ทฤษฎีแรงจูงใจกับกรณี 2 พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก

วิชาพฤติกรรมศาสตร์(Behavioral Science) ถือว่าแรงจูงใจ (Motive) เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ ในทางอาชญาวิทยา ก็มักค้นหาเบาะแสของคดีด้วยการวิเคราะห์แรงจูงใจซึ่งอยู่เบื้องหลังพฤติกรรม ของผู้ต้องหาด้วยเช่นกัน การค้นพบแรงจูงใจของผู้ต้องหาไม่เพียงแต่เป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ประเมินความสมเหตุสมผลของพฤติกรรมเท่านั้นแต่ยังสามารถใช้เป็นการเชื่อมโยงกับผู้เกี่ยวข้องที่มีแรงจูงใจประเภทเดียวกันด้วย...



ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ได้ปรากฎพฤติกรรมกลุ่ม ที่มีทิศทางเดียวกันคือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อขับไล่นายกทักษิณ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกลุ่มพันธมิตร กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย กลุ่มสื่อมวลชน และกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน ด้วยวิธีการที่ขัดกับครรลองของระบอบประชาธิปไตย กฎ กติกา ตลอดจนไม่ใยดีต่อกฎหมายของบ้านเมือง......แรงจูงใจของพฤติกรรมกลุ่มเหล่านี้ก็คือการแสดงความไม่พอใจต่อนายกทักษิณ ต้องการให้พ้นจากตำแหน่งและมีนายกพระราชทานเข้ามาแทนที่ด้วยเส้นทางของมาตรา 7 หวังว่าเมื่อการเมืองปลอดจากนายกทักษิณแล้ว พวกเขาจะสามารถเข้าไปบริหารจัดการอำนาจรัฐตามความประสงค์ของพวกเขาได้....ซึ่งถือเป็นความคุ้มค่าทางการเมืองที่พวกเขาได้ลงเรี่ยวลงแรงลงไป.....


กล่าวสำหรับพรรคพระชาธิปัตย์ นอกจากจะมีแรงจูงใจร่วมกับกลุ่มการเมืองอื่นๆแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ยังมีแรงจูงใจที่จะทำลายไทยรักไทยและนายกทักษิณที่รุนแรงกว่ากลุ่มอื่นอีกเป็นทวีคูณ ประการที่หนึ่งเพื่อชำระแค้นที่ทำให้ตนพ่ายแพ้การเลือกตั้งซ้ำซากตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ประการที่สอง การล่มสลายของ ทรท.และการหลุดจากสารบบการเมืองของนายกทักษิณถือเป็นการขจัดอุปสรรคทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของพรรคประชาธิปัตย์ ประการที่สาม หากพรรคประชาธิปัตย์สามารถคืนสู่อำนาจโดยกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลในฐานะอัศวินฝ่ายเทพ ผู้ปราบมารในสายตาของสื่อมวลชน ถือเป็นรางวัลสูงสุดที่แลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด


ด้วยเหตุนี้ ในห้วงเวลาที่การต่อต้านและขับไล่นายกทักษิณพุ่งขึ้นสู่กระแสสูง พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงความกระตือรือล้น กระเหี้ยน กระหือรือ เอาการเอางาน มากที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ประหนึ่ง "ฉลามได้กลิ่นเลือด" หากลำดับพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ในห้วงเวลาดังกล่าวจะเห็นภาพต่อเนื่องดังนี้..


ก่อน กุมภาพันธ์ 2549

ก่อนยุบสภา พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎร อภิปราย ประเด็นหุ้นชินคอร์ป อย่างเผ็ดร้อน คู่ขนานไปกับการเปิดประเด็นต่อสื่อมวลชน ตรวจสอบธุรกรรมการขายหุ้นชินครั้งนี้อย่างอึกทึกครึกโครม ทั้งนี้ภายใต้การกำกับอย่างเอาการเงานของ กรณ์ จาติกวนิช แต่แล้วก็วืดด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จนต้องเบนประเด็น ให้เป็นเรื่องของความบกพร่องทางจริยธรรม


ปลายกุมภาพันธ์ 2549

เมื่อยุบสภากำหนดวันเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 3 พรรค เสนอข้อแลกเปลี่ยนกับการให้ลงเลือกตั้งด้วย ลงนามในสัตยาบรรณ 3 รุม 1 เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ ทรท.เสนอให้เป็นสัญญาประชาคมและเชิญพรรคการเมืองอื่นๆ มาร่วมหารือด้วย แต่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็เลือกที่จะคว่ำบาตรการเลือกตั้ง อ้างเหตุผลว่าไม่อยากฟอกตัวให้นายกทักษิณ แทนการอธิบายว่า ตนจะทำให้การเมืองเข้าสู่ทางตันหวังขอนายกพระราชทาน ผ่านมาตรา 7...น่าสังเกตอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลานี้ นำโดยหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค มีการประชุมพรรค และมีมติพรรคผูกพันการกระทำดังกล่าวด้วย ส่วนกรรมการบริหารพรรค เช่น สุวโรช พลัง, สาธิต วงศ์หนองเตย, วิทยา แก้ว ภาราดัย ล้วนไปปรากฎตัว ในที่ชุมนุมของพันธมิตร และมีปฎิสัมพันธ์กับแกนนำของพันธมิตรอย่างออกนอกหน้า...ข่าวทางลึกระบุว่านักการเมือง ปชป.เป็นผู้จัดการและให้ค่าใช้จ่ายเพื่อขนคนมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรหลายครั้ง



มีนาคม-เมษายน 2549

เมื่อตัดสินใจเดินหน้าคว่ำบาตรการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์แบ่งงานออกเป็น 4 สาย
สายแรก นำโดยสุวโรช ทำหน้าที่เฝ้า กกต. และขัดขวาง ข่มขู่พรรคเล็กไม่ให้ลงเลือกตั้ง เปิดโปงพรรคเล็กในเรื่องความไม่พร้อมเรื่องเอกสาร เปิดโปงเจ้าหน้าที่ กกต.ว่าให้ความร่วมมือพรรคเล็กแก้ไขข้อมูล
สายที่สอง นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ หาหลักฐาน สร้างหลักฐาน เพื่อตั้งข้อหาว่า ทรท.จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งเพื่อให้พ้นเกณฑ์ 20 % จึงทำให้เกิด กรณีนางฐัติมา(เจี้ยบ) และ กรณี ไทกร และกรณี นายทวี ที่ออกมาเปิดโปง เบื้องหลังการถ่ายทำ ภาพวงจรปิดที่กระทรวงกลาโหม
สายที่สาม นำโดยหัวหน้าพรรค มาร์ค ม. 7 เปิดเวทีอิปรายทั่วประเทศเพื่อ เปิดโปงระบอบทักษิณและรนณรงค์ NO VOTE
สายที่สี่ ขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคเล็กโดยเน้นพื้นที่ภาคใต้


25 เมษายน 2549

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทต่อ บุคลากรฝ่ายตุลาการแล้ว...ข้อเรียกร้องขอนายกพระราชทานผ่านเส้นทางมาตรา 7 เป็นอันต้องพับไป บทบาทการคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองจึงไปอยู่ในอำนาจฝ่ายตุลาการเต็มร้อย


ปลายเดือน เมษายน 2549

พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้ศาลปกครอง พิจารณาชลอการเลือกตั้งวันที่ 28 เมษายน 2549 ที่เหลืออีก 18 เขตเลือกตั้งในภาคใต้ และศาลปกครองก็พิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของพรรคประชาธิปัตย์

ต้นเดือน พฤษภาคม 2549

ศาลรัฐธรรมนูญ พิพากษาให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 และการเลือกตั้งซ่อมหลังจากนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และให้ กกต.หารื่อกับพรรคการเมืองเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่..

หลังจากเหตุการณ์นี้ เป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์ มุ่งไปที่การกดดันให้ กกต.ลาออกซึ่งประสานเสียงกับเลขาฯศาลฎีกา พร้อมๆกับการเปิดประเด็นจ้างพรรคเล็ก ของทรท. ประสานเสียงกับอนุกรรมการ ที่มีนาม ยิ้มแย้มเป็นประธาน และชงเรื่อง เขียนสำนวนโดยมีเป้าหมายเพื่อยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นธงและความปราถนาร่วมกันของฝ่ายต่อต้านนายกทักษิณ ทั้งนี้ภายใต้การโหมกระหน่ำของสื่อมวลชนอย่างเอาการเอางาน

ส่วนพรรคไทยรักไทย แก้เกมโดยตั้งข้อหา 6 ข้อ และยื่นเรื่องให้ กกต. สอบสวนพรรคประชาธิปัตย์ จนเป็นสำนวนคดี ที่ได้ส่งให้ อัยการสูงสุด พิจารณาส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป



เป็นที่น่าสังเกตุว่า....ตั้งแต่ยุบสภาเป็นต้นมา พรรคประชาธิปัตย์ มีท่วงท่าที่หันหลังให้กับการเลือกตั้ง และไม่ใยดีต่อการเร่งรัดให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้การเมืองกลับไปสู่สภาพปกติโดยเร็ว....อีกทั้งแอบหวัง ว่าวันที่ 15 ตุลาคม 2549 จะไม่มีการเลือกตั้ง(การให้สัมภาษณ์ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค).....ราวกับระแคะระคายได้ว่า จะมีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซงและบริหารประเทศในช่วงเวลาก่อน วันที่ 15 ตุลาคม 2549



ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พฤติกรรมและเป้าหมายทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ได้ชี้เจตนา และบ่งบอกถึงแรงจูงใจทางการเมืองชัดเจน เป้าหมายคือ โค่นล้มรัฐบาลที่บริหารโดยพรรคไทยรักไทยภายใต้ข้ออ้างว่าล้มระบอบทักษิณ ด้วยวิธีการ ล้มการเลือกตั้ง รณรงค์ โนโหวต ขอนายกพระราชทานผ่านมาตรา 7.....มันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะพิสูจน์ตนเองให้ศาลเชื่อนั้นอาจดูเหมือนไม่ยาก ...แต่การอธิบายให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อนั้นยากยิ่ง แม้พรรคประชาธิปัตย์จะรอดพ้นจากการยุบพรรค แต่ประวัติศาสตร์จะจารึก พฤติกรรมอัปยศนี้ไป ชั่วกับชั่วกัลป์.....

กล่าวสำหรับนัการเมืองพรรคเล็ก....

พรรคประชาธิปัตย์ได้ชี้นำ ประสานกับสื่อมวลชนช่วยสร้างกระแสว่า แรงจูงใจของพรรคเล็กคือ ค่าจ้างจากพรรคไทยรักไทย คนจำนวนมากละเลยที่จะคิดถึงแรงจูงใจที่เขาตั้งพรรคการเมืองเพื่อเข้ามามีบทบาททางการเมืองในขอบเขตที่เขาหวังได้ และคนจำนวนมากมิได้คิดว่า การที่พรรคฝ่ายค้าน 3 พรรคคือ ปชป. ชาติไทย และมหาชน ละทิ้งเขตเลือกตั้งนับ 100 เขตเลือกตั้งคือโอกาสของพรรคเล็ก โดยเฉพาะภาคใต้ 54 เขตเลือกตั้ง เป็นเขตที่ไม่เอาทักษิณ ไม่เอาไทยรักไทย ยิ่งในสถานการณ์ที่ทักษิณตกต่ำจากเสียงกดดันให้ลาออกที่ดังกระหึ่มไปทั่ว ย่อมเป็นโอกาสที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปสู่สภาผู้แทนราษฎร ตามความใฝ่ฝันของพวกเขา....การแข่งขันต่ำ ใช้เงินน้อย โอกาสเช่นนี้ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ และไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไหร่ แม้เป็น สส.เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ครบเทอม ก็ดีกว่าไม่ได้เป็นแน่นอน ทำไมสังคมไม่ให้ความสำคัญกับแรงจูงใจเช่นนี้ของผู้สมัครพรรคเล็กกันบ้าง....


ในส่วนของพรรคไทยรักไทย

แรงจูงใจที่สำคัญก็คือการรักษา ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเอาไว้ให้ได้ ซึ่งหมายถึงการรักษาอำนาจทางการเมืองของพรรคไปพร้อมๆกันด้วย การล้มครืนของรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานั้น คือการล้มครืนของพรรคไทยรักไทยด้วย อุปสรรคเพียงประการเดียวที่มีในเวลานั้นก็คือ การต้องต่อสู้กับ โนโหวตในภาคใต้อย่างโดดเดี่ยว ไร้คู่แข่งซึ่งต้องผ่านเกณฑ์ 20 % ให้ได้...ทำให้ประชาธิปัตย์และสื่อมวลชน เชื่ออย่างสนิดใจว่าพรรคไทยรักไทยต้องจ้างพรรคเล็กเท่านั้นถึงจะผ่านเกณฑ์นี้ได้ แต่กลับไม่ได้คิดว่าถ้าไทยรักไทยลงแข่งกับพรรคเล็กเพื่อให้พรรคเล็กผ่านเกณฑ์ 20 % และเอาชนะการเลือกตั้งในเขตภาคใต้ไปได้ ย่อมมีค่ากว่า การรับเงิน 50,000 บาท แน่นอน ค่าใช้จ่ายแค่ สี่-ห้าแสนบาทในยุคยางพารา ราคาแพงนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง สำหรับคนภาคใต้ในระดับเฉลี่ยโดยทั่วไป...



ในกรณีของพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กหรือไม่นั้น พยานหลักฐาน คำสารภาพของพรรคเล็กที่ถูกจ้างความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ถูกจ้างกับนายพงษ์ศักดิ์และพล.อ. ธรรมรัตน์ จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าคนของ ทรท.จ้างพรรคเล็กจริงหรือไม่....หลักฐาน VCD กรณีนางฐัติมา และภาพถ่ายวงจรปิดที่กำกับและอธิบายโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ จะสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับ พล.อ.ธรรมรัตน์ได้หรือไม่ เป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือหรือไม่ หรือว่านักการเมืองพรรคเล็กกระทำการด้วยแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เพื่อเข้าไปเป็น สส. ในสภากันแน่... จะต้องได้รับการพิสูจน์ในไม่ช้านี้


การพิพากษาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่การส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง หรือ บั่นทอนให้ระบอบประชาธิปไตยให้อ่อนแอ เพื่อให้อำนาจอื่นมาอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ซึ่งจะทำให้พวกเขาหาประโยชน์จากการเมืองที่อ่อนแอไร้เสถียรภาพได้ดังแต่ก่อน....จะส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจอันดีและบังเกิดความสมานฉันท์ของคนในชาติ หรือสร้างปมแห่งความแตกแยก ขัดแย้งอันใหม่ขึ้นมาอีก...ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะใช้ดุลยพินิจแห่งตนโดยอิสระหรือรับใบสั่งจากอำนาจพิเศษ ล้วนอยู่ในสายตาของมหาชน ไม่เพียงคนไทยทั้งประเทศแต่เป็นกรณีศึกษาที่อยู่ในสายตาของมหาชนในสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดในโลก นับตั้งแต่ชาวโรมันให้กำเนิดระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา......





Create Date : 07 กรกฎาคม 2549
Last Update : 7 กรกฎาคม 2549 13:55:37 น.
Counter : 707 Pageviews.

3 comments
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
ใช่แล้ว อะไรที่มันไม่เคยเกิด มันก็เกิดได้ในประเทศนี้

คนสวน คนรับใช้ประเทศนี้ ยังรวยหุ้นได้เลย ทั้งๆที่ผมว่า เผลอๆ ยังไม่รู้เรื่องเลยว่า หุ้นเค้าซื้อขายกันอย่างไร

แถวบ้านผม เรื่องไหนที่มันดูแล้วไม่ได้จะเป็นไปได้ แต่ทำให้มันเป็นไปได้ ประมาณว่าเรื่องเหลือเชื่อ คนแถวบ้านผมมักจะอุทานออกมาว่า "มีทั้งเพ"
โดย: merf1970 วันที่: 7 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:24:46 น.
  
ไม่เข้าใจคนขี้แพ้ชวนตี เลือกตั้งกี่ครั้งๆ ก็แพ้เค้าแต่ทำไมไม่รู้จักแก้ไขหรือมองดูตนเอง เพื่อพัฒนา แต่นี่เปรียบเหมือนเล่นกีฬาแพ้เค้าแล้วแอบไปตีไปแทงให้เค้าตายเพื่อตัวจะได้ชนะ

ไม่เคยคิดเหรอว่าฆ่าคู่แข่งรายนี้ไป ก็มีเด็กเกิดใหม่ที่เก่งและฉลาดกว่าตนเอง ถ้าตนเองไม่พัฒนาก็จะยังคงเป็นผู้แพ้ตลอดไป

เราเช็คเรตติ้ง 2 พรรคนี้ทุกครั้งที่ไปในที่ชุมชน แทบไม่น่าเชื่อว่าพรรคที่โดนกล่าวหาว่าร้ายทางสื่อทุกวันกลับไม่ถูกกระทบจากรากหญ้าเลย แม้แต่ในกทม. นี่คงบอกอะไรได้บ้างนะว่าทำไมจึงพยายามทำทุกวิถีทาง ผิดกฏหมายก็ทำ ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ไม่เคารพกติกายังมีหน้ามาอาสาเป็นตัวแทนบริหารประเทศ
โดย: อ้วนดำปื๊ดปื๊อ วันที่: 7 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:01:58 น.
  
ข้อกล่าวหาและเหตุผลยุบพรรคประชาธิปัตย์

ด้วยปรากฎข้อเท็จจริงโดยชัดแจ้งต่อนายทะเบียนว่า พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ได้กระทำการผิดกฎหมายมาตรา 66 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2541 ดังนี้


1. เมื่อระหว่างเดือนมกราคม 2549 ถึงเดือนมีนาคม 2549 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กรรมการบริหารพรรคบางคน และสมาชิกพรรค ได้เข้าร่วมขบวนการกลุ่มพันธมิตรกู้ชาติซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อล้มล้างรัฐบาลไล่นายกรัฐมนตรีให้ออกจากตำแหน่ง ที่สวนลุมพินี หน้าทำเนียบรัฐบาล ลานพระบรมรูปทรงม้า ท้องสนามหลวง และสถานที่อื่นๆ โดยได้ประกาศขอใช้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ขอนายกพระราชทาน ซึ่งมิใช่วิธีการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 201 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร์เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติกฏหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นบทบัญญัติของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องมีสภาผู้แทนราษฎรอันมาจากการเลือกตั้งของปวงชนชาวไทย


2. ในระหว่างมีประกาศใช้พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2549 และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 พรรคประชาธิปัตย์ โดยหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรค ได้กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ

ก. มีเจตนาบอยคอต (คว่ำบาตร) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ส่งสมาชิกพรรคลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยไม่มีเหตุอันควรและมีเจตนาทุจริต เป็นปฏิปักษ์มีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองตามกฏหมายและก่อนหน้านี้ก็เป็นพรรคที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับ 2 หัวหน้าพรรคมีตำแหน่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับเงินอุดหนุนจากคณะกรรมการการเลือกตั้งทุกๆ ปี เพื่อใช้ในการรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ข. กระทำการขัดขวางการสมัครรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกพรรคอื่นๆ ที่จังหวัดสงขลา โดยมีกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ได้ระดมประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมชุมนุมประท้วงและข่มขู่ขัดขวาง ไม่ให้สมาชิกพรรคการเมืองอื่นๆ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคการเมืองนั้นที่จังหวัดสงขลา รายละเอียดปรากฏตามภาพข่าวหนังสือพิมพ์และเทปบันทึกภาพ (VCD)

ค. ปลุกระดมมวลชนโดยใช้คำว่า “ระบอบทักษิณ” ซึ่งไม่มีอยู่ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยความเป็นจริง พตท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับใช้กลอุบาย ตั้งฉายาเพื่อให้ประชาชนเป็นศัตรูกับ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ใส่ร้ายด้วยความเท็จ จูงใจรณณรงค์ให้ประชาชนไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือหากไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้ลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน เพื่อจูงใจประชาชนที่มีหน้าที่ต้องไปเลือกตั้งตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ โดยความคิดอิสระที่จะเลือกผู้ใดเป็นผู้แทนของตนเอง โดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้สมัครเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ได้คะแนนต่ำ หรือได้คะแนนไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ หากมีผู้สมัครเพียงพรรคเดียว


3. พรรคประชาธิปัตย์โดยหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรคยังได้ กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ หรือขัดต่อกฏหมาย หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้กระทำการขัดต่อกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 44(5) ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด กล่าวคือ ได้ใส่ร้ายด้วยความเท็จว่า พตท.ทักษิณ ชินวัตร โกงทั้งโครต ประเทศชาติสูญเสียอย่างใหญ่หลวง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ปกครองประเทศโดย “ระบอบทักษิณ” ซึ่งความจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีพฤติกรรมดังที่กล่าวหาและไม่ได้จัดตั้งระบอบทักษิณ แต่ได้บริหารและปกครองประเทศโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ


4. พรรคประชาธิปัตย์กระทำการขัดต่อกฏหมาย ดังนี้

ก. เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้สมคบกับนายไทกร พลสุวรรณ สมาชิกพรรคประชาธิ
ปัตย์กระทำ การฉ้อฉล หลอกลวง เพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ โดย
ว่าจ้างหัวหน้าพรรคชีวิตที่ดีกว่า ให้ใส่ร้ายกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้จ้าง
พรรคอื่นลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเท็จ รายละเอียดปรากฏตามเทปบันทึก
ภาพ (VCD) คำถอดเทป

ข. เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้สมคบกับนายไทกร พลสุวรรณ กระทำการฉ้อฉล หลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่ง หลักฐานอันเป็นเท็จ โดยได้ว่าจ้างหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย และสมาชิกพรรคใส่ร้าย กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ว่ากระทำการว่าจ้างพรรคอื่นสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเท็จ

ค. เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้สมคบกับนายทักษะนัย กี่สุ้น ผู้ช่วยสมาชิกสภาผู้
แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ (นายสาทิต วงศ์หนองเตย) นำสมาชิกพรรค
ประชาธิไตยก้าวหน้า ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัด
ตรัง ณ ที่สถานที่ กรรมการการเลือกตั้งจัดให้ โดยนายทักษะ กี่สุ้น ซึ่งเป็นผู้ช่วย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ได้จ่ายเงินค่าสมัครให้สมาชิก พรรค
ประชาธิปไตยก้าวหน้า จำนวน 3 คนๆ ละ 10,000 บาท ต่อหน้าเจ้าหน้าที่กรรมการ
การเลือกตั้ง และประชาชนทั่วไป หลังจากนั้น นายทักษะนัย กี่สุ้น ได้นำผู้สมัครทั้ง 3
คน มาพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพมหานคร
เพื่อใส่ร้ายด้วยความเท็จว่ากรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นผู้ว่าจ้างลงสมัคร
สมาชิกผู้แทนราษฎรแต่ความจริง นายทักษะนัย กี่สุ้น เป็นผู้ว่าจ้าง ปัจจุบันกรรมการ
การเลือกตั้งได้ดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิด และยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
เพื่อยุบพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าแล้ว

ง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้หน่วงเหนี่ยวกักขังนางฐัติมา ภาวะลี ให้ใส่ร้ายด้วย
ความเท็จกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ว่าได้ว่าจ้างสมาชิกพรรคแผ่นดินไทย ลง
สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต่อมานางฐัติมา ภาวะลี ได้ชี้แจงความ
จริงให้สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปทราบ ถึงการถูกหน่วงเหนี่ยวกักขัง และไปแจ้ง
ความต่อพนักงานตำรวจที่กองปราบปราม

จากข้อเท็จจริงข้างต้นการกระทำของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค กรรมการบริหาพรรค

และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นจากการเข้าร่วมกับขบวนการพันธมิตรกู้ชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างรัฐบาล และประกาศขอใช้ มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขอนายกพระราชทานตลอดจนได้บอยคอต (คว่ำบาตร) ไม่ส่งสมาชิกพรรคลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขัดขวางการบงรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอื่น ปลุกระดมมวลชนโดยใช้คำว่า “ระบอบทักษิณ” รณรงค์ไม่ให้ประชาชนไปลงคะแนนให้ผู้สมัครพรรคใดไม่ให้ผู้สมัครพรรคอื่นได้คะแนน 20 เปอร์เซ็นต์ ใส่ร้ายด้วยความเท็จพรรคอื่นว่ากระทำการผิดกฏหมายเพื่อให้ถูกยุบพรรค ซึ่งเป็นเกมการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กระทำโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายแก่ประเทศ มุ่งหวังเพียงเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ กระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย กระทำการขัดต่อกฏหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

1. เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ปฏิบัติตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นหนังสือ เรื่อง ขอการสนับสนุนญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอญัตติผ่านสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสารในร่างดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความพยายามของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ ในขณะนั้น นายอภิสิทธิ์ มีฐานะเป็นผู้นำฝ่ายค้านเสียงข้างน้อยการกระทำเช่นนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ เข้าข่ายกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งไม่เหมาะสมตามหลักการทางรัฐสภา

2. ไม่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2549 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 2 เมษายน 2549 แล้วนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชนไว้ในรายการถึงลูกถึงคน ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ระบุข้อความตอนหนึ่งยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์จะลงสมัครรับเลือกตั้งแน่นอน ทว่า ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์กลับเปลี่ยนท่าที สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะก่อตั้งมาเป็นเวลายาวนาน และได้ดำรงอยู่ด้วยทุนสนับสนุนโดยรัฐในส่วนหนึ่ง ย่อมทราบดีว่าการเลือกตั้งเป็นหน้าที่หลักของพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย การยกอ้างเหตุผลนานาของพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่สมเหตุสมผล ปราศจากน้ำหนักเพียงพอที่รับฟังได้ การกระทำเช่นว่านี้ เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 66(2)

3. กระทำผิดกฏหมายเลือกตั้ง

ตามหลักเมื่อมีพระราชกฤษฎีกา ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว พรรคการเมือง ผู้สมัครรับการเลือกตั้ง ตลอดจนผู้ใด จักต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2540 อย่างเคร่งคัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามมาตรา 44 ว่าด้วยการห้ามกระทำการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยมิชอบกระนั้น พรรคประชาธิปัตย์ และกรรมการบริหารพรรค กลับดำเนินการต่างๆ ทั้งใส่ร้ายด้วยความเท็จ และจูงใจให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจผิดในคะแนนนิยมของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ถึงขนาดจัดเวทีปราศรัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ และร่วมกับเวทีพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย อภิปรายโจมตี พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย เป็นการเฉพาะเจาะจง (จนผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดีในหลายท้องที่ เช่น ถูกแจ้งความที่กองปราบปราม ที่สถานีตำรวจภูธร ตำบลภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ และสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ฯลฯ ซึ่งรวมถึงกรณีร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน) เข้าข่ายความผิดกระทำการอันอาจขัดต่อกฏหมาย หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 66

4. ไม่ปฏิบัติตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังได้เสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 7 ในการกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีแทน พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งการกระทำข้างต้น เป็นการกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ขัดแย้งเจตนารมณ์ การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ

//www.thairakthai.or.th/trtp/info_party/index_show.asp?lib_id=1632&lib_Mode=M&lib_subGroup=5
โดย: grassroot (grassroot ) วันที่: 12 กรกฎาคม 2549 เวลา:13:55:04 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Grassroot.BlogGang.com

grassroot
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด