กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๑๖/๑
บทที่  ๑๖

ทาฬิดาไม่รู้ว่าทำไมมารีถึงได้คิดว่านกตัวนั้นจะมาขโมยนาฬิกาของเธอเธอขำด้วยซ้ำถ้ามันจะมาเอานาฬิกาที่ข้อมือของเธอไปจริงๆ

“ไม่ตลกเลยค่ะคุณก็รู้ว่านาฬิกาเรือนนั้นสำคัญแค่ไหน”

“พี่ๆมีอะไรกันหรือคะ นกจะเอานาฬิกาไปทำอะไร หรือมันจะเอาไปปลุกลูกๆมันให้กินอาหารตรงเวลา” อัปสรพาซื่อ เธอไม่เข้าใจในสิ่งที่ทาฬิดาและมารีสนทนากัน

มารีกับทาฬิดามองหน้ากันแล้วยิ้มเธอไม่รู้จะเริ่มต้นอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้เด็กเข้าใจง่ายๆ ได้อย่างไร

“พวกนกชอบอะไรที่แวววาว”

ทาฬิดาแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปพลางๆก่อน

“อ๋อเหมือนนกหงษ์หยกหรือคะ ชอบส่องกระจก”

อัปสรรีบบอกทันทีเธอเคยเห็นกรงนกของคุณลุง ในกรงนกนั้นเลี้ยงนกหงส์หยกเอาไว้หลายตัวเธอถามคุณลุงของเธอว่าทำไมต้องมีกระจกให้นกด้วย คำตอบของคุณลุงเธอคือพวกนกชอบอะไรที่มีแสง แวววาวเหมือนที่ทาฬิดาบอกกับเธอ เธอจึงฟันธงไปตามที่เธอคิดได้

“อือใช่ๆอย่างนั้นแหละ” ทาฬิดาถอนหายใจออกมาทันที

“แล้วนาฬิกาแวววาวตรงไหนหรือคะ”เอาอีกแล้ว เหมือนจะปลดล็อกปัญหาไปได้ แต่กลับมีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก

“ตรงกระจกนาฬิกาไง”มารีรีบตอบคำถามแทน

“อ๋อๆเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจ้า เชๆ” อัปสรสรุปความ เธอพยักหน้าหงึกหงักเป็นอันเข้าใจในคำถามของเธอทั้งหมด

“เก็บของไปก่อนนะจิ๊ดพี่ขอออกไปข้างนอกกับมารี เดี๋ยวกลับมา” ทาฬิดาบอกพร้อมกับพยักหน้าให้มารี

เรื่องที่เธอจะพูดคุยกันนั้นคงให้คนอื่นฟังไม่ได้ ยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวกับความรู้สึกของคนรอบข้างด้วยแล้วทาฬิดาคิดว่าเธอสมควรจะปิดเป็นความลับระหว่างเธอกับมารีจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

“มีอะไรหรือคะ”

“คุณรู้แล้วใช่ไหมเมื่อคืนฉันพบกับนกตัวนั้นอีก”

“ค่ะฉันได้ยินคนพูดกันว่าคุณเจอกับนกยมทูต ไม่คิดว่าคุณจะเจอกับมันจริงๆเมื่อสักครู่ฉันตกใจมาก ที่คุณจิ๊ดบอกว่าคุณพบมันอีกครั้ง”

“ฉันแปลกใจทำไมมันถึงจ้องจะเล่นงานฉัน เมื่อคืนมีฉันคนเดียวที่ได้ยินเสียงมันร้องไม่มีใครในบ้านได้ยินเลยสักคน”

“มันอาจจะต้องการบอกอะไรกับคุณก็ได้โดยปกตินกยมทูตจะ ไม่ทำร้ายใคร ถ้าไม่จำเป็น”

“คงจะยกเว้นฉันมันจ้องจะจิกฉัน พุ่งเข้ามาหาราวกับเป็นธนู ฉันเห็นดวงตาสีแดงของมันมันไม่ได้มาอย่างมิตร แววตานั้นบอกว่าหากมัน ทำร้ายฉันได้ มันจะทำ”

“นั่นอาจเพราะเจ้านายของมันสั่งมา”

“เจ้านายคุณหมายถึงเทพรัตติกาลหรือคะ”

“เจ้านายของนกยมทูตมีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือเทพรัตติกาล”

“ถ้าอย่างนั้นเทพรัตติกาลคงตื่นแล้ว คุณบอกฉันว่าเธอแค่ละเมอ ฉันว่าไม่น่าจะใช่”

“มีคนไปรบกวนเธอและนั่นทำให้เธอหิวกระหายหลังจากหลับใหลมาเป็นเวลานาน”

“แย่ชะมัดอย่างนี้พวกหมอจะเป็นอันตรายอะไรไหมคะ”

“ฉันไม่รู้ค่ะพวกฉันเตรียมความพร้อมรับมือเรื่องนี้เอาไว้แล้วเหมือนกัน ทางที่ดีฉันว่าพวกคุณอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวในเวลากลางคืนถ้าไม่จำเป็นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทาคาที่เคยสงบคงไม่สงบอีกต่อไป”

“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่ใช่ความผิดของพวกคุณหรอกค่ะพวกคุณไม่ได้ทำอะไรเลย พ่อของเด็กต่างหากที่ช่วยปลุกเธอ จริงๆ แล้วพวกฉันส่งวิญญาณของเขากับลูกเรียบร้อยแล้วนะคะ ทำไมเธอถึงตื่นขึ้นมาได้หรือว่า...”

มารีหยุดไปนิดหนึ่งมีบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิดของเธอ

“อะไรคะ”

“ฉันไม่อยากจะคิดเรื่องนี้เลยค่ะ”

“อะไรคะ”ยิ่งมารีอักอึก ทาฬิดายิ่งอึดอัดตามไปด้วย สู้บอกกันมาเลยเสียยังจะดีกว่าบอกครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้

“เทพรัตติกาลมานำพาดวงวิญญาณของเด็กไปตั้งแต่ยังไม่คลอดต่อให้พ่อของเขาไม่พาร่างของลูกเข้าไปในถ้ำ วิญญาณของเด็กคนนั้นก็ ไม่รอดอยู่ดี ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่ของเด็กจะเป็นตัวกลางสื่อสารให้กับ เทพรัตติกาลอีกด้วย”

“อะไรนะคุณพูดอย่างกับว่าเทพรัตติกาลของคุณเป็นเชื้อโรคเมื่อทารกในครรภ์ตายเพราะเชื้อนั้น แม่จะติดโรคตามลูกไปผ่านทางสายสะดือมันไม่แย่ไปหน่อยหรือคะ”

“ไม่หรอกค่ะถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะใช้คำว่าแย่คงไม่ได้ ต้องใช้คำว่าซวยซับซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนเลยเชียวค่ะ”

แม้คำพูดของมารีจะฟังแล้วตลกแต่ทาฬิดาไม่ตลกเลยสักนิด

มารีเล่าว่าแม่ของเด็กที่ชื่อชองตอนเกิดแม่ก็ตาย หลังจากที่คลอดชองออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ชองตั้งครรภ์ลูกตายในท้องผู้หญิงคนนี้ช่าง น่าสงสาร คงถูกตราหน้าว่าฆ่าแม่ฆ่าลูกของตน ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้น หนำซ้ำสามีของชองที่ชื่อโชแปงยังมาตายไปด้วยอีกคน ผู้หญิงตัวคนเดียว เสียทั้งลูกทั้งสามีไปภายในข้ามคืน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ชีวิตคงมีความสุขมาก เพียงลัดนิ้วมือเท่านั้นทุกอย่างพังครืนลงมาไม่เป็นท่า

ทิ้งเอาไว้แต่เพียงฝุ่นผงที่สามารถทำให้เกิดน้ำตาได้ทุกนาที

หากเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากเทพรัตติกาลจริงๆเทพองค์นี้ยังสมควรได้ชื่อว่าเทพอีกหรือ น่าจะเรียกว่านางปีศาจร้ายจะดีกว่าการกระทำของเทพต้องไม่ใช่อย่างที่เธอรับรู้ เทพต้องไม่ใช้วิญาณมนุษย์เป็นเครื่องสังเวย

แต่ก็นั่นแหละตรุษจีน แต่ละที หัวหมู เป็ด ไก่ เยอะไปหมด ยังถูกเอามาวางเป็นเครื่องไหว้เจ้ายังไม่รวมปลา ปลาหมึก หอย กุ้ง ปู อีกเป็นจำนวนมากที่ต้องมาจบชีวิตให้กับการไหว้เจ้าในวันเดียว เอาชีวิตนับพันนับหมื่นไปเซ่นสังเวยเทพเจ้าเพียงไม่กี่องค์ มันคุ้มกันหรือเปล่านะ

ทาฬิดาอยากรู้จังเลยว่าเทพพวกนั้นกินแต่ผลไม้บ้างไม่ได้หรืออย่างไร ถ้าทำอย่างนั้นได้จริงๆคงจะดีไม่น้อยเชียวแหละ

ทาฬิดาเดินรั้งท้ายขบวนคนไทยคนนำหน้าขบวนคือทุติ เขาชวนคนนำทางพูดคุยไปตลอดทางอย่างถูกคอ

ท้องฟ้าในเวลานี้มีเมฆปกคลุมเสียเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ทำให้อากาศร้อนมากเท่าที่ควรจะเป็น อีกไม่กี่วัน จะถึงวันที่ ๒๑ ธันวาคม๒๐๑๒ วันสิ้นโลกของชาวมายาวันที่เธอเคยฝันว่ามันจะเกิดเรื่องไม่ดีกับคนทั้งโลก

เธอไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้เหมือนที่เกิดขึ้นในความฝันของเธอ

“ปฏิทินนี้ใช้ทำนายอนาคตโลกได้ด้วย”ทาฬิบอกกับรัตติ

“ยังไงรึท่าน”ผู้ฟังสนใจในคำพูดนั้นยิ่งนัก

“เมื่อวันในปฏิทินที่เจ้าช่วยข้าทำครบรอบปีหมุนวน ทุกอย่างจักเกิดการแตกดับ ไม่เว้นแม้กระทั่งมายา”

“นั่นคือคำทำนายของท่านรึ”รัตติขมวดคิ้วเป็นปมเข้าหากัน

“นี่คือคำทำนายของข้าทาฬิเทพแห่งกาลเวลา ผู้หยั่งรู้ดินฟ้า มิสามารถแก้ไขคำทำนายนั้นได้”

“ท่านจักสร้างมายามาเพื่ออันใดในเมื่อวันสิ้นโลกจักมาอีกไม่กี่ พันปีที่จะถึง” น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่านั้นฟังดูก็รู้ว่าไม่พอใจยิ่งนัก

“สร้างมาเพื่อให้พบกับการแตกดับเป็นวัฏฏะแห่งชีวิต มีเกิดย่อมมีดับเป็นเรื่องธรรมดา”

“ข้ายอมให้ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้ดอกมีทางแก้ไขฤาไม่”

“ทางแก้มีเพียงทางเดียวข้าจักต้องไปจากมายา ก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก เพื่อไปสร้างเมืองใหม่”

“เท่ากับท่านทิ้งข้ากับจันทราเช่นนั้นรึ”

“เปล่าข้ามิได้ทิ้ง” ทาฬิรีบปฏิเสธทันที

“ไม่รู้ล่ะวันใดที่ท่านจากไป ข้าจักไปตามท่านกลับมามายา เมืองของเราท่านจักต้องอยู่กับข้าที่นี่จนกว่าจักถึงวันสิ้นโลกแห่งการทำนาย”

ยิ่งนับวันความฝันของเธอยิ่งชัดเจนขึ้นเธอแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็นความฝันหรือเป็นเรื่องจริงความฝันชัดเจนเสียยิ่งกว่าเรื่องจริงที่กำลังเกิดกับตัวเธอด้วยซ้ำเธอเดาว่าอาจจะเป็นผลมาจากการที่พวกเธอเคี้ยวใบโคคามากเกินไป คงคล้ายๆกับการสูบกัญชา คนเสพมักแยกไม่ออกว่าอะไรคือความจริง อะไรคือจินตนาการ เธอฝันในขณะที่กำลังตื่นอย่างนี้ได้ด้วยหรือหรือว่าเธอกำลังจะเพี้ยน

นี่ไม่ใช่ฝันแน่ๆเธอรับรู้ทุกอย่างได้ ราวกับสิ่งที่เธอเห็นนั้น ฝังอยู่ในสมองของเธอ เหมือนมีคนมากดเล่นแผ่นซีดีหนังเรื่องเดิมให้เธอดูอีกครั้ง

“คิดอะไรอยู่หรือคะ”

มารีหยุดเดินยืนรอทาฬิดาอยู่ไม่ไกลนักเอ่ยถาม

“คิดเรื่อยเปื่อยค่ะทั้งความฝัน ความจริง มันปนกันจนทามงง ไปหมดไม่รู้ว่าจะทำยังไง คุณจะเชื่อไหม ระหว่างที่ฉันเดินลงมา ฉันเห็นบางอย่างมันเหมือนภาพทับซ้อนกันในสมองของฉัน ภาพแรกคือฉันกำลังเดินไปทาคานาลา ส่วนภาพที่สองฉันเห็น และได้ยินตัวฉันพูดคุยกับใคร อีกคน เรื่องคำทำนายบางอย่าง”

ทาฬิดาพูดพร้อมกับเดินไปเรื่อยๆโดยมีมารีเดินตามเธอ

“ความฝันของคุณเป็นเรื่องในอดีตที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วปล่อยไปเถอะค่ะ สิ่งที่คุณควรทำในเวลานี้คือ ปัจจุบัน ให้ใจอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุดทำให้ดีที่สุด วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องกลับมาพูดว่า ยังไม่ได้ทำแล้วต้องมานั่งเสียใจว่าทำไมไม่ทำตั้งแต่อดีต เหมือนที่คุณกำลังเป็นอยู่”

“พูดง่ายทำยากค่ะ”ทาฬิดาหยุดเดินกะทันหัน จนมารีเกือบจะชนเธอดีว่าคนเดินตามหยุดขาของเธอได้เร็วเท่าที่ตาเห็น จึงไม่ทำให้อีกคนโดนชนจนล้มลงกับพื้น

“ต้องทำให้ได้ค่ะไม่อย่างนั้นคุณจะจมอยู่กับความฝัน ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาจากความฝันได้”

“ถ้าฉันดึงตัวเองออกมาไม่ได้ล่ะคะ”

“คุณจะหายไปพูดง่ายๆ ก็คือตายค่ะ”

“โห”ทาฬิดาตกใจ คำตอบนั้นทำให้เธอเริ่มรู้สึกหวาดกลัว ไม่อยากหลับและฝันอะไรอีก

“ฉันไม่ได้ขู่นะคะคุณยังไม่สามารถควบคุมพลังจิตของตัวเองได้ หากคุณหลุดเข้าไปในความฝันเต็มตัวคุณไม่สามารถหาทางออกมาจากความฝันนั้นได้อีกเลย”

“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องนี้ล่ะคะ”

“ฉันเคยเป็นมาก่อนคุณค่ะฉันฝันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนฉันคิดว่าฉันละเมอในตอนกลางวันบางครั้งฉันเห็นตัวฉันวิ่งอยู่ในสถานที่แปลกๆ เห็นแม้กระทั่งที่หลับที่นอนการอยู่การกิน ทั้งๆ ที่ฉันยังลืมตาอยู่ ภาพซ้อนสองภาพเหมือนกำลังเกิดขึ้นพร้อมๆกัน จนฉันไม่รู้จริงๆ ว่าภาพไหนคือปัจจุบันกันแน่ วิธีเดียวที่ทำให้ฉันไม่ฝันคือไปอยู่ให้ไกลจากทาคานาคา แต่พอฉันกลับมาอีกครั้ง ฉันฝันเหมือนเดิมพ่อของฉันจึงให้ฉันเรียนรู้วิธีควบคุมจิตของตัวเอง ไม่ให้หลุดเข้าไปในความฝัน”

“ฉันกำลังคิดว่ามีใครบางคนทำให้เราสองคนเป็นอย่างนี้ ต้องการให้เราตาย เพื่ออะไรบางอย่าง”

“ฉันคิดเหมือนคุณค่ะฉันรู้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นใคร”

“ใครคะ”

“รัตติกาล”

ทาฬิดาไม่ตกใจอะไรอีกแล้วเธอก้าวเดินตามมารีไปอย่างช้าๆ อีกไม่กี่พันก้าว เธอจะถึงทาคานาลาหมู่บ้านด้านล่างใต้หุบเขา ดินแดนที่เธอรู้ว่ามีใครสักคนอยู่ที่นั่นใครคนนั้นมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นคนที่ต้องการเอาชีวิตของเธอกับมารีจริงๆ จังๆเอาเถอะเธอขอสู้กันสักตั้ง จะเพื่ออะไรไม่รู้หรอก ขอแค่อย่าลอบกัด สู้กันซึ่งๆหน้า จะได้รู้กันไปสักทีว่าเธอสู้เป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ทำได้แค่หลบๆ ซ่อนๆหนีตายไปวันๆ

ทุติตื่นเต้นกว่าใครทั้งหมดมาถึงเขารีบมุ่งตรงไปยังเนินดินที่คนของทาคานาลาบอกว่า เป็นพีระมิดเล็กๆ ลักษณะคล้ายเนินเขาอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ชายอายุสูงอย่างทุติอดรีนาลีนหลั่ง ราวกับยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์

นาลันทาและพรรคพวกจึงต้องตามทุติไปที่เนินเขาเล็กๆนั้นด้วย พวกเธอจึงแยกจากกลุ่มของหมอ ที่มุ่งตรงเข้าไปยังหมู่บ้านทาฬิดากับอัปสรจึงต้องตามกลุ่มของทุติไปเช่นกันโดยมีมารีและคนของเธออีกสองคนติดสอยห้อยตามไปคุ้มกัน





Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:38:52 น.
Counter : 288 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของชีวิต : กะว่าก๋า
(17 เม.ย. 2567 04:37:20 น.)
เรา คือ เอไอ ชีวภาพ..ที่ ทุกอย่าง ทำงาน อัตโนมัติ..อวิชชา ไม่รู้ โง่ ทุกข์..โดย อัตโนมัติ 15 CXO.Asia
(15 เม.ย. 2567 05:12:22 น.)
ธี่หยด (2566) ไมเคิล คอร์เลโอเน
(15 เม.ย. 2567 12:42:37 น.)
15/04/67 สมาชิกหมายเลข 4675166
(15 เม.ย. 2567 09:46:52 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ping-dow.BlogGang.com

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด