เล่ห์ลวงใจ บทที่ 17


สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


เล่ห์ลวงใจ บทที่ 17


ในช่วงสายของวันเสาร์ หลังออกจากคอนโดแล้วกฤตภาสก็ขับรถออกนอกเมืองโดยมีจุดหมายในใจชัดเจน โชคดีที่รถขาออกไม่หนาแน่นเท่าไหร่เพราะสัปดาห์นี้ไม่มีวันหยุดต่อเนื่อง

เขาไม่ได้ขับรถออกต่างจังหวัดถ้าไม่มีธุระจำเป็นมานานมากแล้ว และหากไม่ใช่เพราะนี่เป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยตัวเอง กฤตภาสก็คงจะไม่เสียเวลาที่คำนวนแล้วว่าไปกลับรวมกันหลายชั่วโมงมาทำเช่นนี้เด็ดขาด

ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าปั๊มที่ใกล้ที่สุดเมื่อเห็นมาตรวัดระดับเชื้อเพลิงลดลง หลังจากเติมน้ำมันเต็มถังแล้วก็เลื่อนรถไปหยุดพักสูบบุหรี่ เสียง ‘แปะ’ เบาๆ จากหยดน้ำที่ตกลงบนแขนเรียกให้เงยหน้าขึ้นมองเมฆที่ลอยครึ้ม ลมที่พัดแรงจนเห็นฝุ่นลอยตลบทำให้เขาสบถก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่แล้วเดินกลับไปที่รถ

รีบไปก็แล้วกัน...พอได้เจอแล้วก็รีบทำธุระให้เสร็จไวๆ ก็ดี

เพียงไม่กี่นาทีหลังกฤตภาสขับรถออกจากปั๊ม สายฝนที่เมื่อครู่เพียงลงเม็ดบางเบาก็ทวีความรุนแรงจนผู้คนต้องวิ่งเข้าหาชายคาเพื่อหลบฝน พายุฝนห่าใหญ่ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับรถมากขึ้น คนที่ใจร้อนอยากจะไปให้ถึงจุดหมายไวๆ จึงทำได้เพียงเคาะนิ้วบนพวงมาลัยอย่างไม่สบอารมณ์

กฤตภาสมีประโยคในใจร้อยแปดที่คิดเอาไว้ว่าจะพูดเมื่อได้เจอธีระ กระนั้นเขาก็คาดเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายจะตอบรับเช่นไรในแต่ละสถานการณ์ที่คิดไว้ แต่ในเมื่อเขารู้แล้วว่าเป้าหมายคือดึงเด็กหนุ่มกลับไปอยู่ใกล้ตัวให้ได้ ต่อให้ต้องใช้วิธีล่อหลอกอย่างไรเขาก็จะทำ



++------++



เสียงฝนฟ้าคะนองทำให้หลานชายตัวน้อยของธีระตกใจจนแผดเสียงร้องไม่หยุด เด็กหนุ่มเวียนหัวกับการพยายามปลอบให้พ่อหนูสงบลงอย่างไร้ผล เขาเหลือบมองโทรศัพท์บ้านเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้า จากนั้นก็อุ้มหลานชายขึ้นมาแล้วเดินไปรับสายอย่างเหนื่อยๆ

"ฮัลโหล? แม่เหรอครับ? ติดฝนอยู่ที่วัดเหรอ ยังไงรีบกลับมาเร็วๆ นะ น้องฟลุ๊คร้องไห้โยเยน่าดูเลย ครับๆ เดี๋ยวตี้จะพยายามกล่อมให้หลับก็แล้วกัน"

เสียงพายุฝนที่ดังมากทำให้ธีระต้องตะโกนคุยเพราะเขาก็แทบไม่ได้ยินเสียงของคู่สนทนา หลังวางสายแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจ โชคไม่ดีนักที่สุดสัปดาห์นี้พ่อกับแม่ของพ่อหนูน้อยต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด ส่วนแม่ของเขาก็ไปทำบุญที่วัดกับเพื่อนๆ ตั้งแต่เช้าโดยคิดว่าช่วงสายคงจะกลับ จึงวางใจทิ้งหลานไว้กับเขาเพราะไม่คิดว่าจู่ๆ จะติดฝนจนกลับบ้านไม่ได้เช่นนี้

เสียงร้องงอแงของหลานชายดึงความสนใจของธีระอีกครั้ง ความจริงแล้วเขาไม่ได้มีทักษะในการเลี้ยงเด็กเลยสักนิด แต่ก็จนใจที่ตอนนี้ไม่มีใครมาช่วยได้เลยสักคนเดียว

"แงงงงงงงง แงงงงงงง แงงงงงงง"

ยิ่งฟ้าร้องดังและถี่เท่าไหร่ พ่อหนูก็ยิ่งร้องไห้เสียงดังมากขึ้นเท่านั้น ธีระจึงทำได้เพียงพยายามอุ้มเจ้าตัวเล็กเดินไปมารอบบ้านแล้วเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม

"น้องฟลุ๊คหิวนมมั้ยครับ? กินนมแล้วนอนดีกว่านะ หม่ำเร้วหม่ำ"

เด็กหนุ่มวางพ่อหนูน้อยลงในเปลแล้วก็ยื่นขวดนมป้อนให้ แต่ดูเหมือนความกลัวจะรุนแรงกว่าความหิว เพราะพ่อหนูปัดขวดนมทิ้งแล้วก็ตะเบ็งเสียงชวนแสบแก้วหูยิ่งกว่าเดิม

ธีระทิ้งตัวลงนั่งถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาพยายามไกวเปลไปมาเผื่อว่าอาการโคลงเคลงจะช่วยให้พ่อหนูสงบลง แต่เสียง 'เปรี้ยง!' ที่ดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าอยู่ข้างบ้านก็ไม่เป็นใจกับความหวังดีของเขาเลยสักนิด

"เมื่อไหร่จะหยุดตกสักทีเนี่ย! โอ๋ๆ น้าตี้ไม่ได้ว่าน้องฟลุ๊คนะครับ น้าตี้หมายถึงเสียงฝน อย่าร้องเลยนะเด็กดี โอ๋ๆๆ"

เขาลืมตัวบ่นฟ้าฝนจนลืมไปว่าคนที่จะตกใจคือเจ้าตัวน้อย ใบหน้าเหยเกที่แดงก่ำทำให้ธีระนึกสงสารจับใจ ขณะเดียวกันก็สงสารตัวเองด้วยที่ตกอยู่ในสภาพนี้ทั้งที่เพิ่งหายป่วย

กิ๊งก่อง...กิ๊งก่อง...

ให้มันได้อย่างนี้สิ ใครมากันล่ะเนี่ย หรือว่าแม่นั่งรถฝ่าฝนกลับมาแล้ว?

ธีระเดินไปที่ริมหน้าต่างแล้วเลิกผ้าม่านดู แต่เนื่องจากรั้วเหล็กของบ้านเขาสูงร่วมสองเมตร ต่อให้ฝนไม่ได้ตกกระหน่ำก็มองไม่เห็นอยู่ดีว่าคนที่กดกริ่งคือใคร

กิ๊งก่อง...กิ๊งก่อง...

"รู้แล้วๆ เฮ่อ...น้องฟลุ๊คครับ รอน้าตี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวน้าตี้จะรีบกลับมาหา"

ความจริงธีระก็ไม่อยากทิ้งหลานที่กำลังขวัญเสียไว้คนเดียว แต่จะให้หอบพ่อหนูน้อยออกไปด้วยก็ทำไม่ได้ หลังจากหาร่มเจอแล้วจึงรีบวิ่งฝ่าฝนไปที่รั้วอย่างรวดเร็ว

กิ๊งก่อง...กิ๊งก่อง...กิ๊งก่อง

"มาแล้ว! ไม่ต้องกดแล้ว!"

ความร้อนใจเพราะห่วงหลานบวกกับเสียงกริ่งชวนปวดประสาททำให้ธีระชักเหลืออด เขายกเหล็กที่คล้องประตูเล็กขึ้นก่อนจะเปิดบานประตูออก จากนั้นก็ขมวดคิ้วมองคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของรั้ว เนื่องจากอีกฝ่ายใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วน บนศีรษะก็ใส่หมวกแก๊ปที่หลุบปีกลงต่ำจึงมองไม่เห็นหน้า

"มาหาใครครับ?"

ธีระถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ แล้วก็ได้แต่ยืนตัวแข็งเมื่อเจ้าตัวขยับปีกหมวกขึ้นจนนัยน์ตาประสานกัน

ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้...

"คุณ..."


เด็กหนุ่มยังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกคนที่เดินผ่านรั้วเข้ามาดึงเข้าไปกอด เนื้อตัวที่เปียกปอนทำให้เสื้อผ้าของธีระชุ่มไปด้วยทั้งที่มือยังกำร่มแน่น นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก และแล้วทั้งที่ยังงงงัน กฤตภาสก็เชยคางเขาให้รับจูบที่บดขยี้ลงอย่างเร่งเร้า

"อื้อ!"


++------++


บ้าเอ๊ย...ทั้งที่กะจะต่อว่าที่หายตัวไปทั้งที่ไม่สบาย แต่พอได้เจอหน้ากัน...เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทั้งโมโหทั้งอยากเจอเด็กคนนี้มากกว่าที่คิด

"อ๊ะ..."

เสียงครางหวิวที่ลอยเข้าหูปลุกสัญชาตญาณของกฤตภาสให้คลุ้มคลั่ง ชายหนุ่มช้อนท้ายทอยของธีระให้แหงนมากขึ้นขณะที่มืออีกข้างรั้งเอวผอมเข้าหา เสียงฝนกระหน่ำและฟ้าร้องไม่ได้ส่งผลกับเขาที่ตัวเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะสิ่งที่สนใจมีเพียงแค่คนที่อยู่ตรงหน้า

ครู่ใหญ่กว่าที่กฤตภาสจะค่อยรู้สึกว่าไอร้อนที่สุมในจิตใจมาตลอดทั้งสัปดาห์ค่อยสงบลง เขาผละริมฝีปากออกก่อนจะประคองหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นมองให้เต็มตา จากนั้นคิ้วดกหนาก็ขมวดมุ่น

"ยังไม่หายหวัดอีกเหรอ?"

"หะ...หา?"

คนถูกถามทำหน้าเหลอด้วยไม่รู้ตัวว่าริมฝีปากและผิวหน้าแดงซ่าน นัยน์ตากลมโตจ้องกฤตภาสเหมือนกำลังมองมนุษย์ต่างดาว แต่แล้วเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องที่กึกก้องจนทำให้สะดุ้งอีกครั้ง สติของเด็กหนุ่มก็กลับคืนมาและนึกถึงหลานตัวน้อยทันที

“น้องฟลุ๊ค!”

กฤตภาสเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ เด็กหนุ่มก็กุมร่มแน่นแล้วกลับหลังวิ่งเข้าบ้าน ความโมโหเพราะนึกว่าอีกฝ่ายกำลังหนีทำให้เขารีบสาวเท้ายาวๆ ตาม แต่แล้วเมื่อผลักประตูมุ้งลวดเข้าไปก็ได้เห็นภาพที่ทำให้หยุดนิ่งอยู่กับที่

"แงงงงงงงง แงงงงงงง แงงงงงงง"

"โอ๋ๆๆ น้องฟลุ๊คคนเก่ง ไม่ต้องร้องครับ น้าตี้กลับมาแล้วน้า"

ภาพของธีระที่กำลังอุ้มทารกน้อยทำให้ความคิดของกฤตภาสลัดวงจรไปครู่หนึ่ง หยดน้ำเม็ดเป้งๆ ไหลลงตามขาของเขาจนนองเป็นแอ่งรอบตัว หลังจากสังเกตภาพตรงหน้าเงียบๆ อยู่สักครู่ก็ก้าวเข้าไปใกล้

"ไม่ร้องแล้วนะครับคนดี อุ้ย!"

ธีระส่งเสียงอย่างตกใจเมื่อหันหลังมาเจอกฤตภาสในระยะประชิด เขารีบก้าวถอยเพื่อทิ้งระยะห่างขณะที่หลานชายเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเหมือนพ่อหนูเพียงแค่พักรวบรวมกำลัง พอเสียงแผดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ธีระก็รีบก้มลงกล่อมโดยแทบจะหมดความสนใจในตัวผู้มาเยือน

กฤตภาสมองท่าทีเก้ๆ กังๆ ของเด็กหนุ่มที่พยายามจะปลอบโยนทารกน้อยอย่างไร้ผล ความรู้สึกแปลกแปร่งปะทุขึ้นในอก ตามมาด้วยวาจาเหน็บแนมอย่างอดไม่ได้

"อ้อ...เพิ่งรู้นะว่าเด็กสมัยนี้ฮิตมีลูกกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ"

ไอร้อนวูบวาบลามเลียบนผิวหน้าของเด็กหนุ่ม แต่พอเห็นรอยยิ้มเหยียดบนมุมปากของอีกฝ่ายก็พยายามเตือนตัวเองให้ใจเย็น

“พอดีมันไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากโอ้อวด แต่ในเมื่อคุณมาเห็นด้วยตัวเองก็ดี ถ้าหากไม่มีธุระก็เชิญกลับไปได้แล้ว”

นัยน์ตาของกฤตภาสหรี่ลงทันที มุมปากที่เมื่อครู่ยังดูเหมือนยกขึ้นเล็กน้อยเบ้ลง และธีระก็เพิ่งตระหนักว่าตนไม่ควรเล่นกับไฟเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้าหา

เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก!? นี่มันในบ้านเขานะ!!

“เด็กก็หน้าคล้ายเธออยู่หรอก แต่แย่หน่อยนะที่ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะนอนกับผู้หญิงได้”

ธีระหน้าแดงก่ำขณะก้าวถอยโดยที่อุ้มหลานแนบอก กระทั่งแผ่นหลังชนกับผนังถึงรู้ว่าไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว ขณะที่ลนลานกับความคิดนั้นก็ถูกกฤตภาสยื่นแขนมายันผนังไว้ กักเขาให้อยู่ในวงล้อมของร่างสูงใหญ่อย่างไร้ทางหนี

ทั้งที่พายุฝนภายนอกยังคึกคะนอง ธีระกลับได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่ก้มลงหาอย่างชัดเจน เขาเม้มปากพลางกระชับอ้อมแขนรอบหลานชายแน่นเข้า นัยน์ตาทอดลงต่ำโดยไม่ได้รู้ตัวว่าเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสนั้นสูดกลิ่นอ่อนๆ จากเรือนผมของเขาเข้าเต็มปอด

ค่อยยังชั่ว...นี่เขาคิดถึงกลิ่นของเด็กคนนี้ขนาดนี้เชียว...

ความคิดนั้นทำให้กฤตภาสชะงักไปเล็กน้อย นัยน์ตาคมสีนิลจับจ้องใบหน้าของคนที่ไม่ยอมเงยหน้าสบตาเขา จากนั้นก็ยกมือขึ้นเสยผมบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม ปลายนิ้วใหญ่ค่อยๆ ไล้ตามเส้นผมลื่นมือไปเรื่อยก่อนจะหยุดลงบนผิวแก้มเนียนโดยไม่ขยับไปไหนอีก

สัมผัสที่ระบุไม่ได้ว่าอ่อนโยนหรือลองเชิงทำให้ธีระไม่กล้าขยับเขยื้อน ตั้งแต่แรกพบกันแล้วที่เขาไม่เคยรู้เลยยามกฤตภาสลงมือทำอะไรสักอย่างว่าเจ้าตัวคิดอะไร ท่ามกลางความเงียบอันชวนให้หายใจลำบาก เขาก็สัมผัสได้ถึงน้ำหนักจากศีรษะน้อยๆ ที่ซบลงบนไหล่อย่างอ่อนแรง พอเหลือบตาลงมองก็เห็นหลานชายตัวน้อยทำตาปรือ หางตายังมีหยดน้ำตาไหลซึม แต่ไม่มีเสียงร้องเสียดหูหลุดจากริมฝีปากเล็กจ้อยอีกแล้ว

ในที่สุดก็เหนื่อยจนหลับเสียที...

ธีระยิ้มอย่างโล่งอกและเผลอเหลือบตาขึ้นสบตากับกฤตภาส ประกายในแววตาที่จับจ้องเขาอยู่แล้วทำให้ลมหายใจของเด็กหนุ่มติดขัด ทั้งที่อีกฝ่ายตัวเปียกโชกจนเสื้อผ้าลู่แนบเนื้อ แต่ร่างสูงใหญ่กลับแผ่ไออุ่นผ่านเนื้อผ้าเปียกชื้นออกมาอย่างยโสโอหัง กลับกลายเป็นธีระเสียอีกที่ต้องกลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคอด้วยความรู้สึกไม่สบายตัวจากไออุ่นที่ไหลเวียนในอณูอากาศ

"คุณตัวเปียก ผมจะไปเอาผ้าเช็ดตัวให้"

กฤตภาสมองคนพูดซึ่งจงใจเบนสายตาหนีเขาอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้กดดันอีกและเพียงเบี่ยงตัวเพื่อเปิดทางให้อย่างง่ายดาย ธีระจึงรีบฉวยโอกาสนั้นก้าวออกจากมุมอับและวางหลานลงในเปลก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

เด็กหนุ่มไกวเปลเบาๆ จนแน่ใจว่าพ่อหนูน้อยหลับสนิท จากนั้นก็รีบเดินขึ้นห้องเพื่อไปหยิบผ้าขนหนูในตู้ เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าถึงจะเช็ดตัวแล้วแต่เสื้อผ้าของกฤตภาสก็ยังเปียก จึงเปิดตู้อีกครั้งแล้วหยิบเสื้อยืดฟรีไซส์กับกางเกงเลที่คนตัวใหญ่ก็น่าจะใส่ได้ติดมือไปด้วย

เด็กหนุ่มรีบซอยเท้าลงบันไดมาที่ห้องนั่งเล่น แล้วก็ได้เห็นผู้มาเยือนกำลังยืนกอดอกพิจารณาทารกน้อยในเปล หมวกแก๊ปบนศีรษะถูกถอดมาถือไว้ในมือจนเห็นเรือนผมเปียกชื้นซึ่งถูกเสยไปด้านหลัง เผยให้เห็นไรเคราสีเขียวอ่อนที่ล้อมกรอบใบหน้าอย่างชัดเจน

"หน้าคล้ายก็จริงอยู่ แต่ว่าไม่ใช่ลูกเธอหรอก ใช่ไหม?"

กฤตภาสหันมาถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า น้ำเสียงหยอกเย้าซึ่งไม่ต่างจากประกายในดวงตาทำให้ธีระหน้าร้อนวูบ เขาเม้มปากและเพียงแต่เดินเข้าไปยื่นผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าให้พลางเอ่ยเสียงเบา

"เสื้อผ้านี่ผมให้ยืมเปลี่ยนก่อน พอฝนซาคุณก็กลับไปได้แล้ว"

นัยน์ตากลมโตซึ่งทอดต่ำและน้ำเสียงราบเรียบกระทุ้งถ่านไฟในอารมณ์ของกฤตภาสอีกครั้ง เขารับสิ่งที่ธีระยื่นให้แล้วก็วางลงบนตั่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง จากนั้นก็รวบเอวเด็กหนุ่มขึ้นอุ้มพาดไหล่ พฤติกรรมเกินความคาดหมายนั้นทำให้ธีระตื่นตระหนก

"คุณกฤต! ปล่อยผมลงนะ!! จะทำบ้าอะไรน่ะ!?"

ธีระส่งเสียงอย่างตกใจพลางดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนขณะอุ้มเขาเดินขึ้นบันไดอย่างมั่นคง น้ำเสียงที่เอ่ยตอบเย็นชาจนคนฟังใจกระตุก

"คิดว่าฉันขับรถมาไกลถึงนี่เพื่อดูเธอเลี้ยงเด็กเหรอ อย่าลืมสิว่าเรามีข้อตกลงอะไรกันอยู่"

"แต่ที่นี่มันบ้านผมนะ!! ปล่อย!!!"

ธีระยิ่งห้ามก็ดูเหมือนกฤตภาสยิ่งสนุก เขาพยายามจะรัวกำปั้นทุบหลังอีกฝ่ายอย่างไร้ผล แล้วก็หน้าซีดเมื่อกฤตภาสผลักประตูห้องแรกบนชั้นสองออก

"อย่านะ! นี่มันห้องพ่อกับแม่ผม!"

"อ้อ งั้นแปลว่าห้องเธอก็ห้องในสุดล่ะสิ"

เด็กหนุ่มยิ่งขัดใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงเจือหัวเราะ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องเขาแล้วกฤตภาสก็เหวี่ยงร่างผอมลงบนเตียง จากนั้นก็ถอดเสื้อที่เปียกแนบตัวออกก่อนจะตามลงประกบเขาโดยไม่เปิดโอกาสให้หนี

"อย่านะคุณกฤต!"

เด็กหนุ่มพยายามผลักคนตัวใหญ่กว่าเป็นพัลวัน แต่แล้วมือทั้งสองข้างก็ถูกจับรวบก่อนที่กฤตภาสจะถลกชายเสื้อยืดเขาขึ้นจนเห็นแผ่นอกเปลือยขาว การดิ้นรนต่อต้านเป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อกฤตภาสใช้เข่าแทรกกลางหว่างขาเพรียวไว้ เด็กหนุ่มหน้าแดงซ่านเมื่อมือใหญ่ลูบไล้ร่างกายเขาไปทั่ว

"คุณกฤต! ถ้าแม่ผมกลับมาเห็นจะทำยังไง!"

ธีระพยายามขู่เพราะไม่รู้ว่าแม่เขาจะกลับมาตอนไหน แต่นั่นไม่ได้ช่วยยับยั้งปลายจมูกที่ซุกไซ้บนซอกคอของเขาเลยสักนิด

"ฝนตกหนักขนาดนี้คงไม่กลับมาง่ายๆ หรอก"

ริมฝีปากที่เลื่อนต่ำลงจากซอกคอไปบนแผ่นอกปลุกเร้าเส้นประสาททั่วร่างให้ตื่นตัว เด็กหนุ่มจิกเท้าลงกับผ้าปูเตียงและแอ่นอกขึ้นโดยไม่ตั้งใจเมื่อยอดอกถูกครอบครองโดยริมฝีปากร้อนผ่าว กล้ามเนื้อของกฤตภาสที่เสียดสีกับร่างกายของเขาถ่ายทอดอุณหภูมิมาให้จนหยาดเหงื่อบางเบาผุดซึมบนขมับและแผ่นหลัง

ไอร้อนพลุ่งขึ้นบนขอบตาของธีระจนภาพตรงหน้าพร่ามัว เขากัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้เสียงครางหลุดลอดออกไป กับคนที่แค่อยากเอาชนะเขาเพียงเพราะมีกำลังมากกว่าแบบนี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ได้ใจเป็นอันขาด

"ผมเกลียดคุณกฤต"

น้ำเสียงเด็ดขาดฉุดรั้งกฤตภาสให้หยุดเคลื่อนไหว เขายันแขนทั้งสองข้างขึ้นขณะก้มมองเด็กหนุ่มที่หลับตาแน่นและหันหน้าหนีไปอีกทาง ชายหนุ่มสูดหายใจรัวแรงด้วยความรู้สึกราวมีลาวาร้อนไหลพล่านในอก แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่าต้นเหตุของความโมโหนี้คือตัวเองหรือคนตรงหน้า

"เธอนี่มัน..."

หยาดน้ำที่ซึมผ่านแพขนตาของเด็กหนุ่มทำให้กฤตภาสไม่อาจพูดให้จบประโยค คำถากถางคนรักเก่าที่อีกฝ่ายบูชานักหนาจ่ออยู่บนปลายลิ้นแล้ว แต่ประสบการณ์ทำให้เขารู้ว่ายิ่งเอ่ยชื่อนี้ก็ยิ่งมีแต่ตอกย้ำให้เด็กหนุ่มลืมเจ้าของชื่อไม่ได้ นอกจากนั้นคำว่าเกลียดที่มอบให้เขาก็คงจะมีแต่ทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

กฤตภาสสูดหายใจเข้าออกแรงๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากร่างในอ้อมแขนโดยไม่เอ่ยอะไร

น้ำหนักบนตัวที่หายไปอย่างกะทันหันทำให้ธีระหรี่ตาขึ้นด้วยความงุนงง แล้วก็ต้องอุทานอย่างตกใจเมื่อถูกคนที่ล้มตัวลงนอนข้างๆ ดึงเข้าไปกอด ร่างผอมตัวแข็งทื่ออย่างเตรียมรับมือ แล้วก็ให้แปลกใจอีกคำรบเมื่อกฤตภาสช่วยดึงชายเสื้อที่ร่นขึ้นเหนือแผ่นอกให้ก่อนจะลูบหลังเขาเบาๆ

ความเงียบที่โรยรายในห้องสี่เหลี่ยมทำให้ธีระตระหนักได้ว่าฝนเริ่มซาแล้ว ครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่นิ่งจนจับอารมณ์ไม่ได้ถามมาจากเหนือศีรษะ

"หนีกลับบ้านมาทำไม?"

"...ผมไม่ได้หนี"

คำตอบที่ได้ทำให้กฤตภาสส่งเสียงหึ "หนีสิ ไม่อย่างนั้นทำไมต้องปิดมือถือ แล้วถึงจะตั้งใจเลี่ยงฉัน ถ้าหากไม่คิดจะกลับไปฝึกงานก็ควรแจ้งรุ่นพี่หรือหัวหน้าฝ่ายบุคคลให้รับรู้ ไม่ใช่แอบกลับบ้านมาเงียบๆ ทำแบบนี้น่ะมันเหมือนเด็กที่ไม่มีวุฒิภาวะ รู้ไหม?"

คำสอนสั่งเป็นการเป็นงานที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากของกฤตภาสทำให้ธีระอึ้ง แต่เมื่อหวนนึกไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหลบทุกคนออกมาโดยไม่ติดต่อ ความโมโหก็คุกรุ่นจนยกมือขึ้นผลักอกกฤตภาสอย่างแรง

"ผมไม่อยากได้ยินคำว่าไม่มีวุฒิภาวะจากคนอย่างคุณหรอกนะ ปล่อย!"

กฤตภาสกระชับอ้อมแขนเข้ามากกว่าเดิมโดยไม่สนใจอาการฮึดฮัด "ทำไม?"

คำถามนั้นทำให้ธีระเดือด ตกลงว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยรู้สึกรู้สาเลยใช่ไหมว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีอะไรเอาไว้บ้าง?

"ยังต้องถามอีกเหรอ!? เพิ่งจะผ่านมาอาทิตย์เดียวแท้ๆ อย่าบอกนะว่าลืมเรื่องที่ฝืนใจผมตอนป่วย! ถึงจะมีเงื่อนไขสามเดือนก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเอาแต่ได้อยู่คนเดียวนะ! หรือต้องเห็นผมเป็นอะไรคาตาไปก่อนถึงจะสำนึกได้! คุณนี่มัน...เลว! ชั่วช้าสารเลวที่สุดเลย!!"

ธีระผลุนผลันลุกขึ้น แต่กฤตภาสก็ไวพอที่จะลุกนั่งแล้วรั้งเด็กหนุ่มให้กลับมาอยู่ในอ้อมแขน เรี่ยวแรงที่กอดรัดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเร่งให้ปรอทในใจของธีระทะยานลิ่ว

"ปล่อยนะ!!"

"ไม่ปล่อย ตอบมาก่อนว่าถ้าฉันขอโทษแล้วเธอจะกลับไปด้วยกันใช่ไหม?"

ผู้ชายคนนี้! "ไม่มีทาง! ในเมื่อคุณมาเองก็ดีแล้ว ผมขอลาออกเดี๋ยวนี้เลย! ยังไงก็แค่เด็กฝึกงานคนเดียว อยากได้ใครก็ไปหาเอาใหม่โน่น!"

เด็กหนุ่มโวยวายและพยายามดิ้นหนีไม่หยุด แต่ยิ่งเขาดิ้นเท่าไหร่กฤตภาสก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดแน่นขึ้นเท่านั้น พลันเสียงการเคลื่อนไหวที่ดังมาจากชั้นล่างก็ทำให้การฟัดเหวี่ยงของทั้งสองหยุดชะงัก

"ตี้เอ๊ย! แม่กลับมาแล้วนะลูก เอากับข้าวกลับมาจากวัดเต็มเลย ลงมากินมื้อเที่ยงเร้ว"

เสียงหอบหายใจแรงดังประสานจากคนทั้งสองที่นั่งอยู่บนเตียง นัยน์ตาสองคู่สบสานกันนิ่ง และแล้วเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวขึ้นมาบนบันไดก็ทำให้หัวใจของธีระแทบหยุดเต้น

แม่จะขึ้นมาเหรอ...ไม่ได้นะ...

ขณะที่ธีระกำลังพยายามรีบคิดหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้มารดามาเห็นลูกชายกำลังกอดรัดอยู่กับใครก็ไม่รู้ กฤตภาสก็ดูจะเพลิดเพลินกับการเห็นสีหน้าของคนในอ้อมแขนเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง จึงก้มลงกระซิบเสียงแผ่วข้างหูพร้อมกับรอยยิ้มเยียบเย็น

“เอายังไงดี? ให้ฉันแนะนำตัวกับแม่เธอแบบนี้เลยก็ได้นะ”



++---TBC---++



A/N: ไม่ได้มาลงตอนต่อนานมาก หวังว่าแฟนๆ ตากฤตกับน้องตี้ยังรออ่านกันอยู่น้า แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่าาาาา




Create Date : 24 ธันวาคม 2556
Last Update : 24 ธันวาคม 2556 9:45:57 น.
Counter : 1692 Pageviews.

5 comments
แพ้เนื้อจากการโดนเห็บกัด alpha-gal allergy สวยสุดซอย
(17 เม.ย. 2567 14:07:10 น.)
: รูปแบบของชีวิต : กะว่าก๋า
(17 เม.ย. 2567 04:37:20 น.)
: รูปแบบของการค้นพบตนเอง : กะว่าก๋า
(16 เม.ย. 2567 06:05:58 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
  
คิคิคิ หลงเสน่ห์เด็กแบบตี้แล้วสินะ เป็นไงหละ พอเจอหน้าน้องก็แทบจะเก็บความคิดถึงไว้ไม่ได้เลยใช่ม๊าา แม่ยกตี้แบบเราก็เลยใจชื้นขึ้นมาอีกโข แววรักแววหลงกำลังมา 5555


เอๆ จะว่าไปอยากให้แม่ยายมาเห็นโมเม้นมุ๊งมิ๊งเหมือนกันนะ เผื่อน้องตี้เราจะได้ตบแต่งไวๆ 55555 มโนอะไรเนี่ยฉัน
โดย: เหมี่ยว IP: 58.10.98.250 วันที่: 24 ธันวาคม 2556 เวลา:20:12:04 น.
  
อ้าววววๆ ตาลุงกฤตคร้า แหมมมมทำเป็นสนุกนะชริ สงสารหนูตี้ตลอดๆอ่ะ
โดย: sai IP: 125.27.99.132 วันที่: 25 ธันวาคม 2556 เวลา:6:18:08 น.
  
คุณเหมี่ยว ตากฤตนี่พวกรู้ตัวช้าสุดๆ เลยค่ะ การกระทำอะไปก่อนแล้ว แต่เส้นผมบังภูเขาละเกิ๊น


*********************

คุณ sai หนูตี้ได้คะแนนแม่ยกเพิ่มทีไร คะแนนตากฤต (มีด้วยรึ) ร่วงตลอดเลยค่า
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 ธันวาคม 2556 เวลา:20:45:30 น.
  
จะตัดสินใจยังไงดีหนูตี้....

ตากฤตร้ายอ่ะ แต่ก็ลุ้น อิอิ..
โดย: joomjaa IP: 49.230.168.34 วันที่: 2 มกราคม 2557 เวลา:10:55:30 น.
  
พี่จุ๋ม เกิดเป็นน้องตี้นี่มีเรื่องให้ปวดหัวเยอะจริงๆ ค่ะ XD
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 2 มกราคม 2557 เวลา:19:53:24 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Bellbomb.BlogGang.com

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]

บทความทั้งหมด