที่ยวเดินเรียงแถวกันเพื่อจะขึ้นไปชื่นชมความแปลกตาบนยอดเขาแห่งนี้นาลันทาบอกกับเธอว่าพวกเธอมาฤดูนี้ดีหน่อย ไม่มีฝนตกจะมีก็แต่เมฆลอยต่ำๆ เท่านั้นถ้าหากฝนตกการเดินขึ้นยอดเขาจะลำบากมาก

ทาฬิดาคิดถึงตอนที่เธอกับเพื่อนๆแห่กันไปภูกระดึง กว่าจะเดินไปถึงเล่นเอาหืดขึ้นคออย่างนี้เหมือนกันผิดกันตรงที่ภูกระดึงนั้นเป็นสถานที่ธรรมชาติ ส่วนมาชูปิกชูเป็นสถานที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์ เมื่อราวๆ สักห้าร้อยปีก่อน

พวกอินคาปกครองดินแดนแถบนี้ได้เพียงแค่ร้อยกว่าปีนิดๆเท่านั้น หลังจากนั้นชาวสเปนจึงเข้ามาบุกยึดดินแดนแถบนี้จึงตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนถึงสามร้อยกว่าปี นี่ก็จะใกล้ค่ำแล้วพวกเธอคงต้องรีบเดินขึ้นไปเพื่อที่จะต้องรีบเดินกลับลงมาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

ทาฬิดาค่อยๆเดินไต่ขึ้นไปตามทางลาดเรื่อยๆ เพื่อให้ถึงจุดหมายของพวกเธอก่อนที่ทุติจะตัดสินใจกลับ

“ป๊าด พระเจ้าสวยมาก” อัปสรร้องออกมาเมื่อเธอขึ้นไปยืนอยู่บนจุดชมวิวของยอดเขาแห่งนี้

“เนอะสวยจังเลยไม่น่าเชื่อว่าคนที่สร้างที่นี่จะใช้แค่มือกับเครื่องมือโบราณเท่านั้น”ตรีทิพย์บอก เธอหยิบกล้องของเธอออกมา เหมือนกับมุจลินทร์ แบกกันมาหนักๆจะได้ใช้ก็ตอนนี้แหละ

ทาฬิดาทำตามคนอื่นๆเธอหยิบกล้องตัวเล็กๆ ของเธอขึ้นมา เธอไม่ได้แบกกล้องตัวใหญ่มาเพราะธีรัชบอกว่าเธอนำของติดตัวมาได้แค่เพียงยี่สิบกิโลเท่านั้นของไม่จำเป็นจึงถูกนำออกไปจากกระเป๋า

เธอจึงตัดสินใจนำของบางอย่างใส่เป้มาแทนจนเธอคิดว่าเป้ที่เธอแบกมาหนักเสียยิ่งกว่ากระเป๋าที่เธอโหลดลงใต้ท้องเครื่องแถมยังทำให้เธอต้องแบกจนหลังแอ่น

แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลงแล้วทุติจึงเดินนำกลุ่มของเขากลับลงมาจากมาชูปิกชู

“น่าเสียดายเนอะน่าจะมีที่พักบนนั้น” อัปสรว่า

“พี่ไม่นอนบนนั้นหรอกนะ”ทาฬิดาบอก

“ทำไมล่ะพี่”

“ใครจะกล้านอนเผลอๆ ถ้ามีผีมาจะทำไงล่ะ เห็นเขาว่าเจอโครงกระดูกเป็นร้อยๆ คนอยู่บนนั้น”

ทาฬิดาชี้ไปที่ยอดเขาซึ่งพวกเธอเพิ่งจะเดินลงมาได้ไม่ไกลนัก

“หาจริงเหรอพี่”คนถามทำหน้าหวาดๆ

“จะโกหกไปทำไมเล่า”

“งั้นรีบเถอะพี่กลับกันเถอะ” อัปสรรีบวิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอทาฬิดา ไม่บ่นเลยสักคำสงสัยว่าเด็กน้อยจะกลัวจนขึ้นสมอง

“จิ๊ดเป็นอะไรทำไมวิ่งลงเร็วอย่างนั้น หกล้มไปจะทำไง”

นาลันทาหันไปถามทาฬิดา

“น้องปวดฉี่ค่ะ”ทาฬิดาไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ถ้าเธอไม่หลอกอัปสรคงไม่วิ่งหางจุกก้นไปอย่างนั้น

“แล้วกันตอนขึ้นก็ช้ากว่าใคร ตอนลงงี้เร็วจนตามไม่ทัน หลงกันไปทำยังไง คนยิ่งเยอะๆอยู่ด้วย” นาลันทาเริ่มเป็นกังวล

“ทามไปตามน้องเองค่ะ”ทาฬิดารู้สึกสำนึกผิด เพราะเธอแท้เทียว ทำให้อัปสรวิ่งแตกไปจากลุ่มหน้าที่ตามกลับมาคงไม่พ้นเธอสินะ ถ้าจะหลงคนเดียว สู้หลงกันสองคนจะดีกว่า

ทุติพาทุกคนมาพักในเมืองใกล้ๆเพื่อพรุ่งนี้พวกเขาจะได้เดินทางกลับไปยังมาชูปิกชูได้เร็วขึ้นห้องพักไม่ได้สวยหรูอย่างที่อัปสรคิดเอาไว้เป็นบ้านของใครสักคนที่แบ่งห้องให้กับนักท่องเที่ยว

สภาพบ้านไม่สวยหรูทุติบอกว่าที่แห่งนี้ถูกที่สุดและใกล้ที่สุด พวกเธอทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำตามที่ทุติสั่ง

นาลันทานำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาทำเป็นอาหารให้กับทุกคนจะมีอาหารสดก็แค่ไข่กับเนื้อไก่ที่ใส่ลงไปเท่านั้น

“มาเปรูหรูเชียวนะ กินอาหารญี่ปุ่นด้วย” มุจลินทร์ประชด

“มีให้กินก็ดีเท่าไหร่แล้วหรือจะกินมันเผาล่ะ” นาลันทาหน้ามุ่ย

“จ้ากินจ้า” จากที่แกล้งบ่น คนบ่นถึงกับหน้าเจื่อนไปถนัดตา

“ประธานาธิบดีที่นี่เป็นชาวญี่ปุ่นก็ต้องกินอาหารญี่ปุ่นสิยะหล่อน กินๆ เข้าไปจะได้รำลึกถึงฟูจิโมริผู้นำเผด็จการของเปรูไง”

“โหเผด็จการของแท้เลยค่ะอากลาง” อัปสรว่า

“หรือจะไม่กินเรื่องมากกันอยู่ได้ คนทำเหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ”

นาลันทาทำท่าจะหยิบชามของอัปสรอีกฝ่ายจึงรีบคว้าชาม ของตัวเองมาไว้กับตัว

“โอ๊ยๆกินแล้วจ้า โหดชะมัด” อัปสรบ่นอุบ รีบลุกจากโต๊ะไปหาที่สงบๆซดน้ำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเธอ

“กินเสร็จรีบเข้านอนซะพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า จะได้ ไปถึงยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นใครอยากถ่ายรูปก็ตามสบาย เอาอาหารขึ้นไปด้วย ผมว่าพวกเรากว่าจะกลับลงมาคงค่ำมืด”

ทุติสั่งอีกครั้งทุกคนทำตามคำสั่งนั้นไม่ได้บ่นอะไรอีก

ทาฬิดารู้สึกตัวว่าเธอกำลังเดินอยู่บนยอดเขามาชูปิกชูอีกครั้งในเวลานี้ ยังไม่มีวิหารหรือวังใดๆ อยู่บนยอดเขาแห่งนี้เบื้องล่างคนงานกำลังก่อสร้างบางสิ่งอยู่บริเวณตีนเขา

“เจ้าสั่งคนงานตามที่ข้าบอกหรือไม่”

เธอหันไปถามชายใบหน้าคล้ายธีรัช

“ขอรับท่านทาฬิข้าให้พวกเขาขุดหลุมเพื่อที่จักใส่หินเอาไว้ด้านล่างตรงกลางใส่หินหยาบและบนสุดทับด้วยดินแล้วขอรับ”

“ดีแล้วนั่นจักทำให้พื้นที่แห่งนี้มิต้องพังทลายลงมาเจ้าสั่งพวกเขาทำมาจนถึงพื้นที่เรายืนด้วยนะปรับพื้นที่เสร็จค่อยให้พวกเขานำหินมาปูเพื่อสร้างวิหาร” ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักเธอเห็นว่าหากปล่อยเอาไว้อย่างนี้ เมื่อฝนตกชะล้างหน้าดินไปจนหมดสิ้นสิ่งที่คนของเธอเพียรสร้างมาจะถล่มลงไปอยู่ใต้หุบเขาในเวลาไม่กี่ปีการที่เธอสั่งให้คนของเธอทำเช่นนี้แม้จะต้องใช้เวลาในการก่อสร้างนานไปสักหน่อยแต่ดินแดนแห่งนี้จะคงอยู่ไปได้อีกหลายร้อยหลายพันปี จนกว่าโลกใบนี้จะแตกสลาย

“ขอรับท่านทาฬิอีกมิกี่เพลา เราจักสร้างที่นี่จนแล้วเสร็จ มิต้องเป็นกังวลดอกขอรับท่าน”

“ข้ากลัวว่าข้าจักอยู่มิทันได้ดูสิ่งที่เจ้าลงทุนลงแรงทำน่ะสิปาซกู”

“ต้องไม่เป็นเช่นนั้นขอรับท่านจักต้องอยู่ในดินแดนแห่งนี้ตราบนานเท่านาน ดินแดนที่มีเทพภูเขาสี่ทิศเหนือใต้ออกตก เราคือจุดศูนย์กลางแห่งจักรวาลเทพอาทิตย์ต้องอยู่คู่กับมาชูปิกชูตลอดกาล”

“ไม่เป็นเช่นนั้นดอกปาซกูข้าละพลังเทพหมดสิ้นแล้ว อีกมิกี่เพลาข้าจักต้องลาจากโลกใบนี้ไปที่สำคัญข้ามิใช่เทพแห่งสุริยา ข้าเป็นเทพแห่งกาลเวลา เจ้ารู้มิใช่รึเทพแห่งกาลเวลามีเวลาเกิดแลสิ้นสูญ ข้ามิได้อยู่ยงคงกระพันดอกนะเจ้า”

“ท่านทาฬิ”ใบหน้าของปาซกูดูเศร้าหมองยิ่งนัก เขาเป็นข้ารับใช้เทพทาฬิของเขามาเนิ่นนานเขาไม่อาจยอมรับในสิ่งที่เทพผู้สูงส่งของเขาบอกได้ หากเขามีวิธีการใดที่จักทำให้นางอยู่กับเขาแม้จะยืดอายุนางไปได้ไม่กี่วัน หรือไม่กี่เดือน เขาจะทำ หากไม่มีเทพทาฬิคงไม่มีปาซกูในวันนี้

ทาฬิดาสะดุ้งตื่นเธอทบทวนความฝันของเธอ สิ่งที่ฝันเหมือนจะเป็นเรื่องจริง

เธอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ของเธอดังเธอตั้งปลุกเอาไว้เวลาตีสี่ ทุติบอกว่าจะออกเดินทางในเวลาตีห้าเพื่อที่จะขึ้นไปให้ทันก่อน พระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาแห่งนั้นเธอยังรู้สึกมึนงงอยู่ แต่จะช้าไปกว่านี้คงไม่ได้เธอจึงปลุกอัปสรให้ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน อากาศหนาวๆอย่างนี้อัปสรคงไม่ยอมอาบน้ำเย็นๆ

“จิ๊ดๆตื่นเถอะ ไปล้างหน้าก่อน” ทาฬิดาบอกเด็กน้อยของเธอ

“อะไรพี่ยังเช้าอยู่เลย จิ๊ดไม่อยากตื่น”

“ตื่นเถอะช้าไปเดี๋ยวโดนดุอีก พี่ไปอาบน้ำล้างหน้าก่อนนะ”

“โหหนาวจะตายไปยังจะไปอาบน้ำอีกหรือคะ”

“ไม่อาบเดี๋ยวไม่ตื่น”ทาฬิดาว่า เธอเดินไปที่ห้องน้ำหลังบ้าน พบกับตรีทิพย์และมุจลินทร์ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำนั้น

“อ้าว”

“คุณนาเธออาบน้ำอยู่”มุจลินทร์บอก

“งั้นทามล้างหน้าก่อนดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลามากนัก”

“จิ๊ดล่ะยังไม่มาเหรอ”

“ตื่นแล้วค่ะแต่คงขี้เกียจลุก บ่นว่าหนาว”

“อยู่บนเขาก็อย่างนี้แหละแอนดิสสูงจะตายไป บนนี้คงราวๆ สักสิบองศาได้มั๊ง จะซักแห้งก็ได้นะทามพวกอาไม่ว่าหรอก” ตรีทิพย์บอก

“ไม่ดีกว่าค่ะเหม็นๆ ไปเดิน เดี๋ยวผีป่าโกรธ”

“ฮ่าๆอย่าบอกนะว่ากลัวผี”

“ทามไม่เท่าไหร่หรอกค่ะจิ๊ดสิคะ ไม่แน่ เมื่อวานพอรู้ว่ามี โครงกระดูกอยู่บนนั้นวิ่งลงมาป่าราบเชียว” ทาฬิดาพูดไปขำไป

“พี่ทามนั่นแหละมาหลอกจิ๊ดก่อน”อัปสรเถียงมาแต่ไกล

“พี่ไม่ได้หลอกเราสักหน่อยเจอโครงกระดูกบนนั้นจริงๆ”

ทาฬิดาหน้าตาย

“ได้ยินว่ากันว่าเป็นโครงกระดูกของพรหมจารีแห่งสุริยาด้วยนะใครยังเป็นสาวพรหมจรรย์อยู่ ระวังเอาไว้เถอะ”

มุจลินทร์ร่วมมือกันแกล้งอัปสรด้วยอีกแรง

“หาจริงหรือคะ งั้นจิ๊ดไม่ไปแล้วค่ะ จิ๊ดกลัว”

“ไม่ไปนั่นแหละจะมีคนมาจับเราไปบูชายัญ”

“เอ้ยไม่เอา อามุจไปอาบน้ำเป็นเพื่อนจิ๊ดด้วย”

“ไม่เอาโตจนจะขึ้นมอปลายอยู่ไม่กี่วันจะให้อาอาบน้ำให้อีกหรือไง อาบคนเดียวไปเลย”

“งั้นจิ๊ดไม่ปิดประตูอาบนะ”

“จะบ้าเหรอพวกอาเป็นกุ้งยิงหมดสิ ไปๆ เราเข้าไปอาบต่อ จาก

อากลางของเราเลยไปหรือถ้าจะไม่อาบก็ไปแปรงฟันก่อน จะทำอะไร ค่อยว่ากันทีหลัง”มุจลินทร์ตัดบท เมื่อนาลันทาออกมาจากห้องน้ำ เธอยอมให้อัปสรเข้าไปอาบต่ออัปสรละล้าละลัง มองหน้าทุกคน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำเสียงน้ำกระทบฝาผนังดังโครมๆ ไม่นานนักอัปสรกลับออกมาใบหน้าเปียกน้ำ

“ทำไมเร็วนัก”นาลันทาถาม เธอเข้าไปดมตัวของอัปสร เหมือนรู้ว่าหลานสาวของเธอต้องทำอะไรผิดอีกแน่ๆ

“ไอ้จิ๊ดตักน้ำสาดข้างฝาทำไม มานี่เลย อาอาบให้”

นาลันทาลากอัปสรเข้าไปในห้องน้ำจัดแจงจับถอดเสื้อผ้า เสียงร้องโวยวายอยู่ในนั้นดังลั่น

“โอ๊ยหนาวๆไม่เอาแล้วหนาว” เสียงนั้นราวกับว่าอัปสรกำลังโดนอาสาวทำร้ายร่างกายคนที่พักในบ้านหลังนี้ออกมาดูกันยกใหญ่ เมื่อรู้ว่าอากับหลานกำลังอาบน้ำให้กันอยู่ต่างคนต่างหัวเราะและเดินจากไป พวกเขาอยากรู้ว่าเด็กน้อยที่โดนอาบังคับอาบน้ำในเวลาเช้าหน้าตาจะเป็นเช่นไร

ทาฬิดาเดินแยกจากกลุ่มออกมาเธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะต้องไปยืนฟังทุติพูดกับเจ้าหน้าที่เธอจึงเดินลัดเลาะลงไปดูคนงานด้านล่าง

พื้นที่ขั้นบันไดนั้นสูงชันยิ่งนักเธอค่อยๆ ปีนลงไปจนถึงน้ำพุซึ่งเป็นน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตของคนบนมาชูปิกชูแห่งนี้จู่ๆ เธอเห็นภาพๆ หนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง

“หากมิมีน้ำจักอยู่กันได้เช่นไร” เธอพูดกับเขาอีกครั้ง

“ข้าจักกักน้ำเอาไว้ในฤดูฝน”

“คงมิเพียงพอกับคนนับพัน”

“ท่านจักทำเช่นใดรึ”

เธอเห็นตัวเองนั่งยองๆลงบนพื้น หยิบก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้นจากนั้นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือน้ำพุ แม้ไม่ใหญ่โตมากนักแต่มันเป็นน้ำที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินไม่ต้องให้คนลงไปตักขึ้นมาจากแม่น้ำเบื้องล่างที่ล้อมรอบเขาลูกนี้

เขายิ้มให้กับเธอน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คงเป็นแหล่งน้ำจืดเพียงแหล่งเดียวบนมาชูปิกชู

ทาฬิดาขยี้ตาของเธอภาพนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงน้ำพุต้นน้ำมันไม่ได้พุงขึ้นมาเหมือนที่เธอเห็นเมื่อสักครู่ มันค่อยๆ ไหลออกมาจาก ใต้ดินเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด

“น้ำพุนี้ยังอยู่เหรอดีจัง” เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอพูดอะไรออกไป

“ทาม”เสียงตะโกนเรียกดังมาจากด้านหลัง เธอจึงหันไปมอง

“มาทำอะไรที่นี่ตกลงไปทำยังไง” ตรีทิพย์บ่น

“ทามเดินมาดูต้นน้ำค่ะคุณอา”

“เรานี่นะซนไม่แพ้จิ๊ดเลย มิน่าเข้าขากันดีนัก”

“ทามเปล่าดื้อนะคะ”

“นั่นแหละจะไปไหนต้องบอกสิ อย่าเดินออกมาเฉยๆ ผู้ใหญ่เขาเป็นห่วงรู้ไหม”

“ขอโทษค่ะทามไม่ได้ตั้งใจ แค่เห็นว่าตรงนี้มีคนเดินมาก็เลยเดินตาม”

“จริงๆแล้วที่นี่ก็แปลกดีนะ มีน้ำผุดขึ้นมาทั้งๆ ที่อยู่สูงมาก”

“ถ้าเป็นอย่างที่จารย์ทุบอกน้ำพวกนี้คงมาจากน้ำซึมจากขั้นบันไดกระมังคะ มันโดนกรองมาแล้ว ก็เลยสะอาด”

“ก็น่าจะเป็นไปได้นะฝนตกมากเลยนี่เนอะว่าปะคนโบราณมักทำอะไรที่เราไม่คิดว่าจะทำได้”

“นั่นสิคะแค่คิดยังไม่อยากทำเลย”

“พวกเขาคงศรัทธาในพระเจ้าของเขาถึงได้ยอมทุมเทแรงกายแรงใจสร้างมันขึ้นมา”

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเป็นศรัทธาของกษัตริย์องค์เดียวหรือเป็นศรัทธาของประชาชนด้วย ถ้ารวมพลังศรัทธาของประชาชนเข้าไว้ด้วยแล้ว งานพวกนี้คงง่ายและเสร็จเร็วกว่าที่เราคิดเอาไว้ไม่ต้องมีทาสมาทำงาน”

“นั่นสิเนอะน่าคิดเหมือนกัน ไปกันเถอะจารย์ทุให้อามาตามเรา”

“ค่ะ”ทาฬิดาเดินตามตรีทิพย์กลับไป คงใกล้เที่ยงแล้ว เธอยกนาฬิกาโบราณของเธอขึ้นมาดูเวลาดีที่มันยังเดินอยู่ปกติ ไม่อย่างนั้นเธอคงคิดว่ามันเสียอีกครั้งเพราะเข็มยาวกับเข็มสั้นไปรวมกันอยู่ที่เลขสิบสอง ตรงเป๊ะราวกับจับวาง




Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:26:31 น.
Counter : 309 Pageviews.

0 comments
The Greatest Hits (2024) ไมเคิล คอร์เลโอเน
(18 เม.ย. 2567 18:36:03 น.)
เวลาที่หายไป - บทที่ 27 ดอยสะเก็ด
(16 เม.ย. 2567 20:17:49 น.)
: รูปแบบของการค้นพบตนเอง : กะว่าก๋า
(16 เม.ย. 2567 06:05:58 น.)
๏ ... คืนฟ้าไร้ดาว ... ๏ นกโก๊ก
(14 เม.ย. 2567 09:49:36 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ping-dow.BlogGang.com

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด