ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
11 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 
คฤหาสน์สนธยา ตอนที่ 9

จริงใจ ใช้มือข้างหนึ่งส่องไฟฉายจำเป็นไปรอบๆ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็กุมมือน้อยนุ่มนิ่มของปุยฝ้ายเอาไว้ แสง และเงาของบ้านร้างหลังนี้ดูเหมือนไม่เป็นไปอย่างที่มันควรเป็น อนุภาคแห่งความลึกลับที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ สะท้อนบิดเบี้ยวพวกมันจนดูแปลกตา

ลำแสงที่เคลื่อนผ่านไป ทำให้ทั้งความสว่าง และความมืด สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปมา ทั้งสองไม่ใช่สิ่งตรงข้าม แต่คือสิ่งเดียวกัน ส่วนเงาเองบางครั้งก็ยืดยาว บางคราวก็หดสั้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หรือไม่พวกมันก็ทอดตัวไปอย่างเปะปะโดยไม่สนใจทิศทางของแสง

มีเศษใยแมงมุมที่สะสมกองสุมซ้อนทับถมกันมาตามกาลเวลาอยู่ทั่วทุกมุม แมงมุมที่ถักทอข่ายใยขึ้นดักจับทุกสิ่งให้ดิ้นไม่หลุด มันเย่อหยิ่งอยู่ตรงใจกลางของตาข่ายที่เป็นทุกสิ่งของมัน ในข่ายใยซับซ้อนที่มีมันเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่เป็นอิสระ มันอยากไปที่ใด เมื่อไรก็ได้ มันไม่เคยติดใยของตนเอง

แต่สุดท้ายแล้ว มันเองก็ไม่เคยก้าวออกไปจากข่ายใยของตนเองเลยสักครั้ง เมื่อใยของมันเสียหาย มันก็จะรีบซ่อมแซม เมื่อถูกทำลาย มันก็จะสร้างขึ้นใหม่ ถึงแม้มันจะไม่ติดใยตนเอง แต่จะต่างอะไร การรู้จักใยของตนแต่ไม่เคยละทิ้งไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการติดอยู่ข้างในนั้นเช่นกัน

“น้องไหม ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”

เขาสะดุ้งสุดตัว เมื่อปุ้ยส่งเสียงตะโกนขึ้นที่ด้านข้าง

“คุณจะตะโกนทำไม”

“อ้าว ก็เรียกให้เธอลงมาน่ะสิ”

บรรยากาศน่ากลัวภายในบ้านหลังนี้ถูกสะท้อนกลับ เมื่อพวกมันปะทะชนเข้ากับอนุภาคแห่งความขุ่นมัวที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา ความกลัวเป็นสิ่งที่เปราะบางอย่างคาดไม่ถึง

“ถ้าน้องคุณจะยอมลงมา คงไม่หายเงียบไปแบบนี้หรอก”

ความกลัว กลายเป็น ความหงุดหงิด

“...หมายความว่า...”

ความไม่มั่นคง กลายเป็น ความวิตก

“ไม่ ผมไม่ได้หมายความอะไรทั้งนั้น คงไม่มีอะไรร้ายแรง แต่น้องคุณทำท่าเหมือนตกใจอะไรสักอย่าง เธออาจไม่ยอมลงมาเอง”

ความเสียใจ กลายเป็น ความผ่อนปรน

“...ยังมีเคนจิอีกคน”

ความกังวล กลายเป็น ความรู้ผิดชอบ

“เราจะหาทั้งสองคน แต่ถ้าเราเจอน้องไหมก่อน...เราจะรีบออกไปจากที่นี่ แล้วค่อยว่ากัน”

แล้วจบลงที่การเอาตัวรอด การดิ้นรนไปมาอยู่ในข่ายใยอันแสนสับสน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนระหว่างความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละเสี้ยววินาที ซึ่งเราไม่อาจสรรหาชื่อที่ถูกต้องเพื่อมาอธิบายพวกมันทั้งหมดได้

พวกมันเป็นพี่น้องที่มีใบหน้าแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย มีจำนวนอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่เรามีชื่อที่จะใช้เรียกพวกมันอยู่เพียงไม่กี่ชื่อเท่านั้น

เธอมองหน้าเขา พวกเธอไม่ได้คิดจะทิ้งใคร เพียงแค่หลบออกไปตั้งหลัก แล้วหลังจากนั้นค่อย 'จะหาข้อแก้ตัว มาหลอกตัวเองไปทำไม' เธอไม่อยากทำแบบนั้น เธอส่ายหน้า

“...ไม่ เราจะไม่ไปไหนจนกว่าจะหาทั้งคู่เจอ”

เสียงของเธอเด็ดเดี่ยวมั่นคง ณ เวลานั้น แต่มันก็เหมือนกับความรู้สึกอื่นๆ ทั้งหลาย มันไม่มั่นคง และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

“...คุณพูดถูก ผมขอโทษ”

แต่น้ำเสียงของเขาไม่เป็นเช่นนั้นเลย ความละอาย กลายเป็น ความโกรธ ใช่ มันกลายเป็นความโกรธ ที่เขาพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้ เขาที่ถูกคำพูดของเธอทำให้ดูเป็นคนอ่อนแอ เราจะไม่โกรธที่ตัวเองอ่อนแอ แต่เราจะโกรธ คนที่ชี้ให้เห็นว่าเราอ่อนแอ ราวกับว่าความอ่อนแอนั้น เราไม่ได้เป็นคนสร้างขึ้นมาเอง

ความรู้สึกทั้งมวลล้วนเป็นสิ่งที่จิตใจให้กำเนิดขึ้น และเหมือนกับบุตรของทุกสิ่ง บุตรที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ จะไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับควบคุมของใคร บุตรที่พร้อมจะทำตาม หรือต่อต้านตามแต่ใจตนเอง บุตรที่มาจากเรา แต่ไม่ใช่ของเรา บุตรที่พร้อมจะนำมาทั้งความสุข และความเศร้า

ความจริงแล้วทุกความรู้สึกล้วนเปราะบาง หากเพียงสามารถทำความเข้าใจพวกมัน ร่างของเราก็แทบจะทะลุทะลวงทุกสิ่ง แล้วหล่นหายไปจากโลกแห่งความรู้สึกที่คุ้นชิน โลกที่ทุกคนเรียกว่า โลกแห่งความจริง

“เราไปกันเถอะ”

เขาก้าวนำจูงเธอไปที่บันได แสงไฟที่เคยส่ายไหวกลับมาจับจ้องอยู่ที่จุดเดียว บันไดขั้นที่หนึ่ง จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง พื้นที่ที่เชื่อมต่อระหว่างสองชั้นที่แตกต่าง พวกเขาก้าวไปยังจุดหมายอย่างมั่นคง

แสงไฟดวงน้อยที่อยู่ในมือของเขาดับลง มันช่างเลือกเวลาได้อย่างเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน เขาเขย่ามัน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนน้ำทะเลที่ผ่านมาก่อนหน้านี้จะค่อยๆ กัดกินผ่านเกราะป้องกันอันประกอบด้วยโลหะ และยางของมันได้ในที่สุด ชีวิตซึ่งเกิดจากกระแสไฟฟ้า ที่ไหลเวียนอยู่ในวงจรที่วกวนของมันคงต้องจบสิ้นลงเพียงเท่านี้

ในความมืด ทั้งสองยังคงจับมือกันไว้ บรรยากาศน่ากลัวภายในบ้านที่รุมล้อมกันเข้ามาพร้อมกับความมืด ถูกสะท้อนกลับไปอีกครั้ง ด้วยบางสิ่งที่ส่งผ่านไปมาระหว่างมือของทั้งสอง การไม่ได้อยู่เพียงลำพัง การรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

“เราไปกันเถอะ”

ครั้งนี้เธอเป็นผู้นำ ก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นแรก เขาเร่งก้าวตามเพื่อจะได้เดินเคียงข้างไปด้วยกัน

#####

รุริโกะ นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มีความเดียวดายนั่งอยู่เคียงข้าง เธอไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับสิ่งของที่อยู่รอบกาย แม้แต่กับท้องฟ้า และท้องทะเลที่เชื่อมถึงกันทั่วทั้งโลก เธออยู่ห่างจากบ้าน ไกลจากโลกที่คุ้นเคย แม้จะยังนั่งอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกันก็ตาม

'ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่' เธอต้องการเขียนนิยาย เขียนถึงชีวิตของใครที่ไม่มีตัวตน แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เธออยากเขียน อาจเป็นชีวิตของตนเองเท่านั้น ชีวิตที่เธอทำได้เพียงคิดคำนึงถึง เธอพยายามทำสิ่งหนึ่ง ด้วยการทำอีกสิ่งหนึ่ง เธอใช้ชีวิต ด้วยการไม่สนใจมัน เธอพยายามไปให้ถึงจุดหมาย ด้วยการเดินถอยหลัง

ทำไมคนเราจึงไม่อาจใช้ชีวิตไปตามที่ตนเองคิดได้ เรามีข้อจำกัดใดกัน มันเป็นความคุ้นชิน กรอบที่เกิดจากผู้อื่น หรือจากตนเอง กรงขังที่สังคมร่วมกันสร้างขึ้น หรือเป็นกรงที่แต่ละคนสร้างขึ้น ถักทอขึ้น เบียดเสียดกันเข้าจนกลายเป็นสังคมที่แสนวุ่นวายนี้ หรือเป็นเพราะเราไม่รู้ ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างมีวิถีที่ธรรมชาติได้มอบให้ ยกเว้นเพียงมนุษย์ หรือความจริงแล้วธรรมชาติก็ได้มอบวิถีทางให้กับพวกเราเช่นกัน วิถีที่มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จดจำได้ วิถีที่ไม่อาจถ่ายทอดให้กันโดยปราศจากความตระหนักรู้ด้วยตนเอง วิถีที่ผิดจากความรู้ทุกประเภทที่มนุษย์สร้างขึ้น

เสียงครูดของขวานดังวนเวียนใกล้เข้ามา เวลาของเธอใกล้จะหมดลงแล้ว เธอกำลังจะตาย 'ไม่ ฉันจะรอด ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความจริง' คนส่วนใหญ่ต่างไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับความตายอย่างไร เพราะทุกคนเอาแต่ไม่คิดถึงมัน เพราะทุกคนเอาแต่คิดว่ามันจะยังมาไม่ถึง เพราะทุกคนมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับมันเพียงครั้งเดียว

ไม่มีการซ้อม ไม่มีการขอใหม่อีกรอบ หรือถ้าจะมี มันก็จะยังคงเป็นครั้งแรกอยู่เสมอ ในทุกความเชื่อต่างมีความตายเป็นของตนเอง และแตกต่างกันไป เธอเองก็อยากรู้ ว่าความตายของเธอจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร

มีเสียงดังเบาๆ ออกมาจากในห้องน้ำ ห้องที่มีช่องเปิดออกไปสู่ท้องฟ้ากว้าง ช่องที่เธอเคยแหงนมองดูในยามที่เปลือยเปล่า ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับตนเองเพียงลำพัง เธอไม่เคยพบเห็นสิ่งสวยงามอย่างที่คาดหมาย นอกจากท้องฟ้าขมุกขมัว กับดาวสองสามดวงที่ส่องแสงริบหรี่อย่างเงียบงัน

เด็กหญิงความเงียบไม่น่าก่อให้เกิดเสียงดังแบบนั้นขึ้นได้ 'เพราะเธอคือเด็กหญิงความเงียบ' ยกเว้นเสียงลากขวานพวกนั้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอ เสียงลากขวานเคลื่อนใกล้เข้ามา เธอเผลอกลั้นลมหายใจ ชายผ้าคลุมสีแดงคล้ำโบกโบยโชยไหวในความมืดมิด

เด็กหญิงความเงียบซ่อนใบหน้าขาวซีดเอาไว้ภายใต้เสื้อคลุมที่เปื้อนของเหลวสีแดงเหนียวเยิ้ม เธอกำลังหลงทาง เธอกำลังหวาดกลัว ตะกร้าใส่อาหารที่มารดาฝากเอาไปให้คุณยายถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว

'เอาอาหารอร่อยๆ พวกนี้ไปให้คุณยายได้ไหมจ๊ะ คนดีของแม่'

พวกเธอสองแม่ลูกอาศัยอยู่ใกล้ชายป่า ซึ่งมีสัตว์ร้ายน่ากลัวออกมาป้วนเปี้ยนให้เห็นอยู่เสมอ แต่นางก็ยังใช้ให้เด็กน้อยเดินทางไปเพียงลำพัง พร้อมด้วยตะกร้าที่จะส่งกลิ่นหอมอบอวลออกไป เพื่อคอยลวงล่อสัตว์ร้ายจมูกไวเหล่านั้นให้แห่กันออกมาจัดการกับเธอ

'แต่หนูว่า...'

เธอคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 'ทำไมคุณแม่ต้องดื่มน้ำในขวดพวกนั้นด้วยคะ' 'เพราะมันทำให้แม่มีความสุขไงจ๊ะ' 'แล้วทำไมคุณแม่ต้องเดินเซด้วยคะ' 'เพราะแม่ชอบเต้นรำไงจ๊ะ' 'แล้วทำไมคุณแม่ต้องโวยวายเสียงดังด้วยคะ' 'เพราะแม่เป็นคนร่าเริงไงจ๊ะ' 'แล้วทำไมคุณแม่ต้องตี ต้องว่าหนูด้วยคะ' 'เพราะแม่เป็นแม่ของลูกน่ะสิจ๊ะ แล้วถ้าลูกยังไม่ยอมหยุด แม่จะถลกหนังลูกออกมาด้วยสองมือนี้เอง'

ดวงตาของนางเปลี่ยนไป รอยยิ้มของนางก็เปลี่ยนไป ดวงตาที่แฝงประกายสีแดง ดวงตาที่เป็นของสิ่งมีชีวิตนักล่าแห่งยามราตรี รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเขี้ยวขาว รอยยิ้มของสัตว์กินเนื้อ

'ลูกจะเอาอาหารไปฝากคุณยาย คนดีของแม่'

“...ค่ะ หนูจะไป แต่หนูขอใส่เสื้อคลุมตัวโปรดไปด้วย”

“ตามสบายเลยลูกรักของแม่”

เด็กน้อยคิดว่าบางทีเสื้อคลุมตัวนั้นอาจจะช่วยชะลอให้กลิ่นกระจายออกไปช้าลง ช่วยซื้อเวลาให้เธอได้นานขึ้นอีกสักนิด จนเธออาจจะรอดไปถึงบ้านของคุณยายได้สำเร็จ

'ไปนะคะแม่'

เธอปิดประตู ก่อนย่องกลับมาแอบมองเข้าไปทางหน้าต่าง มารดาของเธอกำลังถอดเสื้อผ้าออก เนื้อหนังบนร่างท้วมนั้นยับย่นน่าเกลียดจนเกินกว่าจะเป็นฝีมือของกาลเวลาเพียงอย่างเดียว แม้จะเหลือเพียงร่างที่เปลือยเปล่า นางก็ยังคงพยายามที่จะถอดมันต่อไป เนื้อหนังหนาของนางถูกถลกดึงออกจากร่าง

รุริโกะยกมือขึ้นปิดปาก เธอคิดว่าตัวเองกำลังมองดูเรื่องราวของเด็กน้อย แต่สิ่งที่สวมใส่ผิวหนังมารดาของหนูน้อยเอาไว้นั้น กลับเป็นคนที่เธอรู้จัก

เมื่อเนื้อหนังพวกนั้นหลุดลงไปกองอยู่บนพื้น ภายในบ้านก็มืดมิดลง สิ่งที่ปลอมตัวเป็นมารดาของเด็กน้อย ก็คือชายผู้ยืนซ่อนกายอยู่ในเงามืดของทางเดินนั่นเอง สัตว์ร้ายที่มีกระเป๋าใส่เงินใบโตเป็นอาวุธ สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ และเป็นบิดาของเธอ

'ยังไม่ไปอีกหรือจ๊ะ'

เขาหันมองมา ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำวาววับอยู่ในความมืด เขายังคงดัดเสียงเป็นมารดาอยู่เช่นเดิม เด็กน้อยหันหลังแล้วเริ่มออกวิ่ง ดูเหมือนเสื้อคลุมจะไม่ช่วยอะไร กลิ่นอาหารฝีมือแม่ที่อร่อยที่สุดล่องลอยไปทั่วทุกทิศ ปลุกให้ทั้งป่าตื่นขึ้นอย่างหื่นกระหาย ป่าที่เต็มไปด้วยเท้าทั้งสี่ กรงเล็บ และเขี้ยวขาว ป่าที่ลุกขึ้นออกไล่ล่าเธอ

เด็กน้อยพยายามวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาคู่นั้นจะทำได้ ตะกร้าใส่อาหารที่หนักอึ้ง คือสิ่งที่คอยถ่วงเธอเอาไว้ ภาระหน้าที่อันไร้ความหมาย ภาระหน้าที่ที่จะถ่วงเธอให้ตายไปในระหว่างการเดินทาง แต่กลับไม่อาจตัดใจโยนทิ้งมันไปได้ง่ายๆ

เธอไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่กำลังไล่ตามเธอมา เพราะเธอไม่กล้าเหลียวกลับไปมอง พวกมันลงมือจู่โจมหลายครั้ง โดยมีตะกร้าใบนั้นเป็นเป้าหมาย พวกมันยังทำไม่สำเร็จ แต่ก็ก่อให้เกิดความเสียหายกับภาระที่เธอหิ้วติดตัวมาด้วยแล้ว อาหารจำนวนหนึ่งกระเด็นตกไปตามพื้น

เธอคิดเสียดาย แต่ไม่รู้เลยว่านั่นทำให้พวกมันส่วนหนึ่งช้าลง หลายตัวหยุด เพื่อต่อสู้แย่งชิงสิ่งเหล่านั้น ทำให้ตัวเธอเบาลง และยังคงสามารถหนีรอดจากคมเขี้ยวต่อไปได้

กระท่อมของคุณยายอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว แต่พวกมันตัวหนึ่งคว้าตะกร้าของเธอเอาไว้ เธอฉุดกระชากกับมันอย่างลืมตัว และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอรู้ว่ากำลังหลบหนีสิ่งใดอยู่

พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายที่สุด ไม่ใช่ หมาป่า หมาจิ้งจอก เสือ สิงโต หรือสัตว์นักล่าชนิดใดๆ แต่พวกมันเป็นคน เป็นคนที่วิ่งโดยใช้ทั้งมือ และเท้า ซึ่งรวมกันเป็นสี่ข้าง คนที่มีเขี้ยวขาวแวววาว กรงเล็บ และดวงตาราตรีของสัตว์นักล่า เธอกรีดร้องก่อนปล่อยตะกร้า ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

เธอวิ่งไปที่ประตูบ้าน พุ่งตัวออกไปสุดแรง พร้อมกับได้ยินเสียงเสื้อคลุมถูกกรีดขาดเป็นทางด้วยกรงเล็บของพวกมันตัวหนึ่ง ร่างของเธอกระแทกเข้าใส่ประตู มันเปิดออก เธอกลิ้งผ่านเข้าไป ก่อนจะรีบปิดมัน

ตึง ตึง ตึง เสียงพวกมันพากันกระแทกร่างเข้าใส่บานประตูอย่างบ้าคลั่ง โชคดีที่หน้าต่างทั้งหมดถูกปิดเอาไว้ด้วยแผ่นไม้หนา การใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชายป่าได้สอนบทเรียนอะไรหลายอย่างให้กับคนแถบนี้มาเนิ่นนาน

เสียงกระแทกประตูเบาลงก่อนค่อยๆ เงียบไป นอกจากเสียงหอบหายใจของตัวเองแล้ว ภายในบ้านหลังนี้ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก เธอรีบยันตัวลุกขึ้น พยายามลากโต๊ะ ตู้ ที่พอจะขยับด้วยแรงของตัวเองได้มากั้นขวางประตูเอาไว้

'...คุณยายขาช่วยหนูด้วย'

เธอร่ำร้องออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรง ก่อนจะรู้สึกถึงความผิดปกติรอบกาย เตียงนอนใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั้น มีหมอนใบโตฟูนุ่ม ผ้าห่มหนาน่าสบาย แต่มันว่างเปล่า บนนั้นไม่มีร่างของใครทั้งสิ้น เธอพยายามนึก แต่นึกไม่ออกว่าคุณยายของเธอมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรกัน

'ฉันมีคุณยายด้วยหรือ' มันเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้คิดถึงเลยก่อนหน้านี้ เธอมีเพียงมารดา นับตั้งแต่จำความได้ ไม่เคยมีใครเดินทางมาหา ไม่มีผู้ใดให้ต้องไปเยี่ยมเยือน นอกจากชายแปลกหน้าเหล่านั้นที่ผลัดกันแวะเวียนมาเป็นครั้งคราว เธอจำได้ดี ทุกครั้งหลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว มารดาจะต้องหาเรื่องเธอ และขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำเป็นเวลานาน

เธอเดินไปที่เตียงนั้น ก่อนที่เสียงโครมครามจะดังขึ้นรอบบ้าน เจ้าตัวประหลาดพวกนั้นกระจายกำลังกันออกไปเพื่อบุกเข้ามาจากทุกทิศทางพร้อมๆ กัน เธอคิดจะกระโดดขึ้นไปบนเตียงนอน ใช้ผ้าห่มคลุมโปงเพื่อหลบหนีจากความหวาดกลัว แต่แล้วก็ต้องชะงัก ผ้าห่มถูกยกค้างเอาไว้ในมือ

ตัวประหลาดที่กำลังพยายามจะมุดหัวผ่านเข้าไปในช่องแตกเล็กๆ ตรงหน้าต่างที่มันพึ่งสร้างขึ้น เบิกตาค้าง มันพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตร พร้อมกับส่งเสียงครางน่าเอ็นดู เด็กน้อยยกหมวกคลุมขึ้นเพื่อซ่อนใบหน้าเอาไว้ แต่ก็ยังพอมองเห็นมุมปากที่กำลังเหยียดยิ้มของเธอ ก่อนค่อยๆ ลากขวานที่พบนอนสงบอยู่บนเตียงไปตามพื้น

'ครืดดดด...' เกิดเป็นเสียงที่ชวนขนลุกนั้นขึ้นมา

มันส่งเสียงกรีดร้องสั้นๆ เมื่อคมขวานแยกใบหน้า และกระโหลกศีรษะของมันออกเป็นสองส่วน เลือดสีแดงคล้ำ กับวัตถุสีเทาอมชมพูสาดกระจายไปทั่ว ถึงแม้จะมีเสื้อคลุมสวมไว้ แต่บางส่วนของพวกมันก็ยังกระเด็นเลอะเทอะตัวเธอ ร่างของตัวประหลาดชักเกร็งสองสามครั้ง ก่อนแน่นิ่งไป

เสียงลากขวานเริ่มต้นวนเวียนจากภายในบ้าน ก่อนประตูที่เคยปิดไว้จะถูกขวานจามจนหลุดลงมา เด็กหญิงความเงียบก้าวออกมา ไม่รู้ว่าเสื้อคลุมดั้งเดิมของเธอนั้นเป็นสีอะไร แต่ตอนนี้มันเป็นสีแดงคล้ำ เป็นสีแดงสดใหม่ สีแดงที่ย้อมด้วยเลือด เธอจำใบหน้าของพวกมันสองสามตัวได้ ตัวประหลาดเหล่านี้คือแขกที่เคยมาหามารดานั่นเอง

เด็กน้อยลากขวานของเธอมาหยุดยืนตรงหน้ารุริโกะ ก่อนเปิดหมวกของเสื้อคลุมนั้นออก ทั้งคู่สบสายตา แลกเปลี่ยนความเข้าใจ

เธอรู้แล้วว่าเด็กน้อยกำลังหวาดกลัว เด็กน้อยไม่ได้มาตามล่าเธออย่างที่เข้าใจ ที่เด็กน้อยต้องการคือสถานที่หลบซ่อน ที่พักอบอุ่นหลังจากที่ต้องต่อสู้คนเดียวมาเป็นเวลานาน เธอจำใบหน้านั้นได้ เพราะมันเป็นใบหน้าของเธอ เธอเป็นรุริโกะอีกคนหนึ่ง เหมือนกับเด็กคนนั้นที่เธอพบในความทรงจำของปลาฉลามวาฬ

เธอยกมือลูบหัวเด็กน้อยอย่างปลอบโยน 'ไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว แม้จะโดดเดี่ยว แต่อย่างน้อยพวกเราก็ยังมีกันและกัน'

เด็กน้อยค่อยๆ เผยอยิ้มอย่างยากลำบาก ก่อนที่ทั้งสองจะโอบกอดกัน ขวานด้ามนั้นร่วงหล่นลงพื้นหายไปอย่างไร้เสียง 'ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร' เธอโอบกอดตัวเอง ส่งเสียงปลอบโยนตัวเองเพียงลำพังอยู่ในห้องที่มืดมิด ความเดียวดายที่เคยนั่งอยู่เคียงข้างยินยอมจากไปในที่สุด

ประตูห้องน้ำค่อยๆ เปิดอ้าออก ในที่สุด 'สิ่งที่ไม่ได้รออยู่ ก็มาถึง' เธอยังคงสงสัย ว่าความตายของเธอจะมีหน้าตาเป็นเช่นใด ถึงแม้ว่าเธอจะพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม

เงาในความมืดเคลื่อนไหวออกมาจากห้องน้ำ ความตายของเธอสูงเท่าๆ กับคน มีสองมือสองเท้า เดินด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์ แสงเล็กๆ น้อยๆ จากแหล่งต่างๆ เปิดเผยให้เห็นใบหน้าที่แปลกประหลาดของมัน

เธอเผลออมยิ้ม นึกด้วยความพิศวง 'ความตายของฉัน มีใบหน้าเป็นไอ้มดแดง'


Create Date : 11 มิถุนายน 2555
Last Update : 11 มิถุนายน 2555 7:34:35 น. 0 comments
Counter : 902 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.