สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็ชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมรื่องแนว Boy's Loveดังนั้นหากไมชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
เล่ห์ลวงใจ บทที่ 28
ซ่า....
ธีระตื่นมาพบว่าพายุฝนเทกระหน่ำอย่างไม่เป็นใจในการเดินทางช่วงเช้าวันจันทร์เอาเสียเลย เขาลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างงัวเงียเพราะเมื่อคืนมัวแต่แชทกับเพื่อนๆ เรื่องวิชาที่จะลงทะเบียนในปีสี่จนดึกดื่น พอาบน้ำเสร็จแล้วก็รอจนกระทั่งฝนเริ่มซาจึงค่อยออกจากห้องเพื่อไปฝึกงานตามปกติ
ตอนที่ธีระไปถึงบริษัทนั้นรุ่นพี่คนอื่นๆ ล้วนมาถึงกันก่อนแล้ว เขายิ้มและพนมมือไหว้ทุกคนตามที่ทำเป็นประจำก่อนจะเดินไปยังโต๊ะซึ่งอยู่หน้าห้องของกฤตภาส ป้ายที่ห้อยอยู่ตรงลูกบิดประตูหันด้านที่เขียนคำว่า Out ออกมาด้านหน้า บ่งบอกว่าเจ้าของห้องยังมาไม่ถึง
หลังจากเก็บกระเป๋าใส่ในลิ้นชักแล้วเด็กหนุ่มก็เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มงาน สิ่งแรกที่เขาต้องทำทุกเช้าก็คือการเช็คอีเมล์ให้กฤตภาสเพื่อกลั่นกรองว่าอีเมล์ไหนสำคัญและอีเมล์ไหนเป็นเมล์ขยะ นอกจากนั้นแล้วก็คือเช็คตารางการประชุมหรือดูว่ามีใครมาขอนัดประชุมหรือไม่ โชคดีที่เช้านี้มีอีเมล์ที่เกี่ยวกับงานจริงๆ ไม่มากนักและล้วนแต่ไม่เร่งด่วน งานของเขาในช่วงเช้าจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว
"น้องตี้ นี่พวกจดหมายที่ส่งถึงคุณกฤตค่ะ วันนี้คุณกฤตไม่เข้าเหรอคะ?"
"เอ...ไม่แน่ใจเหมือนกันครับน้าจุก เดี๋ยวจดหมายกองนี้ผมเก็บไว้ให้คุณกฤตเองก็ได้ครับ"
"ได้ค่ะ งั้นน้าฝากด้วยนะคะ"
แม่บ้านวัยกลางคนวางซองจดหมายและเอกสารที่จ่าหน้าถึงกฤตภาสลงบนโต๊ะ ทว่าก็ยังยืนอยู่กับที่จนธีระต้องเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์อย่างสงสัย
"น้าจุกมีอะไรจะฝากให้คุณกฤตอีกหรือเปล่าครับ?"
"อ๋อ ไม่มีแล้วๆ หมดแค่นั้นล่ะค่ะ"
หญิงวัยกลางคนเอ่ยแล้วก็รีบก้าวจากไป ธีระมองตามแล้วก็ได้แต่เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับแววตาแปลกๆ ที่ได้รับเมื่อครู่ เขากวาดสายตาไปทางโต๊ะทำงานของพนักงานคนอื่นๆ เพราะรู้สึกเหมือนมีบางคนแอบมอง แต่พอได้สบตาก็พากันหันกลับไปทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไร
คิดมากไปเองล่ะมั้ง...พวกพี่ๆ เขาจะแอบมองเราทำไมล่ะ...
วันนี้ช่วงพักกลางวันมีหลายคนต้องออกไปหาลูกค้าหรือไปทำธุระข้างนอก ทั้งบริษัทจึงเหลือพนักงานเพียงไม่กี่คน กลุ่มที่ไปกินข้าวกลางวันที่ตลาดด้วยกันซึ่งปกติจะมีห้าถึงหกคนจึงเหลือเพียงธีระ อรรณพ และกนิษฐาเท่านั้น
"เดี๋ยวเรานั่งเฝ้าโต๊ะให้เอง อาร์ทจะซื้อข้าวก็ไปก่อนเถอะ"
"พี่กิ๊ฟท์จะสั่งอะไรเลยมั้ยครับ เดี๋ยวตี้ซื้อมาให้"
"ไม่ต้อง เดี๋ยวไปเลือกเอง"
รุ่นพี่สาวตัดบทแล้วก็ก้มหน้าลงเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ ถึงแม้คำตอบที่ได้จะค่อนข้างห้วนต่างจากปกติ แต่ธีระก็ไม่ได้คิดมากเพราะเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะเครียดจากเรื่องงาน จึงไม่ถามเซ้าซี้แล้วก็เดินตามอรรณพไปเข้าแถวซื้ออาหารจากร้านตามสั่ง พอเขาถือถาดอาหารกลับมาที่โต๊ะแล้วกนิษฐาก็ลุกไปซื้ออาหารบ้าง
เมื่อทั้งสามได้อาหารกันครบแล้วก็ต่างนั่งกินกันในความเงียบจนธีระแปลกใจ เพราะปกติแล้วกนิษฐามักจะชอบชวนคุยและถามเขาถึงการทำงานอย่างเป็นห่วง แต่วันนี้นอกจากอีกฝ่ายจะไม่พูดไม่จาแล้วก็ยังส่งผ่านรังสีอันเฉยชาออกมาจนเขารับรู้ได้
"พี่กิฟท์ครับ ทำไมวันนี้เงียบจัง ไม่สบายรึเปล่า?"
รุ่นพี่สาวซึ่งเพิ่งจะกินข้าวหมดจานเม้มปาก ฝ่ายอรรณพซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองธีระแล้วก็เบนสายตาไปทางเพื่อนร่วมงานอย่างเป็นกังวล
"เปล่า"
กนิษฐาตอบพลางหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วลุกขึ้น จากนั้นก็เดินสาวเท้าเร็วๆ ออกจากตลาดที่พวกเขานั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น ท่าทางที่บ่งบอกชัดว่ากำลังไม่พอใจทำให้ธีระนิ่งอึ้ง
"พี่อาร์ท พี่กิฟท์เป็นอะไร ทำไมดูเหมือนโกรธตี้เลยล่ะ?"
เด็กหนุ่มหันไปถามคนที่ยังนั่งข้างตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เขารู้สึกมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้ทุกคนล้วนทำเหมือนพยายามรักษาระยะห่าง จากที่ปกติจะต้องมีใครแวะเวียนมาคุยเล่นด้วยบ้างก็ไม่มีสักคน แต่เขาก็เกรงว่าแต่ละคนอาจทำงานยุ่งอยู่จึงไม่กล้าเข้าไปชวนคุย ยิ่งได้เห็นสีหน้าหนักใจของอรรณพหลังฟังคำถามก็ยิ่งใจคอไม่ดี
"สงสัยจะเมนส์มาอยู่ละมั้ง พวกผู้หญิงก็อย่างนี้แหละ วันนี้ตี้ก็อย่าไปถามอะไรเขาให้ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นก็แล้วกัน"
รุ่นพี่ของเขาเอ่ยพลางตบหลังเบาๆ แต่ธีระรู้ว่านั่นเป็นเพียงคำตอบอย่างขอไปทีเพราะอีกฝ่ายหลีกเลี่ยงการสบตา ครั้นจะซักไซ้ก็รู้ว่าคงไม่ได้ความกระจ่างที่ต้องการ จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้และตั้งใจว่าจะถามกนิษฐาเอง เพราะเขารู้สึกไม่ดีเลยที่รุ่นพี่ที่เคยสนิทกันจู่ๆ ก็มาทำปั้นปึ่งใส่โดยไม่รู้สาเหตุ
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบริษัทหลังหมดเวลาพักแล้วก็แยกย้ายกันทำงาน ส่วนป้ายหน้าห้องกฤตภาสก็ยังบ่งบอกว่าเจ้าตัวยังไม่เข้ามาเช่นเดิม ธีระเองก็ไม่อยากโทรถามเพราะคิดว่ากฤตภาสอาจต้องการเวลาพักฟื้นเพิ่ม พอถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เขาจึงลุกเข้าไปในครัวเพราะอยากชงโอวัลตินมาดื่มแก้ง่วง และพบว่ากนิษฐากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในนั้นก่อนแล้วด้วยใบหน้าครุ่นคิด
"พี่กิฟท์ พอดีเลย ตี้นั่งด้วยสิ"
รุ่นพี่สาวเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเขา สีหน้าของเธอเรียบเฉยขณะพับหนังสือพิมพ์ให้เป็นสี่เหลี่ยมเช่นเดิม
"อยากนั่งก็นั่งไปเถอะ ในเมื่อทุกอย่างที่นี่มันก็ของตี้ทั้งนั้น"
กนิษฐาเอ่ยเสียงห้วนแล้วก็ลุกขึ้น แต่ครั้งนี้ธีระไม่ยอมให้ความแปลกใจมาเป็นอุปสรรค เขารีบก้าวเข้าไปขวางหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ถามอย่างไม่เข้าใจ
"พี่กิฟท์ ตี้ขอโทษถ้าหากวันนี้เผลอทำอะไรที่พี่กิฟท์ไม่ชอบ แต่อย่างน้อยก็บอกหน่อยได้มั้ยว่าโกรธตี้เรื่องอะไร"
ธีระไม่ชอบบรรยากาศอันคลุมเครือเช่นนี้จากคนที่เขานับถือเป็นรุ่นพี่ เด็กหนุ่มยืนรอคำตอบนิ่งขณะที่อีกฝ่ายสูดหายใจลึกเหมือนพยายามข่มอารมณ์
"อยากให้บอกใช่มั้ย? ก็ได้ ถ้างั้นตอบมาซิว่าตี้กับคุณกฤตเป็นอะไรกัน?"
"หา? เป็นอะไร? ก็...ตอนนี้ตี้ก็เป็นผู้ช่วยคุณกฤตไง พี่กิฟท์ก็รู้อยู่แล้วนี่"
คำถามอันจี้ใจดำทำให้ธีระหน้าแดง ที่ผ่านมาเขาจะคอยระวังท่าทียามอยู่ใกล้กฤตภาสต่อหน้าเพื่อนร่วมงานเสมอ พอจู่ๆ ก็มีคนถามจึงรู้สึกตกใจเหมือนเด็กที่แอบทำความผิดแล้วถูกจับได้
"ผู้ช่วยเหรอ? จะโกหกก็ให้มันแนบเนียนหน่อยนะตี้! คิดว่าภาพข่าวชัดขนาดนี้แล้วยังจะหลอกทุกคนได้อีกรึไง!!"
กนิษฐาปาหนังสือพิมพ์ที่กำไว้แน่นลงกับพื้นแล้วก็เดินลงส้นออกไปจากห้องครัวอย่างกระฟัดกระเฟียด ทิ้งให้ธีระยืนนิ่งเป็นรูปปั้นกับคำพูดอันตัดรอน นัยน์ตากลมโตเหลือบลงมองหนังสือพิมพ์ยับๆ บนพื้น ทันใดนั้นคำว่า 'ภาพข่าว' ก็สะกิดใจและกระตุ้นความสงสัยของเขาอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มย่อตัวลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางบนโต๊ะ เขาเปิดหาหน้าที่ต้องการทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังหาอะไร แต่แล้วเมื่อถึงหน้าแรกของข่าวบันเทิง เข่าทั้งสองข้างก็อ่อนยวบจนต้องทิ้งตัวลงบนเก้าอี้
หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเป็นหนังสือพิมพ์ชื่อดังที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ส่วนเนื้อหาซึ่งกินเนื้อที่ถึงสองในสามส่วนของหน้าข่าวบันเทิงคือภาพแอบถ่ายตอนที่เขาช่วยพยุงกฤตภาสไปที่ล็อบบี้เมื่อวันที่จัดงานให้ลูกค้า ภาพที่ตีพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นภาพที่ดูเหมือนตากล้องแอบสะกดรอยตามพวกเขาจากด้านหลัง ทว่าภาพที่ชัดเจนที่สุดเป็นภาพด้านข้างที่กฤตภาสจูบเขาตอนที่บอกว่าขอพักเพราะเดินไม่ไหว
ทำไม...โดนถ่ายไปตอนไหนกัน...แล้วคุณกฤตรู้หรือเปล่าว่ามีข่าวแบบนี้ออกมา?
มือและเท้าของธีระเย็นเฉียบเมื่อเห็นว่าวันที่บนหัวหนังสือพิมพ์คือวันเสาร์ แสดงว่าหลังจากวันที่จัดงานให้ลูกค้าปุ๊บก็มีข่าวนี้ออกมาเลย ซึ่งเป็นไปได้ว่าป่านนี้อาจมีคนรู้จักของเขาหลายคนได้เห็นภาพข่าวนี้แล้วก็เป็นได้
"ตี้! เป็นอะไรน่ะ!?"
อรรณพที่เพิ่งก้าวเข้ามาในครัวตกใจเมื่อเห็นธีระนั่งตาแดงอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง ฝ่ายคนถูกถามได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเบนสายตาลงบนหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่เช่นเดิม เมื่อเห็นต้นเหตุของอาการเซื่องซึมของรุ่นน้อง ชายหนุ่มจึงรีบพับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นแล้วโยนลงถังขยะทันที
"ไม่ต้องคิดมากนะตี้"
"พี่อาร์ท ทุกคนเห็นกันหมดแล้วใช่มั้ย? ที่วันนี้พี่ๆ ทุกคนมองตี้แปลกๆ ที่พี่กิฟท์ไม่ยอมพูดดีๆ กับตี้ เพราะว่าเห็นข่าวนี่ใช่มั้ย?"
ไม่มีหยาดน้ำหยดออกมาจากขอบตาของเขา ทว่าเสียงของธีระสั่นเครือไม่ต่างจากคนร้องไห้ อรรณพได้แต่ถอนหายใจแล้วก้าวเข้ามาโอบไหล่เขาให้ลุกขึ้น
"หน้าตาแบบนี้ยังออกไปนั่งทำงานไม่ได้แน่ เดี๋ยวออกไปเดินเล่นให้สงบสติอารมณ์ก่อนก็แล้วกัน"
ธีระไม่ได้ขัดและปล่อยให้อีกฝ่ายเดินโอบไหล่ออกไปทางประตูหลังของห้องครัวซึ่งเชื่อมกับบันไดหนีไฟ พวกเขาเดินเลาะถนนในตรอกซึ่งเลียบสวนสาธารณะขนาดเล็กไปเรื่อยๆ อากาศยามบ่ายไม่ค่อยร้อนเพราะมีเมฆช่วยบดบังแสงอาทิตย์ กระนั้นทั้งคู่ก็เดินเคียงกันในความเงียบอยู่นานโดยไม่มีใครปริปากพูดถึงข่าวในหนังสือพิมพ์เลย
"พี่กิฟท์เกลียดตี้แล้ว"
จู่ๆ ธีระก็เอ่ยเสียงแผ่วหลังจากความคิดในหัวตีกันอยู่นาน เขาหยุดเดินเพราะรู้สึกหมดแรงจนไม่อยากเคลื่อนไหว อรรณพที่เดินนำไปก่อนจึงต้องรีบสาวเท้ากลับมาหา
"เฮ้ย! ไม่เอาน่ะตี้ อย่าเพิ่งคิดแบบนั้นสิ ยายนั่นกับคนอื่นๆ ก็แค่สับสนเท่านั้นแหละ ไม่มีใครเกลียดตี้หรอก"
"แต่วันนี้ไม่มีใครเข้ามาคุยกับตี้เลยนะพี่อาร์ท นี่เพราะทุกคนคิดว่าตี้เลวใช่มั้ย?"
น้ำเสียงอ่อนระโหยและสีหน้าหดหู่ของธีระทำให้อรรณพถอนหายใจด้วยความสงสาร ชายหนุ่มดึงรุ่นน้องเข้าไปกอดแล้วก็ลูบหลังเบาๆ
"พี่มั่นใจว่าไม่มีใครเกลียดตี้หรือคิดว่าตี้เลวหรอก ทุกคนเพียงแต่ตกใจแล้วก็สับสน พี่วีร์เองก็กลัวจะเกิดเรื่องแบบนี้เหมือนกันถึงได้โทรมาบอกไว้ก่อนว่าให้คอยดูแลตี้ด้วย เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งคิดมากเลยนะ"
++------++
ภายในห้องโดยสารของรถแลนด์โรเวอร์ที่กำลังเคลื่อนที่ เมื่อดีเจของรายการวิทยุแนวซุบซิบดาราเริ่มวกหัวข้อมายังประเด็นที่เกี่ยวพันถึงเขาและอรณิช กฤตภาสก็เร่งเสียงจากลำโพงให้ดังขึ้นเพื่อจะได้ฟังถนัด
"ต่อไปเป็นเรื่องเก็บตกจากข่าวบันเทิงในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่กี่วันก่อนนะคะ คุณป๊อป คุณได้เห็นข่าวนั้นหรือเปล่า?"
"เห็นสิคุณจูน คนในวงการเขาฮือฮากันน่าดูเหมือนกันนะ รู้สึกว่าเมื่อวานนี้มีคนไปสัมภาษณ์คุณดาราสาวที่งานเลี้ยงเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ แล้วมีนักข่าวถามว่าคิดยังไงที่แฟนตัวเองไปนัวเนียกับผู้ชายจนเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ เธอก็รีบปฏิเสธเลยว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่เป็นเพื่อนเฉยๆ"
"แหม แต่ก็น่าเห็นใจนะคุณ ใคร้มันจะอยากยอมรับว่าแฟนตัวเองหันไปชอบไม้ป่าเดียวกัน แถมฝ่ายชายนี่ถึงจะไม่ใช่คนในวงการแต่พ่อเขาก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางอยู่นะ"
กฤตภาสส่งเสียงหึในคอก่อนจะปิดวิทยุ นี่ไม่ใช่รายการแรกที่เอาเรื่องข่าวของเขามาคุยกันอย่างสนุกปาก เนื่องจากตัวเขาเองไม่ใช่คนในวงการถึงแม้จะเป็นลูกชายของโกเมท เขาจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกนักข่าวคงจะมุ่งไปสัมภาษณ์อรณิชที่เป็นที่รู้จักมากกว่า และก็เดาไว้อยู่แล้วด้วยว่าเธอต้องปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของเขาต่อหน้าสื่อแน่นอน โชคยังดีที่พ่อของเขาเองไม่อยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาสักเท่าไหร่ ดังนั้นถึงแม้จะไม่เห็นดีเห็นงามเมื่อได้รู้ว่าเขาตั้งใจทำแบบนี้เพื่อตอกหน้าพวกนักข่าวและดาราสาว แต่ก็เพียงแค่เตือนผ่านทางโทรศัพท์ว่า "จะทำอะไรก็อย่าให้กระทบคนอื่นเขาเกินไปนัก"
วันนี้เขามาทำงานช่วงบ่ายเพราะใช้เวลาช่วงเช้าไปตรวจเช็คอาการที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มกำลังจะเลี้ยวรถเข้าบริษัทตรงทางลัดที่ต้องผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ แต่แล้วก็ต้องชะลอความเร็วเมื่อเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของคนสองคนที่เดินอยู่บนทางเท้า คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อรถเคลื่อนเข้าไปใกล้แล้วเห็นทั้งสองกอดกันถนัดตา
"แป๊น!!"
เสียงแตรรถยนต์ทำให้ทั้งธีระและอรรณพสะดุ้งด้วยความตกใจ กฤตภาสลดกระจกลงมองทั้งสองที่ทำตาโตและหันมามองเขาก่อนที่ธีระจะรีบหันหนี การหลบเลี่ยงสีหน้ากันอย่างจังๆ ทำให้เขายิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก เพราะแม้จะได้สบตากันเพียงแวบเดียว แต่นัยน์ตากลมโตที่ทั้งบวมแดงและฉ่ำน้ำก็ไม่รอดพ้นการสังเกตของเขาไปได้
"มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ นี่มันชั่วโมงทำงานไม่ใช่รึไง?"
"พอดีผมอยากพักแป๊บนึง ก็เลยชวนตี้ไปซื้อขนมที่เซเว่นด้วยกันน่ะครับ"
อรรณพเป็นคนตอบขณะค่อยๆ ลดมือที่กอดรุ่นน้องลงอย่างรู้กาลเทศะ กฤตภาสจึงยืดตัวมาเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้
"งั้นขึ้นรถ ฉันกะจะแวะซื้อบุหรี่ก่อนเข้าออฟฟิศอยู่แล้ว ถ้างั้นก็ไปด้วยกันนี่แหละ"
ธีระและอรรณพมองตากันโดยที่ต่างก็รู้ว่ากฤตภาสจะไม่ยอมฟังคำปฏิเสธ ธีระจึงหันมาเปิดประตูขึ้นนั่งด้านหลังเพราะไม่ต้องการมองหน้าคู่กรณีชัดๆ ในเวลานี้ อรรณพจึงต้องก้าวขึ้นนั่งข้างคนขับอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อกฤตภาสขับรถไปจอดที่หน้าเซเว่นอีเลฟเว่น อรรณพก็เปิดประตูลงไปเป็นคนแรก แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครลงจากรถตามจึงหันไปเปิดประตูฝั่งของธีระแล้วเอ่ยถาม
"ตี้ไม่ลงเหรอ? งั้นจะเอาอะไรมั้ย พี่จะได้ซื้อให้"
"ไม่เอาครับพี่อาร์ท ขอบคุณมาก"
"ถ้างั้นฉันฝากซื้อมาร์ลโบโร่แดงซองนึง นี่เงิน ส่วนตังค์ทอนจะซื้อขนมอะไรเพิ่มก็ได้"
กฤตภาสยื่นเงินให้อรรณพโดยไม่แสดงทีท่าว่าจะลงถ้าธีระยังอยู่บนรถ อรรณพจึงพูดอะไรไม่ได้นอกจากรีบก้าวเข้าไปในร้าน ต่อเมื่อได้อยู่กันตามลำพังแล้วกฤตภาสจึงถามขึ้น
"เมื่อกี้นี้มีอะไร? ทำไมต้องไปยืนกอดกับอาร์ทข้างถนน?"
ธีระเหลือบตาขึ้นมองกฤตภาสที่สบตากับเขาผ่านกระจกมองหลัง จากนั้นก็เม้มปากแล้วมองออกไปด้านนอกเพราะไม่อยากตอบ แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปเมื่อถูกมือใหญ่ยื่นมาเชยคาง
"นี่ร้องไห้ด้วยเหรอ?"
น้ำเสียงราบเรียบของคนถามไม่ต่างจากการหย่อนไม้พายลงกวนโคลนก้นแม่น้ำ ธีระปัดมือที่เชยคางออกอย่างแรงด้วยความขุ่นเคือง ก็ไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้หรือไงที่ทำให้เขาต้องเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้?!
"ไม่ต้องมายุ่ง!!"
เด็กหนุ่มหันไปเปิดประตูแล้วผลุนผลันลงจากรถ แต่ยังช้ากว่ากฤตภาสที่รีบลงจากรถบ้างแล้วคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน ยิ่งรู้ตัวว่าสู้แรงไม่ไหวธีระก็ยิ่งพยายามจะบิดแขนให้เป็นอิสระจนกฤตภาสชักหงุดหงิด
"เดี๋ยวสิ! อยู่ๆ เป็นอะไรขึ้นมา? แล้วนี่คิดว่าจะไปไหน?"
"ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องเห็นหน้าคุณ! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!!"
การยื้อยุดของพวกเขาเริ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น บ้างก็หันไปกระซิบกระซาบกันเมื่อเห็นว่าทั้งสองดูคุ้นหน้าจากหนังสือพิมพ์ ฝ่ายอรรณพที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านก็ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
"เอ่อ...คุณกฤตครับ บุหรี่..."
"เอาไว้ก่อน โทษนะอาร์ท ฝากไปบอกทุกคนที่ออฟฟิศว่าใครมีงานค้างก็รีบทำให้เสร็จซะ ไว้พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปตรวจ"
"...ได้ครับ"
อรรณพได้แต่ตอบรับอย่างไม่เต็มเสียง เขามองดูกฤตภาสจูงกึ่งอุ้มธีระขึ้นไปบนรถก่อนจะขับออกไปด้วยความไม่สบายใจ ถึงแม้เขาจะค่อนข้างตกใจในตอนแรกที่เห็นภาพข่าว แต่จากที่ได้รู้จักธีระมาก็คิดว่ารุ่นน้องคงไม่ได้ตั้งใจปิดบังเรื่องนี้ก่อนจะมาขอฝึกงานที่บริษัทแน่ จึงได้แต่หวังว่าอย่างน้อยกฤตภาสคงไม่ปฏิบัติกับธีระเหมือนคนอื่นที่เคยคบมา ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นความเป็นไปได้ของสองคนนี้เลยก็ตามที
กฤตภาสเหยียบคันเร่งเต็มที่เพื่อไม่เปิดโอกาสให้คนที่นั่งข้างๆ ได้กระโดดหนีลงจากรถอีก เมื่อถึงคอนโดแล้วก็จอดรถในที่ประจำก่อนจะโอบไหล่ธีระแล้วพาขึ้นไปบนห้อง ตอนแรกเขาวางใจว่าเด็กหนุ่มคงสงบสติอารมณ์ได้แล้วเพราะนั่งเงียบมาตลอดทาง แต่พอเข้าห้องปุ๊บอีกฝ่ายก็เบี่ยงตัวออกจนกฤตภาสมุ่นคิ้ว
"เป็นอะไรอีกล่ะ? เมื่อวันก่อนยังดีๆ อยู่เลยนี่นา"
"เมื่อคืนวันศุกร์ตอนที่กำลังจะออกจากโรงแรม คุณตั้งใจจูบผมให้นักข่าวถ่ายรูปใช่มั้ย?"
ธีระเงยหน้ามองกฤตภาสแล้วก็ถามด้วยนัยน์ตาที่ทอประกายกร้าว ส่วนกฤตภาสที่ได้รู้สาเหตุที่อีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีก็เพียงแต่ยักไหล่
"เรื่องนั้นเองหรอกเหรอ มันไม่อยู่ในความสนใจของผู้คนนานนักหรอก เดี๋ยวพอมีข่าวของคนอื่นขึ้นมาพวกนักข่าวก็ลืมเรื่องของพวกเราหมดแล้ว"
ธีระฟังแล้วหางคิ้วกระตุก พวกเรางั้นเหรอ....มีสิทธิ์อะไรกันถึงมานับรวมเขาด้วย? ที่ผ่านมาเขาพยายามแค่ไหนที่จะปิดบังเรื่องความสัมพันธ์กับกฤตภาสไม่ให้คนในบริษัทรู้ ตอนนี้อย่าว่าแต่เพื่อนร่วมงานเลย แม้แต่ครอบครัวและเพื่อนๆ ของเขาก็ต้องเห็นกันหมดแล้วแน่ๆ!
"ไม่เอาน่า คนที่มองเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มีแต่พวกไร้เดียงสาเท่านั้นแหละ เผลอๆ ไม่เกินอาทิตย์นี้คนอื่นก็ลืมกันหมดแล้ว จะคิดมากให้ได้อะไรขึ้นมา?"
กฤตภาสเอ่ยพลางหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋ามาคาบระหว่างริมฝีปาก ท่าทางไม่ยี่หระโดยสิ้นเชิงทำให้ธีระสติขาดผึง เขาอาจจะพอรู้มาก่อนหน้านี้แล้วก็จริงว่ากฤตภาสเป็นคนไร้หัวใจ แต่เขาไม่คิดเลยว่าความไร้หัวใจนั้นจะลึกสุดหยั่งถึงเพียงนี้
"ผมเกลียดคุณ!"
กฤตภาสนิ่วหน้าเมื่อถูกตะโกนใส่ เขารีบสาวเท้าไปคว้าต้นแขนเรียวไว้เมื่อธีระจ้ำไปทางประตู แต่กลับถูกผลักออกอย่างแรงจนหลังกระแทกผนัง เสียงคำรามลอดไรฟันเพราะแผลกระเทือนทำให้เด็กหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง เปิดโอกาสให้กฤตภาสรวบตัวเขาแล้วอุ้มขึ้นพาดบนไหล่ข้างที่ไม่เจ็บโดยธีระไม่ทันตั้งตัว
"คุณกฤต! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!!"
"ปล่อยให้โง่เหรอ ขืนปล่อยเธอก็หนีน่ะสิ!"
เด็กหนุ่มพยายามจะดิ้นแต่กลับโดนยึดต้นขาไว้แน่น กฤตภาสเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วก็เหวี่ยงคนบนไหล่ลงไปบนเตียงก่อนจะโถมตัวลงกดข้อมือทั้งสองข้างของคนที่พยายามจะดิ้นหนีสุดแรง
"หยุดดิ้นซักที! จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่หน่อยไม่ได้รึไงกัน!?"
"แล้วคุณเองเป็นผู้ใหญ่นักเหรอ!?! นึกอยากทำอะไรก็ทำ! อยากเล่นสนุกปั่นหัวใครก็เล่น! เอาสิ! ไหนๆ แล้วก็ส่งรูปที่คุณเคยแอบถ่ายไปให้นักข่าวด้วยเลยเป็นไง! เอาให้ผมไม่ต้องมีหน้าไปเจอใครอีกเลย!! คนสารเลว!! ผมเกลียดคุณ! เกลียดที่สุด!!!"
น้ำเสียงท้ายประโยคของธีระสั่นเครือ หยาดน้ำใสหลั่งรินจากนัยน์ตาขณะที่ทั้งเตะทั้งถีบคนเบื้องบนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ กฤตภาสได้แต่พยายามกัดฟันทนความเจ็บจากการออกแรงกดอีกฝ่ายให้อยู่นิ่งเพราะแผลยังไม่หายดี สุดท้ายก็ก้มลงใช้ริมฝีปากปิดเสียงจากธีระเพื่อไม่ให้คำแสลงหูหลุดออกมาอีก
"ฮึ!"
ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นเมื่อถูกกัดริมฝีปากจนเลือดซึม เมื่อสบตากับธีระก็เห็นแต่แววตาชิงชังที่มอบให้เขาผ่านนัยน์ตาซึ่งวาวฉ่ำด้วยม่านน้ำตา ความรู้สึกหนักอึ้งอันไม่คุ้นเคยพลันโถมลงกลางใจจนเขาต้องขบฟันแน่นเพื่อข่มอารมณ์
นี่เขาควรจะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดี...
"เอาสิ! ผมสู้คุณไม่ได้อยู่แล้วนี่! อยากทำอะไรอีกก็เอาให้สาแก่ใจเลย! แล้วหลังจากนี้ก็ไม่ต้องมายุ่งกันอีก ผมไม่ยอมอยู่กับคุณให้ครบสามเดือนแล้ว อยากเอารูปพวกนั้นไปเผยแพร่ที่ไหนก็เชิญ!!"
"รูปพวกนั้นมันโดนลบไปตั้งแต่วันที่เธอลบจากโทรศัพท์ฉันนั่นแหละ!!"
กฤตภาสหอบหายใจหนักหน่วงหลังเอ่ยประโยคนั้นออกมา นัยน์ตาสีนิลซึ่งกำลังจับจ้องเขาสะท้อนอารมณ์ซึ่งผสมปนเปกันทั้งความโกรธ เสียดาย และความรู้สึกอื่นที่ธีระอ่านไม่ออก แต่ที่แน่นอนก็คือความจริงที่ได้ยินช่างชวนให้สับสนจนน้ำตาของเขาหยุดไหล
เมื่อกี้คุณกฤตพูดอะไร...เขาหูฝาดไปเองหรือเปล่า...
"รูปพวกนั้น...โดนลบไปนานแล้ว?"
"ใช่ ทั้งหมดที่ถ่ายไว้ ฉันไม่ได้ส่งอีเมล์หาตัวเองอย่างที่เคยบอก"
กฤตภาสไม่สบตาเขาขณะสารภาพ แต่สีหน้าและน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่เต็มใจต่อความพ่ายแพ้ก็บ่งบอกว่าสิ่งที่เพิ่งพูดคือความสัตย์ เมื่อได้ตระหนักถึงความจริงนี้ ธีระก็พลันรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงในตัวถูกสูบออกไปจนหมด
"ทำไม...แล้วทำไมคุณถึงต้องหลอกผมว่ายังมีรูปพวกนั้นอยู่อีก?"
ธีระถามเสียงโหยอย่างไม่เข้าใจ น้ำตาระลอกใหม่เอ่อขึ้นกบขอบตา ท่าทางสิ้นเรี่ยวแรงของเขาทำให้กฤตภาสยอมละมือข้างหนึ่งขึ้นลูบบนใบหน้าเนียนแล้วกรีดหยาดน้ำตาออกให้
"เพราะฉันรู้ว่าถ้าไม่สร้างเงื่อนไขแบบนั้น เธอคงเอาแต่กลัวฉันแล้วก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้เลยน่ะสิ"
เด็กหนุ่มฟังแล้วได้แต่มุ่นคิ้ว สีหน้าที่สะท้อนความสับสนทำให้บางส่วนในใจของกฤตภาสอ่อนยวบ เขาก้มลงจูบซับน้ำตาและใช้นิ้วโป้งคลึงหางตาให้ธีระอย่างอ่อนโยนชนิดที่ไม่เคยทำให้ใครมาก่อน
"เป็นเด็กดีนะตี้ เชื่อฉัน เรื่องข่าวนั่นน่ะเดี๋ยวก็ผ่านไป ถ้าเธอไม่อยากเห็นข่าวพวกนั้นอีก ฉันมีวิธีทำให้มันไม่ลงตีพิมพ์อีกก็ได้"
ชายหนุ่มแนบริมฝีปากลงบนไรผมซึ่งชื้นไปด้วยเหงื่อและคราบน้ำตา จากนั้นก็ค่อยๆ ไล้ริมฝีปากผะแผ่วลงไปยังซอกคอที่กรุ่นกลิ่นหอมหวานคล้ายขนมปุยฝ้ายที่เขาโหยหามาตั้งแต่วันก่อน มือใหญ่ยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อของเด็กหนุ่มทีละเม็ดก่อนจะสอดมือเข้าลูบไล้โครงร่างได้สัดส่วนด้วยฝ่ามืออุ่นจัด
ทุกการกระทำของกฤตภาสช่างอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือคนคนเดียวกับที่เคยบังคับเขาอย่างเร่าร้อนทุกครั้งที่ใกล้ชิดกัน ฝ่ายธีระได้แต่นอนมองนิ่งๆ คล้ายร่างกายกับสมองขาดการเชื่อมต่อชั่วคราว ไม่ช้าเขาก็ถูกเปลื้องเสื้อผ้าจนไม่เหลืออะไรปิดบังร่างกาย นัยน์ตากลมโตมองตามการเคลื่อนไหวของร่างสูงใหญ่ที่ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้างแล้วทาบทับลงมาด้วยนัยน์ตาแห้งผาก
อุณหภูมิของร่างกายซึ่งสูงกว่าเขาถูกถ่ายทอดมาทางปลายลิ้น ฝ่ามือ และผิวกายที่เสียดสีถูไถ เขาไม่ได้แสดงอาการต่อต้านเลยไม่ว่ากฤตภาสจะเรียกร้องหาความอิ่มหนำจากร่างกายของเขาเพียงไรก็ตาม ท่ามกลางไอเสน่หาที่คุกรุ่นจากการถูกรุกรานและโลมเล้า ธีระรู้สึกราวกับสิ่งที่พยายามเก็บกดไว้ส่วนลึกของหัวใจเพราะไม่ต้องการยอมรับมาตลอดได้หลุดออกจากกรงที่กักขังไว้แล้ว และที่น่าเศร้าคือมันได้หยั่งรากและแตกหน่อไปทั่วหัวใจอันบอบช้ำโดยที่เขาควบคุมมันไม่ได้เลยสักนิด
"ฮึก"
"อย่ากัดปากตัวเองสิ ถ้าอยากส่งเสียงก็ร้องออกมาเลย"
ร่างสูงใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยนขณะบุกรุกร่างกายของเขา แต่ถึงแม้ความอ่อนโยนที่ได้รับจากกฤตภาสในยามนี้จะเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าหวังมาตลอด ในใจของเด็กหนุ่มกลับอ่อนเพลียเพราะความทดท้อจนไม่มีแก่ใจจะตอบสนองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายที่คุ้นเคยกับรสสัมผัสจากกฤตภาสจะไร้ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสิ้นเชิง เพราะไม่ช้าไฟปรารถนาก็โถมเข้ารุมเร้าประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มจนต้องปล่อยร่างกายไปตามครรลองของเพศรสในที่สุด
"ฮะ...อ๊ะ...อ๊ะ"
"อืมมม"
เสียงครางของธีระและเสียงคำรามของกฤตภาสผสานกันเมื่อต่างฝ่ายต่างก็บรรลุถึงปลายทางของกามารมณ์ แผ่นอกที่กระเพื่อมเพราะพยายามจะสูดอากาศเข้าให้ทันกับการเต้นของหัวใจทำให้ร่างกายของทั้งคู่ยังคงแนบชิด เช่นเดียวกับความปรารถนาของกฤตภาสที่ยังคงอยู่ในร่างกายของธีระทั้งที่เพิ่งหลั่งหลักฐานแห่งความพึงใจจนเนืองนองในช่องทางคับแคบ
เด็กหนุ่มย่นคอหนีเมื่อคนตัวใหญ่กว่าก้มลงเลียเหงื่อบนซอกคอของเขา ปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกันอย่างแผ่วเบาเมื่อกฤตภาสผงกศีรษะขึ้น นัยน์ตาอันขุ่นมัวสองคู่สานสบกันก่อนที่กฤตภาสจะก้มลงผนึกริมฝีปากที่กำลังเผยอหอบด้วยริมฝีปากของตัวเอง และธีระก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะไม่ให้เขาได้พักเมื่อสะโพกแกร่งบดลงมาบนร่างกายท่อนล่างของเขาอีกครา
"คุณกฤต..."
"หืม?"
กฤตภาสส่งเสียงถามในคอขณะก้มลงพรมจูบไปทั่วแผ่นอกที่เนียนขาวราวกับผืนผ้าใบรอการแต้มสี ท่าทางที่กำลังหลงใหลมัวเมาในร่างกายของเขาทำให้ธีระเกือบจะถอนความตั้งใจ แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าเขาไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปในอุโมงค์มืดเช่นนี้อีกแล้ว
ต่อให้คำตอบที่ได้อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะได้ยินก็ตามที
"คุณ...รักผมบ้างหรือเปล่า?"
คำถามอันแผ่วแสนแผ่วดุจเสียงกระซิบชะลอการเคลื่อนไหวอันเหิมเกริมของกฤตภาส ชายหนุ่มวางฝ่ามือลงคลึงบนจุดสีชมพูบนแผ่นอกเนียนที่ไวต่อสัมผัสแล้วก็กระซิบถามเสียงแผ่วไม่ต่างกัน
"คำว่ารักมันสำคัญมากนักเหรอ?"
ธีระพยายามบังคับร่างกายไม่ให้โอนอ่อนไปกับความช่ำชองของอีกฝ่ายจนลืมความตั้งใจ อย่างน้อยๆ การที่กฤตภาสรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่มีหลักฐานจะแบล็คเมล์เขาแต่ก็ยังพยายามใช้เล่ห์กลผูกมัดเอาไว้ มันควรจะมีรากฐานมาจากความพิศวาสบ้างใช่ไหม
"ผมอยากรู้"
ทั้งสองสบตากันนิ่งโดยที่กฤตภาสไม่ได้หยุดมือ แต่เหมือนเจ้าตัวทำไปอย่างลืมตัวมากกว่าเพราะนัยน์ตาสีนิลดูเต็มไปด้วยแววครุ่นคิด
"ฉันถูกใจเธอมากกว่าคนอื่น"
กฤตภาสเอ่ยก่อนจะก้มลงไล้ริมฝีปากบนผิวแก้มเนียนละเอียด มือใหญ่ทั้งสองข้างดันต้นขาเพรียวออกจากกันก่อนจะโถมกายเข้าหาเหมือนไม่ต้องการถกเรื่องนี้ต่อ การเคลื่อนไหวอันเร่าร้อนเรียกเสียงครางที่คล้ายเสียงสะอื้นจากเด็กหนุ่มที่ยังไม่ทันได้หายเหนื่อยจากรอบแรก
ร่างกายของทั้งสองบรรเลงท่วงทำนองที่ต่างคุ้นเคยกันดีครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ายิ่งพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันมากเท่าไหร่ ธีระกลับยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจถูกแส้กระหน่ำเฆี่ยนจนเจ็บแสบ หลายครั้งที่กระบอกตาของเขาร้อนผ่าวเพราะหยาดน้ำที่เอ่อท้นจากการบาดเจ็บในใจ แต่เขาก็จะเบี่ยงความสนใจของกฤตภาสด้วยการร้องครางให้ดังยิ่งขึ้น ตอบสนองให้เหมือนกำลังมีอารมณ์ร่วมมากขึ้น ใช้การแสดงออกทุกวิถีทางเพื่อปิดบังความรู้สึกอันแท้จริงซึ่งไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วอันแหว่งวิ่นท่ามกลางสายลมหนาว
เขาเคยคิดว่าคงควบคุมตัวเองได้ คงสามารถผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ที่ถูกกฤตภาสผูกมัดได้โดยไม่ถลำ แต่ตอนนี้เขาสำเหนียกแล้วว่าตัวเองอ่อนแอกว่านั้น ทั้งที่ผู้ชายคนนี้ไม่ควรได้รับความรักเพราะไม่เคยพยายามจะรักใคร แต่หัวใจของเขากลับถูกความใกล้ชิดล่อลวงจนตกลงในกับดักที่แม้แต่เจ้าตัวก็คงไม่รู้ว่าได้วางเอาไว้ หากจะมีใครสักคนมาตำหนิว่าเขาช่างโง่งมที่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองจากประสบการณ์ของรักครั้งก่อน ธีระก็คงได้แต่ผงกหัวจำยอมโดยไร้คำโต้แย้งทั้งสิ้น
"บางทีพอใกล้หมดสามเดือนแล้วเธออาจจะอยากต่อสัญญาก็ได้นะ"
กฤตภาสเคยเอ่ยประโยคนี้ตอนที่เขายอมรับปากเป็นคู่นอนให้สามเดือน แต่ตอนนี้ธีระรู้แล้วว่ากฤตภาสไม่มีทางจะขอยืดเวลา ในสายตาของอีกฝ่ายแล้วเขาคงไม่ได้มีค่ามากไปกว่าของเล่นใหม่ที่พอถึงวันหนึ่งก็จะถูกโยนทิ้งเพราะความเบื่อหน่ายเหมือนกับดาราสาวคนนั้น และเพียงแค่ความคิดนี้ก็เพียงพอจะทำให้เขาแน่นหน้าอกจนเหมือนจะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ
เขาแพ้แล้วกับการพนันครั้งนี้ พ่ายแพ้ทั้งตัวและหัวใจให้กับคนที่ไม่ควรหลงรักที่สุด และที่น่าร้าวรานใจไปกว่านั้นก็คือ...เขาไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวหัวใจของอีกฝ่ายตอบแทนกลับมาเลยแม้แต่ธุลีเดียว
++---TBC---++
A/N: ดูท่าทางตู้ ปณ.ของกฤตภาสจะยังรับ hate mail ได้อีกเยอะประหนึ่งหลุมดำค่ะ ส่วนของน้องตี้ขอเป็นเมล์ให้กำลังใจก็แล้วกันนะคะ แล้วพบกันตอนหน้าค่า ><
สงสารน้องตี้จนน้ำตาล่วง
ไปเลยค่ะตี้ ทิ้งลุงไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอให้เค้ามาไล่
ปล. พอาบน้ำเสร็จ อ.หายไปตัวนึง