กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๖
บทที่  ๖

ทาฬิดากลับมารวมกลุ่มกับทุติอีกครั้งขณะนี้เธอรู้สึกถึงภาพซ้อนทับกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างของเธอในปัจจุบันคืออัปสรแต่สิ่งที่เธอเห็นกลับมีใบหน้าของชายในฝันที่ชื่อปาซกูคนนั้น

เขากำลังนำอาหารมาให้กับเธอในถาดทองนั้นมีอาหารที่มาจากมันฝรั่ง ข้าวโพด เนื้อสัตว์ แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นอาหารสำหรับชนชั้นสูงหรือขุนนางเท่านั้นทาฬิดาสะบัดหน้าแรงๆ จ้องมองอาหารนั้นอีกครั้ง มันกลับกลายเป็นกล่องอาหารง่ายๆแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นไม่ใหญ่มากนักวางอยู่ในนั้น

“เป็นอะไรไปพี่ทามเห็นสะบัดหน้าตั้งหลายที ปวดหัวเหรอพี่”

“เปล่าๆแมลงอะไรไม่รู้ตอมหน้าพี่” ทาฬิดารีบแก้ตัว กลัวว่าอัปสรจะคิดมากในสิ่งที่เธอเห็นเธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากที่เธอยกมันขึ้นมาดูครั้งล่าสุด

อัปสรอยากรู้อยากเห็นไปหมดทุกเรื่องเธอจึงตั้งชื่อให้กับอัปสรใหม่ ว่า เด็กเผือกหากเผลอเรียกจะได้ไม่โดนต่อว่า

“รีบไปไหนเหรอพี่”เด็กเผือกเอ่ยถามอีกรอบ

“ไม่ได้รีบแค่อยากรู้เวลา ทำไมเหรอ”

“เห็นพี่ชอบดูนาฬิกาขอดูหน่อยได้ไหม สวยปะ”

ทาฬิดายื่นข้อมือของเธอให้อัปสรดู

“สวยแฮะอากลางๆ นาฬิกาพี่ทามสวยมากเลย จิ๊ดอยากได้แบบนี้สักเรือนได้ปะอากลาง”

“ของเก่าอย่างนั้นอยากได้ไปทำอะไรเจ้าของเขาไม่มาทวงคืน หรือไง”นาลันทาเคยเห็นนาฬิกาเรือนนั้นมาแล้ว ครั้งที่ทุติเอามาให้เธอช่วยดูพร้อมกับบอกความแปลกประหลาดของนาฬิกาเรือนนั้นให้เธอรับรู้

“เอาของใหม่สิอากลางนะๆ ถ้าจิ๊ดสอบติดมหาวิทยาลับอากลางซื้อให้จิ๊ดแบบนี้สักเรือนนะ”

“เออๆก็ได้ สอบให้ติดก่อนแล้วกันค่อยมาทวง”

นาลันทารับปากส่งๆไปอย่างนั้น อีกหลายปีกว่าอัปสรจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงเวลานั้นเด็กน้อยคงลืมไปแล้วว่าขออะไรเอาไว้กับเธอ

“กินเสร็จแล้วคนของที่นี่จะพาเราไปที่สุสาน” ทุติบอก

“จิ๊ดไม่ไปได้ไหมคะจิ๊ดกลัวผี”

“เราจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้เหรอ”มุจลินทร์ถามคนเรื่องมาก

“พี่ทามไง”อัปสรบุ้ย

“พี่จะไปดูด้วย”ทาฬิดาปฏิเสธทันที

“อ้าวงี้จิ๊ดก็ต้องอยู่คนเดียวดิ”

หลังจากที่ได้ยินคำตอบของทาฬิดาอัปสรหน้าเหลือเพียงสองนิ้ว

“เห็นปะไม่มีใครอยู่กับเรา เราต้องไปกับพวกอา”

นาลันทาสรุปอัปสรถึงกับออกอาการเซ็ง

“ถ้ารู้งี้นะไม่มาด้วยหรอก”อัปสรแอบบ่น

“ได้ยินนะจิ๊ดพูดอะไรน่ะ อาบอกแล้วไม่เชื่อ ว่ามาแล้วต้องลำบาก

ร้องจะตามมาให้ได้มาแล้วยังจะสร้างเรื่องอีก อย่าให้อาได้ยินอีกนะว่า เราบ่น อาจะจับส่งกลับไปเลยให้นั่งเครื่องกลับคนเดียวด้วย”

“โอ๊ยๆไม่เอาๆ จิ๊ดไม่กลับคนเดียว หลงไปทำไงล่ะ ตายพอดี ต่อเครื่องตั้งหลายต่อยังไม่คุ้มค่าเสียเวลานั่งเครื่องเลยด้วยซ้ำ”

“งั้นก็หุบปากเราซะ”นาลันทาหันไปสั่งเสียงเฉียบขาด

ทุกคนยกเว้นอัปสรหัวเราะร่วนส่วนอัปสรนั่งหน้างุด ไม่กล้า พูดอะไรออกมาอีกเลย

ทางเดินลงไปยังสุสานค่อนข้างชันซ้ำยังเป็นทางลัดเลาะ ไปตามหน้าผาทำให้การเดินของทีมทุติลำบากพอสมควร

ทุกคนจึงต้องเดินด้วยความระมัดระวังมากขึ้นเป็นสองเท่าทีมงานท้องถิ่นชี้ปากทางเข้าให้ทุติดู เขาเตรียมไฟฉายมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะภายในนั้นทั้งอับทั้งชื้น เด็กอย่างอัปสรและทาฬิดาจึงไม่สามารถเข้าไป ข้างในนั้นได้

“แล้วจะให้ตามมาทำไมน้อมาแล้วไม่ให้เข้า” อัปสรบ่น

“ระวังเถอะอากลางได้ยินขึ้นมาเราจะโดนส่งกลับ”

ทาฬิดาแกล้งเด็กเผือกของเธอ

“อย่าเอ็ดไปสิพี่ทามจิ๊ดไม่ได้บ่นสักหน่อยพูดขึ้นมาลอยๆ”

“หึๆ”อัปสรหัวเราะในลำคอ เธอมองไปยังหุบเหวเบื้องล่าง

เธอไม่แปลกใจเลยที่คนโบราณจะเลือกสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสุสานของคนตาย ที่แห่งนี้ปลอดผู้คนในสมัยก่อนคงไม่ค่อยมีคนเดินมาทางนี้ มากนักหรือหากจะมีคงใช้เป็นทางลัดเสียมากกว่า อีกทั้งสุสานนั้น ไม่ใช่จะ

เข้าไปได้ง่ายๆต้องปีนขึ้นไปอีกหลายเมตรกว่าจะถึงปากทางเข้า

“พี่ว่าสุสานนี้เป็นของใครกษัตริย์ หรือคนธรรมดา”

อัปสรยังคงเจื้อยแจ้วไปตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น

“ไม่รู้สิแต่ถ้าเป็นกษัตริย์คงไม่เอามาฝังในที่แบบนี้หรอกมั๊ง ต้องทำสุสานสวยๆแล้วก็มีข้าวของเครื่องใช้ฝังตามไปด้วย”

“นั่นสิเนอะแต่ไม่แน่นะ อาจจะโดนขโมยไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้”

“ต้องรอถามอากลางของเราถามพี่ไปพี่ไม่รู้หรอก”

“ว่าแต่พี่มาที่นี่ทำไมเหรอไม่เห็นพี่จะทำอะไรเลย”

“คุณปู่พี่ให้มาทำธุระ”

“อ้าวแล้วมาตามขบวนอย่างนี้จะได้ทำธุระเหรอพี่”

“ไม่รู้เหมือนกันคุณปู่บอกว่า มาถึงพี่จะรู้เองว่าต้องทำอะไร”

“ทำอย่างกับหนังสืบสวนเลยเนอะพี่เดี๋ยวก็จะรู้เอง เพราะจะมีพระเอกมาช่วย ว่าแต่พี่มาสืบเรื่องอะไรล่ะจิ๊ดจะได้ช่วย”

เด็กเผือกของเธอเสนอตัวช่วยเหลือทันที

“มาสืบหาเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้”

ทาฬิดายื่นข้อมือของเธอให้อัปสรดู

“อ้าวไม่ได้เป็นของพี่หรือคะ”

“ของพี่นั่นแหละคุณปู่ท่านให้มา แต่ท่านอยากรู้ว่าใครเป็น คนสร้างนาฬิกาเรือนนี้ ท่านอยากหาคนทำ”

“ตามหาคนทำนาฬิกาทำไมไม่ไปสวิสล่ะคะ มาที่เปรูทำไมกัน”

“ท่านให้มาพี่ก็มาไม่อยากเถียง”

“พี่ดูเป็นคนดีจังเลยเนอะถ้าเป็นจิ๊ดนะพี่ จิ๊ดต้องเถียงเอาไว้ก่อน

ถูกผิดว่ากันทีหลัง”

“เรื่องบางเรื่องเราก็เถียงไม่ออกพี่ไม่กล้าเถียงคุณปู่หรอกนะ กลัวท่านดุเอา”

“เหมือนจิ๊ดเลยจิ๊ดไม่กล้าเถียงคุณทวดเหมือนกัน มองมาแต่ละทีขนลุกเกรียว” ท่าทางสยองของอัปสรทำให้ทาฬิดาถึงกับหัวเราะออกมา

“ทำไมไปกันนานจังเลยเนอะ”อัปสรว่า

“นั่นสินานจัง เข้าไปดูหน่อยไหม”

ทาฬิดาว่าเธอลุกขึ้นยืนทำท่าจะปีนขึ้นไปบนปากถ้ำ

“จะดีเหรอพี่เข้าไปโดนอากลางดุแน่เลย”

“ไม่ลองไม่รู้”ทาฬิดาไม่ฟังอะไรอีกแล้ว เธอปีนขึ้นไปข้างบนทันที

ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าเข้าไปด้านในถ้ำแห่งนั้นทาฬิดาเห็นภาพบางอย่างผุดขึ้นมาในสมองของเธอ

“นำร่างของพวกเขาไปไว้ในนั้น”เธอสั่งคนของเธออย่างนั้น

ชายหลายคนนำร่างไร้วิญญาณของนักรบผู้กล้ามาไว้ในถ้ำแห่งนี้หลังจากที่คนเหล่านี้ออกไปสู้รบกับชนเผ่าอื่นที่หมายจะมายึดมาชูปิกชูไปเป็นของพวกเขา

“พวกท่านรบได้อย่างแกร่งกล้าเหี้ยมหาญยิ่งนัก ข้าขออำนวยพรให้ท่านจงสู่สุคติโดยเร็ว รอพบข้าบนเมืองฟ้าในอีกมิช้านี้” ทาฬิดาเห็นตัวเองยกมือขึ้นลำแสงบางอย่างพุ่งไปยังร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นดวงจิตของพวกเขาลอยขึ้นมาจากร่างและลอยลับหายไปยังท้องฟ้า

“เป็นสุขเถิดพวกท่าน”

“พี่ทามเหม่ออะไร จะเข้าก็เข้าไปสิ”

อัปสรเร่งทำให้ทาฬิดากลับมาอยู่ในเวลาปัจจุบันทันที

เธอก้าวเท้าเข้าไปในนั้นกลิ่นอับๆ จนเธอต้องยกท่อนแขนขึ้นมาปิดจมูกของตัวเองเอาไว้

“เหม็นอับชะมัดเลยจิ๊ดไม่เข้าไปนะพี่ รออยู่ตรงหน้าปากถ้ำ นี้แหละ ถ้าเจออากลางบอกด้วยว่าจิ๊ดรออยู่”

“อือๆจะบอกให้” ทาฬิดาเดินคลำทางเข้าไป ภายในถ้ำแห่งนี้มืดมากจนเธอต้องนำโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาทำให้มันสว่างขึ้นมา นิดหน่อย เพื่อใช้แทนไฟฉายส่องทาง

ถ้ำนั้นถูกขุดขึ้นมาด้วยมือมนุษย์เธอเห็นภาพคนโบราณกำลังขุดเจาะหินด้วยลิ่มและใช้ค้อนตอกลงไปในเนื้อหินก่อนที่มันจะกะเทาะหลุดออกมาทีละนิดๆ การขุดใช้เวลาถึงสามวันสามคืน จึงแล้วเสร็จร่างของเหล่าผู้นำทัพถูกนำมาจัดเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้เขาไปสู่ภพหน้า โลกหน้าได้อย่างสบายใจ

“มีทั้งหมดสิบคน”เสียงดังออกมาจากด้านใน

“เราคงต้องเก็บโครงกระดูกพวกนี้ออกไปศึกษาที่มหาวิทยาลัย”เสียงภาษาอังกฤษฟังแปล่งๆ ดังกลับมาทาฬิดาเดาว่าคงเป็นหนึ่งในทีมงานจากมหาวิทยาลัยของเปรู

“เราจะกลับมาทำพรุ่งนี้ดีไหมคะวันนี้เราไม่มีอะไรมาใส่เลย”

เสียงของตรีทิพย์เสนอ

“ดีเหมือนกันครับจะได้เตรียมอุปกรณ์มาเพิ่มอย่างน้อยๆ ต้องมีไฟมาเพิ่ม ไฟฉายทำงานไม่สะดวกเลย”เสียงแปล่งๆ นั้นตอบกลับ

ทาฬิดาจึงรีบเดินกลับออกไปจากถ้ำนั้นก่อนที่คนจากด้านในจะรู้

ว่าเธอเดินตามเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต

“พี่ทาม”อัปสรเรียก

ทาฬิดายกนิ้วขึ้นจุปากแล้วจึงปีนลงมายืนอยู่ข้างๆ อัปสร

“กำลังจะออกมาอย่าเอ็ดไป”

เธอบอกอย่างนั้นแล้วจึงหาที่นั่ง เพื่อนั่งรอคนด้านในให้ออกมา

“เห็นอะไรไหมพี่”

“มืดมองอะไรไม่เห็นเหม็นด้วย”

“ก็ว่างั้นแหละจิ๊ดเลยไม่เข้าไป อีกอย่างนะมันเป็นสุสาน ใครจะอยากเข้า นี่นะถ้ากลับไปที่พักหาใบกระท้อนมาล้างหน้านะพี่”

“ที่นี่จะมีหรือเปล่าไม่รู้พี่ได้ยินมาว่าที่นี่ใช้ใบโคคาไล่ผี”

“จริงเหรอพี่พรุ่งนี้เราเอามาด้วยดีกว่าเนอะ จะได้เอาไว้ไล่ผี หรือจะให้ดี เอาโคเคนเลยดีก่า ผีจะได้เมายาหลับไปโลด”

ทาฬิดาขำความคิดของอัปสรเด็กๆ มักคิดอะไรแผลงๆ เสมอ สมัยเธอเป็นเด็กจะคิดอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่านะ

“ใบโคคาเป็นยังไงพี่ยังไม่รู้จักเลยจะให้พี่ไปหาโคเคนมาให้ผี พี่จะไปเอามาจากไหนล่ะ”

“เด็กๆหลับไปหรือยัง” เสียงนาลันทาดังออกมาจากด้านใน

“ยังค่ะอากลาง”อัปสรรีบตอบเอาหน้าทันที

“ปะกลับกันเถอะ”นาลันทาบอก เธอค่อยๆ ปีนลงมาจากด้านบน ลงมายืนอยู่ข้างๆ ทาฬิดา

“พรุ่งนี้เราสองคนไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้นะอาจะมากับจารย์ทุเอง ส่วนเราอยากจะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปกับอามุจอาตรีก็แล้วกัน”

“จริงหรือคะอากลางดีใจจัง” อัปสรตื่นเต้น ถ้าเธอไม่ต้องมาที่นี่คงจะดีกว่านี้เยอะพรุ่งนี้เธอจะตื่นสายๆ

“เราต้องไปตามหาคนทำนาฬิกาใช่ไหมทาม”

นาลันทาหันไปถามทาฬิดา

“ค่ะอากลาง”

“เมืองนี้จะมีหรือเปล่าไม่รู้นะถ้าไม่มีอาจจะต้องกลับไปที่ลิมา”

“ทามว่าที่นี่คงไม่มีคนทำหรอกค่ะ”

“ทำไมเราคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ไม่รู้สิคะมันมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้คิด อย่างนั้นขึ้นมา”

“ตามใจเราแต่ถ้าเกิดว่าใช่ขึ้นมาจะให้กลับมาอีกรอบไม่มีใคร มาส่งเราแล้วนะ”

“ค่ะอากลางทามรู้ถ้าทามยังหาไม่พบ ทามจะอยู่ที่นี่ต่อคนเดียว ไม่รบกวนอากลางหรอกค่ะ”

“เราจะอยู่ได้เหรอคนเดียวนี่นะ”

คำพูดของทาฬิดาทำให้นาลันทาคิดหนักผู้หญิงตัวคนเดียว จะอยู่ในประเทศที่แม้กระทั่งพูดภาษาถิ่น ยังไม่ได้ ได้อย่างไร อย่าว่าแต่พูดเลยฟังให้ออกสักประโยคหนึ่งเถอะ ตัวเธอหูไม่กระดิกเลยสักนิด ทาฬิดาล่ะ จะฟังอะไรออกหรือเปล่า

“ทามโตแล้วค่ะเรียนจะจบแล้วด้วย ทามคิดว่าทามอยู่ได้”

“คุณปู่เราคงไม่มายิงจารย์ทุทิ้งหรอกนะ”

“คุณปู่ไม่ใจร้ายอย่างนั้นหรอกค่ะอีกอย่างทามเป็นคนที่ทำงานให้

คุณปู่ไม่เสร็จเองทามจะบอกท่านเองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เอาอย่างนี้แล้วกันถ้าลงไปข้างล่างอาจะช่วยไปถามคนแถวนี้ให้ว่าพอจะรู้ไหมว่ามีใครทำนาฬิกาหรือเปล่า”

“ขอบคุณค่ะแต่ถ้าจะให้ดี ทามอยากจะรบกวนให้อากลางช่วยหาล่ามให้ทามจะดีกว่าค่ะ”

“ล่ามเหรอน่าจะหาได้นะ เดี๋ยวอาจะให้ล่ามของอาหาให้เราก็แล้วกันแต่อาจจะเป็นล่ามพูดภาษาอังกฤษนะ เราพอฟังออกใช่ไหม”

“ฟังออกค่ะขอบคุณอีกครั้งค่ะอากลาง” ทาฬิดายกมือไหว้ขอบคุณนาลันทาที่มีน้ำใจช่วยเหลือเธอทั้งๆ ที่จะเรียกว่า ธุระไม่ใช่ คงจะได้

ทาฬิดาได้นอนตื่นสายเป็นวันแรกหลังจากที่เธอเดินทางมายังประเทศนี้ดูเหมือนว่าอัปสรจะยังนอนไม่ตื่น ส่วนเธอนั้นต้องตื่นเพราะนาฬิกาชีวิตปลุกความต้องการปลดทุกข์โจมตีตรงเวลาทุกวันเธออยากจะนอนขดอยู่ในผ้าห่มให้นานกว่าที่ทำจึงทำไม่ได้

ห้องน้ำไม่มีคนต่อคิวเหมือนเมื่อวานเดาว่าคนที่จะต้องตื่นแต่เช้าออกไปมาชูปิกชูคงเดินทางไปกันจนหมดทาฬิดาจึงเอ้อระเหยอยู่ในห้องนั้นนานกว่าปกติ

เสียงคนพูดกันมาอยู่หน้าห้องน้ำเดาว่าคงมีใครสักคนหรือสองคนต้องการที่จะต่อคิวจากเธอเธอจึงรีบทำธุระจรแล้วเสร็จแล้วจึงเปิดประตูออกมาด้านนอก

“อ้าวไม่เห็นมีใครเลย แล้วใครมาพูดหน้าห้องน้ำกันนะ”

ทาฬิดาไม่เห็นใครเลยสักคนเธอมั่นใจมากๆ ว่าเธอได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน มันชัดยิ่งกว่าเปิดวิทยุเพียงแต่เธอแปลไม่ออกเท่านั้น ว่าคน พวกนั้นพูดอะไรกัน

“สงสัยจะเปลี่ยนใจ”เธอเดินกลับไปยังห้องพัก ยังเห็นอัปสรนอนขดอยู่ขนเตียงเหมือนเดิมครั้นจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เธอไม่อยากให้เสื้อผ้าชุดใหม่ยับย่น จึงหาหนังสือแถวๆนั้นหยิบขึ้นมาพลิกดูรูป เผื่อว่าจะมีที่ใดสักแห่งให้เธออยากไปมากกว่ามาชูปิกชู

สุดท้ายหนังสือเหล่านั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการบรรยายถึงประวัติของมาชูปิกชูไม่ว่าเล่มใดมีแต่เรื่องของภูเขาแห่งสุริยะเทพทั้งสิ้น

หนังสือเล่มหนึ่งเล่าว่าครั้งที่นักสำรวจจากมหาวิทยาลัยเยลได้เข้ามาที่นี่นั้น เขาสอบถามว่ามีแหล่งโบราณสถานที่ไหนแถวนี้อีกหรือเปล่าคนนำทางของเขาบอกว่า มีสิมาชูปิกชูไง เขาจึงเข้าใจว่ามาชูปิกชูคือชื่อของสถานที่แห่งนั้นแต่ความเป็นจริงแล้ว คำนั้นแปลว่ายอดเขาชรา เพราะความเข้าใจผิดนี่แหละจึงเป็นต้นกำเนิดของชื่อมาชูปิกชูมาจนถึงทุกวันนี้

“ยอดเขาชราอย่างนั้นเหรอนายมีหลายชื่อจริงๆ เนอะ ทั้งวิหารแห่งสุริยเทพ ยอดเขาชรา เมืองสาบสูญแห่งอินคานายแน่มากเลยนะพ่อหนุ่ม ฉันขอตั้งให้นายเป็นผู้ชายก็แล้วกัน”

ทาฬิดาเอียงรูปมองใบหน้าที่เกิดจากยอดเขาเหนือที่ราบแห่งนั้นทั้งหมดทั้งมวลที่เห็นนั้นเป็นรูปใบหน้าคนจริงๆ

“ตกลงนายชื่ออะไรกันแน่อ๊ะหรือนายจะชื่อปาซกู”

ทาฬิดาหัวเราะกับความคิดของเธอครั้งนี้เธอขอตั้งชื่อมรดกโลกแห่งนี้ว่าปาซกูก็แล้วกัน แล้วปาซกูแปลว่าอะไรล่ะชักงง




Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:27:44 น.
Counter : 441 Pageviews.

0 comments
เวลาที่หายไป - บทที่ 27 ดอยสะเก็ด
(16 เม.ย. 2567 20:17:49 น.)
๏ ... ขอฝน แทน พรวันมหาสงกรานต์ ... ๏ นกโก๊ก
(15 เม.ย. 2567 15:30:08 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ping-dow.BlogGang.com

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด