แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
บทที่ 15
RRRrrrr
.. RRRrrrr
..
เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดปลุกธีระให้รู้สึกตัวตื่น เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นจากห้วงนิทราด้วยความงัวเงีย แล้วก็รู้สึกถึงความปวดเมื่อยตามแขนขาราวกับมีคนมาล่ามตรวนไว้จนขยับไม่ได้
เด็กหนุ่มนอนนิ่งมองเพดานด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอย เสียงโทรศัพท์เงียบหายไปครู่หนึ่งจนเขาคิดว่าคนที่โทรมาคงวางสายแล้ว แต่พอจะปิดเปลือกตาเพื่อนอนต่อก็ได้ยินเสียงโทรเข้าอีกครั้ง
ใครโทรมานะ...มีธุระด่วนมากหรือไงกัน...
"อืมมม..."
ธีระครางเสียงต่ำในคอขณะพลิกตัวด้วยความลำบาก เขาพยายามมองหาว่าโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ไหน จากนั้นก็ลุกไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเมื่อได้ยินเสียงเครื่องดังมาจากทางนั้น
พี่อาร์ทนี่นา...จริงด้วยสิ...วันนี้วันจันทร์...
...ฮัลโหล?
เขายกโทรศัพท์ขึ้นกดรับด้วยเสียงที่แหบเหมือนในคอถูกกรุด้วยกระดาษทราย ปลายสายจึงส่งเสียงอย่างตกใจ
อ้าว? ตี้ ไม่สบายเหรอ?
ครับพี่อาร์ท...ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมคงต้องลาป่วย
อาการเวียนศีรษะทำให้เด็กหนุ่มต้องทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะ นัยน์ตาซึ่งหรื่ปรือมองเห็นนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กบอกเวลาสิบโมงครึ่ง
โอเค พอดีพี่เห็นว่าสายแล้วตี้ยังไม่มาก็เลยโทรถามดู ถ้าไม่สบายก็ไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวถ้าคุณกฤตหรือใครถามพี่จะบอกให้ว่าตี้ลาป่วย
คุณกฤต...ผู้ชายคนนั้นน่ะเหรอ...ก็เพราะคุณกฤตนั่นแหละเขาถึงได้ลุกเดินแทบจะไม่ไหวอยู่นี่ไง
ขอบคุณมากครับพี่อาร์ท
ธีระไม่ได้บ่นออกไปตามที่คิด เขาเพียงแต่วางสายแล้วก็เอียงหน้าลงหนุนแขนที่วางประสานกันเพราะไม่อยากแม้จะเดินกลับไปที่เตียง แต่แล้วอาการระคายคอก็พลุ่งขึ้นจนต้องไอเพราะทนไม่ไหว
แค่ก แค่กๆ
ธีระยิ่งไอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนหินในคอที่ดื้อดึงไม่ยอมจะออกมา จนกระทั่งเขาเจ็บหน้าอกและน้ำตาเล็ดไปหมดแล้ว ถึงต้องยอมตัดใจพยุงสังขารเข้าไปในครัวเพื่อหาน้ำดื่มในที่สุด
นับตั้งแต่สุดสัปดาห์แรกที่ได้มาอยู่ห้องนี้ กฤตภาสไม่เคยชี้บอกเขาเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน เวลาเขาถามหาบางสิ่งบางอย่างก็จะได้คำตอบเพียงว่า อยู่ในครัวนั่นแหละ เขาจึงชินกับการบริการตัวเองซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากเวลาอยู่ที่หอ เด็กหนุ่มเดินไปหยิบแก้วจากชั้นวางแล้วก็รองน้ำจากเครื่องกรองมาดื่ม พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตที่แปะด้วยแม่เหล็กไว้หน้าตู้เย็น
'วันนี้นอนพักซะ ไม่ต้องไปออฟฟิศ'
ธีระแทบจะได้ยินน้ำเสียงของคนเขียนผ่านตัวหนังสือ เด็กหนุ่มจ้องมองลายมือที่คุ้นตามากขึ้นทุกที ก่อนจะดึงกระดาษแผ่นนั้นมาขยำแล้วทิ้งลงถังขยะ
น่าขำ...ทำไมใครต่อใครถึงชอบคุยกับเขาผ่านกระดาษนักนะ...พี่รงค์ก็คนนึงแล้วตอนที่บอกเลิกกัน...
เขาคิดพลางแค่นหัวเราะอย่างขื่นๆ จู่ๆ สองขาก็อ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ อาการบีบรัดของกระเพาะส่งสัญญาณกับเขาว่าร่างกายต้องการอาหาร แต่ความอ่อนเพลียก็ทำให้ไม่กระตือรือร้นที่จะเปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจว่ามีอะไรที่พอจะกินได้บ้างเอาเสียเลย
อีกเดี๋ยวก็จะเที่ยงแล้ว...เขาควรจะหาข้าวกินหรือกลับไปนอนต่อดีนะ แต่ถ้าหากนอนต่อแล้วหลับยาว...เย็นนี้ก็ต้องเจอคุณกฤตอีกน่ะสิ...
ธีระตัวสั่นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ภาพเหตุการณ์ที่ไม่อยากจดจำเมื่อคืนก่อนย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งที่เขาขอร้องให้หยุดก็แล้ว กระทั่งร้องไห้ก็แล้วเพราะสภาพร่างกายไม่พร้อม...แต่กฤตภาสก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนกรานจะเรียกร้องเอาแต่ใจโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของเขาเลยสักนิด
คนที่สนใจแต่ความสุขของตัวเองแบบนั้น...จะมีวันเข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้หรือ...
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนึกกลัวกฤตภาส เขาเพียงแต่คิดว่าถ้าอดทนทำตามข้อตกลงจนหมดช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ก็คงไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าทุกอย่างจะง่ายดายเหมือนที่เคยคิด
ก่อนอื่นต้องเก็บของออกไปจากห้องนี้...เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน...
ธีระคิดขณะพยายามลุกขึ้น เขาเดินลากฝีเท้าอันหนักอึ้งกลับไปที่ห้องนอนโดยใช้มือยันผนังเพื่อพยุงตัวไปตลอดทาง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เก็บข้าวของทุกชิ้นที่นำติดตัวมาด้วยใส่ลงกระเป๋าเป้ เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบตัวอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ลืมอะไร จากนั้นก็ออกจากห้องของกฤตภาสมาโดยไม่หันกลับไปมองด้านหลังอีกเลย
++------++
หลังจากผ่านพ้นมื้อกลางวันที่ต้องออกไปทานข้าวกับลูกค้า กฤตภาสก็กลับมาที่บริษัทเพื่อจัดการงานที่คั่งค้าง เมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อยใกล้จะเลิกงาน เลขาฯ ของเขาก็เคาะประตูห้องแล้วยื่นหน้าเข้ามาถาม
คุณกฤต ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ?
ถ้าตอนนี้ก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ เข้ามาสิ"
กฤตภาสปิดแฟ้มที่กำลังอ่านแล้ววางบนมุมหนึ่งของโต๊ะ เขามองวีณาที่เดินเอามือหนึ่งลูบท้องซึ่งโป่งนูนไปมา อีกมือรองแผ่นหลังที่ต้องเดินแอ่นแล้วก้าวมานั่งลงบนเก้าอี้
"มีอะไรเหรอ หรือมีใครอยากนัดประชุมกับฉันอีก?"
ชายหนุ่มถามพลางเอนหลังพิงเก้าอี้มากขึ้น วีณานับได้ว่าเป็นพนักงานเก่าแก่เพราะทำงานกับเขามาตั้งแต่เปิดบริษัทใหม่ๆ กฤตภาสจึงค่อนข้างให้ความไว้วางใจและเอ็นดูเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง
"เปล่าค่ะ มีแต่ลูกค้าที่คุณกฤตอยากนัดแต่วีร์ยังคอนเฟิร์มให้ไม่ได้สักที ก็เลยมีเรื่องจะมาขอคำปรึกษานี่แหละค่ะ"
"เรื่องอะไรล่ะ?"
กฤตภาสหยิบปากกาขึ้นมาหมุนบนนิ้วตามความเคยชิน เขาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ หากพิจารณาจากการที่กำลังจะเป็นคุณแม่ในไม่ช้า
"ก็...ตอนนี้จะเข้าเดือนที่เก้าแล้ว วีร์เลยนึกได้ว่าต้องมาย้ำคุณกฤตอีกทีว่าต้นเดือนหน้าวีร์จะขอลาไปพักแล้วค่ะ เพราะแฟนกับที่บ้านเขาก็กลัวว่าถ้าเจ็บท้องตอนอยู่ที่ออฟฟิศจะลำบากเพื่อนร่วมงานด้วย"
"ไม่มีปัญหา ท้องแรกด้วยนี่ ได้อยู่ใกล้ๆ คนในครอบครัวก็น่าจะอุ่นใจกว่าอยู่แล้ว"
ชายหนุ่มวางปากกาแล้วยื่นมือไปหยิบถ้วยกาแฟที่เย็นชืดขึ้นจิบ น่าแปลกที่แวบหนึ่งเขานึกถึงเด็กหนุ่มที่ยังนอนซมอยู่บนเตียงตอนเขาออกมาทำงานเมื่อเช้า เวลาที่ไม่สบายแบบนี้ เด็กคนนั้นก็ยังต้องอยู่คนเดียวเพราะไม่มีใครในครอบครัวคอยดูแลเนื่องจากอยู่ต่างจังหวัดกัน
เย็นนี้เขาควรจะรีบกลับไปดูอาการสักหน่อยกระมัง...
"ขอบคุณค่ะคุณกฤต แต่วีร์ก็ยังห่วงงานอยู่ เลยจะมาปรึกษาว่าระหว่างที่วีร์ลาคลอดนี่จะให้น้องคนไหนมาทำหน้าที่แทนไปก่อนไหมคะ หรือจะจ้างพนักงานแบบชั่วคราวไปเลย? จะได้ให้ฝ่ายบุคคลรีบหาให้"
วีณาถามทั้งที่มือยังคงลูบหน้าท้องอย่างทะนุถนอม ซึ่งกฤตภาสชอบลูกน้องสาวคนนี้เพราะเธอไม่ได้เพียงทำหน้าที่ผู้ช่วยได้ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยเขาออกความเห็นในเรื่องที่สำคัญต่อการทำงานได้อีกด้วย
"นั่นสินะ..."
กฤตภาสวางถ้วยกาแฟลง ยังไม่ทันตอบก็มีเสียงเคาะประตูก่อนที่อรรณพจะเดินเข้ามา
"อ้าว! ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าพี่วีร์คุยกับคุณกฤตอยู่ งั้นเดี๋ยวผมเข้ามาใหม่ก็แล้วกัน"
"ไม่เป็นไรหรอกอาร์ท มีอะไรด่วนหรือเปล่า?"
กฤตภาสเอ่ยถามเรียบๆ เขาเจอกรณีที่ลูกน้องต้องการคุยกับเขาพร้อมกันเป็นเรื่องปกติ เพราะบางทีก็ติดขัดเรื่องงานจนต้องมาขอคำปรึกษาบ้าง บางทีก็โดนลูกค้าเร่งจนต้องรีบมาขอคำอนุมัติบ้าง บางทีก็มาขอลางานล่วงหน้าบ้าง จิปาถะเยอะแยะเต็มไปหมด
"วันนี้ตี้เขาลาป่วย ผมกับกิฟท์ก็เลยกะว่าเย็นนี้จะซื้อของไปเยี่ยมที่หอ ก็เลยจะมาขอคุณกฤตกลับเร็วกันหน่อยเพราะหอตี้เขาอยู่ไกลน่ะครับ"
ชายหนุ่มฟังแล้วก็มุ่นคิ้ว ทว่าน้ำเสียงที่ไถ่ถามกลับราบเรียบดุจเดิม
"เขาบอกว่าอยู่ที่หอเหรอ?"
"ใช่ครับ พอดีเมื่อตอนบ่ายผมส่งเมสเสจไปถามว่าไปเยี่ยมได้ไหม ตี้ก็บอกว่าไปหาที่หอได้เลยครับ"
กฤตภาสเงียบไป แต่ในอกมีกระแสของความไม่พอใจแล่นขึ้นเป็นริ้ว ทั้งที่เขาก็เพิ่งบอกไปเมื่อวานนี้แท้ๆ ว่าช่วงที่ยังไม่หายก็ยังไม่ต้องกลับหอ เด็กคนนี้อยากจะท้าทายเขาหรือไงกัน?
เสียงจากโทรศัพท์มือถือบ่งบอกว่ามีข้อความเข้า กฤตภาสจึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่านว่ามาจากใคร เมื่ออ่านจบแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองอรรณพอีกครั้ง
"ถ้างั้นฉันร่วมสมทบทุนค่าของเยี่ยมไข้ก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องบอกหรอกว่าฉันช่วย ถ้าเขารู้ว่าของเยี่ยมนี่มาจากพวกเธอคงจะดีใจกว่า"
กฤตภาสเอ่ยพลางหยิบธนบัตรใบละหนึ่งพันสามใบออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้อรรณพซึ่งกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง แต่เขาก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ขณะรับเงินไปจากมือเจ้านาย
"ขอบคุณครับคุณกฤต งั้นถ้าซื้อของแล้วเหลือเงินทอนผมจะมาคืนให้นะครับ"
"ไม่ต้อง ใช้ทั้งหมดนั่นได้เลย ถ้าเหลือก็เอาไปจ่ายค่าแท็กซี่ก็แล้วกัน"
อรรณพผงกศีรษะรับรู้ก่อนจะเดินออกไป ส่วนกฤตภาสยกมือขึ้นประสานตรงหน้าแล้วก็เหลือบตาลงอย่างครุ่นคิด เขาลืมไปสนิทว่าวีณายังนั่งอยู่ในห้องจนกระทั่งอีกฝ่ายทักขึ้น
"เอ่อ...คุณกฤตคะ?"
"หืม? อ้อ...เมื่อกี้คุยกันถึงไหนนะ?"
"เรื่องคนที่จะมาช่วยทำหน้าที่เลขาระหว่างที่วีร์ลาไปคลอดค่ะ ว่าจะโยกให้น้องคนไหนมาทำแทนไปก่อน หรือจะจ้างคนใหม่ระยะสั้นดี วีร์ยังไม่กะลาออกไปเป็นแม่บ้านถาวรหลังคลอดลูกนะคะ"
ประโยคล้อเล่นของหญิงสาวทำให้กฤตภาสอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขาเอนหลังพิงพนักแล้วก็แหงนหน้ามองเพดานครู่หนึ่ง
"ให้จ้างคนใหม่ตอนนี้คงไม่ทัน ถ้างั้นคงต้องดูว่ามีใครที่น่าจะพอทำหน้าที่เลขาไปก่อนได้บ้าง"
กฤตภาสเอ่ยพลางมองหน้าหญิงสาว เธอจึงพยักหน้าเข้าใจพลางถอยเก้าอี้เพื่อลุกขึ้น "ได้ค่ะ งั้นวีร์จะช่วยถามให้ว่าเวิร์คโหลดของแต่ละคนตอนนี้เป็นไงบ้าง แล้วเดี๋ยวจะมาเสนอให้คุณกฤตเลือกอีกทีนะคะ"
"ขอบใจมากวีร์"
กฤตภาสมองประตูห้องที่ปิดลงหลังจากวีณาเดินออกไป จากนั้นก็เดินไปเปิดหน้าต่างแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ ร่างสูงใหญ่มองลงไปเห็นแผ่นหลังของอรรณพกับลูกน้องสาวอีกคนที่กำลังเดินออกจากอาคารไปทางถนน จากนั้นก็อัดควันเข้าปอดอึกใหญ่
วันนี้หนีกลับเพราะไม่อยากอยู่กับฉันสินะ...ก็ได้...ถ้าไม่อยากเจอกันขนาดนั้นก็ไม่ต้องเจอ...
ชายหนุ่มยืนสูบบุหรี่พลางทอดสายตามองทิวทัศน์ภายนอกอย่างเงียบๆ ความคิดคำนึงถึงเด็กหนุ่มที่รบกวนจิตใจทำให้นึกรำคาญตัวเอง เขาจึงเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาคนคุ้นเคย ในเมื่อธีระทำเขาเสียแผนสำหรับคืนนี้ไปแล้ว จะให้เขาปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปเฉยๆ ก็ใช่ที่
"Are you free tonight? Let me know if we can meet."
++------++
พวกพี่ถึงแล้ว นั่งรออยู่ข้างล่าง
โอเคครับ กำลังลงไป
ธีระพิมพ์ข้อความตอบทางโทรศัพท์ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วคว้าเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับเสื้อยืดก่อนจะเดินออกจากห้อง ลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาทางระเบียงหอบไอชื้นของฝนมาด้วย เด็กหนุ่มจึงกระชับเสื้อคลุมเข้าหากันมากขึ้นขณะเดินไปที่ลิฟต์
พอฟ้ามืดทีไรฝนก็ทำท่าจะตกทุกที น่าเบื่อชะมัด...
เด็กหนุ่มคิดขณะใช้หลังมือถูจมูกที่คัดจนแทบหายใจไม่ออก หลังจากเขาลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างก็พบว่ารุ่นพี่ทั้งสองนั่งรออยู่ที่ชุดเก้าอี้ม้าหินหน้าอพาร์ทเม้นท์ จึงรีบเปิดประตูแล้วเดินออกไปหา
"พี่กิฟท์ พี่อาร์ท หวัดดีครับ"
"หวัดดีตี้ เป็นไงบ้าง โหย...ท่าทางไม่สบายหนักเลยนะเนี่ย"
ธีระยิ้มจ๋อยๆ ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง ก่อนจะขอโทษขอโพยด้วยเสียงแหบแห้ง
"ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่สะดวกให้ขึ้นไปที่ห้อง ตอนนี้มันรกมากเลย ผมกลัวว่าเดี๋ยวจะติดหวัดกันด้วย"
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เห็นอาร์ทบอกว่าเสียงของตี้แย่มากพี่ก็เลยอยากมาเยี่ยม นี่ซื้อกระเพาะปลากับกระเช้าของฝากมาให้ด้วยนะ"
"โหย...ขอบคุณครับ ไม่น่าจะต้องลำบากกันเลย"
เด็กหนุ่มไหว้ขอบคุณก่อนจะรับกระเช้าไปวางข้างตัว เขางงนิดหน่อยว่าแค่เด็กฝึกงานคนหนึ่งเป็นหวัด พวกรุ่นพี่ก็จะพากันซื้อกระเช้าเยี่ยมไข้ที่เต็มไปด้วยอาหารบำรุงชุดใหญ่เช่นนี้มาให้กันเป็นเรื่องปกติหรือ
รุ่นพี่ทั้งสองได้ยินที่ธีระเอ่ยก็มองหน้ากัน แต่ในเมื่อโดนสั่งมาว่าไม่ต้องบอกว่าเงินค่ากระเช้ามาจากใคร จึงทำได้เพียงตอบแบบเลี่ยงๆ
"ไม่หรอกตี้ ช่วงนี้งานเรากำลังยุ่ง ขาดใครไปคนนึงก็ลำบาก ทุกคนเลยอยากให้ตี้หายไวๆ น่ะจ้ะ"
"ถ้าหากพรุ่งนี้ยังไม่ไหวก็ลาพักต่อได้นะตี้ เดี๋ยวพี่บอกคุณกฤตให้ เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก"
ชื่อของกฤตภาสทำให้ไหล่ของธีระสั่นขึ้นมา ลมเย็นๆ ที่พัดมาวูบหนึ่งทำให้เขาคันจมูกจนต้องหันไปจามสองครั้งติดๆ กัน รุ่นพี่ทั้งสองจึงนึกว่าเขาคงหนาวเพราะพิษไข้
"ตายล่ะ มัวแต่ชวนคุยอย่างนี้น้องก็ไม่ได้พักสักทีสิอาร์ท งั้นเดี๋ยวพวกเรากลับกันก่อนดีกว่า ตี้จะได้ไปนอน"
"จริงด้วยสิ ตัวก็ยังร้อนอยู่เลย งั้นตะกร้านี่ให้พี่ช่วยยกไปส่งที่ห้องมั้ย?"
อรรณพถามหลังจากยื่นมือมาทาบบนหน้าผากเขา เด็กหนุ่มจึงส่ายหน้าและพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาเพื่อให้ทั้งสองสบายใจ
"ไม่เป็นไรครับพี่อาร์ท แค่มาเยี่ยมกันก็ดีใจมากแล้ว ตะกร้านี่ผมถือเองไหวครับ"
"ถ้างั้นเดี๋ยวกินข้าวเย็นแล้วก็นอนเยอะๆ นะจ๊ะตี้ ถ้ามีอะไรจะให้พวกพี่ช่วยก็โทรมาได้เลยนะ"
"ได้ครับ ขอบคุณมากครับพี่กิฟท์"
ธีระโบกมือให้รุ่นพี่จนกระทั่งทั้งสองออกไปพ้นรั้วของอพาร์ทเม้นท์ จากนั้นก็เดินหิ้วตะกร้าเยี่ยมไข้อันหนักอึ้งกลับเข้าไปรอลิฟต์ เมื่อถึงห้องแล้วก็วางกระเช้านั้นลงก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง
ไม่อยากขยับตัวไปทำอะไรแล้ว...มื้อเย็นเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน...ไม่อยากอาบน้ำด้วย...
เด็กหนุ่มคิดพลางดึงผ้าห่มขึ้นจนถึงคอ พลันก็รู้สึกเจ็บบนหลังมือข้างขวาจึงใช้มือซ้ายลูบเบาๆ และพบว่ารอยถลอกซึ่งเกิดจากรอยเล็บของกฤตภาสตอนที่กำมือเขาเมื่อคืนนี้ยังไม่หายไป
ไม่ใช่แค่มือสิ บั้นเอวเขาที่ถูกบีบเสียแน่นเมื่อคืนก็ยังช้ำเป็นรอยนิ้วอยู่เลย นี่เขาทำกรรมอะไรไว้กับผู้ชายคนนั้นกันนะถึงต้องมาคอยรองรับอารมณ์แบบนี้ ต่อให้จะใช้คำพูดหวานหูมาโอ้โลมแค่ไหนระหว่างที่กำลังมีอะไรกัน มันก็ไม่ได้กลบเกลื่อนการกระทำป่าเถื่อนที่ฝืนใจคนป่วยในสายตาของเขาได้หรอก...
ธีระยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาพลิกตัวนอนตะแคงแล้วก็ดึงผ้าห่มคลุมโปงพลางหลับตาปี๋เผื่อว่าจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้สักที แต่ปรากฏว่าผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่หลับไม่ว่าจะพลิกตัวสักกี่ครั้ง และเขาก็พบว่าต้นเหตุคือคนใจร้ายคนนั้นที่ทำให้เขาหยุดคิดถึงไม่ได้สักทีนั่นเอง
"ซาดิสต์! ป่าเถื่อน! ไม่มีหัวใจ! เกลียด! เกลียด! เกลียด! เกลียดคนพรรค์นี้ที่สุดเลย!!"
เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งแล้วก็เขวี้ยงทั้งหมอน หมอนข้าง ตุ๊กตา ผ้าห่ม รวมถึงอะไรก็ตามที่วางอยู่บนเตียงจนกระจัดกระจายทั่วห้อง ร่างผอมบางหอบหายใจจนตัวโยน ความโมโหทำให้ร่างกายที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งรู้สึกร้อนมากขึ้นจนไม่รู้ว่าน้ำตาที่ซึมออกมานั้นเป็นเพราะพิษไข้หรือความโมโหกันแน่ เด็กหนุ่มเม้มปากแล้วก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเมื่อพบว่าตนเอาเรื่องอึดอัดขัดใจนี้ไปปรึกษากับใครไม่ได้เลย
"ฮึก..."
หยาดน้ำใสไหลจากหางตาอย่างสุดกลั้น ธีระพยายามแล้วที่จะห้ามตัวเองไม่ให้สะอื้น แต่สุดท้ายก็ฝืนอารมณ์ที่กำลังเอ่อท้นไม่ไหว ทั้งๆ ที่เขาเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้วแท้ๆ ...จะไม่เสียน้ำตาให้ใครอีกแล้วแท้ๆ...แต่กฤตภาสกลับเป็นคนที่ทำให้ความมุ่งมั่นของเขาต้องกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนนึกอยากทุบอะไรให้พังเพื่อระบายอารมณ์
ดีแต่ใช้กำลังข่มขู่ให้คนอื่นทำตามที่ตัวเองต้องการ คอยดูก็แล้วกันว่าถ้าเขาดื้อขึ้นมาบ้างจะเป็นยังไง!!
++---TBC---++
A/N: เอาล่ะสิ น้องตี้เพิ่งจะทำใจยอมรับชะตากรรมที่โดนตากฤตยัดเยียดให้อยู่เมื่อไม่กี่ตอนนี่เอง แต่คุณชายเธอดันทำให้น้องฉุนขาดเสียแล้ว ตีตี้น้อยจะดื้อแบบไหนกันน้อ แล้วตากฤตส่งเมสเสจไปนัดเจอใคร? ต้องติดตามกันต่อไปนิ ^^
อะไรทุกคนจะอยู่ในใจกันและกันตลอดแบบแซ่บๆน่ะ แต่แอบกระซิบน้องตี้นะ กำลังมีคนละเมิดสัญญาอยู่หรือเปล่าน้อ Bellbomb พาเราคิดเลยเถิดไปไหนแล้ว ขอบคุณค่ะ ติดตามอยู่นะ