ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 
คฤหาสน์สนธยา ตอนที่ 7

รุริโกะ หนีกลับเข้าไปในความคิดของตนอีกครั้ง คราวนี้มันไม่ใช่ฉากในนิยายเรื่องใหม่ที่เธอกำลังพยายามเขียน แต่มันคือสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งความทรงจำของเธอ ความทรงจำที่มีความเกี่ยวข้องกับทะเลอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ยังมีอะไรลึกซึ้ง ยังต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอหวนนึกถึงมันในวันนี้

'มีอะไรสำคัญบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น แต่ฉันจำไม่ได้'

เธอพยายามจะเลิกคิดถึงมัน พยายามเบี่ยงเบนความคิดของตัวเองเข้าสู่ฉากใหม่ในนิยายที่กำลังเขียน เธอไม่เคยเห็นว่าภายในคฤหาสน์เก่าๆ หลังนั้นจะเป็นอย่างไร เธอจึงต้องสร้างมัน จินตนาการมันขึ้นมาเอง ด้วยการ หยิบโน่น จับนี่ จากที่ต่างๆ จากความทรงจำ จากชีวิต จากความฝัน นำมาขยำรวมเข้าด้วยกัน จนมันค่อยๆ ก่อเป็นรูปร่างขึ้น

ห้องโถงมืดทึบ เสากลมต้นใหญ่ บันไดที่โค้งหายไปในความมืด โคมไฟระย้าจับเต็มด้วยใยแมงมุม พรมเก่าขาดเปื่อยยุ่ยที่ไม่อาจบ่งบอกสี หรือลวดลายดั้งเดิมของมันได้ เครื่องเรือนเก่าแก่ถูกทิ้งคลุมไว้ด้วยผ้าซึ่งอาจจะเคยเป็นสีขาว และกลิ่นอับของอากาศที่ถูกกักเก็บเอาไว้เป็นเวลานาน

มีซอกมุมมืดซ่อนตัวอยู่ทั่วทุกที่ ในนั้นอาจมีเด็กหญิงความเงียบนั่งซุ่มอยู่ด้วยเช่นกัน 'เลิกคิดถึงเรื่องขวานได้แล้ว' แต่มันไม่ง่าย ความคิดเป็นเหมือนดั่ง วัวกระทิง ยิ่งกว่า ม้าป่า เหนือกว่า นกอินทรี พวกมันไม่เคยยอม ไม่เคยหยุด พวกมัน พยศ โลดเต้น ดิ้นรน โผพุ่งทะยาน จนแทบจะไร้การควบคุม

แล้วฉากใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานของเธอก็ค่อยๆ ถูกฉีกกระชากออกจากกัน มันขาดกระจาย สลายหายไปต่อหน้าต่อตา จินตนาการที่เธอพยายามสร้างขึ้น ไม่อาจมีอำนาจเหนือกว่าความทรงจำนี้ เธอกลับมายืนอยู่ในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำไคยุคังที่โอซาก้าอีกครั้ง

มีใครบางคนกำลังจับมือเธอเอาไว้ เธอหันมองไปข้างๆ และได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารักคนหนึ่ง เด็กหญิงที่มีชื่อว่า มิยาซาว่า รุริโกะ

ทั้งสองสบตากัน แล้วเธอก็กลายเป็นเด็กหญิง เธอเดินทางย้อนกาลเวลา กลับกลายเป็นตัวเธอในวัยเด็ก มุมมองทุกอย่างพลันเตี้ยลง เปลี่ยนเป็นโลกของเด็ก โลกที่ทุกสิ่งรอบกายดูใหญ่โตเกินไป

เธอเงยหน้ามองขึ้นไป และคนที่กำลังยืนจับมือเธออยู่ ก็ไม่ใช่ตัวเธอเองอีกแล้ว ไม่ใช่ มิยาซาว่า รุริโกะ ที่เติบโตขึ้นกลายเป็นนักเขียน แต่เป็น มิยาซาว่า ทาคาโกะ มารดาของพวกเธอทั้งสองคน ทั้งรุริโกะที่เป็นเด็ก และผู้ใหญ่

นางยิ้มให้ เธอเหม่อมองดูรอยยิ้มนั้น มองใบหน้าที่แสนอบอุ่น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความรัก และความหวัง 'นั่นไม่ใช่แม่ที่ฉันรู้จัก' เธอคิดอย่างเจ็บปวด

มิยาซาว่า ทาคาโกะ ที่เธอจำได้นั้นเป็นเพียงหญิงขี้เมาคนหนึ่ง นางยิ้มให้กับขวดเหล้าทุกชนิดเท่าที่จะหาได้ นางมีใบหน้าที่อบอุ่นราวกับก้อนน้ำแข็ง ดวงตาที่จมลึกอยู่ในความเมามาย และสิ้นหวัง ดวงตาใสๆ ที่เหมือนกับปลาซึ่งนอนตายค้างอยู่ในร้านนานเกินไป และมันเป็นอยู่อย่างนั้นจวบจนถึงวันสุดท้าย

เธอยังคงจดจำพวกมันได้ดี ดวงตาที่เหลือกค้าง ดวงตาที่ไร้ชีวิต ซึ่งเธอปิดมันลงด้วยมือของตนเอง ปิดมันลงด้วยความรู้สึกโล่งใจ เมื่อภาระชิ้นใหญ่ในชีวิตได้ถูกโยนทิ้งไป เธอก้าวออกจากชีวิตที่ไม่อยากนึกถึงนั้น มองไปข้างหน้า แล้วเริ่มเดินไปตามเส้นทางแห่งความฝัน เส้นทางแห่งนักเขียนที่ยังคงไปไม่ถึงไหน

เด็กน้อยยิ้มตอบ แต่ตัวเธอกลับอยากร้องไห้ ความทรงจำที่มีอยู่ต่างปฏิเสธซึ่งกันและกัน เธอไม่อาจยอมรับมารดาคนนี้ที่กลับกลายเป็นหญิงขี้เมา หรือหญิงขี้เมาที่เคยเป็นมารดาผู้อบอุ่นคนนี้

“ลูกรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

นางพูดพร้อมกับยื่นหน้าลงมาใกล้ ใช้มือลูบไล้ไปมาบนหัวเล็กๆ นั้นด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยมองไปรอบๆ สถานที่ที่มีไฟสลัวลางอย่างไม่คุ้นเคย กำลังคิดจะประท้วงคำสั่งของมารดาเมื่อครู่

ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง ชี้มือไปทางตู้แสดงหลัก ในท่ามกลางความเวิ้งว้างของน้ำทะเลปริมาณมหาศาลที่บรรจุเอาไว้ ร่างสีเทาอมฟ้าพร้อมลายจุดสีขาวแหวกว่ายผ่านมาให้เห็น นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้เผชิญหน้ากับฉลามวาฬ สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการที่ยังเล็กของเธอ

ดวงตาที่มองเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆ ตรงข้ามกับขนาดอันใหญ่โตของมัน ดวงตาคู่นั้นที่ดึงดูดขาน้อยๆ ให้ก้าวเข้าไปหา ร่างโบกโบยล่องลอยไปก่อนค่อยๆ ตีวงโค้งวนกลับมา เธอแนบใบหน้าเล็กๆ เข้ากับผนังตู้ อยากให้จมูกของตัวเองเตี้ยลงกว่านี้ ก่อนพลิกหน้าไปมา พยายามสอดส่ายสายตา หาทางให้ได้สบตากับมัน

“...ลูกรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

นางพูดย้ำเบาๆ อีกครั้ง จากทางด้านหลัง เด็กน้อยรับคำอย่างเลื่อนลอย ยังคงพยายามมองเข้าไปในตู้จัดแสดง นางถอนหายใจ มองดูอย่างห่วงใยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินห่างออกไป

ความทรงจำในวันนั้นของเธอควรมีอยู่เพียงเท่านี้ มารดาหายไปเพียงครู่เดียว ก่อนเดินกลับมา ทั้งสองกลับบ้าน วันแห่งความสุขอันแสนสั้นสิ้นสุดลง ช่วงเวลาดีดีในวัยเด็กของเธอ นับตั้งแต่นั้น มารดาที่น่ารักก็ค่อยๆ ตายจากไป หลงเหลือไว้เพียงหญิงขี้เมาคนหนึ่ง

รุริโกะทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน จากภายในตู้จัดแสดง มันว่ายมาหยุดลอยนิ่งอยู่ตรงหน้า ปลาฉลามวาฬขนาดยักษ์ที่ถูกกักขังเอาไว้ในกรงน้ำ แหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเล อยู่ห่างจากทะเลเพียงไม่ไกล แต่อยู่ไกลจากท้องทะเลอันเป็นบ้านเพียงหนึ่งเดียวของมันราวกับสุดขอบฟ้า ดวงตาอันแสนเศร้าคู่นั้นจ้องตรงมา

ทั้งสามคนได้สบตากัน เธอ กับ เธอ และ มัน ราวกับจะได้ยินเสียงของความคิดดังก้องขึ้นในหัว 'ขอเพียงแค่ได้กลับไปตายในท้องทะเล ได้กลับไปที่บ้านอีกครั้ง ฉันก็พอใจแล้ว' มันผงกหัวที่ใหญ่โตนั้น 'เธอต้องพาฉันไป แม้เพียงในความทรงจำ ในความฝันก็ยังดี' มันฟังดูประหลาด แต่เธอถามกลับไป 'แล้วฉันจะได้อะไร'

มันผงกหัวอีกครั้ง แล้วความทรงจำของเธอก็เกิดทางแยก เด็กน้อยไม่ได้รอมารดาอยู่ตรงนั้นตามที่ได้รับคำสั่ง อย่างที่ควรจะเป็น เธอหันหลังกลับ ขาเล็กๆ ก้าวเดินติดตามเงาหลังของมารดาไปอย่างเงียบๆ โดยอยู่ภายใต้สายตาโศกเศร้าของปลาฉลามวาฬยักษ์ตัวนั้น

เธอกำลังจะได้เห็น ได้รับรู้ ถึงสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในความทรงจำของเธอ หรือความจริงแล้ว มันอาจจะเคยเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำนั้น แต่ถูกบิดเบือนไป ความทรงจำที่แม้แต่ตัวเธอเองก็อาจไม่อยากจดจำเอาไว้

#####

น้ำทะเลนั้นเค็ม ใครๆ ก็รู้ แต่ในความเป็นจริงมันยังมีรสอื่นๆ แฝงอยู่ด้วย เมื่อ จริงใจ ทั้งกลืนและสูดมันเข้าไปเป็นจำนวนมากพร้อมๆ กัน ทั้งทางปาก และจมูก เขาสามารถรับรู้ได้เพียงแค่รสขมฝาด กับความรู้สึกปวดแสบร้อนภายในโพรงจมูก และลำคอ ลึกเท่าที่พวกมันล่วงล้ำผ่านเข้าไปได้

สติของเขาพลันกระจ่างจ้า สิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า กลายเป็นเพียงความไร้สาระอันหาแก่นสารอะไรไม่ได้ เมื่อถูกนำมาเปรียบเทียบกับความเป็นจริงอันเที่ยงแท้แห่งชีวิต ที่ถูกเรียกขานด้วยชื่ออันน่ารังเกียจว่า ความตาย

จุดจบ คือความเป็นจริงอย่างที่สุด แสง เวลา หรือแม้แต่จักรวาลเองก็ต้องพบกับจุดจบเช่นเดียวกัน ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ว่าจะเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านของวินาที หรือยาวนานจนเข้าใกล้ความเป็นอนันต์ก็ตาม องค์ประกอบต่างๆ ในชีวิตจะพบเจอสิ่งใด มากน้อยเพียงไหนนั้น คงไม่มีใครรู้ แต่จุดจบมีเพียงหนึ่งเดียว และเท่าเทียมสำหรับทุกสิ่ง

ทันใดนั้น มีมือสี่ข้างยื่นลงมาในน้ำ ฉุดดึงตัวเขา ท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่น

“ในที่สุดก็หลงกล ยอมลงมาในน้ำจนได้ ฉันเคยได้ยินมาว่าพี่กลัวน้ำทะเลจะตายไป”

ปุยฝ้าย พูดพร้อมกับออกแรงดึง ในขณะที่ เหมือนไหม พยายามดันหลังให้เขาลุกขึ้น

“พี่ปุ้ยนี่ร้ายจริงๆ นึกไม่ถึง นึกไม่ถึง”

“มาว่าอะไรพี่ เธอเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยตั้งแต่แรก”

“ก็มันฟังดูน่าสนุกดีนี่นา ไหมไม่คิดว่าพี่ปุ้ยจะทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย พี่จริงคงตกใจแย่เลย”

เสียงหัวเราะพลันเงียบไป เมื่อสองสาวรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ร่างของจริงใจที่จมอยู่ในน้ำนอนนิ่งไม่ไหวติง ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก ก่อนเปลี่ยนเป็นจับแขนของเขาคนละข้าง แล้วรีบช่วยกันออกแรงฉุดลากขึ้นไปบนหาดทรายด้วยความทุลักทุเล

เมื่อยังอยู่ในทะเล น้ำคอยช่วยพยุงน้ำหนักไว้ทำให้ไม่เหนื่อยแรงมากนัก แต่เมื่อขึ้นสู่ฝั่ง มันก็กลายเป็นตรงกันข้าม น้ำทะเลที่ค้างอยู่บนร่าง บนเสื้อผ้า ทำให้ตัวเขามีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม

ไหมหยุดยืน ก้มหน้า หอบหายใจ ในขณะที่ปุ้ยรีบทรุดนั่งลงข้างๆ แนบใบหน้าลงบนทรวงอกของเขา หัวใจยังคงเต้น แต่เจ้าของกลับไม่ยอมหายใจ ทรวงอกของเขานิ่งสนิท เธอลองใช้มือกดมันดูสองสามครั้ง แต่มันยังคงไม่ยอมตอบสนอง

ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง

“ทำไงดี เขาไม่หายใจแล้ว”

“พี่ปุ้ยก็รีบปั๊มหัวใจสิคะ”

“ไม่ หัวใจเขายังเต้นอยู่”

“งั้นก็ต้องผายปอด แบบ ปากต่อปาก”

“บ้า...”

ปุ้ยร้องออกไปทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อย ทุกวินาทีนั้นมีค่า เพราะมันอาจหมายถึงชีวิตของเขา

“เร็วๆ เข้าพี่ปุ้ย เดี๋ยวพี่จริงเกิดตายไปจริงๆ พวกเราสองพี่น้องมีหวังได้ติดคุกฐานร่วมกันฆ่าคนตายแน่”

ปุ้ยนึกไม่ถึงว่าไหมจะยังมีอารมณ์มาพูดล้อเล่นแบบนี้อยู่อีก 'แต่ที่เธอพูดก็ถูก' ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานาน คบหากัน แต่ก็ยังไม่เคยจูบกันเลยสักครั้ง เธอไม่ได้หวงเนื้อหวงตัวอะไรถึงขนาดนั้น เพียงแต่ตลอดมา เธอยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า คิดกับผู้ชายคนนี้อย่างไร เป็นแฟน หรือเป็นเพียงเพื่อน

'ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้แล้ว' เธอยื่นหน้าออกไป ใบหน้าเข้มที่นอนสลบอยู่นั้นดูอึดอัด เธอใช้มือบีบเพื่อให้ปากของเขาอ้าออก และเธอแทบไม่ต้องออกแรงเลย

ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งคู่ต่างสะดุ้งสุดตัว ไหมเอาแต่หัวเราะจนเกือบจะขาดใจ

“ทำอะไรน่ะ...”

ปุ้ยถูกไหมใช้นิ้วจี้เข้าที่เอว จริงเองก็เช่นกัน เขาลุกขึ้นมานั่ง ประเมินสถานการณ์ ก่อนขยับถอยห่างจากทั้งสองคนอย่างเร่งรีบ

เธอมองทั้งคู่ไปมา ก่อนที่ความเข้าใจจะกระจ่างขึ้น

“...หนอยแกล้งทำเป็นไม่หายใจเหรอ...”

เธอพุ่งออกไป เหวี่ยงกำปั้นทุบเข้าใส่เต็มแรง เขารีบยกแขนขึ้นกันพร้อมกับส่งเสียงร้องโอดโอย ก่อนที่เธอจะหันย้อนกลับมาตีแขนน้องสาวที่ยังคงหัวเราะไม่หยุดจนเป็นรอยแดง

“โอ๊ย พี่ปุ้ย ตีไหมทำไม”

เธอทำหน้าบึ้ง

“ร่วมมือกันซ้อนแผนดีนัก...เดี๋ยวนี้เห็นคนนอกดีกว่าพี่คนนี้แล้วหรือไงกัน”

ไหมหัวเราะอีกครั้ง

“เปล่านะคะ ไหมไม่ได้ร่วมมือกับพี่จริง เพียงแต่ไหมเห็นพี่เขาแอบชำเลืองมองพี่ปุ้ยตอนที่ก้มหน้าลงไปแนบอกเขา ไหมก็เลยแกล้งเล่นตามน้ำไปอย่างนั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้นน้องไหมก็น่าจะรออีกหน่อย”

จริงส่งเสียงโอดครวญ

“ใช่ น่าจะรออีกหน่อย ปล่อยให้จมน้ำตายไปเลย”

ปุ้ยตอกเข้าให้ จริงปิดปาก ยิ้มแห้งๆ ไหมมองสองคนไปมา อดไม่ได้ต้องส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง

“ไหมกับพี่ปุ้ยร่วมมือกันหลอกพี่จริง พี่จริงเขาก็แก้คืนเข้าให้ ถือว่าหายกันไปแล้วกันนะคะ”

“พี่กับพี่จริงถือว่าหายกัน แต่เธอยัง พี่ต้องแก้แค้นให้ได้ ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ”

ในขณะที่พูดคำว่า 'แก้แค้น' ออกมานั้น ดวงตาของเธอก็เปล่งประกาย เป็นประกายที่เยียบเย็นวูบวาบก่อนหายวับไปดุจดาวตก

ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา มองดูสภาพเละเทะของกันและกัน เสื้อผ้า ผม เปียกน้ำ มีทรายเปื้อนติดอยู่เต็ม ไหมหัวเราะ จริงหัวเราะ แล้วในที่สุดปุ้ยก็หัวเราะไปด้วย

“เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้...”

จริงเริ่ม

“...สองพี่น้องวางแผนกันมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม ทำเป็นแกล้งจมน้ำเพื่อหลอกผม”

“ค่ะ พี่ปุ้ยไปแอบรู้มาว่า พี่จริงเป็นโรคกลัวน้ำ เลยอยากรักษาให้ ไหมก็เลยร่วมมือด้วย”

“เล่นอะไรบ้าๆ โตๆ กันแล้วนะ...”

เขาทำเป็นบ่นเบาๆ แต่ทุกคนก็ได้ยิน สองพี่น้องมองหน้ากันไปมา แม้จะรู้ตัวว่าเล่นเกินเลยไป แต่ก็ยังดื้อ ไม่ยอมรับผิดโดยง่าย

“ก็แล้วเป็นไง ตอนนี้พี่ก็หายกลัวน้ำแล้วไม่ใช่หรือ”

“...พี่ไม่ได้กลัวน้ำ”

“ไม่จริงหรอก เห็นท่าทางของพี่ก็รู้แล้ว กว่าจะตัดสินใจลงไปในทะเลได้”

“พี่ไม่ได้กลัว พี่แค่...ไม่อยากลงน้ำตอนกลางคืนแบบนี้ พี่ พี่ไม่ชอบตัวเปียก”

“เชอะ”

เขาก็ไม่อยากยอมรับข้อบกพร่องของตนเองง่ายๆ เช่นกัน ทั้งหมดเริ่มจัดการกับเสื้อผ้า และร่างกายของตนเอง เขานึกทบทวนถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีความคิดบ้าๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่คืนนี้มันไม่ใช่แค่นั้น มันน่ากลัวเกินไป มีบางอย่างไม่ปกติ

ถึงแม้น้ำทะเล และการเฉียดใกล้ความตายเมื่อครู่จะช่วยให้เขารู้สึกตัวตื่นดีขึ้น แต่ความรู้สึกมึนๆ ที่เคยมีก่อนหน้า กำลังค่อยๆ ย้อนกลับมาอย่างช้าๆ เขาไม่ได้เมา แค่ที่ดื่มเข้าไปนั้นยังไม่อาจทำให้เขาเป็นอะไรได้

ความหวาดกลัวที่เข้มข้นจนสามารถเบียดแทรกตัวเองเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง อย่างปลาฉลามที่มีครีบเป็นมือพวกนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ มันต้องมีคำอธิบาย ทุกสิ่งต้องมีเหตุ มีผล

“...ใครรู้สึกว่า คืนนี้ มีอะไรแปลกๆ บ้างไหม”

สองสาวที่กำลังพยายามปัดเศษทรายออกจากผมตอบออกมาเกือบพร้อมกัน

“ไม่...”

ทั้งคู่หันไปมองหน้า ก่อนที่ปุ้ยจะเพิ่มเติมอีก

“...ไม่เห็นมีอะไร”

เธอหวนนึกถึงความคิดแปลกๆ ที่แย่งกันผุดขึ้นมาในหัวไม่ยอมหยุด กับความรู้สึกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในมือทั้งสอง มือที่เคยกุมชีวิตของใครคนหนึ่งเอาไว้ 'ฉันเกือบจะทำมันลงไปแล้ว' เธอคิด ไม่รู้ว่าเป็นความเสียใจ หวาดกลัว หรือเสียดายกันแน่ คืนนี้เธอเองก็รู้สึกไม่ปกติ แต่เธอไม่ยอมรับ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

ไหมสนับสนุน แต่ที่ผ่านมานั้น ตอนที่กำลังแกล้งจมน้ำ ชั่วครู่หนึ่งที่เธอรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะถูกกดให้จมน้ำจนขาดใจไปจริงๆ ด้วยมือพี่สาวของเธอเอง 'บ้า คิดไปเองทั้งนั้นแหละ' เธอบอกตัวเอง 'ทุกอย่างเรียบร้อยดี ทุกอย่างจะดำเนินต่อไป' เธอย้ำกับตัวเอง

จริงมองดูสองสาว พวกเธอเหมือนมีบางอย่างเก็บซ่อนเอาไว้ แต่เขาไม่มั่นใจ แล้วทันใดนั้น เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“เคนจิหายไปไหนไม่รู้”

เขาจงใจหันมาถามไหม คนที่น่าจะรู้คำตอบมากที่สุด เธอสะดุ้ง ก่อนมองไปยังคฤหาสน์ร้างหลังนั้น เขามองตามไป แล้วพบความผิดปกติบางอย่างที่เขายังไม่อาจบอกได้

“...พี่เคน...ตามแมวดำตัวนั้นไป ไหม...เห็นตอนที่ยังอยู่ในน้ำ พี่เคนตามมันเข้าไปในบ้านร้างหลังนั้น”

'เขาจะตามมันไปทำไม' นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น ปุ้ยมองไปที่บ้านหลังนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาเองก็มองมัน มองไปรอบๆ ก่อนจะบอกได้ถึงความผิดปกติ

“มันมืดเกินไป ไฟอาจจะดับ...”

ทั่วทั้งที่พักมืดมิด ถึงมันจะดึกแล้ว แต่ก็ควรมีไฟติดสว่างอยู่บ้าง มันควรจะมีแสงไฟส่องสว่างตามทางเดินอยู่ตลอดทั้งคืน

“...แล้วเคนจิจะตามมันเข้าไปทำไมกัน มันอาจจะมีอันตรายก็ได้”

“อันตรายอะไร”

ปุ้ยถาม

“ก็อาจจะมีผี...”

เขาตอบไปด้วยความปากไว แล้วก็นึกเสียใจในคำตอบนั้น เขารีบเปลี่ยนเรื่อง

“...ตึกมันดูเก่าโทรมพิกล อาจจะพังลงมาได้...หรือไม่ ก็อาจจะมี งู แมงมุม สัตว์พิษ แมลงแปลกๆ อาศัยอยู่ในนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น เราก็ควรต้องรีบไปพาเขาออกมา”

ไหมพูด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย

“แต่มันมืด แล้วเราก็ไม่มีไฟฉาย”

ไฟติดสว่างขึ้นจากโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง มันไม่มากแต่ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ เขามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของไหม กำลังจะอ้าปากถาม

“รุ่นนี้กันน้ำ กันกระแทก ไหมพกมันติดตัวไปด้วยทุกที่”

'กันผีด้วยไหม' คราวนี้เขาปิดปากได้ทันก่อนที่คำพูดนั้นจะหลุดออกไป แสงสว่างจากโทรศัพท์ ดับ ติด ดับ ติด มันอาจไม่ได้กันน้ำทะเล ไหมมองดูมันอย่างขัดใจ เขย่ามัน ก่อนเดินนำออกไป เขาหันไปขอความเห็นจากปุ้ย เธอเพียงแค่ยักไหล่ ก่อนเดินตามน้องสาวไป เขาถอนหายใจ แล้วตามไปเช่นกัน

พลังที่ได้รับจากน้ำทะเลเมื่อครู่ค่อยๆ เหือดหาย ความรู้สึกประหลาดคืบคลานกลับมาอีกครั้ง แม้แต่ในท่ามกลางแสงสว่างของไฟฉายจำเป็นที่สาดส่องไป เงาของคฤหาสน์ลึกลับหลังนั้นก็ยังคงมืดดำล้ำลึกอยู่เช่นเดิม


Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 12:58:27 น. 0 comments
Counter : 941 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.