XX. นางฟ้าของพ่อ

ลุยน้ำท่วม ส่งนิยายมาให้ค่ะ
ขอลงเฉพาะใน blog ก่อน ส่วนในกระทู้
จะรอน้ำลดอย่างที่บอกไว้นะคะ ('',)

+ + +

ความคิดเป็นอาหารของจิต ความคิดเป็นการบริหารจิต
ความคิดเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด ความคิดเป็นเครื่องหมาย
ให้เราสามารถกำหนดรู้ว่าอะไรเกิด ดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ถ้ามีสติปัญญาแก่กล้ากว้างขวางกว่านี้ ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า
ความคิดนี้เองมันมายั่วยุให้เราเกิดกิเลสและอารมณ์
แล้วทำให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ

ถ้าเกิดความพอใจ ก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ใจเป็นสุข
ถ้าเกิดความไม่พอใจ ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานจิตให้เป็นทุกข์


วิถีแห่งจิต โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)






“ฟังแผ่นเดิมต่อก็ได้ครับน้าเชิด”

คนถูกทักชะงักมือที่กำลังปรับเครื่องเล่นซีดีในรถ เมื่อชำเลืองมองผ่านกระจกด้านหน้า ก็เห็นเจ้านายนั่งไชว่ห้างอยู่บนเบาะหลัง มือยังจับเอกสารพลิกอ่านกับอีกบางแฟ้มยังวางอยู่บนตัก ท่าทางจริงจังนั้นเมื่อเงยหน้ามาสบตาคนขับรถชราก็เปลี่ยนเป็นท่าทีกันเองที่ค่อนไปทางเคารพเลื่อมไส

“ผมตั้งใจจะปิดนึกว่าคุณวินทร์อยากนั่งเงียบๆ เห็นเครียดกับเอกสาร ช่วงนี้ประชุมจนค่ำมืด วันนี้ก็ต้องไปเซ็นสัญญา คงเครียดน่าดูนะครับ”

เชิดพูดถึงตารางงาน อันที่จริงวินทร์ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อมารดารู้ข่าวการเข้าไปดูแลพนักงานในอาณัติอย่างเปิดเผย ทำให้ผู้บริหารคนใหม่ถูกยัดเยียดตารางงานให้หนาแน่นขึ้นจนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหน

“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าเชิด ผมว่าเป็นโอกาสมากกว่า โรงพยาบาลนี้ยังต้องการการเติมเต็มอีกมากนะครับ ไหนๆคุณแม่ก็ให้อำนาจแล้ว วันนี้แค่ลงนามการเข้าร่วมมาตรา 7 เรื่องเดียว เดี๋ยวก็ว่างแล้วครับ”

“มาตรา 7 เห็นมีมานานแล้วนี่ครับ คุณนายปฏิเสธการเข้าร่วมมาตลอด เอ้อ...อย่าหาว่าผมสอดรู้สอดเห็นเลยนะครับ เมื่อก่อนขับรถให้ท่าน ได้ยินท่านบ่นอยู่บ่อยๆ ว่ามีหนังสือเชิญมาทุกปี ท่านก็ปฏิเสธไปเสียทุกปี คุณวินทร์ไปเซ็นยินยอมอย่างนี้ คุณนายไม่ว่าเอาหรือครับ”

“หึๆ ก็มีบ้างแหละครับ แรกๆก็บ่นว่าเสียภาพพจน์ของโรงพยาบาล ผู้บริหารคนอื่นๆ ก็เออออตามกันมาตลอด ผมถามว่าเสียภาพพจน์ตรงไหน แม่บอกว่าเราเป็นโรงพยาบาลเอกชนระดับวีไอพี การไปปะปนกับภาครัฐ จะทำให้เสียแบรนด์เดิมที่คุณแม่เพิ่งทำตลาดได้เมื่อไม่กี่ปีก่อน”

“แล้วคุณวินทร์กล่อมยังไงให้ท่านยอมล่ะครับ”

“โอย ไม่เสียเวลากล่อมหรอกน้าเชิด ขืนผมบอกว่า เราควรจะบริการประชาชน ผ่อนปรนภาระให้บ้านเมืองตามปณิธานของปู่ย่าตายายที่ช่วยกันก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นมา แม่มีหวังตะเพิดให้ผมกลับไปกินอุดมการณ์เหมือนเมื่อหลายปีก่อน รอบนี้ผมเลยบอกให้บัญชีเอาผลการเติบโตรายไตรมาสให้คุณแม่ดู เห็นชัดเลยว่าลดลงตามเศรษฐกิจ แล้วแทนที่เราจะต้องไปทุ่มเงินกับการออกตลาด เดินสายไปตามกลุ่มลูกค้าที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารัดเข็มขัดกันเต็มที่ เปลี่ยนมาเป็นการตั้งรับคนไข้ อุบัติเหตุมา 1 ครั้ง ญาติก็ตามมาเป็นโขยง ข้อดีแรกคือเรายังสามารถตั้งเบิกกับสปสช.ได้ ข้อดีที่สอง คือถ้าเราบริการดี ญาติคนไข้ที่จับพลัดจับผลูกันมานั่นแหละ จะช่วยทำการตลาดแบบปากต่อปากให้”

“อ้อ...นี่ล่ะครับ เป็นการกล่อมสไตล์คุณวินทร์”

“ยังไงฮะ น้าเชิด”
วินทร์พูดเจือหัวเราะในลำคอ

“ก็พูดในมุมของคนฟัง ไม่ใช่ดึงให้เขามาเข้าใจเหตุผลของตัวเองฝ่ายเดียว เมื่อกี้ผมฟังคุณวินทร์อธิบาย พอจะนึกภาพตอนคุณวินทร์พูดในที่ประชุมออกเลยทีเดียว”

“อืม ก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีเลยล่ะครับ ผมไม่อยากให้องค์กรที่ผมปกครอง กลายเป็นองค์กรที่แสวงหาแต่ผลกำไรอย่างเดียว ขณะเดียวกัน กำไรอย่างเดียวนี่แหละ เป็นที่ตั้งของโครงการทุกเรื่อง อ้อ...ผมไม่ได้ลืมดูใจตัวเองตอนเห็นผลโหวตของกรรมการบริหารนะครับ ตอนที่ทุกคนลงมติเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ ใจมันพองขึ้นมาอย่างกับจะทะลุออกมาข้างนอกได้ แต่พอรู้ทันมันก็หาย เก็บอาการแล้วนั่งนิ่งๆ คุยเรื่องอื่นต่อได้โดยไม่กลายเป็นลิงกระโดดโลดเต้นออกมา”

“โอ้... ได้ยินอย่างนี้ ผมดีใจยิ่งกว่าตอนได้ข่าวคุณวินทร์จะกลับมาจากเมืองนอกอีกครับ”

“ยังไงฮะ น้าเชิด”
วินทร์ถามด้วยคำถามเดิม

“ก็ครั้งนั้นคุณวินทร์กลับบ้าน แต่เป็นบ้านภายนอก แต่ครั้งนี้ผมเห็นคุณวินทร์กำลังเดินกลับบ้านภายในแล้วสินะครับ”

“บ้านภายใน หมายถึงในกายในใจเรา อย่างที่หลวงพ่อเทศน์ในซีดีใช่ไหมน้าเชิด”
“ถูกต้องขอรับ”

เจ้านายหนุ่มกับคนขับรถชราคุยกันอย่างออกรส เชิดขับรถพานายออกมาจากที่พำนักระยะหนึ่งค่อยนึกได้

“อืม แต่เซ็นสัญญาตั้งบ่ายไม่ใช่เหรอครับ คุณวินทร์เรียกผมมาแต่เช้า”
“ก็นี่ไงครับ เราไปวัดกันก่อน ออกจากวัดค่อยแวะไปหารสา ผมไม่ได้ติดต่อเธอหลายวันแล้ว ไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง"

“เอ้อ... ครับ”
การสนทนากลับติดขัด เชิดเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่กล้าบอก

“มีอะไรหรือเปล่าน้าเชิด”

เชิดนึกถึงเรื่องหลวงพ่อ แม่ชี กับวิญญาณเร่ร่อน ที่ตนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ พร้อมกับเรื่องบอกต่อกันมา ว่ามณฑาที่กุฏิของแม่ชีออกดอกสะพรั่งและกลิ่นหอมรัญจวนใจ ถ้าเป็นไปได้ ตนอยากจะไปกราบเรียนถามแม่ชีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว

“ไม่รู้ซีครับ มันออกจะเหลือเชื่อไปสักหน่อย เอาเป็นว่า ผมอยากพาคุณวินทร์ไปดูต้นมณฑาที่วัดอยู่พอดีก็แล้วกันครับ”

“อือ ครับ น้าเชิด”

วินทร์รับคำ ด้วยเข้าใจว่า เชิดจะไปสอบถามเรื่องพรรณไม้เพื่อจะหาไปปลูกในสวน ว่าพลางหยิบเอกสารขึ้นมาดูต่อ คนขับรถชราเงียบเสียง ในรถจึงมีเพียงเสียงเทศน์ธรรมะที่เปิดคลอเบาๆ...


•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


“คุณพ่อคะ ทางนี้ค่ะ”

พอพากันผ่านเข้าเขตวัด ลูกสาวตัวน้อยที่เคยเดินตามเขาต้อยๆ กลายเป็นฝ่ายจูงมือพ่อเข้าสู่อุโบสถ แรกก้าวเข้าธรณีประตูโบสถ์ อังกูรสัมผัสได้ถึงลมโชยอ่อน กับกระแสสงบเย็นโดยรอบอุโบสถ เบื้องหน้ามีพระประธานสีทองอร่าม เศียรพระมีรูปลักษณ์คล้ายเปลวไฟบนปลายคบเพลิงที่โชติช่วง ดวงเนตรนั้นมองต่ำคล้ายพระพุทธองค์กำลังสดับฟังเสียงร้องทุกข์ของสรรพสัตว์ ปางประทับนั่งขัดสมาธิ หัตถ์ของพระพุทธรูปข้างซ้ายวางหงายบนตัก หัตถ์ข้างขวาวางบนเข่า นิ้วของหัตถ์ข้างขวานั้นชี้ลงพื้นธรณีด้านล่าง

อังกูรย่อตัวนั่งลงกับพื้นต่ำ ไม่ใช่ด้วยอำนาจบังคับหรือสั่งการจากหัตถ์ของพระพุทธรูป แต่ด้วยมือของลูกสาวที่อยู่ข้างกาย เพียงจับมือพ่อเบาๆและทรุดตัวลงคุกเข่า อังกูรคุกเข่าลงบ้าง อนัลยานีก็หันมายิ้มให้ มือเล็กๆ คลายจากนิ้วก้อยของพ่อมาพนมเข้าด้วยกัน เด็กสาวก้มลงกราบพระ ผู้เป็นพ่อทำตาม พอฝ่ามือและหน้าผากจรดพื้น อังกูรถึงกับสัมผัสได้ถึงความอิ่มเอิบแผ่ซ่านภายในอก กราบครบสามครั้งหันมองลูกสาว เห็นอนัลยานีนั่งเงยหน้า ตามองพระพุทธรูปและบอกเบาๆ



“พระท่านว่า พระพุทธรูปนี่ คนธรรมดาสร้างไม่ได้นะคะคุณพ่อ ต้องพระอินทร์สร้าง”

ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ อังกูรอาจค้าน ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่เมื่อสัมผัสต้องด้วยใจ ผู้เป็นพ่อก็ไม่กล้าขัดให้เสียบรรยากาศ

“พระอินทร์เลยเหรอลูก เทวดาบนฟ้านั่นน่ะนะ”

“เปล่าค่ะ... พระอินทร์ไม่จำเป็นต้องอยู่บนฟ้า แต่เป็นคนธรรมดาเรานี่แหละ เมื่อไหร่ที่มีใจเป็นบุญ เป็นกุศล เมื่อไหร่ที่มีใจศรัทธา สร้างสิ่งเคารพที่เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าให้ผู้คนกราบไหว้ เมื่อนั้นใจของคนๆนั้นก็เป็นเทวดาแล้ว”

“อืม ก็คงเหมือนลูกพาพ่อมาวัดวันนี้ แอนี่ก็เป็นนางฟ้าของพ่อแล้วน่ะสินะ”
“ไม่ค่ะ แอนี่ยังไม่ได้เป็นนางฟ้า ถ้าเป็นนางฟ้า คงจะสามารถให้พรคุณพ่อได้”
“เอ้า พ่อก็รอรับพรจากหนูอยู่นี่ไง ว่ามาเลยสิลูก”

“ได้จริงหรือคะ... คุณพ่อ”

“จริงสิลูก”

“ถ้าอย่างนั้น แอนี่ขอให้พรคุณพ่อว่า ถ้าแอนี่ตาย คุณพ่ออย่าได้ทุกข์ร้อน อย่าได้ไปทำร้ายใครเพื่อพาแอนี่กลับมาอีก แอนี่จะไปรอคุณพ่อบนสวรรค์ พอถึงเวลา เราค่อยไปเจอกันบนฟ้านะคะ”

“แอนี่ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูก”

ผลจากโดปามีนโอเว่อร์โดสเมื่อกลางดึก ทำให้หัวใจเต้นช้าและเบาลง ความดันโลหิตลดต่ำกว่าปกติมาหลายชั่วโมงโดยไม่รับการเยียวยา รสารู้ดี ร่างกายนี้กำลังจะทนไม่ไหว... วิญญาณของรสาขยับออกมานั่งข้างๆ มองพระประธาน ขอพลังใจต่อชีวิตให้อนัลยานีอีกสักหน่อย เด็กสาวเอนตัวซบลงกับท่อนแขนพ่อ

“แอนี่ให้พรแล้วนะ คุณเทวดารับไว้สิคะ”
“ก็ได้ พ่อรับปากลูก”

อนัลยานีถอนหายใจยาว หลับตาลงเหมือนคนอ่อนเพลียจากการกรำงานหนัก อังกูรโอบบ่าของลูกสาวด้วยเข้าใจว่าคงผล็อยหลับ แต่เมื่อจับฝ่ามือเย็นเฉียบและแตะจมูกที่ลมหายใจขาดห้วงไปช้าๆ ผู้เป็นพ่อรีบเขย่าร่างในอ้อมอก ร้องเรียกชื่อลูกสาวสลับกับร้องเรียกผู้ติดตามให้รีบสตาร์ทรถ ส่วนตนอุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกวิ่งออกไป ในขณะที่วิญญาณของเจ้าของร่างยังนั่งอยู่ที่เดิม

“อย่างนี้ดีแล้วแน่นะ พี่สา...”

ท่ามกลางความชุลมุนและโกลาหล ร่างโปร่งใสสองร่างหันมาคุยกัน ร่างเล็กกว่าเหมือนจะค่อยๆกลายเป็นละอองไปช้าๆ รสาพยักหน้า บอกลาเด็กสาว

“ไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่”

อณูสุดท้ายของอนัลยานีกลายเป็นละอองสีทองลอยขึ้นฟ้า รสามองตามอังกูรที่อุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกวิ่งออกไป ตามข้อตกลงก่อนมา รสาควรจะรีบเข้าไปอยู่ในร่างนั้น...

แต่หากตราบใดอนัลยานียังมีชีวิต เมื่อนั้นอังกูรยังมีความหวัง...แล้วสัญญาจะรักษาได้อีกนานเท่าใดเล่า

เสียงระฆังตีดังเหง่งหง่าง พระภิกษุเริ่มกลับจากบิณฑบาตและเข้ามาเตรียมฉันภัตตาหารในอุโบสถ รสากราบลาพระประธานและหันไปมองนอกหน้าต่างทางทิศใต้

ด้านนั้นมองเห็นต้นมณฑาอยู่ลิบๆ



Create Date : 18 ตุลาคม 2554
Last Update : 18 ตุลาคม 2554 9:57:25 น. 4 comments
Counter : 1197 Pageviews.

 
หมายเหตุ ^^

มาตรา 7 หมายถึง

ความช่วยเหลือกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน (มีข้อบ่งชี้ว่าโรค หรืออาการของโรคมีลักษณะรุนแรง ต้องรักษาเป็นการเร่งด่วน หากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งโรคที่ต้องผ่าตัดด่วนหากปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต) โรงพยาบาลเอกชนสามารถให้การรักษาผู้ป่วยบัตรทองโดยสามารถเบิกค่ารักษาได้จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามจริงแต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด(กรณีเป็นผู้ป่วยนอกเบิกได้ไม่เกิน 700 บาท ส่วนกรณีผู้ป่วยในเบิกได้ในอัตรา 4,500บาท/8,000บาท/14,000บาท) โดยส่วนเกินผู้ป่วย/ญาติต้องร่วมจ่าย



โดย: รุริกะ วันที่: 18 ตุลาคม 2554 เวลา:7:30:27 น.  

 


โดย: papisong วันที่: 18 ตุลาคม 2554 เวลา:15:23:24 น.  

 
ได้อ่านธรรมะดีๆ และเห็นนิยายฝีมือคุณวิลาอีกแล้วค่ะ
ขอเอาไปแชร์ที่กลุ่มเรานะคะ งิงิ


โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 19 ตุลาคม 2554 เวลา:12:13:51 น.  

 
ขอบคุณคุณฉัตรค่ะ


โดย: รุริกะ วันที่: 19 ตุลาคม 2554 เวลา:19:04:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
18 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.