กลกาล YURI ญรญ โดยผิงดาว บทที่ ๑๑
บทที่  ๑๑

มารีรีบกลับมาถึงหมู่บ้านเธอรีบจัดการพิธีศพสองพ่อลูกทันที โชคดีที่เธอกลับมาก่อนตะวันจะตกดินจึงยังพอมีเวลาเตรียมการอยู่บ้าง

เธอนึกขึ้นได้ว่าทิ้งทีมหมอเอาไว้ จึงเอ่ยถามกับคนของเธอ

“หมอล่ะ”

“กลับไปแล้วขอรับ”คนในเผ่าตอบทันที

“อะไรนะกลับไปเมื่อไหร่” มารีขมวดคิ้วเข้าหากัน

“เมื่อเช้าขอรับ”

“ทำไมถึงได้กลับไปเร็วนัก”

“พวกหมอเอาหญิงกาลีไปด้วย”

มารีถึงกับอึ้งหญิงกาลีคงหมายถึงแม่ซึ่งเพิ่งจะคลอดลูกตายไป เมื่อคืน อาการยังไม่ดีต้องออกเดินทางไปอย่างนั้น ฝนยังคงตกไม่หยุด ทั้งคนป่วยคนดี จะเดินทางกลับไปได้อย่างไร

เธอรู้ว่าทำไมคนของหมู่บ้านถึงได้ตัดสินใจไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่หายดี ตำนานของหญิงคลอดลูกตาย หญิงคนนั้นคือหญิงกาลีน่าแปลกแต่เป็นเรื่องจริง ไม่เคยมีผู้หญิงคนใดในหมู่บ้าน คลอดลูกตาย ในคืนเดือนมืด ผู้หญิงคนนั้นคือคนแรกที่ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้

“หากวันใดฟ้ามืดมนเกิดเหตุหญิงคลอดลูกตายในคืนเดือนดับ ฝนฟ้าพิโรธโกรธกริ้ว มีผู้บุกรุกถ้ำต้องห้ามยามนั้นจักเกิดเหตุกาลีแก่ทาคา”

คำทำนายนั้นทุกคนจำได้ดีเป็นคำสอนสั่งของผู้เฒ่าผู้แก่มานับร้อยๆ ปี เธอไม่แปลกใจเลยที่คนในหมู่บ้านจะหวาดกลัวและขับไล่หญิง คนนั้นให้ออกจากหมู่บ้านทันที

เธอควรทำพิธีศพสองพ่อลูกให้เสร็จก่อนที่จะตามกลุ่มของหมอกลับไปยังทาคานาคา

“ท่านผู้เฒ่า”มารีเอ่ยทักผู้อาวุโสสูงสุดในหมู่บ้าน พร้อมกับโค้งคำนับให้เขาเธอเป็นคนเชิญเขาให้มาทำพิธีครั้งนี้ด้วยตนเองไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีศพของพ่อกับลูกมาตายพร้อมๆ กันหนำซ้ำผู้เป็นพ่อยังตายในถ้ำต้องห้ามจึงต้องให้ผู้ที่มีไสยเวทย์สูงสุดของเผ่ามาเป็นผู้ทำพิธีส่งวิญญาณพวกเขาในครั้งนี้

ผู้เฒ่ายืนถือคบไฟปากพร่ำท่องมนต์ของเขา ก่อนที่จะจุดไฟเผาร่างสองพ่อลูก เปลวเพลิงลุกพรึบอย่างรวดเร็วเสียง แกว๊กๆ ดังลั่นอีกครั้ง

ทุกคนถึงกับขนลุกทั่วกาย

“ลางร้ายร้ายยิ่งนัก” ผู้เฒ่าหันไปบอกกับมารี

“เจ้าจงระวังตัวให้ดีหัวหน้า หากทาคาไม่มีเจ้าคงจะวุ่นวายไม่มีวันสิ้นสุด จำคำข้าไว้ผู้ระวังมักเพลี่ยงพล้ำให้แก่ผู้จ้องทำร้าย ”

“ค่ะท่านผู้เฒ่าเราจะระวังตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ข้าจะรอเจ้ามารีลูกพ่อ” ชายชราโอบกอดร่างบางของมารีเอาไว้แน่นเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรลูกของเขาได้คำทำนายบ่งบอกชัดแจ้งว่าผู้ที่จะต้องรับศึกในครั้งนี้มีเพียงมารีและหญิงสาวอีกคนหนึ่งเท่านั้น

ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครเขาไม่รู้เขาเฝ้าภาวนาว่าให้มารีพบกับผู้หญิงคนนั้นโดยเร็ว ก่อนที่จะสายเกินไป

ทาฬิดาเดินทางกลับทาคานาคาอย่างทุลักทุเลมาว่ายาก เดินทางกลับยิ่งยากกว่า คนป่วยนอนอยู่บนแคร่ สอดด้วยไม้ยาวสองท่อนให้พ่อและพี่ชายของเธอแบกขึ้นเขา โดยมีกลุ่มของทาฬิดาคอยระวังหลังให้

ทาฬิดาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการเดินทางมาเที่ยวของเธอต้องมาเจอกับเรื่องยุ่งยาก ความเชื่อของคนเป็นสิ่งยากที่จะลบล้างยิ่งเป็นความเชื่อระดับตำนาน เชื่อสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นยิ่งลบความเชื่อเหล่านั้นยากกว่าสิ่งอื่น

โชคดีที่โกกนทสามารถพูดภาษาสเปนได้ไม่เช่นนั้นพวกเธอคงลำบากในการสื่อสารกับคนท้องถิ่น เธอรู้จักกับโกกนทมาหลายปีไม่เคยรู้มาก่อนว่าโกกนทสามารถสื่อสารภาษาอื่นได้นอกจากภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ หลังจากนี้เธอคงต้องกลับไปเรียนภาษาอื่นบ้าง

คุณปู่ของเธอพูดถูกโลกใบนี้ไม่ได้สื่อสารกันแค่ภาษาเดียว ยังมีภาษาอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่คนบนโลกใช้สื่อสารกัน จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่เชิงที่ว่าดีนั้นคือยุคล่าอาณานิคม ทำให้คนบนโลกใบนี้จากที่เคยใช้ภาษาถิ่นก็หันไปใช้ภาษาของเจ้าอาณานิคม เช่น อังกฤษประเทศซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนพระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน เพราะประเทศนี้มีอาณานิคมไปทั่วโลกตั้งแต่ออสเตรเลีย แคนนาดา แอฟริกาใต้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เห็นจะมีมาเลเซียกับพม่า อินเดีย และอีกหลายประเทศซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเกาะอังกฤษ

ส่วนในดินแดนอื่นๆในโลกตกเป็นของสเปน ฝรั่งเศส จึงทำให้ประเทศผู้ตกอยู่ใต้อำนาจเหล่านั้นหันมาพูดภาษาของเจ้าอาณานิคมจนกลายเป็นภาษาหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศนั้นๆ

ข้อเสียก็คือวัฒนธรรมดั้งเดิม ถูกทำลายทิ้งไปจนเกือบจะสิ้นซาก ถูกบังคับให้นับถือศาสนาอื่นหากใครไม่ยอมเข้ารีต อาจจะถูกใส่ความ ถึงขั้นประหารชีวิตจนทำให้บางประเทศแทบไม่หลงเหลือร่องรอยอารยธรรมของตนเอาไว้ให้ลูกหลานได้เห็น

กับบางประเทศนั้นพยายามปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของตน ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของเจ้าอาณานิคมจนกลายเป็นประเพณีใหม่ แต่ยังแฝงความเชื่อเก่าๆ ของตนเอาไว้ในนั้นด้วย

ทาฬิดาเชื่อว่าประเทศนี้ทำอย่างหลังเสียมากกว่าปรับเปลี่ยนความเชื่อใหม่ ผสมผสานกับความเชื่อเก่าของบรรพบุรุษตนแต่ไม่ทำให้สเปนเห็นเป็นสิ่งผิดจึงทำให้ประเพณีบางอย่างยังคงทำสืบเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้

ที่น่าแปลกก็คือเผ่าทาคาทั้งสองเผ่า ทำไมถึงได้ยึดติดกับความเชื่องมงายอยู่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงไปเหมือนเผ่าอื่นๆ บ้างเลยหรือไร

“โอ๊ย”เสียงคนป่วยร้องออกมาเบาๆ ร่างบนแคร่คงกระทบกระเทือน จึงร้องออกมาอย่างนั้น

“วางลงก่อน”โกกนทบอกพ่อกับพี่ชายของคนป่วย

“พอจะมีโคคาบ้างไหม”เธอเอ่ยถาม

ทั้งสองคนรีบล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายลักษณะคล้ายๆย่ามของพวกเขา หยิบเอาใบไม้ออกมาคนละกำ

“เอาให้เธอกินมากเท่าไหร่ยิ่งดี” โกกนทบอก

คนเจ็บของเธอจึงต้องกินใบไม้นั้นเข้าไปเพื่อระงับความเจ็บของตัวเอง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างโกกนทรู้ว่าเธอคงเจ็บปวด คนผ่าตัดใหม่ๆ ไม่ควรถูกเคลื่อนย้าย การกระทบกระเทือนนิดเดียวอาจทำให้คนป่วยเจ็บเจียนตาย

หลังจากรอให้คนป่วยสงบลงเพราะฤทธิ์ใบโคคาโกกนทรีบสั่งให้เดินทางต่อ พวกเธอยังเดินมาได้ไม่ถึงครึ่งทาง หากรอช้ากว่านี้คนป่วยจะเจ็บหนัก และอาจจะเสียชีวิตได้

ขบวนของทาฬิดาจึงเริ่มเดินทางอีกครั้งพวกเธอลืมไปด้วยซ้ำว่า ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ค่ำเมื่อวาน โกกนทและภัทรมลสั่งให้ทุกคนเคี้ยวใบโคคามาคนละใบสองใบเรี่ยวแรงของพวกเธอจึงยังไม่หมด สักพักอาจไม่แน่พวกเธอทุกคนอาจจะเป็นลมเพราะความหิวทั้งหมดก็เป็นได้

“ทำไมเด็กๆยังไม่กลับ” นาลันทาเอ่ยถามมุจลินทร์

“ไม่รู้สิคะอาจจะไปค้างที่ไหนก็ได้”

“มีโทรศัพท์ทำไมไม่โทรมาบอก”

“อาจจะไม่มีสัญญาณก็ได้นะคุณใจเย็นๆ เถอะน่า”

มุจลินทร์ปลอบเธอได้ยินมาชัดๆ ว่านาลันทาบ่นอัปสรเรื่อง ห้ามใช้โทรศัพท์พร่ำเพรื่อ กลัวจะสิ้นเปลือง ในกรณีนี้เธอฟันธงได้ว่าผิด ทั้งอาทั้งหลาน

“เดี๋ยวเถอะกลับมาจะตีให้หลังลายเชียว เที่ยวอะไรกันนักหนา ข้ามวันข้ามคืน”

“ลองไปถามที่บริษัทนำเที่ยวดูไหมจะได้รู้ว่าพาเด็กๆ ไปที่ไหน”

มุจลินทร์นึกขึ้นได้วันก่อนเธอทั้งคู่ไปเดินตามหาไกด์และล่ามให้กับทาฬิดาที่ตลาดหากกลับไปถามที่นั่นคงจะรู้ว่ามารีพาเด็กๆ ไปที่ไหน

นาลันทาไม่รีรออะไรอีกความเป็นห่วงหลานสาวและทาฬิดา พุ่งทะยานถึงขีดสุดเกินขีดจำกัดของคำว่ารอ

ที่ตลาดไม่มีร้านที่เธอเคยพบกับมารีเธอจึงถามกับคนแถวๆ นั้น

“พอจะรู้ไหมว่าไกด์ที่เคยมานั่งรอนักท่องเที่ยวอยู่ที่ไหน”

นาลันทาชี้ไปที่บริเวณซึ่งเธอเคยพบกับมารีแต่ในเวลานี้ไม่มีโต๊ะตัวเล็กๆ ตั้งอยู่เหมือนเช่นวันก่อน

“คงรับแขกไปเที่ยวนั่นแหละถ้ามีแขกจะไม่มีคนมาตั้งโต๊ะ”

“พอรู้ไหมคะว่าหมู่บ้านของมารีอยู่ที่ไหน”นาลันทาถามแม่ค้าซึ่งตั้งแผงขายของอยู่ติดกับโต๊ะเล็กๆ ของมารี เธอจำได้ว่าวันก่อนเธอยังช่วยอุดหนุนซื้อของจากร้านนี้ไปหลายอย่าง

“ทาคานาคาไกลมาก” แม่ค้าบอกด้วยสำเนียงแปล่งๆ

“ไปยังไงพอรู้ไหม”

“ต้องนั่งรถต่อมอเตอร์ไซด์และเดินเท้าขึ้นเขาทาคาไป หลายชั่วโมง”แม่ค้าบอกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

“หา...”นาลันทาถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่คิดว่าหมู่บ้านของมารีจะอยู่ไกลจากที่แห่งนี้มากถึงขนาดนั้น

“ใจเย็นๆคุณ เรารออีกสักพักดีกว่า ถ้ามันไกลขนาดนั้นจริงๆ คงไปกลับสองวันนั่นแหละ อะ.. มุจให้สามวันเลยดีกว่าเผื่อจะเดินเที่ยวที่หมู่บ้านนั่นด้วย”

“หลานสาวเราหายเราตายกันแค่สองคน แต่ถ้าหนูทามหายไป ล่ะก็ชีวิตพวกเราทั้งหมด คนต้องตายไปพร้อมๆ กัน”

“ทำไมล่ะ”

“ท่านนายพลไม่เอาพวกเราไว้แน่ๆมุจ นาล่ะกลัวจริง”

พอได้ยินในสิ่งที่นาลันทาพูดทำให้มุจลินทร์ถึงกับร้อนๆ หนาวๆ ตามไปด้วย ถูกของนาลันทา หากอัปสรเป็นอะไรไปมีเพียงพวกเธอเท่านั้นที่จะเดือดร้อน เพราะอัปสรคือหลานสาวของพวกเธอ แต่กับทาฬิดาทายาทเพียงคนเดียวของท่านายพลใหญ่ ผู้มีอำนาจล้นฟ้าแถมยังมีพ่อเป็นนายพลร่วมด้วยอีกคน หัวของพวกเธอคนต้องเอาไปขึ้นเขียงรอการประหารกันทั้งตระกูล ดีไม่ดีอาจจะไม่มีใครได้ผุดได้เกิดเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งคิดยิ่งนึกหวั่นเธอทำได้แค่ภาวนาให้เด็กทั้งสองคนกลับมาหาพวกเธอในเร็ววัน

ศรรักให้อัปสรกับพิมมาดาช่วยเธอหยอดวัคซีนให้กับเด็กๆหลังจากนั้นจึงพาอัปสรและพิมมาดาออกไปเดินชมหมู่บ้านทาคานาคา

“พี่หมอชอบที่นี่หรือคะ”

อัปสรเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าศรรักชื่นชมธรรมชาติอยู่นาน

“นานๆจะได้เห็นอะไรเขียวๆ อย่างนี้สักที อยู่ที่โน่นมีแต่ทะเลทราย มีแต่เมืองเฟคๆต้นไม้ปลูกเอง น่าเบื่อจะตายไป สู้ที่นี่ไม่ได้ มีต้นไม้เกิดเองตามธรรมชาติมีนาขั้นบันได มีของกินสารพัด ที่นี่แหละ สุดยอดแล้วน้องเอ๊ย”

“เป็นเจ้าหญิงไม่ดีหรือคะน้าศร”

“ไอ้ดีมันก็ดีหรอกนะลูกหนูเสียอย่างเดียวไปไหนมาไหน มีคนแห่ตามเป็นฝูง”

“ดีออกจะตายไปจะได้ไม่ต้องถือของเอง”

“เหมือนนักโทษต้องมีผู้คุมไปไหนมาไหนด้วยตลอดมันอึดอัดบอกไม่ถูก” สายตาของศรรักมองลงไปเบื้องล่างเธอเห็นเหมือนกับกำลังมีคนแบกอะไรสักอย่างขึ้นมาที่หมู่บ้านแห่งนี้

“ลูกหนูขอกล้องส่องทางไกลน้าหน่อย” ศรรักบอกอย่างนั้น พิมมาดาจึงยื่นกล้องส่องทางไกลของเธอให้กับศรรักทันที

“ตายแล้วมีคนป่วยมา” ศรรักร้องลั่นเธอล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือผ่านดาวเทียวของเธอออกมา โทรไปหาใครสักคนฟังความได้ว่า ขอเฮลิคอร์ปเตอร์หนึ่งลำ มารับคนป่วยที่หมู่บ้านทาคานาคาจากนั้นจึงรีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านไปบอกกับผู้ช่วยของเธอให้รีบลงไปรับคนป่วยขึ้นมา อย่างน้อยๆคนที่แบกมานั้นจะได้พักเหนื่อยบ้าง

กลุ่มผู้ชายถึงหกคนรีบวิ่งไปตามคำสั่งของศรรักทันทีส่วนศรรักรอเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์เท่าที่คิดว่าจะต้องใช้ อย่างน้อยๆ คนต้องมี ถังออกซิเจนอากาศบนนี้บางเบากว่าอากาศด้านล่าง คนธรรมดายังหายใจแทบไม่ทัน แล้วคนป่วยล่ะคงหายใจลำบากกว่าหลายเท่า

กว่าจะแบกคนป่วยขึ้นมาถึงหมู่บ้านเฮลิคอร์ปเตอร์ที่ศรรักโทร ให้มารับคนป่วยก็มาถึงพอดี

“เอาคนป่วยขึ้นเลย”ศรรักสั่ง

“ค่าใช่จ่ายเรียกเก็บที่ท่านชีค”เธอสั่งอีกครั้ง จากนั้นจึงให้ผู้ช่วยของเธอ ติดไปกับเฮลิคอร์ปเตอร์ลำนั้นด้วย

“ขอบใจนะศรถ้าไม่ได้แกคนเจ็บคงแย่” โกกนทบอก

“เกิดอะไรขึ้นวะไอ้นททำไมแกต้องแบกมาอย่างนี้”

“เรื่องมันยาวไว้ค่อยเล่า พวกฉันเหนื่อย ตั้งแต่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน”

“อ้าวทำไมล่ะ” ศรรักเลิกคิ้วถาม

เพื่อนของเธอไปทำอะไรมาไหนว่าจะไปทำคลอดผู้หญิงท้องแก่แล้วทำไมถึงต้องรีบตาลีตาเหลือกกลับมาอย่างที่เธอเห็น มันต้องมีอะไร ไม่ชอบมาพากลเกิดกับเพื่อนของเธอแน่นอน

“บอกแล้วไงว่าเหนื่อยหาอะไรให้กินหน่อย หิวไส้จะขาดอยู่แล้วเพื่อน” โกกนทบ่นใช่แต่ความหิวอย่างเดียวที่คืบคลานเข้ามาหาเธอ มีทั้งความง่วง ความเหนื่อยล้าและอาการอยากจะสละทุกสิ่งออกจากร่างกาย หากทำได้ เธออยากจะหลับสักสิบวันสิบคืนไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย

เธอหันไปมองอีกสองคนทั้งคู่คงรู้สึกไม่ต่างจากเธอ

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกินข้าวเสร็จ โกกนทเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับศรรักฟังแล้วจึงขอตัวไปนอนพร้อมกับภัทรมลและ ทาฬิดาผ่านไปเกือบสิบสองชั่วโมง จนฟ้าสางทั้งสามคนยังไม่ตื่น

“นอนขี้เซากันจังเลยแฮะ”อัปสรบ่นเบาๆ

“จิ๊ดก็ลองเดินขึ้นเดินลงเขานี้ดูเองสิแล้วจิ๊ดจะรู้”

“ลูกหนูเคยแล้วเหรอ”

“เคยสองหนแทบตาย”

“แล้วทำไมไม่เอาแมงปอไปล่ะ”

อัปสรพูดถึงเฮลิคอร์ปเตอร์ที่บินมารับคนเจ็บไปเมื่อวาน

“มันไม่มีที่จอดข้างล่างต้นไม้เยอะไปหมด น้าศรบอกว่าจะอันตราย”

“อ้าวแล้วกัน อย่างนี้น่าจะทำรอกเนอะ หรือไม่ก็กระเช้าไฟฟ้า จะได้สะดวกหน่อยไม่ต้องเดินขึ้นเดินลง”

“จริงด้วยทำไมน้าไม่คิดได้ตั้งแต่แรกนะ ขอบใจนะจิ๊ดที่ช่วยน้าคิด”ศรรักหยิบโทรศัพท์เครื่องเมื่อวานขึ้นมาอีกครั้งเธอโทรบอกใครสักคนถึงความคิดที่จะทำกระเช้าไฟฟ้าจากด้านล่างขึ้นมาด้านบน บอกอีกว่า ให้ ส่งคนและเครื่องมือเข้ามาในพื้นที่ได้เลยไม่ต้องรออะไร

“คนรวยเนี่ยคิดอะไรทำได้ทุกอย่างเลยเนอะว่าปะ”

อัปสรกระซิบกระซาบกับพิมมาดา

“น้าศรก็เป็นอย่างนี้แหละไม่ต้องไปสนใจหรอก”

“อยากรวยแบบน้าศรบ้างจังจะได้มีโทรศัพท์โทรผ่านดาวเทียม เอ๊ยโทรศัพท์ ตายแล้วต้องโทรบอกอากลางสงสัยป่านนี้โดนด่าเละแน่เลย ทำไงดี” อัปสรล้วงกระเป๋ากางเกงของเธอหยิบโทรศัพท์ของเธอออกมา แต่มันกลับไม่มีสัญญาณอะไรใดๆบ่งบอกว่าสามารถโทรไปหานาลันทาได้

“เอาโทรศัพท์น้าศรไหมจะขอยืมให้” พิมมาดาเสนอ

“จะได้เหรออากลางต้องบ่นยาวเป็นกระบุง เปลืองเงินแย่เลย”

“งั้นให้น้าศรโทรบอกให้สิจะได้ไม่คุยยาว”

“ใช่ๆเอาอย่างนั้นดีกว่า” อัปสรไม่รอช้า รีบทำตามที่พิมมาดาเสนอทันทีขืนมัวชักช้าไปมากกว่านี้ มีหวังอากลางของเธอ คงบ่นจนหูชาไปหลายวัน 




Create Date : 09 กันยายน 2557
Last Update : 9 กันยายน 2557 20:33:48 น.
Counter : 358 Pageviews.

0 comments
บ้านครูช่วงสโลว์บาร์ คาเฟ่แนววินเทจสวย ๆ ที่พัทลุง sawkitty
(1 ก.ค. 2568 15:37:59 น.)
"สองศรีพืน้อง" ดอยสะเก็ด
(27 มิ.ย. 2568 23:04:14 น.)
มิวสิควิดิโอ "I'm OK...I'm not OK." haiku
(25 มิ.ย. 2568 09:07:03 น.)
๏ ... ไฟนอก ไฟใน ไฟอารมณ์ ... ๏ นกโก๊ก
(24 มิ.ย. 2568 10:12:22 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ping-dow.BlogGang.com

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด