ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
21 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
คฤหาสน์สนธยา ตอนที่ 6

ความกลัว กับ ความรัก สิ่งใดกันที่ล้ำลึกยิ่งกว่า จริงใจ ไม่มีเวลาลังเล เขาต้องรีบลงไปช่วยสองคนนั้นเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ก็อาจต้องใช้เวลาในชีวิตที่เหลือ มานั่งเสียใจกับสิ่งที่เขาไม่ได้ลงมือทำ เขาบังคับตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว

มือเท้าของเขาเย็นเฉียบ หัวใจเต้นรัว กระแทกเข้าใส่ทรวงอกอย่างบ้าคลั่ง ราวกับต้องการจะทุบทำลายกระดูกซี่โครง เกราะป้องกันที่เคยทำหน้าที่คุ้มครองมันมาโดยตลอด พยายามจะแหกกรงขังหลบหนีออกจากร่าง หลบหนีไปให้พ้นจากความหวาดกลัว

'ฉันกำลังรออยู่'

ทะเลส่งเสียงกระซิบข้างหูด้วยความคิดถึง 'ไม่' มันเป็นแค่เสียงคลื่น มันเป็นแค่เสียงลมพัด เป็นแค่เสียงในจินตนาการที่เขาคิดขึ้นมาเองเท่านั้น ทะเลพูดไม่ได้ ทะเลไม่มีชีวิต 'ผิดแล้ว มันมีชีวิต' แต่ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เขากำลังหวาดกลัว

ทะเลมีชีวิต นอกจากสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่แหวกว่าย คืบคลาน โบกไหว หรือทำอะไรก็ตามอยู่ในนั้นแล้ว ยังมีชีวิตขนาดเล็กจิ๋วจำนวนมากมายมหาศาลล่องลอยไปมา น้ำทะเลมีชีวิต มันเป็นชีวิตเหลวที่เข้มข้น ชีวิตบนโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในของเหลวนั้น ทะเลคือชีวิต

เขาสูดหายใจลึก พยายามเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังเป้าหมาย หญิงสาวสองคนที่กำลังจมน้ำ ความกลัวคือสิ่งที่คอยหลอกหลอนอยู่ภายในใจ มันทรงพลัง มันเข้มแข็งเสียจนผู้คนส่วนใหญ่ไม่กล้าลุกขึ้นเผชิญหน้า และนั่นคือจุดสำคัญ เพราะความกลัวนั้นไม่อยากเผชิญหน้ากับเรา

ความกลัวจะน่ากลัวที่สุด ก็ต่อเมื่อมันหลอกหลอนอยู่ในจินตนาการ ล่อหลอกให้เราคิดไปเองต่างๆ นาๆ มันจะผิดพลาดอย่างนั้น มันจะเลวร้ายอย่างนี้ เราจะล้มเหลว เราจะอับอาย หวาดกลัวในสิ่งที่อาจไม่เกิดขึ้น หวาดกลัวในความกลัวของตัวเอง

เขากลั้นใจก่อนก้าวลงไปในน้ำ มันเป็นก้าวแรกที่ยากเย็นที่สุด หากไม่มีสถานการณ์บีบคั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ คลื่นทะเลซัดเข้าใส่ แต่ก็แค่นั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีมือ หรือสิ่งใดๆ ที่เขาเคยหวาดกลัว เขาลุยลงไป น้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ และยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นั่นคือจุดสำคัญ เมื่อเราลุกขึ้นเผชิญหน้ากับความกลัว มันจะก้มหน้า หันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงันเกือบทุกครั้ง แค่เกือบ แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง

เขาโล่งใจ รู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในขณะที่สองสาวยังคงดิ้นรนไปมาอยู่ในน้ำ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน เพราะถ้าสองคนนั้นแน่นิ่งไปเมื่อไร เรื่องราวคงร้ายแรงยิ่งกว่านี้

'ชีวิตคือการดิ้นรน' เขาคิดอย่างขบขัน มีคนอยู่ประเภทเดียวเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไร และเขา หรือใครก็ตามที่ยังมีชีวิต ก็ไม่อยากให้ตัวเองได้พักแบบนั้นเร็วเกินไป ไม่อยากรีบร้อนที่จะลงไปนอนอยู่ในโลงแคบๆ ที่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสามารถหลบเลี่ยงได้

มันเป็นจุดหมายที่แปลกประหลาด ยิ่งไปถึงช้าเท่าไรก็ยิ่งดี

เขาเคลื่อนเข้าใกล้เป้าหมายอย่างรวดเร็ว ทำความคุ้นเคยกับทะเลที่จากไปนาน ปล่อยให้ความสุขสบายอันเกิดจากการมีน้ำคอยช่วยพยุงน้ำหนักของร่างกายเอาไว้แผ่ซึมเข้าไปในตัว กระแสน้ำที่อ่อนโยนลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด ร่างกายนี้ยังคงคิดถึงพวกมัน ความรู้สึกแห่งบรรพกาลที่ห่างหายไปในสายใยอันซับซ้อนของวิวัฒนาการ

เขาอยากรู้สึกถึงมันอีกครั้ง ความรู้สึกล่องลอยที่เคยพกติดตัวกลับขึ้นไปบนฝั่ง ความรู้สึกถึงผืนน้ำ แม้ว่ารอบกายจะมีเพียงผืนอากาศที่บางเบา ความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นเมื่อได้อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ เท่านั้น เป็นความรู้สึกที่เหมือนได้ล่องลอยอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในยามหลับตานอน ก่อนจะจางหายไปในวันรุ่งขึ้น

'ฉันกลับมาแล้ว ทะเลของฉัน'

เมื่อความกลัวเบาบางลง เขาจึงเริ่มคิดอะไรอย่างอื่นได้มากขึ้น และเริ่มสงสัยถึงสิ่งที่ทำให้สองคนนั้นจมน้ำ 'มันไม่น่าจะลึกเท่าไร' เขาพยายามเพ่งมอง 'นั่นมันอะไรกัน' มีเงาสีดำที่เป็นมากกว่าความมืดธรรมดาจำนวนหนึ่ง ลอยอยู่บนผิวทะเล พวกมันเวียนวนไปมารอบๆ สองคนนั่น เมื่อเห็นได้ถนัดตา เขาก็รู้สึกเสียใจที่พยายามจ้องดูพวกมัน

'มันไม่ใช่ มันไม่ใช่'

ความกลัวที่พึ่งเดินจากไปเมื่อก่อนหน้า รีบวิ่งกลับมาอย่างร่าเริง มันยกมือปิดปากหัวเราะ มันสะใจ ที่หลอกลวงเขาได้สำเร็จ หลอกให้เขาลงมาในน้ำ จมลงในความหวาดกลัวที่ลึกล้ำ

ภายใต้แสงจันทร์ มีมือสีดำขนาดใหญ่จำนวนมาก แบอยู่ ชูนิ้วทั้งห้าเหยียดชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่ายวนเวียนไปมาราวกับพวกมันเป็นครีบหลังของปลาฉลาม 'หรือว่านั่นคือสาเหตุของการจมน้ำของพวกเธอ แต่ พวกมันคืออะไร' สิ่งที่เขาไม่อยากนึกถึงที่สุดก็คือ 'ส่วนที่ต่อจากมือลงไปนั้น คืออะไร' แต่เขานึกไปเรียบร้อยแล้ว

ความกลัวโอบกอดมาจากทางด้านหลัง มันกระซิบอย่างวาบหวาม 'ช่าย จะมีตัวประหลาดน่ากลัวขนาดไหนซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำดำมืดนั้น' ก่อนที่มันจะมันแลบลิ้นสากๆ ที่เหมือนแมวเลียใบหูของเขา

เส้นทางการว่ายของมือพวกนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง การรอคอยจบสิ้นลง สองคนนั้นเป็นเพียงแค่ของเล่นฆ่าเวลา ตอนนี้พวกมันได้พบเจอกับเหยื่อตัวจริงแล้ว พวกมันคือฉลามที่หิวโหย พวกมันพุ่งเข้าใส่เขาอย่างหิวกระหาย ฝ่ามือที่แบอยู่แปรเปลี่ยนเป็นอุ้งมือ อุ้งมือที่พร้อมจะฉุดดึงเขาให้จมลงสู่ก้นทะเล

ในท่ามกลางความตื่นตระหนก คลื่นที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันถาโถมเข้าใส่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาลื่นเสียหลัก ตกใจกับกระแสน้ำข้างใต้ที่ออกแรงฉุดดึง 'บางทีอาจจะเป็นมือพวกนั้น' เขาล้มหงายฟาดลงไปในน้ำ

ภาพสุดท้ายที่ได้เห็น คือสองสาวที่เขาตั้งใจจะลงมาช่วยนั้น กำลังยืนกอดกัน พร้อมกับหัวเราะลั่น และเหล่าปลาฉลามที่มีครีบหลังเป็นมือยักษ์กำลังพุ่งตรงเข้ามา

#####

รุริโกะ ได้ยินเสียงของความเงียบมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าประตูห้อง มันไม่ได้มามือเปล่า มันมีอาวุธมาด้วย ของมีคมน้ำหนักมากถูกลากไปมาอย่างไร้เสียง 'มันเป็นแค่จินตนาการ' นักเขียนมักคิดถึงสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนกว่าคนทั่วไป เพราะนั่นคือวิธีการทำงานของพวกเขา คิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แล้วบอกเล่าให้ผู้อื่นเข้าใจตามที่ต้องการ

'มันอาจจะเป็นขวาน ขวานตัดไม้ขนาดใหญ่ที่เคยถูกใช้ผ่าท้องหมาป่าเพื่อช่วยชีวิตคุณยายในเรื่อง หนูน้อยหมวกแดง' ไม่ ไม่ ไม่ เธอไม่ควรนึกถึงนิทาน 'คุณยายจะยังรอดชีวิตอยู่ในท้องหมาป่าได้อย่างไรกัน' ไม่ ไม่ มันไม่ใช่เรื่องนั้น ถึงมันจะฟังดูโง่ แต่มันไม่เกี่ยว จินตนาการมักเป็นเช่นนี้ เราไม่อาจควบคุมมันได้ทั้งหมด

'ปัง'

เธอสะดุ้ง นั่นเป็นเสียงจริงๆ หรือเสียงที่คิดขึ้นเอง 'เสียงขวานจามเข้าใส่ประตูหรือเปล่า' เธอคิดด้วยความตระหนก เสียงเหมือนเดิมดังขึ้นติดต่อกันอีกสองสามครั้ง มันไม่ได้ดังมากอย่างที่เธอเข้าใจในตอนแรก และมีเสียงคนพูดภาษาไทยติดตามมา เธอถอนหายใจ มีใครกำลังเคาะประตู พยายามจะติดต่อกับเธอ

เธอลุกขึ้น เดินไปที่ประตู เอื้อมมือจับลูกบิด แล้วนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น 'ฉันไม่ควรเปิด' ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ หรือหลังจากวันนี้ เธออาจเปิดมันโดยไม่คิดอะไร พนักงานอาจมีเรื่องบางอย่าง อาจมีปัญหาอะไรเล็กน้อย อาจเป็นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ไม่ปกติ ทั้งตัวเธอเอง และสถานที่

เสียงเคาะประตู กับเสียงเรียกยังคงดังอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะยอมตัดใจจากไป แต่ความเงียบนั้นไม่ได้ติดตามไปด้วย มันยังคงป้วนเปี้ยน ลากขวานเดินวนไปมา

เธอถอนหายใจ ก่อนที่ไฟในห้องจะดับมืดลง เธอยกมือขึ้นคว้าเสียงกรีดร้องของตัวเองไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะหลุดรอดออกจากปากไปเข้าหูความเงียบข้างนอกนั่น

เธอทดลองเปิดปิดไฟแสงสว่าง มันไม่ตอบสนอง 'ไฟดับ' เธอเปิดมันค้างเอาไว้เช่นเดิม เมื่อไฟฟ้ากลับคืนมา มันจะได้ติดสว่างในทันที

เธอพยายามสร้างความเชื่อมโยง หาเหตุผลให้กับตัวเอง 'พนักงานเมื่อครู่นี้' ไม่ มันไม่ใช่พนักงาน มันอาจไม่ใช่คนด้วยซ้ำไป 'อาจจะพยายามมาแจ้งเรื่องไฟดับ' ใช่ ใช่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง 'มันคงดับแค่ไม่นาน' แค่อาจจะทั้งคืน จนกว่าพระอาทิตย์จะฉายแสง ยามเช้าเวียนกลับมาถึงอีกครั้ง 'คงแค่ไม่กี่นาที' ยามเช้าที่เธออาจไม่มีวันได้พบเห็นอีกเลย

แสงสว่างเล็กน้อยลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เธอค่อยๆ ย่องกลับไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ ความเงียบที่เธอเคยเข้าใจว่าถูกกั้นเอาไว้ด้วยกำแพง พยายามเบียดแทรกตัวเองผ่านช่องว่างรอยแตกที่เกิดจากความมืด ดูเหมือนว่าสิ่งที่ปิดกั้นมันเอาไว้ คือไฟแสงสว่างต่างหาก

การต่อสู้ระหว่างแสง กับความมืดในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้สิ้นสุดลงชั่วคราว มันไม่ได้หมายถึงผลแพ้ชนะของสงครามที่มีมาอย่างยาวนาน และจะยังคงมีอยู่ไปตลอดกาล แต่มันเป็นชัยชนะชั่วคราว ชัยชนะสั้นๆ ของความมืดที่มีเหนือแสงสว่าง

ความเงียบ ความมืด ความกลัว จับจินตาการของเธอเป็นตัวประกัน พวกมันบังคับให้เธอต้องคิดถึงเรื่องราวน่ากลัวต่างๆ ที่เคยได้รับรู้มา ก่อนที่ความคิดอย่างหนึ่งจะทำให้พวกมันทั้งหมดหันมองหน้ากันด้วยความงงงวย

เธอยิ้ม ยิ้มสั้นๆ ให้กับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง

ตอนเด็กๆ เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับภูติผีปีศาจต่างๆ วิญญาณร้ายที่เร้นกายอยู่ในป่าเขา ในที่รกร้างห่างไกล กับปะ คาไมทะจิ เทงงุ วิญญาณที่เป็นตัวแทนแห่งพลังของธรรมชาติ และสัตว์นักล่าทั้งหลาย ภูติผีที่เป็นตัวแทนแห่งความกลัวในจิตใจอันบิดเบี้ยวของมนุษย์ซึ่งมีต่อธรรมชาติรอบกาย ในยุคสมัยที่มนุษย์ยังร่ายรำไปกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาล ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้

เมื่อเธอเติบโตขึ้น มนุษย์ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ป่าแห่งที่อยู่อาศัย ป่าแห่งเมือง ข่ายใยของการคมนาคม แผ่ขยายไปทั่ว ผลักดันธรรมชาติ ป่าแห่งต้นไม้ สรรพสัตว์ ให้ต้องถอยร่น

การเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพ ถูกเปลี่ยนเป็นการเกษตรเพื่อการค้า เพื่อผลกำไร ยุคแห่งการค้าเสรี ยุคแห่งการตักตวง ยุคแห่งความเจริญ อุตสาหกรรม และวิทยาการ พลังบางส่วนของธรรมชาติได้ถูกมนุษย์เข้าจัดการด้วยความมืดบอด มนุษย์เริ่มร่ายรำไปตามใจแห่งตนโดยไม่สนใจท่วงทำนองของโลกอีกต่อไป

ภูติผีปีศาจแห่งธรรมชาติก็ค่อยๆ สูญหาย กลายเป็นภูติผีปีศาจแห่งเมือง วิญญาณแห่งความอ้างว้าง ความแค้น ความเกลียดชัง ภูติผีของเหล่าคนเมืองที่ไร้สุข ภูติผีที่เป็นตัวแทนในการระบายความคับแค้นของคนในสังคมเมืองออกมา ผีของผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ผีของผู้ที่ถูกเอาเปรียบ ผีของคนที่โดนรังแก

ทั้งหมดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอยิ้ม เธอเป็นคนญี่ปุ่น เธอรู้จักผีญี่ปุ่นทั้งในอดีต และปัจจุบัน แต่ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในประเทศไทย ห่างไกลจากบ้านเกิดของตน และเธอไม่เคยรู้จักผีไทยมาก่อน ภูติผีปีศาจแบบไหนกันที่จะออกมาหลอกหลอนเธอ

ความเงียบ ความมืด ความกลัว และจินตนาการพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมๆ กัน 'นี่มันบ้าสิ้นดี แต่ว่า' ภูติผีปีศาจทั้งหมดที่เคยมีมา เริ่มต้นขึ้นจากการเล่าขาน ภาพแห่งความน่ากลัวทั้งหลายจึงถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่ผู้รับฟังเรื่องราวเหล่านั้นเห็นพ้องร่วมกันว่ามันน่ากลัว

ยุคสมัยเปลี่ยนไป วิธีการบอกเล่าก็เปลี่ยนไป จากการเล่าด้วยปากต่อปาก เปลี่ยนเป็นการเล่าที่มีทั้งภาพ และเสียง ผ่านสื่อโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และอื่นๆ ไม่เพียงแค่ในท้องถิ่นของตน พวกมันแพร่กระจายไกลออกไปทั่วทั้งโลก

ความเงียบ ความมืด ความกลัว และจินตนาการเริ่มมีรอยยิ้ม ยิ้มที่เยียบเย็น 'ไม่นะ' เธอกำลังจะไปถึงบทสรุปที่ไม่อยากคิด แต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้

ภูติผีปีศาจทั้งหมดค่อยๆ หลอมรวมกันผ่านสื่อต่างๆ เหล่านั้น ความน่ากลัวค่อยๆ ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้ว่าพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรม ระหว่างตะวันออก กับตะวันตก จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว พวกมันจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นภูติผีปีศาจแห่งโลกไปในที่สุด

'มีปีศาจที่น่ากลัวอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน'

ไม่ว่าภูติผีปีศาจเหล่านั้นจะมีจริง และมีการปรับเปลี่ยนตัวเองเหมือนกับสังคมมนุษย์ หรือเป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นโดยจิตใจของมนุษย์ เป็นภาพสะท้อนที่เกิดจากความคับแค้น บิดเบี้ยวของสังคม จึงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นของจริงทั้งสิ้น

จะมีจริง หรือเข้าใจว่ามีจริงก็ตาม มันก็คือของจริงสำหรับคนผู้นั้นอยู่ดี

ความเงียบ ความมืด ความกลัว และจินตนาการพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมๆ กันอีกครั้ง เธอพยายามหดตัวเข้าไปในเก้าอี้ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นไฟฉาย สร้างเป็นเขตป้องกันเล็กๆ ขึ้นรอบกาย

เธอมองดูบนหน้าจอ 'เหลือแบตอยู่แค่ยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง' เธอหวังว่าไฟจะดับเพียงไม่นาน ตอนนี้ดูเหมือนว่าความเงียบจะหาทางเข้ามาภายในห้องได้แล้ว มันหลบนั่งซุ่มอยู่ในความมืด รอคอยโอกาสอย่างอดทน

เธอส่องไฟฉายชั่วคราวในมือไปรอบๆ ห้อง แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางได้เห็นอะไร ความเงียบนั้นว่องไว มันสามารถเคลื่อนกายไปมาในความมืดโดยแทบไม่ต้องเคลื่อนไหว พวกมันเป็นหนึ่งเดียวกัน

'นั่นอะไร' เธอคล้ายกับเห็นเงาของเด็กผู้หญิงผิวขาวตัวเล็กๆ วิ่งผ่านแสงไฟไปที่มุมห้อง 'ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่มีอะไรทั้งนั้น' เธอพยายามกล่อมให้ตัวเองเชื่อ

การเอาแต่นั่งเฝ้ามองความมืดต่อไปคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก จินตนาการของเธอจะยิ่งถูกเหนี่ยวนำ ยิ่งป้อนพลังให้กับความหวาดกลัว มันจะกล้าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอจะพ่ายแพ้ แล้วถูกเด็กหญิงความเงียบจามด้วยขวานของเธอ 'ดูสิ ไปกันใหญ่แล้ว ตอนนี้มันมีรูปร่างขึ้นมาแล้ว'

เธอหันกลับไปยังนิยาย คิดจะกลับเข้าไปในโลกของเธออีกครั้ง แต่ก่อนหน้านั้น สมุดเก่าๆ ของเธออีกเล่มหนึ่ง ก็มาวางเปิดอยู่ตรงหน้า

'เวลา ไม่ใช่สิ่งคงที่ ที่น่าปวดหัวกว่านั้น มันไม่จำเป็นต้องเดินทางเป็นเส้นตรง ทุกวันนี้ เราเอาแต่กระโดดไปมาระหว่าง อดีต ปัจจุบัน อนาคต และจินตนาการ ภายในจิตของเราอยู่ตลอดเวลา'

เธออ่านมัน พวกมันยังคงไม่รู้เรื่องเหมือนเช่นเคย เธอเป็นคนเขียนพวกมันแน่หรือ 'บางทีอาจเป็นคนอื่น' คนอื่นที่พยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ 'พอที มันจะเป็นไปได้อย่างไร'

เธอขยับหามุมเพื่อวางโทรศัพท์ให้ลำแสงเล็กๆ สาดลงบนหน้ากระดาษว่าง จับดินสอขึ้น แล้วก้าวเข้าสู่ก้นทะเลอีกครั้ง ทุกอย่างจะรอคอยเธออยู่เหมือนเช่นเดิม เพราะมันคือโลกของเธอ

มันไม่เป็นเช่นนั้น หญิงแปลกหน้าคนเดิมยังคงอยู่ และเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้มันไม่ใช่โลกของเธอเพียงผู้เดียวอีกต่อไป 'เธอเป็นใครกันแน่' นางแทรกแซงเข้ามา จนมันได้กลายเป็นโลกของนางไปแล้วเช่นกัน แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ถูกผลัก นางเพียงแค่เหลือบมอง ก่อนจะหมดความสนใจ

'เอกับบีหายไปไหน' ฉากการฆาตกรรมของเธอจบไปแล้ว 'เกิดอะไรขึ้นกันแน่' บางทีทั้งสองคนนั้นคงจะรอดตาย เพราะไม่อย่างนั้นเธอน่าจะได้เห็นร่างไร้วิญญาณล่องลอยอยู่ในสายน้ำ 'ใช่ นิยายของฉันพึ่งเริ่มได้ไม่นาน มันยังไม่ควรไปถึงจุดนั้น' ยังต้องบ่มเพาะอารมณ์ของคนอ่านให้คล้อยตามมากขึ้นไปอีก

เอ อาจลังเล โกรธตัวเอง หวาดกลัว หรือกลับกัน เธออาจตื่นเต้นไปกับการฆ่า การได้วางตัวเองอยู่เหนือชีวิตของผู้อื่น เธออาจจะค่อยๆ เปลี่ยนไป 'ส่วนบีล่ะ' บีอาจเริ่มสงสัย ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุจริงหรือไม่ มันจะทำให้คนอ่านได้ลุ้น ว่าเธอจะรู้ตัวก่อน แล้วเปลี่ยนตัวเองจากเหยื่อ มาเป็นผู้ล่าแทนหรือไม่ 'ไม่เลว'

ตอนนี้เธอต้องกลายมาเป็นผู้ชมบ้าง รอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกของนาง เธอมองลึกลงไปในท้องทะเล ปลาฉลามวาฬสีเทาอมฟ้าลายจุดตัวใหญ่ว่ายเวียนมาให้เธอได้เห็น 'เจ้านั่นเป็นของฉัน' เธอจำได้ มันคือยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในตู้แสดงหลักของไคยุคัง ที่ว่ายติดตามความทรงจำของเธอมาตั้งแต่วัยเด็ก

เธอมองขึ้นไปบนผิวน้ำ หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว 'วงคลื่นแห่งจุดเริ่มต้นอีกแล้ว' ผิวน้ำกระจายออกเป็นวงเมื่อมีใครคนหนึ่งก้าวลงมา ชายไว้หนวดเคราเดินช้าๆ ลงมาในทะเล 'เขาคงไม่ได้มาเล่นน้ำแน่' และที่สำคัญ 'มันเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกแล้ว' เธอต้องเคยพบกับเขาที่ไหนมาก่อน

เขามองไปรอบๆ ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนพบเห็นหญิงลึกลับ กับตัวเธอ โลกของทั้งสามได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เขาทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก เขาดูเศร้า ทำท่าเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ก่อนจะส่ายหน้า แล้วสุดท้ายก็ละสายตาไปหานาง

เธอรู้สึกสะเทือนใจอย่างประหลาดจากสายตาเมื่อครู่ 'ความรู้สึกเศร้าที่ลึกล้ำนี้คืออะไร' เธออธิบายไม่ได้ แต่เมื่อเขาละสายตาไป เธอก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งนี้อีก เหลือเพียงนาง กับเขาสองคนเท่านั้น

เขาเดินไปหานาง ด้วยท่าทางราวกับแบกโลกทั้งใบเอาไว้บนแผ่นหลัง ลังเลทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งนางยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง เขาเริ่มร้องไห้ โผเข้าไปโอบกอดนางเอาไว้ ไม่ใช่อย่างคนรัก แต่ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม นางกอดตอบเขา ด้วยความรักที่มากยิ่งกว่า

เขาถอยออกมา มองดูนางอีกครั้งด้วยดวงตาแห่งความสำนึกผิด และนางปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้มแห่งการให้อภัย จนเขาสามารถยืนตรง และยิ้มได้อีกครั้ง

ภาพสุดท้ายระหว่างทั้งสองนั้นทำให้เธอต้องพิศวง ร่างของชายคนนั้นค่อยๆ หดเล็กลง ก่อนที่จะกลายเป็นเด็กชายตัวน้อย แต่นางกลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด นางจูงมือเขาแล้วทั้งคู่ก็เดินจากไปด้วยกัน จากไปสู่ทะเลของพวกเขา

โลกแห่งนี้กลับคืนเป็นของเธออีกครั้ง แต่เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว 'ไม่สิ อาจจะต้องใช้อีก แต่ไม่ใช่ตอนนี้' ฉากจะต้องเปลี่ยนใหม่ 'เอ กับบี จะไปที่ไหนต่อได้' เธอคิด เพื่อพยายามกำจัดความเศร้าที่ยังค้างคาอยู่ในใจให้หมดไป

ฉากต่อไป 'แน่นอน' จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากในคฤหาสน์ลึกลับหลังนั้น แต่พวกเธอจะเข้าไปได้อย่างไร และที่สำคัญกว่านั้น จะเข้าไปทำไม 'มันต้องมีวิธีสิ' และถ้าจะให้ดี มันต้องเป็นวิธีที่คาดไม่ถึง แต่ต้องสมเหตุสมผล คาดไม่ถึง แต่เป็นไปได้ มันถึงจะเป็นนิยายที่น่าสนใจ

เธอวางดินสอลง เหลือบมองดูหน้าจอโทรศัพท์ 'แบตเหลืออีกแค่สิบกว่าๆ ' ไฟยังคงไม่กลับมา และเด็กหญิงความเงียบกับขวานของเธอยังคงแอบซุ่มอยู่ในความมืดไม่ยอมไปไหน


Create Date : 21 พฤษภาคม 2555
Last Update : 21 พฤษภาคม 2555 12:47:33 น. 0 comments
Counter : 710 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.