เวลาจะไปโรงเรียน ก็จะมีรถมารับ(รถสองแถว) ในเวลา 07.40 น. ซึ่งแม่บ้าน ก็จะแจกเบี้ยเลี้ยง(เงินค่าขนม) อ้อ มีคำถามอยู่พอดี คุณผู้อ่านพอจะรู้มั่ยครับ
ว่าเด็กในสถานสงเคราะห์ ได้เงินค่าขนมคนละเท่าไร อยากให้ลองตอบดู....ตอบไม่ได้ไม่เป็นไร ให้โอกาสเดาแล้วกัน..เอางี้ผมตอบให้เลยแล้วกัน เพื่อไม่ต้องเสียเวลา กับคุณผู้อ่าน
ป.1- ป.3 ได้เงินค่าขนม 4 -6 บ. ส่วน ป.4 - ป.6 ได้เงินค่าขนม 8 -10 บ.
(หมายเหตุ สมัยที่ผมยังอยู่ใน สถานสงเคราะห์ แต่หลังที่ผมออกมาแล้ว
ไม่รู้ว่าเพิ่มเบี้ยเลี้ยง ค่าขนมเป็นเท่าไรแล้ว)
ถ้าถามถึงเงินค่าอาหารกลางวัน ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทางสถานสงเคราะห์ ได้จ่ายค่าอาหารกลางวันไว้กับทางโรงเรียน ก็คือสามารถกินอาหารวันได้เลย และเด็กโตขึ้นมาหน่อยที่เรียนชั้นมัธยมก็ได้เงินไปโรงเรียน ตั้ง 30 บาทแน่ ที่ได้ขนาดนี้เพราะ มีรายจ่ายเยอะกว่า ไหนจะค่ารถไปเรียน ไหนจะค่าอาหารกลาง เงินค่าขนม อีกตากหาก ถ้าพูดง่ายๆ คือรับผิดชอบการใช้จ่ายเอาเอง ส่วนเงินออมนั้นมาจากเงินค่าขนมที่เหลือมาจากโรงเรียน แต่ส่วนใหญ่ จะไม่คอยมีเหลือเท่าไรนัก เพราะเงินที่ให้ดูน้อยไปหน่อยเวลาที่กลับจากโรงเรียนทุกครั้ง แม่บ้านก็จะถามว่า เอ๋ย..วันนี้เหลือกเงินกลับมาเท่าไร (เป็นคำถามที่แก่ ถามไม่เคยเบื่อเลย)เลยทำให้แม่บ้านต้องพูดอยู่บ่อย ว่า อย่างน้อยก็ควรเหลือ เงินกลับมาบ้าง สักบาท สองบาท ก็ดี ดีกว่าไม่เหลือเลย
แม่บ้านจึงต้องหาวิธีดังนี้
ถ้าเป็นเด็กเล็ก ก็จะออกบังคับให้เหลือเงินกลับมาหยอดกระปุก 1 บาท ถ้าไม่เหลือกลับมาพรุ่งนี้จะตัดเงินค่าขนมของเธอ เข้าใจไหม ทำให้เด็กเล็กมีเงินเก็บมากกว่าเด็กโต ส่วนในของเด็กโต
(เด็กที่มัธยม) แม่บ้าน ก็จะขู่แต่ไม่บังคับ จำขึ้นใจไว้เลย เมื่อไหร่ก็ตาม
ที่คิดมาเบิกเงินใช้ เธอจะไม่ม่มีทางได้ใช้เงินแน่เพราะถือว่า เงินฝากมีน้อย
ไม่สมควร ที่จะเบิกแต่เด็กโตส่วนใหญ่จะมีเงินฝากก็ตรงที่โดนหักเงินจากกการที่ถูกทำโทษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง งานที่ได้รับมอบหมายมาแต่ทำไม่เรียบร้อย เป็นต้น เพราะแม่บ้านมักจะทำบัญชีเงินของเด็กแต่ละคน ไว้ ถ้าอยากเบิกก็เบิกได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่บ้านจะให้หรือไม่ให้แล้วแต่เรื่องที่จะเบิกเงิน มีเหตุผลมากน้อยเพียงใด ถ้าถามผมมีเงิน เก็บไหม ก็พอมีแต่ไม่ถึงกับมีเยอะหรอกครับ
มาถึงกิจวัตรประจำวันที่สำคัญและขาดไม่ได้เลยนั้นคือ การซักเสื้อผ้ากางเกนยันไปถึงกางเกงในเลยซึ่งเป็นกิจวัตรทุกครั้งก่อนอาบน้ำ เวลาที่ซักเสื้อผ้าเสร็จ ต้องนำเสื้อผ้าไปให้แม่ตรวจดู ความสะอาด แม้กระทั้งกางเกงในด้วย ตรงที่ไม่สะอาดก็ให้กลับซักใหม่ โดยที่แม่จะชี้บอกว่าตรงไหนไม่สะอาด เช่น ปกคอเสื้อ ขอบกางเกนกระเป๋าและเปากางเกนใน เป็นต้น ส่วนใหญ่ แม่จะตรวจเฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น ส่วนเด็กโต
แม่แก่ก็พูดอยู่เสอมว่า ซักให้มันสะอาดหน่อยนะ ถ้าไม่สะอาดมักก็เรื่องของเธอ เพราะฉันไม่ได้ใส่ร่วมกับเธอรู้ไหม แม่แก่นี้ไหวพริบเร็วมาก รู้ว่าเด็กโตคนไหนไม่สะอาด(ขอโทษที่ต้องใช้คำหยาบก่อน) มึงเป็นสังฆัง ขี้กรากขี้เกือน อย่างนี้เพราะมึงซักเสื้อผ้าไม่สะอาด และต้องมานั้งกัดฟันทายาซีนีมา เจ็ษแสบใช่ไหม นี้แหละคือบทลงโทษที่ซักเสื้อผ้าไม่สะอาดเอง บอกแล้วไง ว่าฉันไม่ได้ใส่ร่วมกับเธอ ส่วนเรื่องรีดเสื้อผ้าก็จะเป็นหน้าที่ของเด็กโต ซึ่งจะเป็นเด็กที่อยู่ ชั้นป.4 ชั้นมัธยม และเป็นเช่นเคยที่แม่บ้านต้องตรวจรีดเสื้อผ้าให้เรียบดีหรือไม่ดี ถ้ารีดไม่ดี ก็รีดใหม่ซะ
มาถึงกิจกรรมสุดท้ายของกิจกรรมหลัง นั้นก็คือ การสวดมนต์ไหว้พระ แผ่เมตารวมถึงนั่งสมาธิ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีซึ่งจะทำในเวลา สองทุ่ม และเวลานี้เอง พี่ยาม (เจ้าเก่า) ตีระฆัง บอกเวลา เหมื่นเคย ได้เวลาสวดมนต์แล้ว และเด็กทุกคนก็จะ มาพร้อมเพียมกัน ในห้องพระแม้กระทั้งแม่บ้านด้วย แล้วหัวหน้าก็จะนำสวดมนต์ก่อน ลูกน้องก็ท่อนตามกันไป ต่อจากนั้นก็จะประสานเสียงสวดพร้อมกัน เมื่อเสร็จจากการสวดมนต์แล้ว ก็ต่อด้วย การแผ่เมตา นั่งสมาธิ ในช่วงนี้แหละ เป็นช่วงอันตราย สำหรับทุกคนก็ว่าได้ นั่งนานไม่กลัวเมื่อย (ไม่เมื่อย) แม้ยุงกัดก็ไม่หวั่น (เรื่องธรรมดา) แต่หวั่นไหวเพราะเรื่องนี้
ท่านผู้อ่านครับลองนึก สภาพเหตุการณ์(ขอย้ำ) นึกสภาพดู เวลาที่มีกลุ่มคน นั่งสมาธิสัก 20 คนขึ้นไป แล้วมีผู้นำ ค่อยบอก กำหนด ลมหายใจเข้าออก พุทธหายใจเข้า.......(เต็มปอด) โท หายใจออก (ช้าๆ..) ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 3 นาที แล้วจึงคอยลืมตาแต่ในระหว่างที่นั่งอยู่ นั้นเอง ก็เกิดมีเสียงประหลาด ดังขึ้นมาและดันไปเข้าจังหวะพอดีกับ พุทธหายใจเข้า (บู้ดๆๆ)เป็นเสียง ตดนี้เอง ตามติดๆๆด้วยกลิ่นเหม็ดๆๆที่หายใจ
เข้าไปแล้ว ต้องรีบท่อน โท อย่างเร็วเพราะทนกลิ่นไม่ไหวแน่ หลังจากที่เลิกนั่งสมาธิแล้ว แม่บ้านรีบตะโกนว่า ใครวะ ตดมาได้ ไม่เกรงใจกันเลย และดันมาปล่อยเวลานี้ซะด้วย เหตุการณ์นี้ ก็ผ่านพ้นไป และมาเกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ก็ระวังเป็นพิเศษเมื่อได้ยินเสียงตด เด็กทุกคนรีบลืมตาหาเจ้าของเสียงนี้โดยที่ไม่มีใครเลยปล่อย พิรุบให้เห็น เลยหาคนไม่ได้ ทุกวันนี้คนนี้ ยังลอยนวลอยู่ ไอ้เรื่องแบบนี้มันห้ามกัมไม่ได้ เป็นเหตุสุพิสัยด้วยซ้ำ แต่สำหรับผมดูเป็นเรื่องตลกดี เคยเล่าให้คนอื่น ฟังด้วยนะ
พอเล่าจบ ก็หัวเราะเลย เป็นเหตุการณ์ทรงจำที่ตลกที่สุดในรั่วสถานสงเคราะห์ของผม
มาขึ้นเรื่องกันต่อเลยแล้วกันครับ เป็นกิจวัตรชั่วครั่งชั่วคราว เป็นหัวข้อที่ 2
2. กิจวัตรชั่วครั้งชั่วคราว : คือกิจวัตรที่ไม่ได้ทำทุกวัน พูดง่ายๆตรงข้ามกับ
กิจกรรมหลัก นั้นเอง นานทีถึงจะสักครั้งหนึ่ง เช่น มีแขกมาเลี้ยงอาหาร มีพี่ๆนักศึกษาจากมหาวิทลัย รวมถึงดารานักเข้ามาจัดกิจกรรมแนวบันเทิง บางทีทางสถานสงเคราะห์ก็จัดพาไปเทียวบ้าง เป็นต้นหากให้จัดลำดับ กิจกรรม ที่อยากให้มีบ่อยๆ ที่สุด นั้นก็คือ พาไปเที่ยวข้างนอก
เพราะนานๆที่ จะได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น เหมื่อนคนอื่นๆเขาบ้างก็ดีไม่ต้องอยู่ในรั่วสถานสงเคราะห์ อย่างเดียว (เหมือนกบที่อยู่ในกะลา) ไม่แตกต่างกันเลย
สำหรับพวกผม เมื่อมีข่าวคราวว่าจะพาไปเที่ยว พวกผมนี้ จะตื้นเต้น ดีใจสุดๆ ถึงแม้จะเป็นการแจ้งล่วงหน้า มา 1 เดือนก็ตาม พวกผมก็จะเฝ้าคอยนับวันเวลา เหลือกอีกกี่วัน ที่จะได้ไปเที่ยว ในช่วงเวลานี้เอง ต้องระวังเป็นพิเศษเลย ห้ามทำพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น มีเรื่องทะเลาะ ชกตีต่อยกัน เป็นอันขาด ไม่งั้นจะถูกทำโทษ ไม่ให้ไปเทียว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดสำหรับพวกผมเลยก็ว่าได้ เมื่อถึงไปวันเที่ยว พวกผมจะตื่นนอนอันโนมัติ
โดยที่ แม่บ้านไม่ต้องมาปลูก(ไม่เหมื่อนต้องไปโรงเรียนเลยนะ พวกเธอนี่)เป็นเสียงบ่นของแม่บ้าน แถมตื้นตอนตี 4 ด้วยนะ แทนที่จะเป็นตี5 การไปเที่ยว ส่วนใหญ่จะไปเช้าเย็นกลับ หรือบางครั้งก็จะไปเทียว 2 วันหนึ่งคืน สถานท่อนเที่ยวที่ไปกันบ่อยๆมากที่สุด คือทะเล รองลงมาสวนสนุก ตามมาติดๆพิพิภัพฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โบราญสถานวัดวาอาราม เป็นต้น ส่วนเทียวสวนสัตว์นานๆถึงจะไปสักครั้ง ถ้าไปเที่ยว 2 วัน 1 คืนก็แน่นอนละครับ ต้องมีกิจกรรม ชุมนุนรอบกองไฟ (เหมื่อนไปอยู่ค่ายลูกเสือ เลย)การไปเทียวในแต่ละทีนั้น ทำให้เด็กอย่างพวกผมได้มีโอกาสเรียนรู้สังคมภายนอกไม่มากก็น้อย เกือบลืมบอกไปอาหารที่กินเวลาที่ไปเทียวเกือบทุกครั้ง ต้องยกให้เป็นพิเศษเลย ข้าวเหนี่ยวไก่ทอด หรือ จะเป็นข้าวเหนี่ยวหมูเค็ม เพราะเป็นเมนูที่สำคัญที่ขาดไปไม่ได้เลย
เวลาที่จะจัดพาไปเที่ยวสักครั้งหนึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะมันขึ้นอยู่กับผู้มีพระคุณที่มีน้ำใจช่วยเหลือโดยการบริจาคเงินเล็กๆน้อยๆไว้เป็นทุนสำหรับเวลาที่จะจัดพาไปเทียว ซึ่งก็ใช้เวลานานพอสมควร จึงจะเป็นงบก้อนโตขึ้นมาได้ ด้วยสาเหตุนี้เอง ในหนึ่งปีถึงจะได้การจัดพาไปเทียวสักครั่งหนึ่ง แต่ยังไงก็ตามแต่ ตัวผมแลเพื่อนๆต้อง ขอขอบคุณมากครับ สำหรับผู้มีพระคุณทุกท่าน
เป็นไงมั่งครับ กิจวัตรในรั่วสถานสงเคราะห์ของผม คล้ายกับของคุณผู้อ่านบ้างหรือเปล่า แต่ของผมนั้นจะต่างตรงที่มีเวลามาคอยควบคุม ว่า ในเวลานี้ ชั่วโมงนี้ ควรต้องทำอะไรบ้าง (ดูเหมื่อนว่าชีวิตไม่ค่อยมีอิสระเท่าไร) ส่วนของผู้อ่านนั้น จะตรงข้าม กันเลย คือมีเวลา ที่อิสระในชีวิตแบบสะบายๆ โดยไม่ต้องมีเวลามาคอยคุมเลย (ชังน่า
อิฉาเหลือเกิน) แต่ยังไงกิจวัตรเหล่านี้ก็ช่วยให้ชีวิตผม มีระเบียบมากขึ้น รู้จักว่าสิ่งไหนต้องทำก่อน-หลัง และฝึกให้ตัวเองเป็นคนรับผิดชอบในหน้าที ที่รับมอบหมายให้เสร็จนอกจากนี้ยังทำรู้จักคุณค่าของเวลาที่มีอยู่ มันเป็นสิ่งสำคัญที่เอาคือไม่ได้เลย โดยฉะเพราะการตรงต่อเวลา คำนี้ ที่พ่อบ้านชอบให้เด็กร้องเพลงเมื่อมีการเรียกประชุมก่อนจบเรื่องนี้จะขอมอบเพลงนี้ซึ้งเป็นเพลงที่ใช้เรียก เด็กทุกคน มารวมตัวกันทั้งหมด คงไม่ใช่ ตืนเถอะวัวควายแน่นนอน
เพลง ตรงต่อเวลา
ตรงต่อเวลา พวกเราต้องมาให้ตรงเวลา
ตรง ตรง ตรง ตรงเวลา พวกเราต้องมาให้ตรงเวลา
เราเกิด มาเป็นคน ต้องหมั่นฝึกฝน ให้ตรงเวลา
วันคืนไม่คอยท่า วันเวลาไม่เคยรอใคร (ซ้ำวันเวลาไม่เคยรอใคร)
จบเรื่อง
.................................................................................................
*** โปรดติดตามอ่าน สถานสงเคราะห์ บ้าน...เกิด..ผม / อาวุฒิสำคัญ 1เร็วๆนี้ ขอบคุณมากครับที่เข้ามาอ่าน สวัสดีครับ
เรียนผู้อ่านทุกท่าน ผมลูกชิ้น อาจจะขอหยุด 1 วัน เพื่อที่จะเขียน ต้นฉบับ
สถานสงเคราะห์ บ้าน...เกิด..ผม / อาวุฒิสำคัญ 1 อาจจะทำให้เสียความรู้สึกไปบ้าง ต้องขอกล่าวคำว่า ขอโทษครับ