สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 40
"พี่ปิ๊ก ตี้เก็บของเสร็จแล้วนะ"
ธีระเอ่ยขณะเดินเข้าไปหาปิยพลซึ่งนั่งดื่มเบียร์อยู่หลังบ้าน บริเวณนี้เป็นสนามหญ้าสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มีโต๊ะกับเก้าอี้แบบง่ายๆ ตั้งไว้เผื่อเวลาที่เจ้าของบ้านอยากออกมานั่งพักผ่อน บนฟ้ามีพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่น สายลมบางเบาพัดเปลวเทียนที่จุดอยู่ในแก้วให้วูบไหวเป็นระยะแต่ก็ไม่ถึงกับดับมอด
"อืม พรุ่งนี้จะออกกันแต่เช้าเลยใช่มั้ย?"
"ครับ แต่อาจแวะเที่ยวรายทางไปเรื่อยๆ ก่อนถึงกรุงเทพฯ"
เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะมีกระติกน้ำแข็งใบเล็กกับน้ำอัดลมขวดใหญ่วางอยู่ด้วย เขาจึงหยิบมาเทใส่แก้วให้ตัวเอง
"เร็วจังนะ แป๊บๆ ตี้ก็มาอยู่กับพี่ได้ครบเดือนแล้วก็ต้องกลับไปเรียนแล้ว ต่อไปคงเหงาแย่"
"เดี๋ยวปิดเทอมคราวหน้าตี้ขึ้นมาหาอีกก็ได้ ไม่งั้นช่วงไหนพี่ปิ๊กปิดร้านก็ลงไปเยี่ยมก็ได้นี่นา"
ปิยพลหัวเราะเบาๆ ขณะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วลูบแก้วไปมาพลางหลุบตาลง
"ไอ้ขลุ่ยเล่าให้พี่ฟังแล้วล่ะว่าเมื่อวานมีคนทำมันอกหักยับเยิน"
"เอ่อ..."
ธีระได้แต่เปล่งเสียงในคออย่างกระอักกระอ่วน เมื่อค่ำวานนี้เขากับเพื่อนๆ ให้รถตู้มาส่งปิยพลกับคเชนทร์ที่บ้านหลังจากทานมื้อเย็นกันเสร็จก่อนจะพากันไปนอนที่รีสอร์ตนอกตัวเมือง ระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้นคเชนทร์คงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำให้ฟังกระมัง
"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไม่ได้จะว่าอะไรตี้ซักหน่อย แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ น่าสงสารขลุ่ยมันเหมือนกันนะ ตอนเล่าให้พี่ฟังนี่ทำหน้าเป็นหมาหงอยเชียว"
"ขลุ่ยเล่าอะไรให้พี่ปิ๊กฟังบ้าง?"
"ก็ไม่ได้เล่าละเอียดมาก แค่บอกว่าหลังไปเล่นน้ำกันแล้วมันก็สารภาพรักกับตี้ แต่ดูเหมือนตี้คงมีใครอยู่แล้วก็เลยปฏิเสธมัน พี่เองก็ไม่ได้ถามซอกแซกเพราะตี้ก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังนี่นา แต่ที่จู่ๆ ก็มาขออยู่กับพี่ก่อนเปิดเทอมคงเพราะเรื่องนี้สินะ"
ธีระเพียงแต่ย่นจมูก ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ท่าทางของเขาก็ยืนยันในตัวว่าอีกฝ่ายเดาถูก
"ชีวิตคนเรามันสั้นนะตี้ เราไม่รู้หรอกว่าคนที่เข้ามาในช่วงไหนจะเป็นคนที่ทำให้เรามีความสุข พี่ดูออกนะว่าตั้งแต่ตี้มาอยู่กับพี่ก็ชอบใจลอยประจำ เพิ่งมีตอนที่ออกไปไหนมาไหนกับไอ้ขลุ่ยนี่ล่ะที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง"
"แต่ว่า..."
"แต่ว่ามันก็ยังไม่พอจะมาแทนคนที่ตี้พยายามจะลืมสินะ? หรือเพราะขลุ่ยมันยังเด็กไป?"
วันนี้พี่ปิ๊กเป็นอะไรไปนะ ธีระคิดขณะมองสบตาญาติผู้พี่ น้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ตำหนิหรือสั่งสอน ทว่าแววตาดูลุ่มลึกคล้ายมีความนัยที่ต่างจากยามปกติ
มันแปลกตรงที่ว่า...เขารู้สึกคล้ายแววตาของอีกฝ่ายไม่ได้กำลังมองเขา แต่เป็นใครอีกคนที่อยู่ไกลโพ้นจนเอื้อมคว้าไม่ได้อีกแล้วมากกว่า
"มันไม่ใช่เรื่องเด็กหรือแก่กว่าหรอกพี่ปิ๊ก ถ้าตี้ชอบเขาก็คือชอบ ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้าหากตี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับขลุ่ยเลยก็ไม่ควรให้ความหวัง คนนิสัยดีอย่างขลุ่ยน่ะอีกไม่นานก็คงเจอคนที่เหมาะสมมากกว่าตี้แล้วล่ะ"
"พูดยังกับเราเหมาะกับคนนิสัยไม่ดีอย่างนั้นล่ะ"
ปิยพลเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะมองธีระที่นั่งเม้มปาก ชายหนุ่มวางแก้วเบียร์ลงแล้วก็ลุกเดินเข้าไปในบ้าน ครู่หนึ่งจึงกลับออกมาพร้อมกับของบางสิ่งในมือ
"พี่มีของจะให้ ไหนยื่นข้อมือซ้ายมาสิ"
เด็กหนุ่มแปลกใจแต่ก็ยื่นข้อมือให้แต่โดยดี ญาติผู้พี่ผูกสร้อยข้อมือทำจากหนังบนข้อมือของเขา บนเส้นหนังนั้นมีลูกปัดกลมสีแดงเข้มร้อยเอาไว้ เขายกขึ้นมาดูใต้แสงเทียนก่อนจะเหลือบตาขึ้นถาม
"นี่หินอะไรเหรอพี่ปิ๊ก? ไม่ใช่พลาสติกใช่ไหม?"
"เฮ้ๆ นี่ทับทิมแท้เชียวนะ เคยมีคนให้พี่มาอีกทีเพราะเขาบอกว่ามันเป็นเครื่องรางที่จะช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ต้องการ แต่พี่คิดว่ามันน่าจะเหมาะสำหรับตี้มากกว่า"
"หมายความว่าไง?"
ปิยพลเพียงแต่ยิ้ม จากนั้นก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว
"ก็แค่ความเชื่องมงาย คิดซะว่าห้อยไว้เท่ๆ ก็แล้วกัน แต่ถ้ามันทำให้ตี้ได้สิ่งที่หวังไว้จริง อย่างน้อยก็แสดงว่าคนที่ให้มาเขาไม่ได้หลอกพี่"
น้ำเสียงของคนพูดแผ่วลงช่วงท้ายประโยค ภายใต้แสงเทียนริบหรี่นั้นธีระสังเกตเห็นว่าสองตาของอีกฝ่ายมีประกายของความเศร้าอันลึกซึ้งสะท้อนอยู่ จึงตัดสินใจไม่ถามและเพียงแต่กล่าวขอบคุณ
"ไว้ตี้มีความสุขเมื่อไหร่ อย่าลืมมาเล่าให้พี่ฟังบ้างล่ะ"
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายในค่ำคืนนั้น ก่อนที่แสงเทียนจะดับลงและพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปนอน และวันถัดมาธีระก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมพวกเพื่อนๆ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ธีระปรือตาตื่นเมื่อได้ยินเสียงนกร้องจากนอกหน้าต่าง เด็กหนุ่มเหลือบตาลงมองมือซ้ายของตนเองซึ่งวางพาดอยู่บนหน้าท้อง เขาระบายลมหายใจยาวเมื่อเห็นสร้อยข้อมือที่ได้จากปิยพลยังคงสวมอยู่บนนั้น สำหรับเขาแล้วความหมายของหินที่ร้อยอยู่บนสร้อยไม่เท่ากับว่ามันเป็นตัวแทนของบางสิ่งบางอย่างที่ญาติผู้พี่ส่งต่อมาให้ เมื่อนึกถึงบทสนทนาในคืนก่อนที่จะกลับมา เขาก็พอจะเดาได้ว่ามันสื่อถึงอะไร
'ความสุข' เหรอพี่ปิ๊ก ตี้ก็รออยู่เหมือนกันว่ามันจะมาหาตี้เมื่อไหร่...
อาจเพราะฤทธิ์ยาและการได้นอนเต็มอิ่มมาทั้งคืนจึงทำให้ธีระรู้สึกดีขึ้นมาก เขาเอียงหน้าไปด้านข้างและเห็นว่ากฤตภาสกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่บนโซฟาพลางไล่สายตาดูอะไรบางอย่างในไอแพด คงกำลังอ่านข่าวหรือเช็คราคาหุ้นกระมัง เพราะนั่นเป็นกิจวัตรที่เจ้าตัวทำเป็นประจำทุกวัน
เขาไม่ได้อยากจดจำรายละเอียดเหล่านี้เลยจริงๆ แต่ความเคยชินจากการอยู่ใกล้ชิดกันมาระยะหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะลืมได้ปุบปับหลังจากอยู่ห่างกันเพียงชั่วเดือน
"ตื่นแล้วเหรอ? ยังปวดท้องอยู่มั้ย?"
สายตาของเขาคงทำให้กฤตภาสรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเขาตื่นเต็มตาแล้วจึงวางกาแฟกับไอแพดลงแล้วเดินเข้ามาหา เด็กหนุ่มเอียงศีรษะหนีมือที่ทำท่าจะทาบลงมาแล้วก็เบนสายตาไปทางอื่น
"ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว ขอบคุณ"
เขาไม่ได้ชายตากลับไปมองจึงไม่รู้ว่ากฤตภาสกำลังทำสีหน้าเช่นไร พลันประตูห้องก็เปิดออกก่อนที่นางพยาบาลร่างผอมสูงจะเดินเข้ามา
"เดี๋ยววัดไข้กับความดันนิดนึงนะคะ ยังปวดท้องอยู่มั้ยคะ?"
หญิงสาวถามพลางยื่นปรอทให้เขาอมและสวมปลอกแขนวัดความดันให้อย่างคล่องแคล่ว เด็กหนุ่มเพียงแต่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและส่ายหน้าช้าๆ ครู่หนึ่งเธอจึงพยักหน้าเมื่อวัดความดันเสร็จแล้ว
"อุณหภูมิกับความดันปกติดี เดี๋ยวสายๆ คุณหมอจะมาตรวจอีกทีนะคะ"
เธอเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างแล้วก็เดินกลับออกไป ธีระมองไปยังนาฬิกาและเห็นว่าเกือบจะแปดโมงแล้ว แสดงว่าเขาหลับไปหลายชั่วโมงทีเดียว
เขาเกือบจะสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ก็มีมือใหญ่วางลงบนหน้าผาก จากนั้นมือข้างนั้นก็เลื่อนลงไปอังที่ซอกคอ ถึงแม้นางพยาบาลจะบอกว่าเขาอุณหภูมิปกติดี แต่ธีระกลับรู้สึกว่ามือที่มาสัมผัสตัวนั้นร้อนจนแทบจะเสริมให้อุณหภูมิของเขาสูงขึ้นได้อีกสองถึงสามองศาเลยทีเดียว
"ไม่ไปทำงานหรือไงครับ?"
เด็กหนุ่มปัดมือที่อ้อยอิ่งอยู่บนตัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาเอียงหน้าหนีไปอีกทางเพื่อจะได้ไม่ต้องมองร่างสูงใหญ่ข้างเตียง ในใจตระหนักดีว่าตนติดหนี้น้ำใจที่กฤตภาสพามาส่งโรงพยาบาลแล้วยังอยู่เฝ้า แต่ถ้านึกถึงตอนที่เขาเคยไปช่วยดูแลเจ้าตัวตอนที่โดนยิงตั้งหลายวัน หนี้น้ำใจครั้งนี้ก็น่าจะหักลบเป็นศูนย์ได้แล้วกระมัง
เขาไม่ต้องการให้มีคนมาคอยอยู่เฝ้าสักนิด จะให้ดีก็รีบๆ หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วออกไปจากชีวิตเขาเลยเป็นดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรคุณหมอก็คงจะให้เขากลับบ้านภายในวันนี้อยู่แล้ว
"ไม่ไปสักวันบริษัทฉันไม่เจ๊งหรอก"
ยังเป็นคำตอบที่ยโสโอหังสมกับคนพูดเช่นเดิม ธีระได้แต่คิดพร้อมกับความขุ่นเคืองที่พวยพุ่งขึ้น แต่ภายนอกเขายังคงรักษาท่าทีเยือกเย็น
"นั่นสิครับ ผมก็ลืมไปว่าทีมงานคุณเก่งจะตาย"
เด็กหนุ่มไม่ได้ยินเสียงตอบ เขาจึงหลับตาลงเพื่อตัดบทสนทนา คาดไม่ถึงว่ากฤตภาสกลับเดินอ้อมปลายเตียงมานั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อธีระลืมตาขึ้นเห็นอีกฝ่ายก็ทำท่าจะหันหน้าหนีอีกครั้ง แต่เพราะมือใหญ่ยกขึ้นมาแนบแก้มเอาไว้ เขาจึงถูกบังคับให้ต้องมองเจ้าของมืออย่างช่วยไม่ได้
"ปล่อย"
"ไม่ปล่อย ก่อนหน้านี้ไปอยู่ที่ไหนมา?"
"ผมไม่จำเป็นต้องบอก แล้วคุณก็ไม่ได้อยากรู้จริงๆ หรอก"
"ทำไมถึงคิดว่าไม่อยากรู้? นี่ฉันไม่ได้กำลังถามอยู่หรือไง?"
กฤตภาสถามพลางมุ่นคิ้ว ฝ่ายธีระถลึงตาใส่ด้วยความโมโห ผู้ชายคนนี้ถือสิทธิ์อะไรที่จะมายุ่มย่ามกับชีวิตเขาไม่ยอมเลิกราแบบนี้!?
"เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณน่ะสิ! ดังนั้นผมจะไปไหนมาไหนมันก็เรื่องของผม!!"
ธีระระเบิดอารมณ์จนรู้สึกปวดแปลบในช่องท้องอีกครั้ง ในหัวร้อนจี๋เพราะความโกรธที่พุ่งขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ กระทั่งขอบตากับโพรงจมูกก็พลอยร้อนไปด้วย เขามองกฤตภาสผ่านไอน้ำที่เอ่อเคลือบดวงตาจนภาพตรงหน้าพร่าเลือน
"ชีวิตผมไม่เคยมีอะไรดีเลยตั้งแต่ได้เจอคุณ! อยากได้อะไรก็ดีแต่บังคับ! คนอย่างคุณน่ะแค่หน้าผมยังไม่อยากจะมอง! ถ้าไม่อยากโดนเกลียดมากกว่านี้ก็ไปจากชีวิตผมซักที!! รีบๆ ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!!!"
เด็กหนุ่มหอบหายใจแรงหลังปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจหลั่งไหลราวภูเขาไฟปะทุ เขามองใบหน้าที่บูดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจของกฤตภาส แต่เพราะฝ้าน้ำตาจึงไม่สังเกตเห็นร่องรอยของการสะกดอารมณ์ในแววตาของอีกฝ่าย
"ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่เคยเก็บหลักฐานช่วงที่เคยอยู่กับคุณไว้สักอย่าง จะไม่เรียกร้องค่าทำขวัญด้วย รับรองว่าหลังจากวันนี้คุณจะไม่มีทางเจอผมตามไปแบล็คเมลหรือก่อกวนคุณแน่ ดังนั้นขอร้องล่ะ...ไปจากชีวิตผมแล้วก็เลิกยุ่งกับผมเสียที..."
น้ำเสียงของธีระแหบพร่าเมื่อถึงท้ายประโยค เขารู้สึกคล้ายตัวเองกำลังจะขาดอากาศจนต้องสูดหายใจเข้าลึก เรี่ยวแรงที่หมดไปกับการระบายความอัดอั้นเมื่อครู่ทำให้เขาปิดเปลือกตาลงเพราะทนมองกฤตภาสต่อไปไม่ไหว
เขาเอ่ยสิ่งที่ติดค้างในใจออกไปหมดแล้ว ได้แต่หวังว่านั่นจะช่วยให้อีกฝ่ายยอมรับฟังความปรารถนานี้และตัดเยื่อใยใดๆ ก็ตามที่ยังหลงเหลือต่อตัวเขาให้สะบั้นเสียที เพราะถ้าหากไม่มีวันจะได้มาครอบครองทั้งใจ เขาก็ไม่ต้องการท่าทีห่วงหาอาวรณ์ที่ครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้เหมือนกัน
"ทำไมถึงได้เอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันรักบ้างไม่ได้หรือไง หรือคิดว่าฉันมีเวลามากนักสำหรับมาไล่ตามคนที่ไม่มีความหมายอะไรเลยกับชีวิตแบบนี้?"
ธีระเบิกตาโพลงเมื่อจู่ๆ ก็รู้สึกถึงลมหายใจอันร้อนผ่าวที่รดอยู่บนหน้า เขามองแววตาสีนิลลึกล้ำที่มองสบตัวเองในระยะประชิดแล้วก็ได้แต่มุ่นคิ้ว ความหงุดหงิดที่แฝงด้วยความอ่อนใจในน้ำเสียงทุ้มต่ำเมื่อครู่ทำให้เขาสับสนจนคิดตามความหมายของคำพูดนั้นไม่ออกในทันที
เสียงครางแผ่วเบาหลุดผ่านลำคอเมื่อริมฝีปากแห้งแต่ก็อบอุ่นทาบทับลงบนริมฝีปาก ธีระกะพริบตาปริบ ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกคือพยายามดันอีกฝ่ายออกห่าง แต่กำลังของคนไข้ที่เพิ่งฟื้นมีหรือจะสู้คนที่แข็งแรงเป็นปกติ และต่อให้เขาไม่ได้อ่อนแอเช่นในยามนี้ เขาก็ไม่เคยสู้แรงกฤตภาสได้อยู่ดี
ไม่เคยสู้ได้...แต่ทำไมจูบครั้งนี้ถึงต้องทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกทะนุถนอมอยู่ด้วยเล่า
กฤตภาสไม่ได้จูบเขาอย่างหนักหน่วงเร่งเร้าเหมือนที่เคยชิน เพียงแต่แนบริมฝีปากลงมาคล้ายเวลาที่ผู้ใหญ่ปลอบเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง บางครั้งก็บนริมฝีปาก บางครั้งบนผิวแก้ม บางครั้งบนเปลือกตา ทุกสัมผัสที่แนบลงมามีฤทธิ์หลอมละลายปราการในใจของเขาให้กร่อนไปทีละชั้น ขณะเดียวกันก็ยิ่งเปิดทำนบน้ำตาให้ไหลมากกว่าเดิม
"ขอโทษ"
คำพูดสั้นๆ ที่เบาแต่หนักแน่นดังขึ้นระหว่างจุมพิตปลอบโยน ความหมายของมันแทรกซึมเข้าสู่หัวใจและสั่นคลอนความตั้งใจของธีระอย่างรุนแรง
ไม่ได้นะตี้ อย่าเชื่อ...คำว่ารักเมื่อกี้เราก็แค่หูฝาดไป คุณกฤตไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นจริงๆ หรอก...
ทั้งที่เสียงในใจร้องเตือน ธีระกลับไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่มือซึ่งพยามดันอีกฝ่ายออกเปลี่ยนเป็นกำเสื้อแน่นเข้า ราวกับต่อให้รู้ว่านี่เป็นความใจดีจอมปลอมก็จะขอดูดซับมันจนกว่าจะถึงที่สุด
"ตี้! เป็นไงบ้างแก๊! อุ๊ยตายตาเถรหก!!"
เสียงอุทานอันคุ้นหูดึงสติของธีระคืนมา เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อขณะมองหน้าของกฤตภาสที่ถอยออกห่าง แต่อีกฝ่ายยังคงคร่อมสองแขนบนตัวเขาเอาไว้และเพียงแต่เบนสายตาไปทางหน้าห้อง
หลังบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาด้านใน สุเมธ ศันสนีย์ สุพิชชาซึ่งเป็นแม่ของศันสนีย์ พราวภิรมย์ กระทั่งหญิงวัยกลางคนที่เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นแม่ของศุภวัฒน์ล้วนยืนอยู่ตรงนั้น กระทั่งคุณหมอที่ตรวจเขาเมื่อคืนนี้ก็อยู่ด้วย สายตาทุกคู่ล้วนกำลังจับจ้องพวกเขาสองคนเป็นตาเดียว
กฤตภาสค่อยๆ ยืดตัวขึ้นก่อนจะหยิบกระดาษทิชชู่จากกล่องเหนือหัวเตียงมาซับน้ำตาให้ธีระ การกระทำนั้นอ่อนโยนอย่างยิ่งจนไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มจะทำได้ ธีระได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างฉงนและเห็นเพียงอาการขบกรามคล้ายกำลังอดทนอยู่เท่านั้น
"หมอมาตรวจคนไข้เหรอครับ?"
ในที่สุดกฤตภาสก็หันไปทางกลุ่มคนที่ยังยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าของชายหนุ่มสงบเยือกเย็นและคล้ายจะยกมุมปากบางเบา จรัสพลซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้จึงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเดินมาที่เตียง เหล่าผู้มาเยี่ยมจึงทยอยเดินตามกันเข้ามาบ้าง
"ยังรู้สึกปวดท้องหรือคลื่นไส้อยู่บ้างไหมครับ?"
นายแพทย์หนุ่มถามคำถามคล้ายกับนางพยาบาลเมื่อเช้าขณะนำเครื่องช่วยฟังเสียงหัวใจมาแนบลงบนหน้าอกของธีระ หลังฟังอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างพอใจ
"น่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ เดี๋ยวพอกลับบ้านก็กินยาที่หมอให้ แล้วก็พยายามกินข้าวให้เป็นเวลา นอนเยอะๆ แล้วก็ไม่ต้องเครียด แค่นี้อาการก็คงไม่กำเริบแล้ว มีอะไรจะถามหมอมั้ยครับ?"
"ไม่มีครับ ขอบคุณครับคุณหมอ"
จรัสพลพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจ เหล่าผู้มาเยี่ยมที่รออยู่จึงค่อยกรูกันเข้าไปล้อมเตียง สุเมธเห็นท่าทางธีระอยากลุกนั่งจึงช่วยปรับเตียงให้ ส่วนกฤตภาสนั้นเดินไปนั่งที่โซฟาริมผนังตั้งแต่ที่นายแพทย์หนุ่มเริ่มตรวจคนไข้แล้ว
"พี่ตี้เป็นไงบ้าง เมื่อวานตอนล้มบนเวทีพราวตกใจหมดเลย รู้งี้รีบบอกสต๊าฟแต่แรกว่าพี่ตี้เดินไม่ไหวก็ดีหรอก"
พราวภิรมย์เอ่ยขึ้นขณะมองใบหน้าของเขา พอเห็นว่าไม่ซีดขาวเช่นเมื่อวานก็ค่อยเบาใจ
"สงสัยเพราะแกไม่ได้กินข้าวเย็นแล้วก็มัวแต่เครียดเรื่องเดินแบบน่ะสิ แกทำฉันห่วงมากเลยนะตี้ คราวหลังฉันบอกให้กินข้าวแกต้องกินนะ"
ศันสนีย์เอ่ยบ้างด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์ ธีระรู้ดีว่าเพื่อนกำลังงอนจึงพยายามยิ้มเพื่อให้หายโกรธ
"ขอโทษนะซัน คราวหลังไม่ดื้อแล้ว ขอโทษด้วยนะครับแม่ ทุกคนเลยวุ่นวายกันไปหมด"
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะตี้ แม่เป็นห่วงตี้มากกว่า เห็นว่าเราไม่เป็นไรมากก็ดีแล้วล่ะ"
ผู้คนที่รุมล้อมรอบเตียงต่างผลัดกันถาม ผลัดกันแสดงความห่วงใย สีหน้าของธีระจึงค่อยดูสดใสขึ้น ฝ่ายกฤตภาสเพียงแต่นั่งมองจากโซฟาและจิบกาแฟที่เย็นชืดแล้วเงียบๆ
"ลูกกฤตเป็นไงบ้าง นี่อยู่เฝ้าน้องเขาทั้งคืนเลยเหรอลูก?"
"ครับหม่าม้า"
กฤตภาสหันมายิ้มบางๆ ให้หญิงสูงวัยข้างกาย ถึงแม้วิรดาจะไม่ใช่แม่ของเขาแต่ก็เห็นเขามาแต่อ้อนแต่ออก เขาจึงให้ความเคารพอีกฝ่ายไม่ต่างจากแม่ของตัวเอง
วิรดาเห็นชายหนุ่มเบนสายตากลับไปทางคนที่นั่งพิงหมอนพูดคุยกับเพื่อนๆ แล้วก็ถอนหายใจ เมื่อวานนี้เธอรีบถามลูกชายทันทีที่ฝ่ายนั้นกลับถึงบ้านว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกลางงานเลี้ยงนั้นเป็นมาอย่างไรแน่ เธอเอ็นดูกฤตภาสเหมือนเป็นลูกอีกคนจึงเป็นธรรมดาที่ต้องการเข้าใจสถานการณ์ แล้วยังไม่นับว่าเดี๋ยวพอมุกตาภาซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของกฤตภาสได้รู้เรื่องเข้าจะต้องมาถามเธออีกแน่นอน ดังนั้นการเตรียมตัวไว้ก่อนย่อมดีที่สุด
ใจคนยากแท้หยั่งถึง เธอรู้จักกฤตภาสมาตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่คลอด พอโตเป็นหนุ่มก็เห็นข่าวว่าคบคนนั้นคนนี้แต่ไม่ยืดจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นชายหนุ่มในแง่มุมที่ไม่เคยเห็น ไม่นับภาพที่ตำตาตอนก้าวเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยเมื่อครู่ จะให้สงบสติอารมณ์เหมือนยามปกติเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
มุกเอ๋ยมุก...ฉันล่ะกลัวใจเธอแทนตากฤตจริงๆ
หญิงสูงวัยตบมือลงบนหลังมือของเขาเบาๆ ดึงความสนใจของกฤตภาสให้หันกลับมาอีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยเอ่ยด้วยเสียงที่พอจะได้ยินกันเพียงสองคน
"เหวินเล่าให้หม่าม้าฟังแล้วนะลูก หม่าม้าจะไม่บอกแม่ของเราหรอกนะ แต่ถ้าโดนเรียกไปคุยก็ไว้หน้าแม่เขาบ้างนะจ๊ะ"
กฤตภาสเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อยและตบหลังมือผู้สูงวัยแทนการตอบรับ แต่กลับไม่รู้สึกกังวลใจกับแม่ของตัวเองเลยสักนิด ถูกล่ะว่าหากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรวมถึงเหตุผลของเขาแล้วหม่อมหลวงมุกตาภาจะต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่นอน แต่เขารับมือกับความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นแม่จนชาชินเสียแล้ว ที่เขาเป็นกังวลตอนนี้กลับเป็นแรงกดดันจากคนอื่นมากกว่า
ถ้าหากดูตามเวลา พวกเขาก็น่าจะใกล้มาถึงในอีกไม่นานนี้
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากกว่านั้น ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกผลักเข้ามาด้านใน ผู้ที่ก้าวเข้ามาเป็นหญิงชายวัยกลางคนที่ธีระคุ้นหน้าดี และนั่นทำให้เขาเลิกคิ้วสูงด้วยความคาดไม่ถึง
"พ่อ? แม่?"
"น้องตี้ ไม่เป็นไรใช่มั้ยลูก ไม่ได้ปวดท้องโรคกระเพาะมาตั้งหลายปีแล้วนี่นา"
ธาริณีเดินมายังข้างเตียงพลางลูบหลังไหล่ลูกชายด้วยความห่วงใย หลังจากทุกคนรู้ว่าผู้สูงวัยทั้งสองเป็นใครก็ไหว้ทักทาย ฝ่ายอธิศมองหน้าของทุกคนแล้วก็เอ่ยถามเสียงนิ่ง
"กฤตภาสคือคนไหน?"
"ผมเองครับ"
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปไหว้ชายวัยกลางคนที่เตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะ แต่ช่วงตัวที่ล่ำหนาบ่งบอกว่าในวัยหนุ่มคงกำยำไม่น้อย ผู้สูงวัยกวาดตามองเขาขึ้นลงก่อนจะกำมือแน่น
"แกเองรึ"
"ว้าย!"
"พ่อ!!"
ทุกคนร้องอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสียง 'พล่อก!' พร้อมกับที่กำปั้นลุ่นๆ กระแทกเข้ากับหน้าของกฤตภาสโดยไม่มีใครห้ามทัน ร่างสูงกระเด็นลงไปบนพื้นตามแรงหมัดทันที วิรดาที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบเข้ามาประคองกฤตภาสขึ้นนั่ง พอเห็นชายหนุ่มก้มลงไปบ้วนเลือดบนพื้น และเห็นแวบๆ ว่ามีฟันกรามซี่หนึ่งปนอยู่ในกองเลือดผสมน้ำลายด้วยก็มือไม้อ่อน เสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากก็สั่นไปด้วย
"ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันดีๆ เถอะ"
"ไม่มีอะไรต้องพูด คุณถอยออกมาให้ห่างๆ มันเดี๋ยวนี้!"
"พ่อ! ไหนสัญญากันไว้ว่าจะใจเย็นก่อนไง!"
"แม่เห็นหน้ามันแล้วยังใจเย็นได้อยู่เหรอ!? หันไปดูลูกซิว่าตอนนี้เป็นยังไง!"
ธีระหน้าซีดเผือดขณะมองแม่ที่กำลังพยายามยื้อพ่อไว้จากด้านหลัง ความจริงอาการเขาดีขึ้นมากแล้ว แต่ความตกตะลึงทำให้นึกคำพูดไม่ออกในทันที
"ไหน? โทรให้มาที่นี่เพราะบอกว่ามีเรื่องอยากคุยไม่ใช่เหรอ!? งั้นก็ลุกขึ้นมาคุยสิ ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงก็อย่าเอาแต่ซุกชายกระโปรงคนอื่น!"
นัยน์ตาของกฤตภาสวาวโรจน์ขณะปาดเลือดที่ไหลหยดจากปลายจมูกและมุมปาก บรรยากาศอันตึงเครียดทำให้ทุกคนในห้องแทบไม่กล้าหายใจ แต่ชายหนุ่มก็เพียงแค่หยัดตัวขึ้นยืนและสบตาอีกฝ่ายนิ่ง
"ผมมีเรื่องอยากคุยจริงๆ แต่นี่เป็นเรื่องเฉพาะพวกเรา ผมอยากขอให้คนอื่นออกไปก่อน"
"ทำไม? กล้าทำไม่กล้ารับรึไง? ไม่ต้องให้ใครออกไปทั้งนั้นแหละ! ไหนๆ มาแล้วก็ให้อยู่ฟังกันให้หมด!!"
"พ่อ! อย่าลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวได้มั้ย! ขอโทษนะคะ ทุกคนช่วยออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะค่ะ"
เมื่อเห็นว่าสามีเริ่มทำตัวไม่มีเหตุผล ธาริณีจึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนของลูก เธอไม่อยากให้พวกเขาติดภาพว่าพ่อของธีระป่าเถื่อนเหมือนไม่มีการศึกษา แต่แน่นอนว่าในเวลานี้คงอธิบายกับสามีไม่ได้
พวกของศันสนีย์มองหน้ากันไปมา และด้วยตระหนักว่าขืนอยู่ในห้องต่อไปก็มีแต่จะสร้างความลำบากใจจึงพากันทยอยเดินออกจากห้อง กฤตภาสจึงหันไปบอกคนที่ยืนด้านหลังบ้าง
"หม่าม้าก็ออกไปด้วยเถอะครับ"
"แต่ว่า..."
"ไม่เป็นไรหรอกครับ อะไรที่ผมผูกเองก็ต้องแก้เอง อย่าดึงใครเข้ามาเกี่ยวเลยครับ"
ชายหนุ่มบีบมืออีกฝ่ายพลางจ้องตานิ่ง วิรดาเข้าใจสิ่งที่กฤตภาสต้องการจะสื่อ จึงได้แต่พยักหน้าแล้วเดินออกไปยังหน้าประตู แต่ก่อนจะก้าวออกไปก็ยังหันมาเอ่ยกับคู่สามีภรรยาที่ยืนอยู่กลางห้อง
"อย่าใช้ความรุนแรงกันเลยนะคะ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน ขอร้องล่ะ"
ประตูห้องปิดลงแล้ว ภายในห้องมีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงของอธิศที่ดูเหมือนยังอยากเห็นเลือดจากกฤตภาสมากกว่านี้ กล้ามเนื้อทั่วร่างที่เกร็งขมวดบ่งบอกว่าพร้อมจะตรงเข้าทำร้ายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ทุกชั่วอึดใจ ขัดกันอย่างยิ่งกับท่าทางสงบนิ่งของกฤตภาสที่ยืนทิ้งแขนข้างลำตัวไว้เฉยๆ
ความเงียบอันน่าอึดอัดกำจายในอากาศจนธีระรู้สึกมวนท้องขึ้นมาอีก เขามองผู้ให้กำเนิดที่กำลังยืนจ้องตากฤตภาสแล้วก็ไม่รู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะคลี่คลายอย่างไรดี กลายเป็นแม่ของเขาที่ทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก
"คุณกฤต เมื่อคืนแม่ตกใจมากที่คุณโทรมา นึกว่าเราคงไม่ต้องเจอกันแล้วเสียอีก"
"ขอโทษด้วยครับที่โทรไปหากลางดึก แต่ผมเป็นห่วงตี้ แล้วผมก็อยากเจอคุณแม่กับคุณพ่อจริงๆ"
"ฉันมีลูกชายคนเดียว! แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ!"
ธาริณีที่ยังดึงแขนสามีไว้หันไปปรามอีกฝ่ายด้วยสายตา เรื่องที่สามีเจ็บแค้นแทนลูกชายนั้นเธอย่อมเข้าใจและรู้สึกไม่ต่างกัน แต่ก็รู้ดีว่าการปล่อยให้ใช้กำลังมีแต่จะยิ่งเพิ่มปัญหา
ที่สำคัญ...ถึงแม้จะปรายตาไปมองเพียงแวบเดียว แต่สัญชาตญาณของคนเป็นแม่ก็พอจะบอกได้ว่าลูกกำลังเป็นห่วงคนที่ยืนเลือดกบปากตรงหน้าแค่ไหนด้วย
"คุณกฤต บอกไว้ก่อนนะว่าพ่อของตี้เขาเคยเป็นนักมวยมาก่อน ทางที่ดีอย่ายั่วโมโหให้ตัวเองเจ็บตัวมากกว่านี้จะดีกว่า"
หญิงสูงวัยหันมาเอ่ยเตือนเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ กฤตภาสได้ฟังก็เลิกคิ้วเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่โกหกเพราะแรงหมัดเมื่อครู่ทำเอาเขาหน้ามืดไปชั่วขณะ
หญิงสูงวัยเอ่ยต่อ "คุณจำที่เราเคยคุยกันหลังจากที่ตี้เลิกไปฝึกงานได้ใช่มั้ย?"
"ได้ครับ"
กฤตภาสพยักหน้าพลางยกมือขึ้นปาดเลือดกำเดาที่ยังซึมอยู่ใต้จมูก ธีระได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็เลิกคิ้ว แม่ของเขาเคยคุยกับคุณกฤตระหว่างที่เขาไปอยู่ที่น่าน? ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย?
"แม่ขอพูดอีกครั้งนะคุณกฤตภาส แม่อโหสิให้คุณ ถือว่าคุณคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตี้มาก่อน แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเหตุให้ต้องข้องเกี่ยวกันแล้วก็ตัดบ่วงกรรมนี้เสียเถอะ ในเมื่อคุณเองก็มีพร้อมทุกอย่างในชีวิตอยู่แล้ว อย่าให้ตี้ต้องกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของคุณเลย แม่ไม่ได้เลี้ยงเขามาให้ถูกใครย่ำยีไม่ว่าจะทางร่างกายหรือว่าจิตใจ แค่นี้นะคะ"
ทุกคำพูดที่ได้ยินผ่านทางโทรศัพท์ตอนที่เขาโทรไปถามว่าธีระอยู่ไหนยังดังก้องในความทรงจำ ตอนนั้นเขามีแต่ความร้อนใจ อยากรู้ว่าเด็กหนุ่มอยู่ที่ไหนโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมต้องทนไม่ได้ที่อีกฝ่ายจากไปถึงขนาดนั้น จนกระทั่งได้รับรู้ความต้องการที่แท้จริง ได้กลับมาพบธีระอีกครั้งและเห็นกับตาว่าได้สร้างรอยแผลในใจให้เด็กหนุ่มแค่ไหน กฤตภาสก็ตระหนักแล้วว่าเขาต้องทำทุกวิถีทางให้อีกฝ่ายเลิกคิดว่าตัวเองเป็น 'ส่วนเกิน' ในชีวิตเขาให้ได้
หากคำว่าขอโทษเป็นหนึ่งในการจะก้าวไปสู่จุดนั้น เขาก็ไม่เกี่ยงงอนที่จะเอ่ย
"ผมขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ที่เคยทำไม่ดีไว้กับตี้ แต่นอกจากคำขอโทษแล้วผมอยากจะขอแก้ตัวด้วย ต่อจากนี้ผมจะไม่ยอมให้ตี้ไม่มีความสุขเพราะผมเด็ดขาด ดังนั้นผมขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ผมขอลูกชายของพ่อกับแม่ได้ไหมครับ"
ทั้งสามคนที่เหลือในห้องอึ้งไป ธีระเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู คุณกฤตพูดอะไรน่ะ นี่โดนพ่อของเขาต่อยจนเสียสติไปแล้วหรือไงกัน นี่คือผู้ชายคนที่เคยใช้ลูกไม้มาขู่บังคับให้เขาเป็นเซ็กส์เฟรนด์จริงๆ น่ะหรือ
พล่อก!
"พ่อ!!"
เสียงหมัดลุ่นๆ ที่ปะทะเข้ากลางลำตัวของกฤตภาสอีกครั้งจนชายหนุ่มตัวงอพับลงบนพื้นเรียกเสียงร้องจากทั้งธาริณีและธีระ แรงกระแทกอันหนักหน่วงทำให้กฤตภาสอาเจียนอาหารเช้าออกมา กระนั้นหลังจากตั้งตัวได้ ชายหนุ่มก็พยายามประคองตัวเองลุกขึ้นยืนอีก แม้ท่าทางจะโซเซแทบยืนไม่อยู่ แต่เขาก็ยังสบตากับชายวัยกลางคนที่จ้องมองเขาอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่หลบเลี่ยง
"ฉันไม่ให้ลูกฉัน! แกคิดว่าตัวเองดีเด่มาจากไหน!? ทำให้คนเขาอับอายแล้วก็มาแกล้งทำเป็นขอโทษ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันแล้วต่อไปแกจะไม่ทำให้ลูกฉันเสียใจ! แล้วพวกแฟนที่เคยพากันออกข่าวนั่นจะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน?"
"แฟนพวกนั้นผมเลิกหมดแล้ว คนล่าสุดนั่นก็เป็นแค่ญาติห่างๆ กันแต่นักข่าวเอาไปสร้างกระแสกันเอง ผมรู้ว่าไม่มีหลักประกันให้วางใจเรื่องของผมกับตี้ แต่ผมมั่นใจว่าผมพิสูจน์ให้เห็นได้"
แน่นอนว่ากฤตภาสไม่คิดจะบอกว่าแม่ของเขาคิดจะจับคู่ให้เขากับเกล็ดมณี เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
น้ำเสียงของกฤตภาสแหบแห้ง กระนั้นเจ้าตัวก็ยังกัดฟันทนเพื่อไม่ให้ล้มลงไปอีก ธีระมองกองเลือดและอาเจียนบนพื้นแล้วก็รับรู้ได้ว่าใบหน้ากำลังเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
กฤตภาสที่ยอมก้มหัวขอขมาคนอื่นถึงเพียงนี้ เขาไม่เคยเห็นและไม่อยากเห็นอีกแล้ว
"พ่อ...พอเถอะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงพร่า ผู้สูงวัยทั้งสองดูจะเพิ่งตระหนักว่าลูกชายยังอยู่บนเตียง อธิศตวัดสายตามองกฤตภาสอย่างไม่หายโกรธก่อนจะเดินเข้าไปหาธีระ
"ตี้ ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วก็กลับบ้าน เดี๋ยวพ่อกับแม่พากลับสุพรรณวันนี้เลย ยังไงก็มีเวลาอีกสองสามวันก่อนจะเปิดเทอม เดี๋ยวพ่อพากลับมาส่งเอง"
ธีระมุ่นคิ้วพลางหันไปมองผู้เป็นแม่ หญิงสูงวัยพยักหน้าราวจะบอกว่าให้ทำตามที่สามีบอกไปก่อน
"ก็ได้ครับ แต่ว่า...ตี้ขอคุยกับคุณกฤตก่อนได้ไหม"
"จะคุยกับมันทำไมอีก! คนพรรค์นี้อยู่ด้วยนานไปก็เป็นเสนียดจัญไรกับชีวิตเท่านั้น ไม่ต้องไปเกลือกกลั้วอีกเลยนั่นแหละดีที่สุด!"
กฤตภาสได้แต่พยายามสูดหายใจลึกอย่างข่มใจ นี่เป็นผลจากการกระทำที่ผ่านมาของเขาเอง จะโดนดูถูกด้วยถ้อยคำเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแค่ไหนก็ต้องทน
ตราบใดที่คนที่เขาห่วงความรู้สึกที่สุดไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน เขาก็ไม่ได้หน้าบางจนถึงกับจะรับฟังคำสบประมาทเหล่านี้ไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยแยแสคำพูดของใครอยู่แล้วด้วย
"ถ้าพ่อไม่ให้ตี้คุย ตี้ก็ไม่กลับบ้าน"
เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาพลางเบ้ปาก เขารู้ดีว่าทั้งพ่อและแม่ต่างโอ๋เขาแค่ไหนเพราะเป็นลูกคนเดียว แม้จะรู้ว่าตอนนี้กำลังใช้ประโยชน์จากความใจอ่อนของทั้งคู่ แต่นี่ก็เป็นโอกาสเดียวที่จะได้ปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจมานานในที่สุด
"ตี้..."
"ได้ แต่แค่ห้านาทีเท่านั้นนะตี้ หมดเวลาแล้วพ่อกับแม่จะเข้ามาช่วยเก็บของกลับบ้าน"
ธาริณีรู้ดีว่าให้สามีพยายามดันทุรังก็เปลืองแรงเปล่า แม้ว่าส่วนตัวแล้วจะไม่ได้นึกอยากสนับสนุนการตัดสินใจของลูกเลยก็ตาม แต่ก็รู้ดีว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง...ผู้ให้กำเนิดอย่างพวกเขาก็ทำได้เพียงคอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ เท่านั้น
เด็กหนุ่มพยักหน้าขณะมองแม่ที่พยายามจะดึงแขนพ่อที่ท่าทางกระฟัดกระเฟียดออกไปจากห้อง กระทั่งประตูปิดสนิทลงแล้ว เขาจึงค่อยหันไปหากฤตภาสที่เดินเข้ามาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ชายหนุ่มฟุบหน้าลงบนฟูกขณะเอามือข้างหนึ่งกุมท้องเอาไว้
"คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า?"
ธีระถามอย่างเป็นห่วง แต่ละครั้งที่เสียงหมัดของพ่อกระทบกฤตภาสนั้นหัวใจของเขาก็คล้ายถูกโบยไปด้วย ตอนยังเล็กเขาเคยตามไปดูพ่อสอนเด็กที่ค่ายมวย รู้ดีอย่างยิ่งว่าพ่อของตัวเองหมัดหนักแค่ไหน กฤตภาสซึ่งโตมาแบบคุณชายจู่ๆ ก็โดนเข้าสองหมัดติดกันย่อมไม่มีทางทนรับได้โดยไม่เข็ดขยาด
"ก็นิดหน่อย ไม่คิดว่าจะโดนแบบนี้ก็เลยไม่ทันได้ตั้งตัว"
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าออกช้าๆ จนกระทั่งพอจะหายจุก เขาค่อยดันตัวนั่งตรงแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบตากับธีระ เด็กหนุ่มรีบหันไปหยิบกล่องทิชชู่แล้วเอามาซับเลือดที่ยังเกรอะกรังบนหน้าอีกฝ่ายทันที
"ขอโทษแทนพ่อผมด้วย ปกติพ่อเป็นคนใจดีมาก"
"ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าที่โดนไปนั่นก็สมควรแล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่พ่อเธอไม่พกปืนหรือมีดมาด้วย"
ธีระชะงักมือพลางเม้มปาก กฤตภาสเห็นดังนั้นจึงดึงมือของเด็กหนุ่มมากุมแน่น
"ฉันพูดเล่น อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ"
สัมผัสบนฝ่ามือช่วยปลอบประโลมให้จิตใจของธีระสงบลง เขาสบตากับกฤตภาสเงียบๆ ในอกระอุไปด้วยอารมณ์หลากหลายที่ผสมปนเปจนอธิบายไม่ถูก
คำพูดที่คุณกฤตบอกกับพ่อเมื่อกี้นี้...เขาเชื่อได้แค่ไหน
ธีระรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์คาดหวัง เพราะถ้าไม่หวังก็จะไม่ผิดหวัง แต่ท่าทีของกฤตภาสที่ยอมก้มหัวให้พ่อของเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน....มันทำให้ใจเขาอดจะโน้มเอียงไม่ได้ว่าหรือที่แท้แล้ว...เขายังไม่ถึงกับต้องปล่อยความหวังนี้ให้ลอยหายไปในอากาศเสียทีเดียว
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็เท่ากับเขายังเป็นที่ต้องการอยู่บ้างใช่ไหม?
"คุณเคยคุยกับแม่หลังจากผมเลิกฝึกงานด้วยเหรอ?"
"ตอนนั้นฉันติดต่อเธอไม่ได้ โทรไปหาแม่เธอก็ไม่ยอมบอก แต่เขาก็ทิ้งคำพูดที่ช่วยให้ฉันได้คิดเรื่องของเธอหลายข้ออยู่"
กฤตภาสยกมือของธีระขึ้นแนบบนแก้มข้างที่เริ่มช้ำเพราะถูกฤทธิ์หมัด เมื่อฝ่ามือเย็นๆ แตะลงก็ราวจะช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนบริเวณนั้นให้ทุเลาลงนิดหนึ่ง
"ตอนนั้นฉันบอกแม่เธอไปว่าเสียใจ เขาก็เลยบอกว่าฉันสมควรจะพูดคำนี้กับเธอมากกว่า แล้วเขาก็บอกด้วยว่าไม่ได้เลี้ยงลูกมาให้เป็นส่วนเกินของใคร ดังนั้นให้ฉันปล่อยเธอไปซะ พอมาคิดทบทวนดู ฉันก็รู้ว่าแม่เธอพูดถูก"
มือของธีระที่ถูกจับไว้ทำท่าจะกระตุกออก แต่กฤตภาสไม่ปล่อยมือและเพียงแต่สบตาอีกฝ่ายนิ่ง
"แม่เธอพูดถูกที่ว่าไม่ได้เลี้ยงเธอมาให้เป็นส่วนเกินของใคร ดังนั้นฉันก็เลยจะพิสูจน์ให้เห็น ว่าเธอไม่ใช่ส่วนเกินในชีวิตฉัน"
"...คุณก็แค่อยากเอาชนะแม่ผมเท่านั้นแหละ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องการผมจริงๆ หรอก"
น้ำเสียงของธีระสงบนิ่งจนกระทั่งตัวเองยังแปลกใจ นัยน์ตากลมโตแดงก่ำแต่ไร้หยาดน้ำตา ราวกับว่าวันนี้มันหลั่งไหลออกมาจนไม่เหลือจะหยดอีกแล้ว
"ไม่ใช่"
กฤตภาสสูดหายใจลึก เขาพยายามฝืนความเจ็บตรงช่องท้องแล้วลุกขึ้นโอบธีระไว้แนบอก เพราะมีแต่วิธีนี้ที่จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักว่าเขาพร้อมจะปกป้องเจ้าตัวได้
มันไม่ใช่ความรู้สึกตื้นเขินเพียงความสนใจอยากหยอกเย้าเล่นเหมือนที่ผ่านมา และไม่ใช่ความอยากเอาชนะคำสบประมาท เขาต้องการธีระมาอยู่เคียงข้างจากใจจริง
"เราอาจได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่นาน แต่ฉันมั่นใจว่าเธอรู้จักฉันดีพอ เข้าใจฉันมากพอว่าฉันไม่มีทางฝืนทำเรื่องที่ขัดกับความต้องการของตัวเอง ถ้าหากฉันเป็นคนดีขนาดนั้น ฉันก็คงไม่เข้าไปยุ่งกับเธอตั้งแต่แรกแล้ว"
ธีระได้ยินเสียงหัวใจของกฤตภาสจากแผ่นอกที่แก้มของเขาแนบอยู่ เมื่อสูดหายใจเข้าก็ได้กลิ่นคาวเลือดเบาบางจากคราบที่เกาะอยู่บนเสื้อของอีกฝ่าย จึงได้แต่กำชายเสื้อของกฤตภาสแน่นเข้า
"กับเรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉันไม่มีความจำเป็นต้องเอาชนะแม่เธอ แต่คำพูดของเขาทำให้ฉันฉุกคิดได้ว่าตัวเองคือคนที่บีบให้เธอตีตัวออกห่าง ฉันไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนก็ได้ในเมื่อเธอเคยพูดเองว่าขอให้ปล่อยเธอไป แต่ฉันไม่อยากปล่อย ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจ ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้"
อ้อมแขนของกฤตภาสกระชับรอบตัวของธีระแน่นเข้า ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดบนขมับราวจะเป็นตัวแทนของความปรารถนาที่คุกรุ่นในอกของอีกฝ่าย ความรู้สึกเดียวกันนั้นพลุ่งพล่านอยู่ในอกของเขาเช่นกัน
จริงหรือ นี่ไม่ใช่คำพูดหลอกลวงเพื่อให้เขากลับไปสู่วังวนเดิมใช่ไหม?
น้ำตาร้อนผ่าวไหลพรากลงมาอีกครั้ง มันร้อนจนคล้ายกับจะลวกผิวแก้มของเขาให้เป็นรอยได้ กฤตภาสรับรู้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของร่างในอ้อมแขนจึงยกนิ้วขึ้นกรีดหยดน้ำเหล่านั้นออก
"ฉันจะไม่ขอให้เธอเชื่อคำพูดของฉัน แต่ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นเอง เธอก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นคนที่ลงมือทำมากกว่าพูด"
"ผมรู้..."
"หมดเวลาแล้ว ตี้ กลับบ้าน!"
บานประตูเปิดออกพร้อมกับที่อธิศเดินเข้ามาในห้องโดยมีธาริณีเดินตามหลัง ธีระหันไปมองก่อนประตูจะปิดลงและเห็นว่าพวกเพื่อนๆ ยังคงยืนให้กำลังใจอยู่นอกห้อง มุมปากได้รูปจึงยกขึ้นน้อยๆ คล้ายจะบอกทุกคนว่าไม่ต้องเป็นห่วง
หลังจากที่นางพยาบาลเข้ามาช่วยถอดเข็มน้ำเกลือและธีระเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พ่อกับแม่ก็พาเขาไปทำเรื่องจ่ายค่าห้องพัก ตลอดเวลานั้นกฤตภาสได้แต่ข่มความต้องการที่จะเสนอตัวออกค่าใช้จ่ายเพราะรู้ว่ารังแต่จะทำให้พ่อของธีระเหม็นขี้หน้ามากขึ้น กระนั้นเมื่อผู้สูงวัยทั้งสองพาเด็กหนุ่มไปที่รถโดยมีพวกเพื่อนๆ เดินตามไป เขาก็ยังตามไปส่งโดยไม่สนว่าบนใบหน้าและเสื้อผ้าตัวเองยังมีคราบเลือดติด
ทันทีที่ยอมรับความรู้สึกต่อหน้าเจ้าตัว กฤตภาสก็แทบทนเห็นธีระต้องจากไปอีกไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ดีว่าพอเปิดเทอมเมื่อไหร่พวกเขาย่อมได้เจอกันอยู่แล้วก็ตาม
"กลับถึงบ้านแล้วก็พักผ่อนเยอะๆ นะตี้ แล้วเจอกันอีกทีวันเปิดเทอม"
พวกเพื่อนๆ เข้าไปกอดลาธีระและเอ่ยให้กำลังใจ ส่วนกฤตภาสเพียงแค่ยืนอยู่นอกวงและมองส่งเงียบๆ เขาได้ใช้เวลาตามลำพังกับเด็กหนุ่มและเอ่ยทุกสิ่งที่ต้องการออกไปหมดแล้ว หากทำอะไรอีกในยามนี้ก็มีแต่จะขวางหูขวางตาพ่อแม่ของอีกฝ่ายอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ต้องทน
"ถ้างั้น...เดี๋ยวค่อยเจอกันนะ"
ธีระเอ่ยหลังจากขึ้นนั่งบนรถและเลื่อนบานกระจกลง แต่ถึงแม้จะดูเผินๆ เหมือนกำลังพูดกับทุกคน สายตาของเด็กหนุ่มกลับทอดไปยังกฤตภาสที่ยืนห่างออกไปทางด้านหลัง นัยน์ตากลมโตทอประกายขณะที่มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ไม่นานบานกระจกก็ถูกกดเลื่อนขึ้นและรถเก๋งสีน้ำเงินแล่นห่างออกไป
นั่นเป็นยิ้มแรกที่ธีระมอบให้เขาจากใจจริง
ทันทีที่ตระหนักถึงข้อนี้ ในอกของกฤตภาสก็อัดแน่นด้วยความฮึกเหิมอันพลุ่งพล่าน ความอิ่มเอมแล่นไปทั่วร่างด้วยความยินดีที่เขาคว้าหัวใจของธีระได้ทันก่อนที่เด็กหนุ่มจะทิ้งความหวังในตัวเขาโดยสิ้นเชิง
โชคดีที่เขาไม่ได้รู้ตัวสายเกินไป...
นาทีนี้กฤตภาสไม่ลังเลอีกแล้ว ต่อให้ครอบครัวของพวกเขาล้วนแต่ไม่เห็นด้วยก็ช่าง เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ธีระมาอยู่เคียงข้างอย่างแท้จริง
++---TBC--++
A/N: โทษฐานที่หายหน้าไปนาน คราวนี้เลยมาแบบยาวๆ ให้จุใจหายคิดถึงกันไปเลยค่ะ ^^
ปล. ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขียนนิยายถึงตอนที่ 40 แล้วยังไม่จบ
ปล.คิดถึงไรท์มากหายไปนานเกิน^^