กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๙
บทที่  ๙

ทาฬิดาตัดสินใจเดินทางไปพร้อมกับโกกนทและภัทรมลข่าวจากคนส่งข่าวบอกว่าผู้หญิงท้องแก่คนนั้นปวดท้องคลอดมาหลายชั่วโมงแต่ยังไม่สามารถคลอดออดมาด้วยตัวเอง หมอตำแยที่เคยทำคลอด ไม่สามารถทำคลอดได้ โชคดีที่ทีมหมอจากเมืองไทยมาจึงส่งคนมาบอก

ทาฬิดาอยากรู้ว่าหากผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถคลอดออกมาเองได้ และต้องผ่าตัดคลอดฉุกเฉินพี่หมอทั้งสองคนจะทำกันได้หรือเปล่า หรือว่าจะต้องนำตัวคนท้องเข้าไปในเมืองวิธีนั้นคงยากและเสี่ยงมาก แค่เธอเดินขึ้นมา ไม่ต้องแบกอะไรยังยากหากต้องแบกคนท้องแก่ใกล้คลอดลงไปตามทางที่เธอมา อาจจะลำบากขึ้นหลายเท่า

เธอคิดว่าพี่หมอศรรักคงออกทุนให้กับกลุ่มหมอจากเมืองไทยให้มาทำงานนี้เพราะพี่หมอศรรักแต่งงานกับเจ้าชายชื่อยาวนามว่า เจ้าชายอัลอัสมานอับดุลเลาะห์ ฟาฮัตซิน อัลยาฟห์ บิน ราฟาห์ ซึ่งเป็นเจ้าชายที่แสนจะร่ำรวยนานๆ พี่หมอศรรักจะได้ออกมาทำงานเพื่อสังคมอย่าง คนอื่นเขาจะเรียกว่านกน้อยหลุดจากกรงทองก็เป็นได้ ถึงได้เลือกประเทศที่แสนจะห่างไกลเพื่อมาทำงานเป็นหมออาสา

“ข้างหน้าลื่นนะคะระวังด้วย” มารีบอกกับทุกคน

ทางลาดชันลงเขาประกอบกับฝนตกพร่ำๆทำให้การเดินเท้าไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งค่อยข้างลำบากมีผู้ชายร่วมมากับขบวนหมอสองคน พวกเขาแบกสัมภาระที่จำเป็นของหมอติดมาด้วย

สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อะไรมันคือยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สำหรับคนในหมู่บ้านนั้น ไม่ค่อยจะมีหมอเดินเท้าเข้ามาในหมู่บ้านห่างไกลมากนักกว่าคนส่งข่าวจะวิ่งมาบอกข่าว กว่าคนจากทาคานาคาจะเดินเท้ากลับไปช่างยากเย็นยิ่งนัก

“อีกไกลไหมคะ”

ทาฬิดาเอ่ยถามต้องมีใครสักคนสิน่าที่ตอบคำถามของเธอ

“อยู่ในหุบเขาข้างล่าง”โกกนทบอก

“แม่เจ้า”ทาฬิดาคำนวณเส้นทางการเดิน เธอเดาว่าอาจจะเกินสิบกิโลหากเส้นทางนั้นตัดตรงคงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่มันกลับวกไปวนมาตามลาดเขาหากบินลงไปได้ หรือมีเครื่องร่อนคงจะสะดวกมากกว่านี้

“น่าจะมีปีกเนอะจะได้ไปถึงเร็วๆ” หมอภัทรมลพูดปนหัวเราะ

“นั่นสิคะพี่หมอทามก็อยากมีปีกจะแย่”

“เอาเถอะน่าลองคิดดูสิ คนส่งข่าวต้องวิ่งขึ้นเขามาบอกเรา เขาลำบากกว่าเราเยอะเลยนะอย่าบ่นไปเลยทาม เดินระวังๆ ด้วยทางมันลื่น ฝนไม่น่ามาตกเวลานี้เลยไม่รู้ว่าแม่กับลูกจะปลอดภัยดีหรือเปล่า”

โกกนทเป็นห่วงคนไข้ของเธอมากกว่าหากบวกเวลาที่คนส่งข่าวมาแจ้งกับเธอ กับเวลาที่เธอเดินมาถึงตรงนี้เกือบสี่ชั่วโมงคนที่ทาคานาคาเคยบอกกับเธอว่า คงส่งข่าวของหมู่บ้านด้านล่างจะถูกคัดเลือกขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้มีหน้าที่ส่งข่าวสารจากหมู่บ้านมายังทาคานาคา

คนพวกนี้ไม่ต้องทำอะไรมีหน้าที่ส่งข่าววิ่งไปวิ่งกลับระหว่างหมู่บ้านเท่านั้น พวกเขาจึงแข็งแรงวิ่งเร็วแม้จะต้องวิ่งขึ้นเขานับสิบกิโล

หมู่บ้านด้านล่างปลูกข้าวส่วนหมู่บ้านด้านบนเขาจะปลูกพืชไร่ พื้นที่แถบนี้โชคดีที่มีฝนตกเกือบตลอดทั้งปียกเว้นฤดูหนาว หนาวเสียจนหิมะตกปกคลุมยอดเขา และในฤดูร้อนเมื่อหิมะบนยอดเขาละลายจะทำให้หมู่บ้านด้านล่างมีน้ำกินน้ำใช้ตลอดปี

“หมู่บ้านข้างล่างชื่ออะไรคะ”ทาฬิดาเอ่ยถาม ส่วนหมออีก สองคนคงรู้แล้วว่าชื่ออะไร ถึงไม่ได้สนใจเรื่องที่เธอถามมารี

“ทาคานาลาค่ะ”

“ชื่อคล้ายๆหมู่บ้านของคุณเลยเนอะ”

“ค่ะเพราะเขาลูกนี้ชื่อทาคา”

“อ้าวเหรอคะ”

“มีคำเล่าขานกันมาว่าสมัยก่อนเมื่อหลายพันปีมาแล้ว หมู่บ้านด้านล่างไม่เห็นแสงอาทิตย์จะเห็นก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์เกือบจะเที่ยงวันเท่านั้น” มารีเล่าไปเรื่อยๆ

“คนที่นั่นไม่ขาวเป็นซอมบี้เลยหรือคะ”

“เมื่อก่อนอาจจะแต่ตอนนี้ไม่แล้วค่ะ”

“ทำไมล่ะคะ”

“เทพผู้สร้างของเราทำให้ที่แห่งนี้มีช่องเขาขาด ทางทิศตะวันออกและตะวันตกจึงทำให้หมู่บ้านได้รับแสงอาทิตย์ส่องในฤดูร้อนตลอดทั้งปี”

“ท่านเทพของคุณท่านทรงกรุณามาก”

“ค่ะท่านเทพของพวกฉันท่านทรงกรุณาต่อพวกเรามาก”

มารีมีบางสิ่งที่เธอไม่ได้พูดให้ทาฬิดาและกลุ่มของหมอได้รับรู้

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดมืดไม่มีแสงจันทร์ หรือแสงดาว เมฆฝน ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรหากไม่มีแสงจากไฟส่องสว่างที่พวกนำทางนำติดตัวมาคงลำบากยิ่งกว่าที่พวกเธอกำลังเผชิญอยู่

เดินไปเรื่อยๆทีมของหมอจึงลงมาถึงหมู่บ้านด้านล่าง คนนำทาง

รีบพาหมอทั้งสองคนไปยังบ้านหญิงท้องแก่ใกล้คลอดคนนั้น

“เป็นอย่างไรบ้าง”

มารีเอ่ยถามผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้นด้วยภาษาถิ่น

“เด็กตายแล้ว”เขาบอกใบหน้าเศร้า

“อะไรนะตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ใกล้เที่ยงคืน”เสียงนั้นปนสะอื้น

“แล้วแม่ล่ะ”

“แม่ยังหายใจอยู่”

“จะช้าทำไมเล่าพาหมอเข้าไปสิ” มารีดุชายคนนั้น รีบพาหมอทั้งสองคนเข้าไปในบ้านหลังนั้นทันที

“เด็กน่าจะตายแล้วค่ะแต่ยังไม่คลอดออกมา” มารีรายงาน

“รู้ได้ยังไง”

“เด็กไม่ดิ้นพวกเรารู้” มารีตอบ เธอหยิบใบไม้กำหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายจากนั้นจึงสั่งให้แม่เด็กเคี้ยวแล้วกลืนลงไป

“อีกแล้วเหรอ”โกกนทถาม

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้เธอจะทนไม่ไหว”

“หมอบล็อกหลังให้ก็ได้รับรองว่าไม่เจ็บไม่ปวด” โกกนทแย้ง

“คงไม่มีใครอยากชาครึ่งตัวหรอกค่ะหากทำอย่างนั้นพวกเขาจะคิดว่าปีศาจจะครอบงำเขา ใช้วิธีนี้เถอะค่ะ สบายใจกว่า”มารีให้เหตุผล

ทำให้โกกนทต้องทำตาม

“หมอคงต้องผ่าเอาเด็กออกมาก่อนช่วยเตรียมอุปกรณ์ให้หมอด้วย” โกกนทหันไปสั่งคนของเธอ

หมอทั้งสองคนจึงทำการผ่าตัดเอาเด็กออกมาจากท้องของแม่หากทิ้งเอาไว้นานกว่านี้แม่อาจจะต้องตายไปพร้อมกับลูกในท้อง

เวลาผ่านไปเรื่อยๆฝนยังคงตกไม่ยอมหยุด ทำให้ทาฬิดารู้สึกหนาวสะท้าน เธอจึงนั่งกอดอกเอาไว้ไม่ได้บอกอะไรกับใคร ด้วยเกรงว่าเธอจะเป็นตัวถ่วงทีมหมอ

โกกนทและภัทรมลออกมาจากบ้านหลังนั้นทั้งสองมีสีหน้าไม่สู้ดีแค่มองก็รู้ว่าการมาในครั้งนี้คงต้องมีการสูญเสียไม่ใครก็ใครสักคน

“เป็นไงบ้างพี่หมอ”

“เรามาไม่ทันเด็กตายไปก่อน เด็กไม่ยอมกลับหัว เลยคลอดยาก โชคดีที่ยังช่วยแม่เอาไว้ได้ไม่อย่างนั้นคงตายทั้งแม่ทั้งลูก” โกกนทบอก

“น่าสงสารจัง”ทาฬิดาไม่อยากได้ยินข่าวอะไรอย่างนี้เลย

“จะเอาเด็กไปไหน”มารีตะโกนถามพ่อของเด็ก เขาหอบเอาศพลูกวิ่งฝ่าฝนไปท่ามกลางความมืด

“เกิดอะไรขึ้น”ภัทรมลถามมารี

“พ่อของเด็กเอาเด็กไปทำพิธีค่ะ”

“พิธีศพเหรอ”

“ไม่ใช่เขาจะเอาวิญญาณของเด็ก ไปมอบให้กับเทพรัตติกาล เพื่อ

ชุบชีวิตเด็กให้ฟื้น”

“เป็นไปไม่ได้หรอกเด็กตายในท้องไปหลายชั่วโมง คงไม่มีทางรอด” โกกนทแย้ง

“เขายังมีความหวังค่ะเคยมีคนฟื้นหลังจากที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้วเพราะพ่อกับแม่มอบดวงวิญญาณให้กับเทพฝ่ายมืดที่สำคัญคืนนี้คือคืนที่เทพฝ่ายมืดจะกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่หายไปหนึ่งปีพ่อของเด็กจึงหวังว่าลูกของเขาจะลืมตามาดูเขาสักครั้ง”

“นอกจากเทพที่ทำให้หมู่บ้านนี้มีแสงสว่างมีเทพมืดอีกหรือคะ”

“ค่ะก่อนหน้าที่เทพสุริยาจะมาเยือนหมู่บ้าน เทพรัตติกาลเป็นผู้ปกครองที่นี่มาก่อนนั่นเป็นความเชื่อของทาคานาลา”

“พระเจ้า!! มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ” ทาฬิดาอุทานออกมา

เธอไม่อยากจะเชื่อว่ายุคสมัยใหม่อย่างนี้จะยังมีคนเชื่อและงมงายกับเรื่องเหลวไหลซึ่งยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้

“เทพสุริยาปกครองทาคานาคาส่วนเทพรัตติกาลปกครองทาคานาลาใช่ไหมคะ” ภัทรมลพอสรุปความได้อย่างนั้น

“ใช่ค่ะเราเชื่อกันมาอย่างนั้นเป็นพันปี”

“เหมือนกับว่าคนที่นี่จะลำบากมากก่อนที่จะมีเทพสุริยามาเยือนดินแดนแห่งนี้” โกกนทสรุป

“ดินแดนแห่งนี้เพิ่งจะได้ลืมตาอ้าปากได้ไม่ถึงพันปี พวกเราจึง ไม่อยากให้เทพรัตติกาลมาครอบงำดินแดนของพวกเราอีก”

“แต่ผู้ชายคนนั้นกำลังจะปลุกเทพรัตติกาลขึ้นมาเพื่อให้ทำให้ลูกของเขาฟื้นจากความตาย” ทาฬิดาพูดในสิ่งที่เธอคิด

“ฉันกำลังจะไปขัดขวางเขา”มารีบอก

“เขาไปที่ไหนคุณรู้หรือคะ”

“ถ้ำแห่งความตาย”

“อะไรนะมีถ้ำอย่างนั้นด้วยหรือคะ”

“ค่ะ”มารีหันหลังกลับไปพยักหน้าให้กับคนของเธอ

“เดี๋ยว”ทาฬิดาร้องห้ามทันที

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”มารีหันมาถามทันที

“ฉันไปด้วย”

“คนนอกคงไปที่นั่นไม่ได้หรอกค่ะมีกฎห้ามเอาไว้ หากไม่ใช่คนของเขาทาคาคงเข้าไปในที่นั้นไม่ได้ค่ะ”

“ทำไมคะ”

“จะยิ่งเร่งปลุกให้วิญญาณของเทพรัตติกาลตื่นก่อนเวลาอันควร”

“หมายความว่ายังไงคะ”ทาฬิดาไม่เข้าใจ

“ทามในเมื่อมารีบอกอย่างนั้นพวกเราไม่สมควรเข้าไปหรอกนะ เราเป็นคนนอก หากเข้าไปในนั้นคนของทาคานาลาและทาคานาคาคง ไม่สบายใจ พวกเรารออยู่ที่นี่ดีกว่าอีกอย่างเรามัวแต่รั้งมารีเอาไว้อย่างนี้ แทนที่จะห้ามผู้ชายคนนั้นได้ กลับชักช้าเดี๋ยวไปไม่ทันจะเป็นเรื่องไปเปล่าๆ” โกกนทแย้งขึ้น เมื่อเห็นว่าทาฬิดาไม่ยอมหยุด

“แต่..”ทาฬิดากำลังจะแย้ง

“ไม่มีแต่อะไรใดๆทั้งนั้น เราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไปเถอะมารี หมออยู่ที่นี่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”โกกนทรีบบอกมารีทันที หลังจากที่เธอพูดจบ มารีกับพวกของเธอรีบวิ่งตามชายคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว

ถูกของโกกนทหากทาฬิดาตามมารีไป คงจะไปได้ไม่เร็วเท่ากับความเร็วของคนกลุ่มนั้นพวกเธอไม่ชินทาง ไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน ฝนกำลังตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตาอย่าว่าแต่มองทางเลย แค่มองว่า คนข้างหน้าอยู่ตรงไหนเธอคิดว่าหากห่างกันสักสามเมตรคงจะมองไม่เห็นเช่นกัน

โกกนท ภัทรมลและทาฬิดาพักอยู่ที่บ้านของคนป่วยยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก ทั้งสามคนจึงนั่งเกาะกลุ่มกัน ภายในบ้านมีเพียงกองไฟเล็กๆเพียงกองเดียวเท่านั้น พวกเธอพยายามหาไม้ฟืนมาสุมไฟเพิ่ม ไม้ฟืนเหล่านั้นเปียกน้ำฝนทำให้ติดไฟยากและมีควันเต็มไปหมด

“อยู่อย่างนี้ไม่ดีแน่ๆ”โกกนทบอก

“เปิดหน้าต่างกว้างๆหน่อยก็แล้วกันนท” ภัทรมลเสนอ อย่างน้อยๆ ให้อากาศด้านในได้ลอยออกไปจากตัวบ้านบ้างก็ยังดี

ทาฬิดาลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้นอีกนิดสายตาของเธอเห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว เธอคิดว่าเธอตาฝาดจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

“ไม่รู้ว่ามารีจะตามหาเขาเจอไหม”โกกนทถามขึ้นมาลอยๆ เธอไม่ได้ต้องการคำตอบจากคำถามนั้น

เธอรู้ดีว่าอีกสองคนคงตอบอะไรเธอไม่ได้เช่นกัน

“หวังว่าจะทันนะ”ภัทรมลว่า

“คนเจ็บดูอาการไม่ดีขึ้นเลย”

ทาฬิดาหันไปมองคนป่วยของโกกนทและภัทรมลร่างนั้นยังคงนอนนิ่ง เหมือนไม่มีความรู้สึกอะไร

“โดนใบโคคาไปก็เป็นอย่างนี้แหละยังอยู่ในอารมณ์เคลิ้ม หมดฤทธิ์เมื่อไหร่นั่นแหละ จะรู้สึกเจ็บแผล”

“ยิ่งกว่ายาชายาสลบอีกหรือคะ”

ทาฬิดาอึ้งสรรพคุณอะไรจะดีถึงขนาดนั้น

“นี่แหละพี่ถึงอยากศึกษาผลของการใช้ไอ้เจ้าใบโคคาเนี่ยถ้าเราสามารถเอามาทำเป็นยาได้ เราคงไม่ต้องพึ่งยาสลบ ยาแก้ปวด”

“แล้วมันจะทำให้คนป่วยติดหรือเปล่าคะ”

“ถ้าเราไม่สกัดเข้มข้นจนมากเกินไปให้คนป่วยกินเหมือนที่มารีให้ พี่ว่าคงไม่มีผลข้างเคียงอะไรนะเพราะพี่ก็เห็นคนที่นี่นั่งเคี้ยวกินเล่นๆ เหมือนกินเมี่ยงอย่างนั้นแหละ”ภัทรมลบอกตามความเข้าใจของเธอ

“พี่หมอบิวแน่ใจหรือคะว่าไม่มีผลข้างเคียงจริงๆ”

“พี่ว่าไม่มีนะคนพวกนั้นไม่ได้กินก็ไม่รู้สึกโหย ไม่เหมือนพวกที่ติดกัญชาหรือเฮโลอีนพอลงแดงอยากได้ยาอาการเข้าขั้น นทลองสังเกตสิ คนพวกนั้นยังอยู่ได้ตามปกติแถมยังแข็งแรงกว่าพวกเราด้วยซ้ำ”

“นั่นก็จริงค่ะแต่เราต้องคิดในแง่ลบเอาไว้ด้วย หากเราสนับสนุนให้ใช้ใบโคคาเป็นยาแล้วที่ประกาศกันปาวๆว่าให้ยกเลิกการปลูกทั่วโลกเพราะเป็นวัตถุดิบในการทำยาเสพติดล่ะคะพี่เราจะแก้ไขกันยังไง นทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะคะพี่หมอบิว”

“นั่นก็คงต้องใช้กำลังภายในกันสักหน่อยแล้วล่ะ”

“แก๊วกๆ...”

เสียงบางอย่างร้องฝ่าความมืดและเสียงฝนมาเข้าหูของทั้งสามคน เสียงนั้นแสบร้าวเข้าไปในแก้วหู จนต้องยกมือขึ้นมาปิดเอาไว้ทั้งสามคนมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เสียงอะไร”โกกนทเอ่ยถาม

“นกมังคะพี่หมอ”ทาฬิดาคาดเดา เสียงอย่างนี้ร้องดังๆ มาจากที่ไกลๆ แล้วจึงเบาเสียงลงคงไม่พ้นเสียงของสัตว์ที่เคลื่อนที่เร็ว จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากนกหากเป็นสัตว์อื่น พวกเธอน่าจะได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกมันบ้าง

“นกอะไรจะมาบินตอนฝนตกหนักๆอย่างนี้” ภัทรมลไม่อยากจะเดา มีตำนานของบางที่บอกเอาไว้ว่า นกบางชนิดเป็นตัวแทนของยมทูต หากได้ยินเสียงของมัน จะเกิดเหตุร้ายกับสถานที่แห่งนั้น

เมืองไทยเองยังมีคำเล่าเกี่ยวกับนกแสกหากบ้านใดได้ยินเสียง นกแสกร้องในยามวิกาลบ้านหลังนั้นจะต้องมีคนเสียชีวิตในเวลาไม่นานนัก

“ขออย่าให้เป็นอย่างที่พี่หมอคิดเลยค่ะนทไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม”

“พี่รู้สึกเป็นห่วงมารี”ภัทรมลบอก มีบางสิ่งทำให้เธอคิดถึงกลุ่มของมารีขึ้นมาจับใจ




Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:32:09 น.
Counter : 328 Pageviews.

0 comments
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)
เวลาที่หายไป - บทที่ 27 ดอยสะเก็ด
(16 เม.ย. 2567 20:17:49 น.)
: รูปแบบของการค้นพบตนเอง : กะว่าก๋า
(16 เม.ย. 2567 06:05:58 น.)
ธี่หยด (2566) ไมเคิล คอร์เลโอเน
(15 เม.ย. 2567 12:42:37 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ping-dow.BlogGang.com

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด