ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์
ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทาเพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผาถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น

ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทาให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา

อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้

คิดหาประโยชน์จากคำนินทาคนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง

คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคมสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก “แนวดิ่ง” ให้เป็น “แนวราบ” คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า “สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้” หรือ “ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย” จะได้เลิกใช้กันเสียที



Create Date : 15 ตุลาคม 2553
Last Update : 15 ตุลาคม 2553 11:52:00 น.
Counter : 323 Pageviews.

4 comments
ไม่มีตัวกู นาฬิกาสีชมพู
(1 พ.ค. 2567 09:01:34 น.)
: รูปแบบของความอยาก : กะว่าก๋า
(30 เม.ย. 2567 05:58:27 น.)
: รูปแบบของความลวง : กะว่าก๋า
(25 เม.ย. 2567 03:38:29 น.)
: รูปแบบของความว่าง : กะว่าก๋า
(22 เม.ย. 2567 05:16:32 น.)
  
ให้เข้าใจในสภาวะของกรรมว่าเราฆ่าเขาเขาต้องฆ่าเรา
เราด่าเขาเขาต้องด่าเรา เรานินทาเขาเขาต้องนินทาเรา
เมื่อเข้าใจสภาวะนี้แล้วจิตจะรู้ว่าเราไปทำเขาก่อนแล้ว
เรามีหนี้เราต้องใช้หนี้นั้น พิจารณาแบบนี้เนืองๆจนเกิด
เป็นสัญญาที่มั่นคงในสัมมาทิฐิ จะทำให้เกิดปัญญา
ปัญญานั้นจะดับทุกข์อันเกิดจากทุกเรื่อง
โดย: พันคม วันที่: 16 ตุลาคม 2553 เวลา:11:35:43 น.
  
แวะมาทักทายหลังจากหายเงียบกันไปนาน พร้อมหอบกำลังใจมาให้ 1 หอบใหญ่ด้วยค่ะ
โดย: ดาวริมทะเล วันที่: 20 ตุลาคม 2553 เวลา:17:48:40 น.
  
ขอบคุณที่แวะไปทักทายค่ะ

นินทาว่าร้ายเป็นเรื่องธรรมดาโลกที่หาใครหลบพ้นไม่ได้จริงๆค่ะ
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 22 ตุลาคม 2553 เวลา:0:05:22 น.
  
แผ่เมตตาให้เขาไปวันละหลายๆรอบ...แล้วแผ่ให้เทวดารักษาตัวเราด้วยค่ะ
โดย: ป้าเจ IP: 84.184.231.243 วันที่: 29 ตุลาคม 2553 เวลา:6:41:09 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Featherandflower.BlogGang.com

ขนนกกับดอกไม้
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด