เล่ห์ลวงใจ บทที่ 16


สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


บทที่ 16


ภายในห้องอาหารบนตึกสูงของโรงแรมหรู กฤตภาสซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมกระจกหน้าต่างหยิบไวน์แดงขึ้นจิบช้าๆ ขณะทอดสายตามองลงไปยังทิวทัศน์ยามราตรีของเมืองหลวง ปริมาณของขบเคี้ยวที่ทางห้องอาหารนำมาเสิร์ฟเพื่อแกล้มไวน์ลดลงทุกที สวนทางกับความอยากบุหรี่ของเขาที่เพิ่มขึ้นจนชักจะหงุดหงิด

ผ่านเวลาที่นัดกันไว้มาเกือบชั่วโมงแล้ว แต่คนที่กำลังรอก็ยังไม่มา

เสียงดนตรีที่ทางห้องอาหารเปิดไว้ไม่ช่วยให้กฤตภาสอารมณ์เย็นได้มากนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าคนที่ตนนัดไว้มักมีภารกิจรัดตัวเสมอ และโดยปกติก็ใช่ว่าจะรับนัดใครง่ายๆ หากไม่ได้ยื่นเรื่องผ่านเลขาฯ ไว้ล่วงหน้า แต่บังเอิญว่าสถานะของเขาที่พิเศษกว่าคนทั่วไป จึงสามารถลัดขั้นตอนนี้แล้วติดต่อกับเจ้าตัวได้โดยตรง

ขณะที่กำลังคิดว่าจะลุกออกไปสูบบุหรี่แล้วค่อยกลับมา คนที่กำลังรอก็ปรากฏตัวที่หน้าห้องอาหารในที่สุด หากเป็นคนอื่น คงจะรีบลุกเข้าไปกล่าวต้อนรับอย่างพินอบพิเทา แต่บังเอิญอีกเช่นกันที่กฤตภาสไม่เคยทำเช่นนั้นกับผู้ชายคนนี้

พนักงานของห้องอาหารนำชายสูงวัยแต่ดูกระฉับกระเฉงคนนั้นมาส่งถึงที่โต๊ะ กฤตภาสรอจนอีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วจึงค่อยยกมือไหว้พอเป็นพิธี

"หวัดดีครับพ่อ"

โกเมท จันทร์เรือง เจ้าของบริษัทธุรกิจการบันเทิงที่ใหญ่ในระดับแถวหน้าของประเทศ บิดาแท้ๆ ของกฤตภาสที่หย่าขาดจากมารดาของเขาตั้งแต่ชายหนุ่มยังเด็กยิ้มบางๆ ขณะยกมือรับไหว้

"โชคดีนะที่คืนนี้พ่อไม่มีธุระ แต่ตอนเห็นเมสเสจที่แกส่งมานัดก็ทำเอาตกใจเหมือนกัน มีเรื่องสำคัญอะไรหรือไง? อ้อ ขอจินเจอร์เอลครับ"

ชายสูงวัยหันไปบอกพนักงานที่ยืนรอก่อนจะหันกลับมาหากฤตภาส ส่วนชายหนุ่มก็รู้ดีว่าบิดามีนิสัยเหมือนเขา...เวลาทุกนาทีมีค่า และสำหรับคนกันเองแล้ว ‘ไม่ควรสิ้นเปลืองเวลา’ ไปกับการอ้อมค้อม

"ผมได้ยินว่าพ่อจะเทคโอเวอร์บริษัทพีเออาร์"

โกเมทเลิกคิ้ว เพราะสิ่งที่บุตรชายเอ่ยยังเป็นความลับภายในที่มีคนรู้ไม่ถึงหยิบมือ

"ไปรู้มาจากไหน?"

"แหล่งข่าวเป็นใครไม่สำคัญ ผมแค่อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า?"

ผู้สูงวัยระบายลมหายใจยาวขณะพนักงานนำเครื่องดื่มที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ หลังจากคล้อยหลังพนักงานคนนั้นแล้วจึงค่อยอธิบาย

"ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนพูดคุย พ่อกับพวกกรรมการบริหารก็ต้องศึกษาข้อดีข้อเสียกันก่อนเหมือนกัน คงยังสรุปกันไม่ได้เร็วๆ นี้หรอก"

กฤตภาสหัวเราะหึ "คงยังสรุปกันไม่ได้เร็วๆ นี้ แต่พอแถลงข่าวอีกทีก็ปรากฏว่าพีเออาร์เป็นของพ่อไปแล้วสินะ"

"กฤต พ่อทำธุรกิจที่ต้องวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นก้าวที่ดีสำหรับองค์กรนะ แกก็เป็นผู้บริหาร เรื่องแบบนี้ก็ควรจะเข้าใจไม่ใช่รึไง?"

"ทั้งที่บริษัทนั้นเคยโกงเงินผม บีบให้ผมต้องลาออก แล้วตอนที่ผมเปิดบริษัทใหม่ๆ ก็มาคอยดิสเครดิตจนแทบจะไม่มีใครจ้างน่ะเหรอ? ถึงขนาดนี้แล้วพ่อก็ยังจะช่วย? ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วสิว่าผมเป็นลูกของพ่อจริงๆ รึเปล่า"

"กฤต!!"

โกเมทขึ้นเสียงด้วยความโมโหจนลูกค้าที่อยู่โต๊ะใกล้ๆ หันมามองอย่างตกใจ เมื่อรู้ว่าตนเผลอแสดงอารมณ์ ผู้สูงวัยจึงพยายามควบคุมตนเองและลดเสียงลง

"อย่าพูดแบบนั้นให้พ่อได้ยินอีกนะ แกไม่ได้แค่กำลังดูถูกพ่อ แต่ดูถูกแม่แกเองด้วย"

"พฤติกรรมของพ่อทำให้ผมคิดว่าพ่อไม่สนใจความรู้สึกผมเลย แล้วจะไม่ให้ผมคิดแบบนั้นได้เหรอ?"

ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ยี่หระขณะจ้องตาบิดา หากจะมีใครที่กล้าหาเรื่องโกเมทอย่างซึ่งๆ หน้า บุตรชายของเขาก็เป็นคนเดียวที่ก้าวร้าวได้โดยไม่กลัวผลที่จะตามมาเช่นนี้

ความเงียบอันน่าอึดอัดดุจคลื่นใต้น้ำไหลเข้าโอบล้อมคนทั้งสอง อึดใจใหญ่ผู้อาวุโสจึงพยายามคลี่คลายสถานการณ์

"การจะไปเทคโอเวอร์บริษัทอื่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่พ่อจะฟันธงเองได้ เอาเป็นว่ามันยังไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับตอนนี้ก็แล้วกัน"

กฤตภาสส่งเสียงหึพลางยกแก้วไวน์ที่เหลือขึ้นดื่ม นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้องสาวของศุภวัฒน์ทำงานเป็นหนึ่งในผู้ช่วยเลขาฯ ของโกเมท ท่าทางเขาก็คงจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องนี้ แต่กฤตภาสไม่คิดจะบอกให้ผู้เป็นพ่อรู้เพราะอาจกระทบกระเทือนการงานของน้องสาวเพื่อนได้

"จริงๆ นะ เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว ตอนนี้กิจการของแกเองก็ไปได้ดี น่าจะลืมๆ เรื่องนี้ไปซะเพราะในอนาคตแกอาจต้องทำงานร่วมกับเขาก็ได้"

"บังเอิญผมเป็นพวกเจ็บแล้วจำ" กฤตภาสสวนขึ้นก่อนที่คู่สนทนาจะพูดจบ "การถูกดิสเครดิตเป็นปีกว่าจะได้ลืมตาอ้าปากไม่ใช่เรื่องที่ผมจะลืมง่ายๆ"

นัยน์ตาของกฤตภาสฉายประกายกร้าว โกเมทมองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ บุตรชายคนเดียวของเขาสืบทอดความเจ้าทิฐิมาจากอดีตภรรยามากเหลือเกิน และนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่หลังจากหย่ากันแล้วเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้คลุกคลีหรืออบรมกฤตภาสด้วยตัวเองมากนัก เพราะนานทีปีหนแม่ของลูกถึงจะยอมปล่อยให้มาเยี่ยมสักครั้ง

"พ่อจะเอาไปคิดดูก็แล้วกัน"

"ขอบคุณครับ”

กฤตภาสกล่าวก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม โกเมทมองอากัปกิริยาของชายหนุ่มที่แม้จะสวมเพียงเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนส์ กระนั้นก็ยังเปล่งรัศมีของผู้ที่ได้รับการอบรมจากชาติตระกูลที่ดีมากกว่านักธุรกิจในชุดสูทบางคนเสียอีก ภาพนั้นทำให้เขานึกถึงต้นแบบของบุตรชายซึ่งเป็นผู้ขัดเกลาบุคลิกอันยากจะเลียนแบบเช่นนี้ให้

ผู้ที่เคยทำให้เขาหลงใหลเพราะภาพลักษณ์อันดูสูงส่ง ท้าทายและยากจะเข้าหา...แต่น่าเสียดายที่มาบัดนี้เธอกลายเป็นเพียงภาพสีซีดหมองในความทรงจำ

“แม่เขาเป็นยังไงบ้างน่ะกฤต? ได้โทรคุยกันมั่งรึเปล่า?”

กฤตภาสซึ่งกำลังทอดสายตามองวิวด้านนอกเบนสายตากลับมามองบิดา เขารู้ดีว่าคำถามนั้นเป็นแค่การถามไถ่ประสาคนที่ช่วงหนึ่งของชีวิตเคยมีวาสนาร่วมกัน หาใช่การแสดงออกถึงการคะนึงหาหรืออยากรื้อฟื้นความหลังครั้งเก่าก่อนแต่อย่างใด ประสบการณ์สอนเขาให้รู้ว่าคนบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อร่วมทุกข์และสุขแม้จะได้ร่วมสร้างเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยกันก็ตาม

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะงานผมยุ่งมาก แม่เขาก็คงยุ่งๆ เหมือนกัน เวลาที่ลอนดอนมันก็ต่างกับที่นี่หลายชั่วโมงด้วย”

ชายหนุ่มหมุนฐานแก้วไวน์ที่ว่างเปล่าไปมา จากนั้นก็ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วตัดบท

“ดึกแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ถ้าพ่อจะนั่งต่อก็ได้"

“ไม่ล่ะ ถ้าแกกลับพ่อก็กลับ งั้นเช็คบิลเลยก็แล้วกัน"

โกเมทเอ่ยพลางหันไปกวักมือเรียกพนักงาน กฤตภาสไม่ได้ห้ามเมื่อบิดาหยิบบัตรเครดิตออกมาส่งให้พนักงานก่อน หลังจ่ายค่าเครื่องดื่มแล้วทั้งสองก็เดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน ขณะที่กำลังรอให้ลิฟต์ลงไปถึงชั้นล็อบบี้ โกเมทก็เอ่ยถามขึ้นลอยๆ

"นี่ลูกก็อายุสามสิบกว่าแล้วนะกฤต ไม่มีใครที่คบหากันอยู่บ้างรึ?"

"แค่ทำงานอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว ผมไม่อยากหาห่วงมาผูกคอ"

ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบขณะยืนกอดอกพิงผนังลิฟต์ โกเมทมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของบุตรชายที่ตอนนี้สูงกว่าเขาครึ่งช่วงศีรษะแล้วก็ส่ายหน้า ภายนอกแล้วกฤตภาสอาจดูสุขุมและเยือกเย็น แต่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าตัวเป็นคนอารมณ์ร้อน รวมถึงไม่อาจปล่อยวางความทรงจำในแง่ลบได้เพียงไร

บางที...สิ่งที่ผลักดันกฤตภาสให้มุ่งมั่นทำทุกอย่างให้สำเร็จในทุกวันนี้ก็มาจากพลังแง่ลบพวกนี้นั่นเอง และเขาเป็นห่วงเหลือเกินว่าวันหนึ่งนิสัยเช่นนี้จะกัดกร่อนบุตรชาย และพานทำให้คนอื่นหลีกลี้หนีหน้ากันไปหมด

"กฤต พ่อรู้ว่าแกยังไม่ลืมเรื่องสมัยก่อน แต่แกจะเอาชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของพ่อกับแม่มาเป็นบรรทัดฐานให้ชีวิตของตัวเองไม่ได้นะ"

เนื่องจากเขาเองก็ทำงานในวงการบันเทิงที่อุดมด้วยเรื่องซุบซิบนินทา ข่าวของบุตรชายเวลาเปลี่ยนคู่ควงใหม่จึงเข้าหูอยู่เป็นประจำ แต่การที่เจ้าตัวไม่เคยเป็นข่าวกับใครได้นานก็ทำให้เขารู้ว่าคงไม่มีหวังจะได้รับขวัญว่าที่สะใภ้ในเร็ววัน

"ถึงล็อบบี้แล้วครับ สวัสดีครับพ่อ บอกให้ลุงจอมขับรถดีๆ ด้วย"

กฤตภาสเอ่ยพลางยกมือขึ้นไหว้บิดาเป็นเชิงตัดบท โกเมทจึงเพียงถอนใจแล้วยกมือขึ้นตบบ่าเขา กฤตภาสมองแผ่นหลังของบิดาที่เดินจากไปแล้วจึงค่อยกดปุ่มปิดประตูลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นใต้ดินต่อ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่กฤตภาสกำลังสตาร์ทรถ เมื่อเขาเหลือบดูชื่อคนที่โทรเข้ามาก็ได้แต่มุ่นคิ้ว เพราะเป็นชื่อเดียวกับคนที่ส่งเมสเสจหาเขาเมื่อตอนบ่าย

"ฮัลโหล?"

"กฤตคะ ทำอะไรอยู่? ทำไมเมื่อบ่ายไม่ตอบเมสเสจล่ะ?"

น้ำเสียงกระเง้ากระงอดทำให้กฤตภาสนึกรำคาญ บางทีอาจเป็นเพราะอารมณ์ที่ยังกรุ่นจากเรื่องที่คุยกับบิดายังตกค้างก็เป็นได้

"ตอนนั้นผมประชุมกับลูกน้องอยู่น่ะ เมื่อตอนเย็นก็มีนัดสำคัญ ขอโทษที"

"งั้นก็ช่างเถอะค่ะ ว่าแต่นี่เสร็จนัดหรือยังเอ่ย? นิกกี้ไม่ได้เจอคุณตั้งหลายอาทิตย์แล้วนะ"

เสียงอ่อนหวานทอดจังหวะอย่างยั่วยวน นี่ถ้าหากเป็นเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหน้านี้ กฤตภาสคงไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วขับรถไปหาหญิงสาวถึงที่ห้อง แต่ตอนนี้นอกจากเขาจะไม่มีอารมณ์พิศวาสแล้ว ข้อตกลงที่ทำไว้กับใครคนหนึ่งก็ค้ำคออยู่เสียด้วย

"เอาไว้วันหลังแล้วกันนะนิกกี้ คืนนี้ผมเหนื่อยมาก เอาไว้ว่างเมื่อไหร่จะโทรหา"

กฤตภาสวางสายแล้วก็ขับรถออกจากลานจอด วูบหนึ่งที่ใจนึกอยากเบนรถออกนอกเส้นทางไปยังอพาร์ทเม้นท์ของธีระ แต่เมื่อดูนาฬิกาก็คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังนอนพักผ่อน หลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งจึงเพียงแต่ขับรถตรงกลับไปยังคอนโด

เอาเถอะ นานๆ ที เขาก็ 'ใจดี' เป็นเหมือนกัน ในเมื่อเด็กคนนั้นไม่สบายเพราะเขา ถ้าอย่างนั้นก็จะปล่อยให้พักฟื้นไปก่อนก็ได้ หวังว่าจะไม่ได้เป็นอะไรมากก็แล้วกัน...



++------++



วันใหม่เริ่มต้นขึ้นโดยที่กฤตภาสดำเนินชีวิตตามปกติ เขาอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ขับรถออกจากคอนโดแต่เช้าตรู่ แวะร้านกาแฟแถวใกล้ๆ บริษัทเพื่อทานมื้อเช้าและอ่านหนังสือพิมพ์ จากนั้นจึงค่อยขับรถต่อไปยังบริษัทเมื่อใกล้ถึงเวลาเริ่มงาน

พนักงานทุกคนพนมมือไหว้และกล่าวทักทายเมื่อเห็นเขา กฤตภาสเข้าไปในห้องประจำตำแหน่งแล้วก็เริ่มเช็คอีเมล์จากลูกค้าและตรวจงานที่ลูกน้องส่งมาให้ รวมถึงตรวจรายละเอียดของเอกสารต่างๆ ที่วีณานำใส่แฟ้มมาให้เซ็น เพียงเท่านี้ก็หมดเวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว

ช่วงพักกลางวันเขาให้แม่บ้านซื้ออาหารมาให้กินในห้องก่อนจะเริ่มงานช่วงบ่าย เวลาผ่านไปจนประมาณสี่โมงเย็นก็มีเสียงเคาะประตูก่อนที่อรรณพจะเดินเข้ามา

"คุณกฤต ผมปรินท์แบบบูธที่ลูกค้าบอกว่าโอเคแล้วมาให้ดูครับ"

อรรณพเอ่ยพลางวางกระดาษขนาดเอสามลงบนโต๊ะของกฤตภาส ชายหนุ่มคลี่ดูแล้วก็พยักหน้า

"ดีมาก งั้นก็ส่งต่อให้ซัพพลายเออร์ได้เลย ถ้าเขาขอแก้โควทราคาก็เอามาให้ฉันเซ็นใหม่ก็แล้วกัน"

กฤตภาสยื่นแผ่นกระดาษคืนให้อรรณพ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังยืนทำท่ารีๆ รอๆ จึงถามขึ้น

"มีอะไรอีกหรือเปล่า?"

"เอ่อ...คือ...วันนี้ตี้ก็ไม่มาทำงานครับ"

กฤตภาสเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจเพราะอาการของธีระเมื่อช่วงวันหยุดก็แย่มาก หากจะต้องลางานมากกว่าหนึ่งวันก็เป็นที่เข้าใจได้

"คงจะยังไม่หายล่ะมั้ง? ปกติแล้วคนเป็นหวัดจะลางาน 2-3 วันก็ไม่แปลกนี่"

"แต่ว่า...ผมส่งเมสเสจไปก็ไม่ตอบ โทรเข้ามือถือก็มีแต่สัญญาณว่าติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เช้าน่ะครับ ผมเลยชักจะเป็นห่วงว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า"

คราวนี้กฤตภาสตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย คำว่า 'ติดต่อไม่ได้' นับเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ แต่ชายหนุ่มยังควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าและออกความเห็นได้อย่างเยือกเย็น

"อาจจะแค่ลืมชาร์จแบตมือถือก็ได้ ลองโทรไปที่เบอร์ห้องดูก่อนสิ"

"อ๊ะ จริงด้วย! งั้นเดี๋ยวผมไปขอเบอร์จากฝ่ายบุคคลก่อน"

"ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันเข้าดูจากเครื่องนี้ให้ก็ได้"

กฤตภาสเอ่ยพลางขยับเม้าส์เพื่อเปิดหาไฟล์ที่ต้องการ ปกติแล้วข้อมูลที่เกี่ยวกับประวัติของพนักงานจะถูกเก็บไว้ในไดรฟ์พิเศษที่ต้องอาศัยพาสเวิร์ดจึงจะเข้าถึงได้ และทั้งบริษัทมีเพียงเขากับหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่รู้พาสเวิร์ดนี้

"นี่ไงเบอร์ของอพาร์ทเม้นท์ ลองโทรดูซิ"

ชายหนุ่มหยิบกระดาษโน้ตมาจดหมายเลขโทรศัพท์พร้อมเลขห้องแล้วยื่นส่งให้อรรณพ เขามองดูลูกน้องของตนกดหมายเลขนั้นกับเครื่องโทรศัพท์แบบไร้สายบนโต๊ะของเขา แต่หลังอีกฝ่ายยกหูฟังขึ้นแนบหูได้ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า

"ไม่มีคนรับสายเลยครับ"

"ถ้าโทรถามส่วนกลางล่ะ?"

อรรณพลองต่อสายหาโอเปอเรเตอร์ของอพาร์ทเม้นท์ แต่กฤตภาสฟังบทสนทนาของอีกฝ่ายรวมทั้งสีหน้าผิดหวังก็รู้ว่าไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

"เขาบอกว่าไม่ทราบครับ ถ้ายังไงผมขอเบอร์นี่ไว้ก่อนนะครับคุณกฤต เผื่อจะลองโทรไปใหม่เพราะตอนนี้ตี้อาจอยู่ข้างนอกก็ได้"

"ตามสบาย ถ้าได้ผลยังไงก็มาบอกด้วยก็แล้วกัน"

ชายหนุ่มกำชับขณะมองอีกฝ่ายเดินออกจากห้อง ทว่าลางสังหรณ์บอกเขาว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ และอรรณพคงไม่มีทางติดต่อธีระได้แน่ๆ

ทั้งปิดโทรศัพท์มือถือ โทรเข้าห้องก็ไม่มีคนรับสาย คนที่อพาร์ทเม้นท์ก็บอกว่าไม่เห็น...แบบนี้มีสิทธิ์สูงว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่แถวนั้นแน่ๆ

สัญชาตญาณอันเฉียบคมทำให้เขาหันกลับไปมองประวัติของธีระอีกครั้ง นอกจากรายละเอียดทั่วไปที่พนักงานต้องกรอกอย่างเช่นวันเกิด ที่อยู่ วุฒิการศึกษา ทุกคนจะต้องให้หมายเลขติดต่อของที่บ้านและคนในครอบครัวด้วย ชายหนุ่มเลื่อนเมาส์ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบข้อมูลที่ต้องการ จากนั้นก็หมุนปากกาในมือด้วยนัยน์ตาครุ่นคิด


“คุณกฤต...พอ...”

“ฉันรู้ว่าเธอยังไหว เด็กดี...ทนอีกนิด”

“ไม่เอาแล้ว...ฮือ...พอ...”



ภาพเหตุการณ์บนเตียงของเขาเมื่อไม่กี่คืนก่อนวาบขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัด ตอนนั้นเขาหงุดหงิดกับข่าวที่ศุภวัฒน์นำมาบอกก็เลยไประบายอารมณ์กับธีระที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย สำหรับเรื่องนี้เขายอมรับว่าตัวเองก็ผิด แต่พอรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังพยายามหนี กฤตภาสก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาอีก

โอเค เขาไม่ดีเองที่ฝืนใจคนป่วยทั้งที่สภาพร่างกายไม่พร้อม แต่มันช่วยไม่ได้นี่ เด็กคนนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เวลาอยู่ใกล้แล้วเขาอดใจไม่ไหวทุกที

กฤตภาสจดหมายเลขติดต่อลงบนกระดาษโพสท์อิท จากนั้นก็ดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาแปะที่ขอบล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขายังไม่ค่อยอยากปักใจนักว่าเด็กหนุ่มจะเลือกวิธีนี้ แต่ถ้าหากผ่านพรุ่งนี้ไปแล้วอรรณพยังติดต่อไม่ได้อีกล่ะก็ ถึงตอนนั้นจะมาว่าเขาล้ำเส้นไม่ได้ล่ะนะ...


++------++


"ตี้เอ๊ย ลุกมากินข้าวได้แล้วลูก"

เสียงตะโกนจากชั้นล่างของบ้านปลุกธีระให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย เด็กหนุ่มเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็ค่อยๆ เดินลงบันได เขารู้สึกว่าตัวเบาขึ้นมากหลังจากที่ได้นอนพักอย่างเต็มอิ่มมาตั้งแต่วันจันทร์

"วันนี้มีอะไรมั่งอะแม่?"

"ข้าวต้มปลา แม่ไปซื้อปลามาเมื่อเช้านี้สดๆ เลย รีบมากินซะลูก จะได้กินยา"

มารดาของธีระตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วก็ยกมาวางบนโต๊ะในครัวให้อย่างกระฉับกระเฉง จากนั้นก็เอามืออวบอูมมาทาบบนหน้าผากของเขา

"อืม ไข้ลดแล้วนี่ ตี้สบายตัวขึ้นมั่งมั้ยลูก? กินยาครบตามที่หมอให้มาใช่มั้ย?"

"อื้อ"

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเพราะกำลังเคี้ยวข้าวต้มเต็มปาก แต่แล้วเสียง 'แว้' จากในห้องก็ทำให้แม่ของเขาต้องรีบผละไป ครู่หนึ่งก็อุ้มทารกเพศชายตัวน้อยแก้มยุ้ยน่าหยิกออกมา

"โอ๋ๆ น้องฟลุ๊คหิวนมเหรอคับลูก เอ้า กินนมก่อนนะ หม่ำๆ"

ธีระมองมารดาของเขาหยิบขวดนมจากตะกร้ามาป้อนให้ทารกน้อยที่ดูดนมอึ้กๆ จนเหมือนลืมหายใจ จากนั้นก็ตักข้าวต้มเข้าปากต่อ

"งี้แม่ก็ช่วยพี่หมูเลี้ยงหลานทุกวันเลยเหรอ?"

พี่หมูที่ธีระเอ่ยถึงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาที่มารดาเคยรับมาเลี้ยงตั้งแต่ก่อนเขาจะเกิด จึงเหมือนเป็นพี่สาวของเขาไปด้วย และตอนนี้ก็แต่งงานแยกบ้านไปแล้วแต่ยังอยู่ในละแวกไม่ไกลกันนัก หลังจากคลอดลูกชายและครบกำหนดลาคลอดจึงมักพาลูกมาฝากแม่เขาเลี้ยงในตอนกลางวัน พอหลังเลิกงานก็มารับลูกกลับบ้านพร้อมกับสามี

"ช่าย ดีนะว่าร้านเครื่องเขียนของแม่งานไม่ยุ่งเลยช่วยเลี้ยงได้ จะว่าไปก็เลยทำให้นึกถึงตอนที่ตี้ยังตัวเล็กๆ อยู่เหมือนกันน้า หืม? น้องฟลุ๊คว่างั้นมั้ยลูก? หนูเหมือนน้าตี้มั้ยคับ?"

หลานชายตัวน้อยสงบลงหลังได้ดูดนม นัยน์ตากลมใสแจ๋วเหลือบมองมาทางธีระแม้ว่าจะยังฟังคำไม่ออก เขาจึงยิ้มพลางยื่นมือไปจับมือเล็กที่อยู่ในถุงมือเขย่าเบาๆ แต่แล้วอาการคันจมูกก็ทำให้ต้องรีบหันหนีไปจามอีกทาง

"ตายละ แม่ก็ลืมไปว่าตี้ยังไม่หายหวัด งั้นเดี๋ยวแม่พาน้องฟลุ๊คไปกินนมในห้องดีกว่า เดี๋ยวตี้กินข้าวเสร็จก็วางถ้วยไว้ในอ่างแล้วไปกินยานอนซะนะ จะได้หายไวๆ"

"ครับ"

เด็กหนุ่มหยิบทิชชู่มาสั่งน้ำมูกก่อนจะตักข้าวต้มกินต่อ เสียงของมารดาที่กำลังกล่อมหลานลอยมาจากในห้องแว่วๆ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น และคิดว่าดีจริงๆ ที่ตัดสินใจนั่งรถตู้กลับมาบ้านที่สุพรรณบุรีตั้งแต่เช้าวันอังคาร

วันนี้ก็วันพฤหัสเข้าไปแล้ว ป่านนี้ที่บริษัทคงรู้กันแล้วละมั้งว่าเราหายไปนานผิดปกติ ถ้าหากเปิดมือถือจะเจอกี่มิสคอลกันนะ...

เมื่อวันที่เขากลับมาถึงบ้าน มารดาไม่ได้แปลกใจนักเพราะเขาโทรมาบอกไว้ก่อนแล้วว่าไม่สบายจึงลาหยุด แต่ก็ไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงว่าตั้งใจจะไม่กลับไปฝึกงานอีก มาตอนนี้ที่อาการป่วยค่อยยังชั่วขึ้น ธีระก็ชักไม่แน่ใจว่าควรจะบอกให้รู้ดีหรือไม่

เนื่องจากบิดาของเขาต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ จึงไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่เขาก็รู้ว่าถ้าจู่ๆ โพล่งออกไปว่าอยากจะหยุดฝึกงานเพราะไม่ชอบก็คงโดนดุว่าไม่มีน้ำอดน้ำทนแน่ๆ แต่จะให้อ้างเหตุผลว่าเป็นเพราะรุ่นพี่แกล้งก็จะกลายเป็นการใส่ร้ายทุกคนที่ดีต่อเขา ครั้นจะให้บอกความจริงก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่...ธีระยิ่งคิดจึงยิ่งปวดหัวมากขึ้นทุกที

หรือว่าไม่ต้องพูดอะไรเลย พอหายดีแล้วก็กลับหอแล้วทำเหมือนยังไปฝึกงานดีนะ...

เด็กหนุ่มยิ้มออกเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จริงด้วยสิ แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว ยังไงพ่อกับแม่ก็คงไม่โทรไปเช็คที่บริษัทหรอกว่าเขายังไปฝึกงานอยู่ไหม แล้วถ้าทำแบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องเจอคุณกฤตอีกด้วย คิดยังไงก็มีแต่ข้อดีเห็นๆ

ธีระจิตใจปลอดโปร่งจนสามารถกินข้าวต้มได้หมดเกลี้ยง เขาหยิบยามากินก่อนจะล้างถ้วยแล้วร้องบอกมารดาว่าจะขึ้นไปนอนต่อ หลังจากเปิดพัดลมเพื่อให้อากาศในห้องไม่อบอ้าว เด็กหนุ่มก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมก่อนจะปิดตาลง

พอหาทางออกได้แล้วรู้สึกดีจัง หัวโล่งไปหมดเลย...

เด็กหนุ่มคิดพร้อมกับรอยยิ้มที่ติดอยู่บนริมฝีปาก เพียงไม่กี่นาทีถัดจากนั้นก็ผล็อยหลับไป เขาหลับสนิทจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากชั้นล่าง ไม่ว่าจะเสียงหลานชายตัวน้อยที่ร้องไห้โยเย เสียงของมารดาที่ร้องเพลงกล่อม เสียงรถที่วิ่งผ่านบนถนน รวมไปถึงเสียงโทรศัพท์กลางบ้านที่นานๆ ครั้งจะมีคนโทรเข้าด้วย

ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติที่เขาไม่นอนหลับระหว่างวัน ธีระก็คงจะเป็นคนที่รับสายด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้รบกวนมารดาที่กำลังง่วนกับการเลี้ยงหลาน แต่เพราะว่าฤทธิ์ของยาที่ทำให้เขาง่วงงุนจนไม่มีสิ่งใดรบกวนห้วงนิทราได้ เขาจึงไม่มีโอกาสรู้เลยว่าคนที่โทรศัพท์เข้ามาที่บ้านในช่วงสายของวันนั้นคือใคร


++---TBC---++



A/N: และแล้วสาเหตุที่ตากฤตอารมณ์เสียจนไปพาลใส่น้องตี้ที่ไม่สบายก็เปิดเผย แต่ไม่รู้จะกู้ภาพพจน์ฮีกลับมาได้บ้างรึเปล่านะคะ ตอนนี้ก็เริ่มมีตัวละครโผล่ออกมาเยอะขึ้น รู้สึกว่าสเกลเรื่องเริ่มจะใหญ่กว่าที่วางไว้ตอนแรก 5555 สำหรับตอนต่อไปอาจจะมาลงช้าหน่อยเพราะว่าเดี๋ยวจะติดภารกิจไป ตปท.อีกแล้วค่ะ (แต่ไปส่วนตัว) ยังไงก็จะพยายามมาลงต่อให้ไวที่สุด ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้านะคะ




Create Date : 14 พฤศจิกายน 2556
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2556 21:11:25 น.
Counter : 1704 Pageviews.

5 comments
เวลาที่หายไป - บทที่ 27 ดอยสะเก็ด
(16 เม.ย. 2567 20:17:49 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 33 : กะว่าก๋า
(11 เม.ย. 2567 05:15:42 น.)
lead to better decision-making พุดดิ้งรสกาแฟ
(11 เม.ย. 2567 21:19:04 น.)
  
โหย หัมมุมนะเนี่ยะ นึกว่าคุณกฤตนัดกิ๊กที่แท้นัดกับพ่อ พอให้อภัยนิดนึง แต่จัดหนักจนน้องต้องพักฟื้นจะตามไปเยี่ยมที่สพรรณป่ะคะ จะได้ทำความรู้จักแม่ยายซ้ะที
ขอบคูณ Bellbombที่ผลิตผลงานมาให้อ่าน เสียดายจะหายไปหลายวันน้องตี้กะคุณกฤตจะเจอหน้ากันเมื่อไหร่น๊า น้องตี้ได้พักแล้วคราวนี้คุณกฤตจะรับมือไหวป่ะ
โดย: JIRA IP: 101.109.249.252 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2556 เวลา:13:14:12 น.
  
คุณ JIRA ไม่รู้ว่าถ้าตากฤตไปเยี่ยมแล้วน้องตี้จะดีใจหรือเหวอนะคะเนี่ย คราวนี้พอดีว่าเราจะไป ตปท.หลังทำงานนอกสถานที่หลายวันด้วย ตอนต่อไปเลยจะทิ้งช่วงสักหน่อย ยังไงแวะมาดูเป็นระยะๆ นะคะ ^^
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 17 พฤศจิกายน 2556 เวลา:23:21:17 น.
  
อิตาคุณกฤตนี่ไม่มีตอนไหนที่คะแนนจะดีขึ้นเลย นี่ถ้าบ้านน้องตี้เลี้ยงหมา แล้วตามมาบ้านจะยุให้น้องตี้ปล่อยหมาไล่กัดเลย ฮ่าๆๆๆๆ

สงสัยอิตากฤตนี่จะเป็นพระเอกที่โดนหมั่นไส้สมากที่สุดในบรรดาพระเอกของริน
โดย: P'Maew IP: 210.86.182.238 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2556 เวลา:10:37:52 น.
  
พี่แมว สงสัยต้องส่งบางแก้วไปให้น้องตี้เลี้ยงสักสองสามตัวค่ะ รับรองทีนี้ตากฤตเข้าไม่ถึงตัวน้องแหงๆ โดนกัดเหวอะหวะซะก่อน 555
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 20 พฤศจิกายน 2556 เวลา:21:23:58 น.
  
คิดถึง รอวันคุณกฤตเดินลากกระเป๋าตามน้องตี้ขึ้นแลนโรเวอร์กลับคอนโด
โดย: JIRA IP: 101.109.249.14 วันที่: 27 พฤศจิกายน 2556 เวลา:14:33:23 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Bellbomb.BlogGang.com

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]

บทความทั้งหมด