แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
บทที่ 5
การฝึกงานของธีระล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่สองอย่างราบรื่น โดยความท้าทายแรกก็คือการจัดปาร์ตี้มอบรางวัลของบริษัทขายตรงแห่งหนึ่งที่จะจัดในคืนวันศุกร์
เนื่องจากเด็กหนุ่มมาเริ่มฝึกงานหลังจากบริษัทสรุปรายละเอียดกับลูกค้าไปแล้ว หน้าที่ของเขาจึงเหลือเพียงการช่วยรุ่นพี่ติดตามงานจากซัพพลายเออร์รายต่างๆ เช่นการติดตามความคืบหน้ากับทีมออกแบบเวที การติดต่อพิธีกรและพริตตี้จากโมเดลลิ่ง การประสานงานกับผู้จัดการของศิลปิน รวมไปถึงงานจุกจิกอย่างการช่วยตรวจนับของที่ระลึก แล้วเมื่อเสร็จงานในแต่ละวันก็ยังต้องอยู่ร่วมประชุมในตอนเย็นเพื่อติดตามความคืบหน้าของการเตรียมงาน กว่าเขาจะได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องจึงเหนื่อยจนหลับเป็นตายทุกคืน
แต่นั่นกลับเป็นสิ่งดี เพราะมันทำให้ธีระไม่ฝันถึงเหตุการณ์ในผับอีกเลย
ถึงแม้สุเมธซึ่งเป็นเพื่อนคนเดียวที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจะบอกเขาว่ายินดีรับฟังหากมีเรื่องไม่สบายใจ ธีระก็เลือกจะไม่เท้าความถึงสาเหตุที่จู่ๆ ก็ไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับชายแปลกหน้าในคืนนั้น และไม่คิดจะปริปากเรื่องที่คืนถัดจากนั้นมาก็มักจะฝันถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำและบันไดหนีไฟของผับแห่งนั้นอยู่บ่อยครั้ง
ภาพในฝันมักจะพร่ามัวเช่นเดียวกับความทรงจำที่ขาดๆ หายๆ บางครั้งเขาก็รู้สึกเหมือนจำเค้าหน้าผู้ชายคนนั้นได้อย่างเลือนราง แต่บางครั้งก็เหมือนกับตัวเองกำลังโดนความมืดอันไร้รูปร่างโอบกอด ช่วงสองสามวันแรกหลังจากเกิดเรื่อง ไม่มีใครรู้เลยว่าธีระต้องตื่นนอนในสภาพเหงื่อโซมกายและเกิดอาการหวาดหวั่นคนรอบข้างแค่ไหน เขานึกประหวั่นไกลไปถึงว่าหากออกไปเดินบนท้องถนน ใครบางคนจะเดินเข้ามาถามเขาว่าจำค่ำคืนที่เคยอยู่ในอ้อมแขนเจ้าตัวได้หรือไม่ และธีระไม่รู้ว่าจะรับความอับอายที่จะตามมาได้อย่างไร
แต่เมื่อหลายวันผ่านไปก็ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นที่นึกหวั่น ผลตรวจเลือดก็ยืนยันว่าไม่ติดเชื้ออะไร ประกอบกับได้เริ่มฝึกงานซึ่งมีอะไรใหม่ๆ ให้เรียนรู้ทุกวัน เด็กหนุ่มจึงพบว่าตนคิดถึงเหตุการณ์นั้นน้อยลงทุกที
เขาได้แต่หวังอย่างเข้าข้างตัวเองว่าสักวันหนึ่ง...เวลาที่ผันผ่านคงจะช่วยกลบฝังความทรงจำในคืนนั้นได้ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ไปเอง... และหวังว่าคู่กรณีก็คงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งตัวเขาได้เช่นกัน
++------++
เมื่อเช้าวันศุกร์ซึ่งเป็นวันงานปาร์ตี้มาถึง ธีระก็สวมเสื้อเชิ้ตสีดำซึ่งบนอกซ้ายปักด้ายสีทองเป็นโลโก้และชื่อบริษัทไว้บนกระเป๋า นี่เป็นเสื้อเครื่องแบบพนักงานของ Illumination Events Management ซึ่งนอกจากเสื้อเชิ้ตแล้วก็มีเสื้อยืด เสื้อคอโปโลและแจ็คเก็ตด้วย โดยสำหรับอิเว้นท์แต่ละงานนั้นกฤตภาสจะเป็นคนกำหนดว่าให้ใส่เสื้อตัวไหน สำหรับงานเลี้ยงในคืนนี้ค่อนข้างเป็นทางการเพราะจัดในลักษณะกาล่าดินเนอร์ ดังนั้นทีมงานของกฤตภาสจึงต้องแต่งกายค่อนข้างสุภาพเพื่อให้เกียรติลูกค้าแม้จะไม่ได้ร่วมกินเลี้ยงด้วยก็ตาม
เนื่องจากงานนี้จัดที่โรงแรมในช่วงค่ำ ธีระจึงต้องไปบริษัทในตอนเช้าก่อนเพื่อช่วยเตรียมอุปกรณ์สำหรับขนไปยังสถานที่จัดงาน เด็กหนุ่มได้รับมอบหมายจากรุ่นพี่ให้ช่วยเช็คของต่างๆ รวมถึงจัดเตรียมอุปกรณ์จุกจิก พอถึงช่วงพักกลางวัน กฤตภาสก็อนุญาตให้ทีมงานที่ยังไม่เดินทางไปสถานที่จัดงานโทรสั่งพิซซ่ามาทานได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อหาข้าวเที่ยงที่ตลาดซึ่งต้องเดินไปไกลจากบริษัทพอสมควร
หลังจากที่แม่บ้านให้คนส่งพิซซ่าช่วยยกอาหารขึ้นมาไว้ที่ห้องประชุม พนักงานทุกคนก็พากันเฮโลไปกินมื้อกลางวันฟรีอย่างพร้อมเพรียง วีณาซึ่งเป็นเลขาฯ ของกฤตภาสมองไปรอบตัวขณะหยิบขนมปังกระเทียมเข้าปากแล้วก็นึกขึ้นได้
"ตายจริง ยังไม่มีใครไปบอกคุณกฤตเลยนี่นาว่าพิซซ่ามาส่งแล้ว เมื่อกี้ก็ไม่เห็นเดินออกมาจากห้องด้วย สงสัยยังไม่รู้แน่ๆ เลย"
"เดี๋ยวผมไปบอกให้ก็ได้ครับพี่วีร์"
ธีระรีบอาสาเพราะเขาค่อนข้างคุยถูกคอกับรุ่นพี่คนนี้ และยังรู้ด้วยว่าไม่ควรให้เธอออกกำลังมากนักเพราะตอนนี้ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว รุ่นพี่สาวจึงยิ้มและพยักหน้าอย่างขอบคุณ
"รบกวนหน่อยนะจ๊ะตี้"
เด็กหนุ่มยิ้มให้แล้วเดินออกจากห้องประชุม เขาหยุดที่หน้าห้องของกฤตภาสแล้วก็ยกมือขึ้นเคาะประตู แต่ยืนรอครู่ใหญ่ก็ยังได้ยินแต่ความเงียบ จึงลองหมุนลูกบิดดูเพราะสงสัยว่าเจ้าของห้องอาจไม่อยู่
"อ๊ะ"
เด็กหนุ่มอุทานเมื่อพบว่าเจ้าของห้องไม่ได้ออกไปไหน แถมยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่งหลังโต๊ะด้วยซ้ำ แต่เก้าอี้ตัวนั้นถูกหมุนให้หันไปทางหน้าต่าง ส่วนเจ้าตัวกำลังเอนหลังพิงพนัก สองมือวางประสานกันอยู่บนหน้าท้องโดยที่สองตาหลับสนิท
ไม่ได้ยินเพราะเสียบหูฟังอยู่นี่เอง...
สายเสียบหูฟังที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะบอกให้รู้ว่าทำไมคนในห้องจึงไม่ตอบรับเสียงเคาะประตู ซึ่งเป็นไปได้ว่าคงเพราะอยากพักผ่อนในเวลาพักเที่ยง เขาจำได้ว่าพวกรุ่นพี่เคยเล่าให้ฟังว่ากฤตภาสมักกลับบ้านดึกเสมอยกเว้นวันไหนที่มีนัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากระหว่างวันจะอ่อนเพลียและอยากหาโอกาสงีบบ้าง
ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากกวนเลย แต่ถ้าไม่บอกว่ามีอาหารมาแล้วเดี๋ยวเขาก็โดนโกรธเอาน่ะสิ ตัวใหญ่อย่างนี้ยิ่งน่าจะกินจุด้วย...
ธีระไม่ปฏิเสธว่านับตั้งแต่ได้เข้ามาฝึกงานที่บริษัทนี้ เขาก็ค่อนข้างชื่นชมกฤตภาสในฐานะผู้บริหารหนุ่มที่บุกเบิกกิจการด้วยตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในอิเว้นท์ออแกไนเซอร์ชั้นนำ นอกจากนั้นเจ้าตัวยังดูแลตัวเองดีมากไม่ว่าจะด้านบุคลิกหรือการแต่งกาย ซึ่งแม้จะไม่ใช่การใส่สูทผูกไทเหมือนนักธุรกิจแต่ก็ยังชวนมอง เพียงแต่นัยน์ตาที่ดูดุก็ทำให้เขาไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เช่นกัน เพราะเกรงจะโดนเข้าใจผิดว่าพยายามสร้างความสนิทสนมทั้งที่เขาไม่ได้คิดกับเจ้าตัวในแง่นั้น
สุดท้ายธีระก็ตัดสินใจว่าต้องปลุกกฤตภาสจึงเดินเข้าไปในห้อง แต่ไม่รู้เพราะอีกฝ่ายหลับสนิทจริงๆ หรือว่าเสียงดนตรีที่อุดหูไว้ดังเกินไป จึงไม่มีทีท่าจะรู้ตัวสักนิดว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ข้างเก้าอี้แล้ว
เอาไงดีล่ะเนี่ย ถ้าจู่ๆ ไปกดหยุดเพลงในมือถือก็คงเสียมารยาท ถ้างั้นแค่แตะๆ แขนให้รู้สึกตัวก็พอมั้ง...
ธีระคิดขณะยื่นมือออกไป แต่ปลายนิ้วเพิ่งจะสัมผัสแขนอีกฝ่ายก็ต้องสะดุ้งเมื่อกฤตภาสลืมตาโพลงแล้วยื่นมือมาคว้าข้อมือเขา เด็กหนุ่มทำตาโตขณะที่ร่างสูงใหญ่ก็ทำหน้าแปลกใจไม่แพ้กัน
"เอ่อ...คุณกฤต...พิซซ่ามาส่งแล้วครับ"
เด็กหนุ่มรีบอธิบายจุดประสงค์ที่เข้ามาในห้องโดยพลการ แต่กฤตภาสมองหน้าเขาแล้วก็มุ่นคิ้ว
"หืม?"
ชายหนุ่มหันไปกดปิดเสียงเพลงบนโทรศัพท์โดยไม่ปล่อยมือที่จับไว้ ธีระจึงใช้วิธีค่อยๆ บิดข้อมือออกจากอุ้งมือใหญ่เสียเองด้วยความกระดาก
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ออกแรงยื้อขณะม้วนหูฟังเก็บใส่ลิ้นชัก
"เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?"
"ผมบอกว่าพิซซ่ามาส่งแล้วครับ แล้วก็จะถามว่าคุณกฤตจะไปกินด้วยกันที่ห้องประชุมหรือจะให้ยกมาให้ที่นี่"
เด็กหนุ่มตอบพลางก้าวถอยหลังขณะที่อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน กฤตภาสใช้อุ้งมือนวดขมับข้างหนึ่งก่อนจะตอบช้าๆ "เข้าใจล่ะ งั้นฉันไปกินที่ห้องประชุมก็แล้วกัน"
"โอเคครับ"
ธีระตอบอย่างโล่งใจแล้วก็เดินนำไปที่ประตู ฝีเท้าเขาเร่งเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงคนที่เดินตามมา เขาก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้อีกฝ่ายนัก แต่อาจเป็นเพราะตั้งแต่เริ่มมาฝึกงาน เขาก็ไม่ค่อยได้คลุกคลีสนิทสนมกับกฤตภาสเหมือนกับรุ่นพี่คนอื่นๆ แล้วยังความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่ามากทั้งโดยวัยวุฒิและตำแหน่ง เขาจึงค่อนข้างเกร็งเวลาคุยด้วยก็เป็นได้
เมื่อทั้งสองมาถึงห้องประชุม อาหารที่สั่งมาก็พร่องไปมากแล้ว โชคดีที่วีณากันส่วนสำหรับธีระกับกฤตภาสไว้ให้ ทั้งคู่จึงมีพิซซ่าถาดใหญ่หนึ่งถาดกับไก่บาร์บีคิวอีกหนึ่งกล่องเต็มๆ ให้แบ่งกันทาน ธีระจึงจำต้องไปนั่งที่เก้าอี้ข้างท่านผู้บริหารอย่างเลี่ยงไม่ได้
ท้องชักใหญ่มากแล้วนะวีร์ แฟนไม่บ่นรึไงที่ยังไม่ยอมลางานไปเตรียมเป็นคุณแม่เนี่ย
กฤตภาสถามพลางหยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งขึ้นทานด้วยมือเปล่า คนถูกถามจึงหัวเราะพลางลูบท้องที่นูนใหญ่ของตนเบาๆ
ก็บ่นเช้าบ่นเย็นล่ะค่ะคุณกฤต แต่ตอนนี้วีร์ยังไม่อยากกลับไปอยู่บ้านเฉยๆ ไว้เดี๋ยวเข้าเดือนที่เก้าค่อยคุยกันอีกทีค่ะ
หญิงสาวตอบแล้วก็หัวเราะคิก ตั้งแต่เธอท้องก็ได้แต่นั่งทำงานที่บริษัทโดยไม่ได้ออกไปช่วยคุมอิเว้นท์จึงถือว่าค่อนข้างสบาย ขณะที่เพื่อนร่วมงานอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยแซว
นี่ถ้าวันไหนพี่วีร์เจ็บท้องคลอดที่บริษัทคงมีเฮเลยนะเนี่ย
ทั้งห้องอวลด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง ก่อนที่กฤตภาสจะไถ่ถามความพร้อมของการเตรียมงานในช่วงกลางคืนเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น ฝ่ายธีระนั่งทานเงียบๆ ขณะฟังการติดตามงานไปเรื่อยเปื่อย
เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าถูกคนที่นั่งข้างๆ จับจ้อง แต่พอเหลือบตาไปก็เห็นกฤตภาสนั่งกินพิซซ่าหรือไม่ก็กำลังคุยกับใครอยู่ทุกครั้ง จึงอดไม่ได้จะต้องเตือนตัวเองให้เลิกอุปาทานเสียที
เมื่อทานอาหารกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย ธีระก็ลุกขึ้นช่วยรุ่นพี่เก็บกล่องและถุงขยะบนโต๊ะ เขาหันไปเห็นกฤตภาสกินพิซซ่าหมดพอดีจึงค้อมศีรษะเป็นเชิงขออนุญาตเอาถาดไปทิ้ง แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ชะงักเมื่อได้กลิ่นบางอย่างลอยมากระทบปลายจมูก
น้ำหอมกลิ่นนี้...
"มีอะไรรึ?"
คำถามของผู้สูงวัยกว่าปลุกเด็กหนุ่มจากภวังค์ เขาจึงรีบส่ายหน้าโดยไม่ลืมหยิบถาดพิซซ่าที่หมดเกลี้ยงมาใส่ถุงพลาสติก
"เปล่าครับ ไม่มีอะไร"
ธีระรีบเก็บขยะที่เหลือทั้งหมดแล้วเดินออกจากห้องประชุม เขารับรู้ได้ว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่กฤตภาสใช้ แต่พอเห็นนัยน์ตาดุๆ ของอีกฝ่ายที่เหลือบขึ้นมอง เขาก็ต้องรีบสลัดความคิดอันไร้สาระนั้นทิ้งไปโดยเร็ว
ก็แค่กลิ่นคล้ายๆ กันเท่านั้นแหละตี้เอ๊ย เป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณกฤตจะเป็นคนเดียวกับผู้ชายคนนั้น สมองเราทำไมหลงคิดอะไรเลื่อนเปื้อนไปได้ขนาดนี้เนี่ย...
เด็กหนุ่มจำได้ถึงบทสนทนากับพี่ๆ ทีมงานระหว่างที่ไปกินข้าวด้วยกันเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนั้นเขาได้ถามเกี่ยวกับความเป็นมาของบริษัท รวมถึงเรื่องของกฤตภาสตามประสาเด็กใหม่ที่อยากรู้จักองค์กรที่ตัวเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้มากขึ้น จึงได้รู้ว่ากฤตภาสมีเชื้อสายเจ้าเพราะมีแม่เป็นถึงหม่อมหลวง ส่วนพ่อที่หย่ากับแม่ไปแล้วก็เป็นถึงผู้ก่อตั้งธุรกิจการบันเทิงชั้นนำซึ่งมีทั้งค่ายเพลงและรายการโทรทัศน์ในเครือมากมาย นอกจากนั้นยังโสดแต่ก็มีหญิงสาวที่คบหาไม่ว่างเว้น หลายรายที่บรรดารุ่นพี่ไล่ชื่อให้ฟังก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการแทบทั้งสิ้น
เท่าที่ได้ฟังเรื่องของกฤตภาสจากรุ่นพี่ ธีระจึงอดคิดไม่ได้ว่าคนเจ้าชู้บางคนก็ไม่สามารถวัดกันได้จากความผิวเผินเช่นนิสัยช่างฉอเลาะหรือรักความเฮฮาเสมอไป เพราะนับจากวันที่มาฝึกงานและได้เข้าร่วมประชุมกับทุกๆ คน ภาพของกฤตภาสที่เขาติดตามักจะเป็นความสุขุม เอาการเอางานและไถ่ถามทุกเรื่องอย่างตรงประเด็นเสมอ ที่สำคัญยังไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนพูดตรงกันว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาเป็นพนักงานในบริษัท ต่อให้สวยแค่ไหนก็จะไม่ถูกกฤตภาสหมายตาเด็ดขาด
แล้วกับคนที่ควงดารานางแบบเป็นว่าเล่นอย่างนั้น...นับประสาอะไรจะมาสนใจเด็กฝึกงานที่อายุน้อยกว่าตั้งรอบ แถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันแบบเราอีกล่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก...
ธีระบอกตนเองให้เลิกฟุ้งซ่านขณะรวบถุงขยะเข้าไปทิ้งในครัว จึงไม่ได้รู้สักนิดว่าคนที่ยังนั่งอยู่ในห้องประชุมกำลังใช้มือหนึ่งเท้าคาง ขณะที่มืออีกข้างหยิบปากกามาหมุนพลางมองตามแผ่นหลังของเขาอย่างครุ่นคิด
นี่เป็นสัปดาห์ที่สองแล้วตั้งแต่ธีระเข้ามาอยู่ในบริษัทโดยที่กฤตภาสก็ยังไม่ได้เข้าใกล้เด็กหนุ่มสักเท่าไหร่ เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ทุกคนจดจ่อกับงานอิเว้นท์ที่กำลังงวด และเขาเองก็ไม่ค่อยว่างเพราะต้องออกไปนำเสนองานแก่ลูกค้ารายใหม่อยู่ตลอด การทำกิจการของตัวเองให้ได้ผลกำไรทุกเดือนไม่ใช่เรื่องง่าย กฤตภาสรู้ซึ้งและตระหนักเรื่องนี้ดีมาตลอดเจ็ดปีที่เปิดบริษัท
เมื่อตอนที่ได้เจอธีระอีกครั้งและพบว่าอีกฝ่ายจำเขาไม่ได้นั้น สัญชาตญาณบอกเขาให้หาวิธีใกล้ชิดเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่อีกใจก็ไม่อยากบุ่มบ่าม เพราะไม่แน่ธีระอาจจะเริ่มเข้าหาเขาก่อนหลังได้รับฟังความเป็นมาของเขาจากคนอื่นก็ได้ เขารู้ว่าไม่สามารถห้ามพนักงานไม่ให้คุยซุบซิบกันเรื่องชีวิตส่วนตัวของเจ้านาย แต่ก็ไม่เคยนำมาเป็นประเด็นตราบใดที่ไม่ได้มานินทาเขาต่อหน้าหรือทำให้เสียงานเสียการ และเขาก็รอดูว่าจะมีปฏิกิริยาใดๆ จากเด็กหนุ่มหรือไม่มาตลอดหลายวัน
แต่เขาก็ยังได้แต่รอเก้ออยู่นั่นเอง
เขาดูออกว่าธีระเป็นเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบผู้ชายด้วยกัน ถึงแม้จากภายนอกแล้วจะไม่ได้แสดงอาการกรีดกรายจนไม่น่ามอง เขาพอจะรู้มาว่าอีกฝ่ายพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ใกล้มหาวิทยาลัยคนเดียวและไม่มีคนรัก ดังนั้นด้วยวัยและความอิสระที่มี เด็กหนุ่มควรจะกล้าเปิดเผยตัวตนมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ แต่เท่าที่ได้เห็นคือธีระเป็นเด็กสุภาพที่ช่วยเหลืองานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายโดยตลอด และยังมีน้ำใจกับพวกรุ่นพี่ผู้หญิงอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการอาสาช่วยถือของหรือเปิดประตูให้ วีณาซึ่งเป็นเลขาฯ ของเขาเป็นพยานได้อย่างดีเพราะมักจะชมเด็กฝึกงานคนนี้ให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้กฤตภาสหงุดหงิดจนเหมือนมีเสี้ยนตำใจอยู่เป็นระยะ ก็คงจะเป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้เขานี่เอง ถึงแม้การอยู่ในบริษัทเดียวกันจะทำให้ทั้งสองต้องเดินเฉียดกันไปเฉียดกันมาอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่เห็นเขา ดูเหมือนธีระจะพยายามเลี่ยงไปเดินเส้นทางอื่นหรือหันไปมองทางอื่นทุกครั้ง ตอนที่อีกฝ่ายมาตามเขาที่ห้องเมื่อครู่จึงทำให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย
เขาพยายามแล้วที่จะทำใจเย็นและไม่แสดงอาการขัดอกขัดใจ แต่ดูเหมือนอาการที่ว่าจะกำเริบทุกทีที่เห็นเด็กหนุ่มกำลังพูดคุยหรือหัวเราะกับคนอื่น ในขณะที่กับเขานั้นอย่างมากก็เพียงยิ้มอย่างสุภาพให้และพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาด้วยอยู่ตลอด
กฤตภาสไม่ชอบการถูกใครเมินซึ่งๆ หน้า และที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครกล้ามองข้ามเขาแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกน้อง ไม่นับว่าคนคนนั้นยังเคยถูกเขากอดมาแล้วเสียอีก
เด็กคนนั้นยั่วให้เขาอยากแหกกฎที่ว่าจะไม่ยุ่งกับพนักงานในบริษัทมากเข้าไปทุกที...
กฤตภาสมองธีระที่กำลังเดินผ่านห้องประชุมกลับไปที่โต๊ะตัวเองหลังจากทิ้งขยะเสร็จ เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเหมือนกำลังอ่านอะไรบางอย่าง ภาพนั้นทำให้ชายหนุ่มหยุดนิ้วที่กำลังหมุนปากกา พร้อมกับความคิดชั่วร้ายที่วาบขึ้นในหัวในวินาทีนั้นเอง
++---TBC---++
A/N: รู้สึกว่าตอนนี้ออร่าความหื่นของกฤตภาสจะแผ่ออกมาชัดจนน้องตี้เริ่มจะแหยงๆ มีนักอ่านถามเราว่าเรื่องนี้จะเป็นโทนไหนจะได้เตรียมปรับอารมณ์ถูก ขอสารภาพว่าตอนแรกก็อยากลองเขียนดราม่าแอ๊งๆ แบบน้ำตากระเซ็นอยู่เหมือนกัน แต่ขณะที่เริ่มเขียนตอนที่ 8 ได้นิดหน่อยก็คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะน้องตี้เราก็ไม่ใช่พวกยอมใครโดยไม่สู้สักเท่าไหร่ ยังไงลุ้นกันต่อว่าคู่นี้จะพาเรื่องนี้ไปทางไหนด้วยกันนะคะ (อ๋อย เขิน
)