XXI. ความหวัง

ชาวโลก เรามักจะพูดกันว่า เราอยู่กันด้วยความหวัง
คือว่า หวังน้ำบ่อหน้ากันเรื่อยไป คล้ายๆ กับคนเดินทาง
พอมาถึงศาลาพักร้อนหลังนี้ พักแล้วก็เดินต่อไป
นึกว่าจะไปพักศาลาโน้นต่อไป
พอถึงศาลานั้นก็นึกว่าจะไปพักศาลาโน้นต่อไป
อย่างนี้เรียกว่า เดินไปด้วยความหวัง

ความหวังนั้น ก็คือ ความอยากนั่นเอง
เราเอาความอยากมาเป็นอาหารใจ
มาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ
ชาวโลกทั่วไปนี่อยู่ด้วยความอยาก
อยู่ด้วยความปรารถนา ว่าจะมีสิ่งนั้นจะมีสิ่งนี้
เรียกว่า หาเหยื่อมาล่อจิตใจอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้การที่เราเอาเหยื่อต่างๆ มาล่อจิตใจเรานั้น
มันไม่สุขใจอะไรมากนัก แล้วอาจจะผิดหวังเมื่อใดก็ได้
เราก็เกิดเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
วันอาทิตย์ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2520




เชิดจอดรถไว้ทางกำแพงด้านข้าง เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาด้านในจึงเห็นว่าด้านในเป็นกำแพงแก้วเก็บอัฐิ อาณาเขตวัดถูกล้อมรอบด้วยต้นสนที่ปลูกไว้ใกล้ๆกับกำแพง แต่ละพื้นที่ถูกแบ่งและกั้นด้วยรั้วไม้เล็กๆแต่ภายในเขียวชอุ่มด้วยพืชพรรณนานาชนิด มีทั้งดอกไม้หลากสี ต้นไม้หลากพันธุ์ พบได้กระทั่งต้นกล้วยตานีใบสีเขียวลู่ลงดินเหมือนสไบของผู้หญิงสมัยโบราณอยู่ในส่วนลึกที่สุดของกำแพงวัด บรรยากาศสลัวๆในเวลาเช้าไม่น่าเสียดแทงเหมือนความมืดและอากาศที่เย็นยะเยือกในยามค่ำ

“เรามาเร็วไปหรือเปล่าครับน้าเชิด”

“ไม่หรอกครับคุณวินทร์ พระท่านตื่นมาทำวัตรกันตั้งแต่ตีสี่ พอตีห้าก็ออกบิณฑบาต นี่หกโมงแล้ว พระท่านน่าจะทยอยกันกลับมาที่อุโบสถแล้วล่ะครับ”

“อืมม ผมไม่เคยเข้ามาทางนี้เลย เงียบดีเหมือนกันนะครับ อ้อ จำได้ล่ะ ทางเดินตรงนั้น คราวที่แล้วผมมาจากทางโน้น ก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมๆอยู่ไม่ไกลจากกุฏิแม่ชีเหมือนกัน แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าอยู่ตรงไหน”

“อ้าว น้าเชิด สวัสดีครับ วันนี้มาแต่เช้า”

เสียงทักขัดจังหวะ เด็กหนุ่มวัยรุ่นใส่เสื้อยืดและกางเกงสีขะมุกขะมอมกำลังเด็ดยอดฟักทองอยู่ริมรั้ว ถ้าไม่ส่งเสียงก็แทบมองไม่เห็นตัว เพราะสีผิวและเสื้อผ้าแทบจะกลืนไปกับสีหม่นๆของเวลาเช้าที่พระอาทิตย์ยังสาดแสงไม่เต็มฟ้า

“โอ้ แสวง ขอโทษที มองไม่เห็น เก็บผักไปทำอาหารถวายหรือนั่น”

“ครับ น้าเชิด ช่วงนี้หน้าแล้ง บางทีพระไปบิณฑบาต ชาวบ้านก็ไม่ค่อยมีอะไรถวาย เด็กวัดก็ต้องปลูกผักปลูกไม้ไว้ทำอาหารถวายท่านบ้างแหละครับ”

“ดีเลย น้าเตรียมอาหารแห้งมาถวายแม่ชี ท่านคงได้ใช้นะ”

เชิดพูดพลางชูสองมือที่หอบหิ้วข้าวของมาด้วย ตามธรรมเนียมหากเป็นของสดพระจะต้องรับแล้วฉันให้เสร็จในมื้อเดียว เหลือจากนั้นต้องทิ้งไป เชิดและวินทร์จึงตั้งใจหาของถวายเป็นของแห้งเพื่อจะกลายเป็นของกลางในวัด แสวงรู้ดังนั้นก็รีบกระโดดมารับ

“ผมเอาไปเก็บในครัวให้ครับ สองสามวันนี้แม่ชีไม่อยู่ครับ ท่านไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัดครับ”

“อ้าว...อย่างนั้นรึ”

“ครับ หลวงพ่อก็ไม่ค่อยสบายครับ วันนี้ท่านคงไม่ออกมาพบญาติโยมนะครับ ขออภัยจริงๆครับ”
แสวงเป็นเด็กวัดที่หน่วยก้านดีมาก โตขึ้นมาน่าจะกลายเป็นโฆษกวัด

“โอ... ขอโทษจริงๆครับคุณวินทร์ ผมไม่ได้โทรมาเช็คก่อน”
คนขับรถชราหันมาขอโทษเจ้านายหนุ่ม วินทร์ยังยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เป็นไรหรอกครับน้าเชิด ไหนๆก็มาแล้ว เดินเล่นกันอีกสักพักก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นผมกับแสวงเอาของไปเก็บในโรงครัวก่อนนะครับ คุณวินทร์จะรอแถวไหนดีครับ”

“ทางโน้นก็แล้วกันครับ”
วินทร์ชี้ไปทางทิศใต้ของวัด ดูจะเป็นที่สงบร่มรื่น

“อือ... ดีเลยครับ แถวนั้นอยู่ใกล้กับกุฏิแม่ชี และก็เป็นที่นั่งสมาธิกับเดินจงกรมของคนที่มาพักที่วัดครับ เสียดายต้นมณฑาดอกร่วงไปหมดแล้ว เมื่อหลายวันก่อนยังออกดอกสวย กลิ่นหอมระรวยอยู่เลยครับ”

แสวงยังพูดไม่หยุดระหว่างที่ขนของนำทางไปกับเชิด ชายสูงวัยถามอะไรต่ออีกสองสามคำ เด็กหนุ่มก็บรรยายตอบอีกหลายประโยค วินทร์เดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ทรงพุ่มขนาดกลาง ชื่นชมบรรยากาศครู่หนึ่งค่อยทรุดนั่งลงกับม้าหิน เอนศีรษะพิงกับต้นไม้แล้วหลับตา จากนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจห่างออกไปแค่คืบ พอลืมตา ก็พบว่ารสามาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ

“เอ๋?”

รสาก็กำลังนั่งทอดอาลัยอยู่บนม้าหินนั้น โดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งสองต่างหันมามองหน้ากัน

“คุณเห็นฉัน?”

“ครับ?...แล้วคุณโผล่มาได้ยังไง... หรือว่า เรากำลังเจอกันในความฝัน”
ชายหนุ่มก็แปลกใจ แต่ยังไม่วาย ตอบเป็นเรื่องขำขัน

“นี่คุณ ขอร้องล่ะ อย่าพูดเป็นเล่น”

“นี่คุณ...ขอร้องล่ะ..?”
วินทร์ทวนประโยคนั้นซ้ำ

“แปลกดี ตอนคุณฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ เรียกผมว่าคุณวินทร์คะ คุณวินทร์ขา หลอกให้ผมดีใจอยู่ได้พักใหญ่ อือ สงสัยจะหายดีแล้วสินะครับ ถ้าอยากได้ยินอีก สงสัยต้องหาเรื่องให้คุณป่วยใหม่อีกรอบ”

ชายหนุ่มเอื้อมมือมาแตะหน้าผากเบาๆ รสารับรู้ได้ถึงมืออุ่นๆนั้น
‘เขาสัมผัสเราได้...’

เหมือนโลกหยุดหมุนชั่วขณะ รสาหันมองไปรอบๆตัว ต้นมณฑากำลังผลิดอกสีเหลืองอร่ามในพริบตา อาณาเขตนี้คือจุดเชื่อมของพื้นดินกับสวรรค์ เมื่อวิญญาณหนึ่งมีจิตใจเป็นกุศลก็พลันกลายเป็นนางฟ้า นี่คืออาณาเขตที่เธอจะเนรมิตสิ่งใด ก็บังเกิดเป็นไปตามความต้องการในพริบตาเท่านั้น ความมหัศจรรย์ของจิตเป็นอย่างนี้เองหรอกหรือ รสาส่ายหน้า ยิ้มขัน

“เอ้า ตกลงบอกได้หรือยัง ว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันอยู่ที่นี่...”

รอยยิ้มจางลงเมื่อคิดได้ว่าขณะนี้เธอและเขาอยู่คนละภพ การเหลื่อมของภพที่นำพาให้เขามาสัมผัสเธอได้ เป็นเรื่องไม่ปรกติ

“คุณต่างหาก ไม่ควรมาอยู่ตรงนี้”

รสานึกถึงแม่ ภาพแม่นอนสลบอยู่หน้าประตูบ้านก็ปรากฏ นึกถึงฟ้าใส ก็เห็นสภาพโรงนาร้าง บริเวณรอบข้างเวิ้งว้าง สุดปลายนามีป้ายบอกทาง “หันตรา” อีก 8 กิโลเมตร รสาหันกลับมาบอกกับชายหนุ่มตรงหน้า

“ช่วยแม่ฉัน..ช่วยฟ้าใส.. ไม่ใช่สิ ช่วยฉันด้วย”
วินทร์ขมวดคิ้ว งุนงง สะบัดหน้าเบาๆ ไม่เข้าใจหนักขึ้นไปใหญ่

“แม่ฉันถูกทำร้าย ฟุบอยู่หน้าบ้าน”
“อือ งั้นเราไปด้วยกัน”

ชายหนุ่มคว้ามือรสาและจับไว้แน่น ตั้งใจจะพาเธอไปด้วยกันจริงๆดังว่า รสาส่ายหน้า เพียงนึกถึงบรรยากาศนอกอาณาเขตก็ร้อนวูบวาบ ชวนให้คลื่นเหียน น่าสะอิดสะเอียน เหมือนต้องกระโดดลงคลองเน่า

“ฉันไปกับคุณไม่ได้”
รสาแกะมือจากการเกาะกุมของวินทร์ ก่อนปล่อยมือนั้นส่วนลึกยังอยากรั้งเวลาไว้แต่ต้องตัดใจบอก

“นี่เป็นความฝัน อย่างที่คุณคิดตอนแรกนั่นแหละ ได้โปรด ช่วยพวกเราด้วย ฉันถูกจับไปที่โรงนาร้างในอยุธยา ห่างจากหันตราไป 8 กิโล คุณรีบไปเถอะ”

ขาดคำว่ารีบไป วินทร์รู้สึกเหมือนร่วงลงจากที่สูง ตัวชาวูบ แต่แล้วแรงกระทบของช่วงเวลาที่จะต้องตกถึงพื้นกลับหายไป

เขายังนั่งอยู่บนม้าหินอ่อนตัวเดิม .. แต่เพียงลำพัง ... ข้างกายที่เมื่อครู่ยังมีรสาตัวเป็นๆนั่งอยู่ก็ปรากฏเพียงความว่างเปล่า มีดอกมณฑาวางไว้แทนที่ วินทร์หยิบดอกไม้สีเหลืองนวลนั้นมาเพ่งมองใกล้ๆ เห็นเชิดเดินมาก็หย่อนดอกไม้กลีบบางใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย

“คุณวินทร์ครับ”
เชิดทำธุระเสร็จกลับมารับ

“ไปไหว้พระในอุโบสถกันเถอะครับ”

‘ได้โปรด...ช่วยพวกเราด้วย’
ภาพของรสายังติดตา เสียงนั้นยังเหมือนลอยมากระทบหู

“รสา..คุณน้านภา..หันตรา”
วินทร์พึมพำ พยายามจับต้นชนปลายแล้วรีบบอก

“เราต้องออกไปจากวัดตอนนี้เลยครับ น้าเชิดอย่าเพิ่งถามอะไร เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังในรถ”

“ครับ คุณวินทร์”
แม้จะยังงุนงงและไม่เข้าใจในสถานการณ์ แต่เชิดยังสามารถรับคำสั่งตามความถนัด

เป็นรถคันต่อมาที่สตาร์ทและขับออกไปจากวัดด้วยความเร็ว ถัดจากนั้นคือความเงียบสงัด เป็นความปรกติของวัดอีกครั้งหนึ่ง...


•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*



“โอย...”

ฟ้าใสโอดครวญออกจากปากที่ถูกคาดด้วยผ้าบิดเกลียวเป็นเชือกมัดปมเอาไว้ที่ท้ายทอย หลังจากถูกโยนลงรถกระบะที่มีฝาครอบยังถูกปิดตาและมัดมือมัดเท้า ร่างกายบอบช้ำจากแรงสะเทือนและกระแทกภายในรถที่วิ่งด้วยความเร็ว บางครั้งรถก็โคลงขึ้นและลงตามทางที่ขรุขระ ฟ้าใสจำได้ว่าตนฟื้นขึ้นมารู้สึกถึงความอึดอัดจากการรัดของเชือก อาการปวดร้าวระบมไปทั่วร่างก็ทำให้หมดความรู้สึกลงไปอีก

ค่อยมารู้สึกตัวอีกครั้งด้วยสัมผัสที่มาปะทะแก้ม เป็นฝ่ามือที่บีบเฟ้นอย่างเมามัน เสียงหายใจหอบรดต้นคอของชายฉกรรจ์ที่น่าคลื่นเหียน มืออีกข้างของมันปลดเอาเชือกที่ผูกตาของเธอออก ฟ้าใสต้องเบือนหน้าหนีแสงไฟจากหลอดตะเกียงที่สาดจ้าเข้ามาตรงกับระดับสายตา พอหันหน้าไปอีกทาง ก็พบว่าตนถูกนำมามัดติดกับเสารูปทรงกลม ที่เสาต้นเดียวกันยังมีอีกร่างหนึ่งถูกมัดอยู่อีกฝั่ง ไตรรัตน์เหมือนจะโดนหนักกว่า ดวงตาเขาบวมปูดและเขียวช้ำ ริมฝีปากยังมีรอยเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนคางและติดอยู่ตามปกเสื้อ ชายหนุ่มยังไม่ฟื้น ชายฉกรรจ์คนเดิมเอียงหน้ามอง ยังคงคลึงเคล้าใบหน้าสวยด้วยฝ่ามือหยาบหนา ฟ้าใสสะบัดหน้าแรง จ้องมองอย่างรังเกียจ ส่งผลให้มันลดมือลง

“ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆ พอฟื้นขึ้นมาก็พยศไม่ใช่เล่นนะน้องสาว เฮ่ย ไอ้เพ้ง มึงไปหาน้ำหาท่ามาให้คุณพยาบาลเขาทานหน่อยซิ”

“ครับลูกพี่”

มันรู้ว่าคนที่จับมาเป็นใคร... ลูกน้องที่ถูกเรียกว่า ‘ไอ้เพ้ง’ เป็นชายรูปร่างเล็ก ท่าทางล่อกแล่ก กำลังเดินไปหยิบขวดน้ำ ‘ลูกพี่’ คนนี้มีผิวสีดำแดง รูปร่างสันทัด มีรอยบากเป็นทางยาวอยู่ตรงต้นแขนซ้าย กำลังหันไปปลุกไตรรัตน์บ้าง ฟ้าใสได้ยินเสียงตบหน้าดังเผียะๆพร้อมกับบอก

“เช้าแล้วหมอ ตื่นๆ”

เสียงไตรรัตน์ร้องครางด้วยความปวดผสมกับความงัวเงีย ไอ้เพ้งรินน้ำแก้วหนึ่งมาจ่อปากหญิงสาว ฟ้าใสขมวดคิ้วส่งเสียงอื้อๆในลำคอ

“เฮียซ้ง น้องสาวเค้าโดนผ้าปิดปากอยู่ ให้ทำไงดีเฮีย”
“ก็แกะผ้าออกสิวะ อยู่กลางทุ่งนาห่างบ้านคนขนาดนี้ ให้มันร้องจนคอแตกตายก็ไม่มีใครได้ยินหรอก”

“ครับๆ”

ฟ้าใสถูกปลดพันธนาการชิ้นที่สอง ผ้าพันเกลียวถูกแกะออกจากปาก หญิงสาวรู้สึกลำคอแห้งผาก กระหายน้ำ แต่ก็กัดฟันเบือนหน้าหนีเมื่อไอ้เพ้งยื่นน้ำให้

“น้องเค้าไม่กินอะครับเฮีย”
“ไม่กินก็กรอก ลองซิ ไม่กรอกด้วยแก้วก็กรอกด้วยปากแกนั่นแหละไอ้เพ้ง”

“ฮะๆ ฮะๆๆฮ่า”

ไอ้เพ้งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลองเอาแก้วจ่อปากอีกครั้งพร้อมกับจับคางของหญิงสาวให้เงยขึ้น บีบแก้มและง้างปากพร้อมกับกรอกน้ำลงไป ของเหลวใสที่พวกมันบอกว่าเป็นน้ำ พอไหลผ่านลำคอกลับฝาดขม หญิงสาวสำลักน้ำออกทั้งทางปากและจมูก น้ำที่บ้วนออกมากระเด็นสาดหน้าไอ้เพ้ง

“ฮึ้ยยย”
มันเงื้อมือขึ้นสูงหมายจะตบให้เต็มฝ่ามือ โทษฐานเอาน้ำมาให้แล้วยังโดนบ้วนใส่หน้า

“เบาๆหน่อย ไอ้เพ้ง ไอ้ซ้ง”
ที่ทางเข้ายังมีชายวัยกลางคนยืนพิงประตูอยู่ไม่ไกล เสียงนั้นดูมีอำนาจกว่าอันธพาลสองคนแรก

“ไปจัดที่จัดทางไป”

... จัดที่จัดทาง ...

“พวกแกจะทำอะไรน่ะ”
ฟ้าใสถามเสียงสั่น พวกมันไม่สนใจ ต่างคนต่างหายเข้าไปในฉากกั้น

“ห้องผ่าตัด...”
ไตรรัตน์บอกเบาๆ

“ข้างหลังฉาก มีห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ครบเซ็ต มันทำกันแค่ปีละหนสองหน แต่หนนึง ก็ได้กำไรเป็นสิบๆล้าน”
“คุณกำลังพูดถึงอะไร?”

“การค้าขายอวัยวะเถื่อน...มีคนอยากได้หัวใจ...ผมหมายถึง... ที่อยู่ในอกคุณตอนนี้”

“หัวใจรสา!”
แปลว่าหัวใจที่ควักออกจากอกเธอไปให้เด็กคนนั้น มันยังไม่พอใช่ไหม
“เฮอะ! นี่แกจะตามฆ่าพวกเราอีกซักกี่ครั้ง”

ฟ้าใสเริ่มกระชากเสียง ชายวัยกลางคนหันมามองเป็นพักๆ มันไม่สนใจเหยื่อมากนัก นั่งอยู่สักพักก็ควักซองบุหรี่ แกะซองแล้วเด็ดมาสูบหนึ่งมวนอย่างเย็นใจ

“โธ่คุณ ฟังผมบ้างสิ ถ้าผมร่วมมือกันพวกมัน ผมจะโดนต่อยโดนเตะ แล้วก็โดนจับมากับคุณแบบนี้เหรอ”
ฟ้าใสเงียบเสียง ยังไม่เชื่อใจ

“แกก็เล่ามาสิ ว่าเรื่องทั้งหมด มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ไตรรัตน์ส่ายหน้า

“ครั้งแรกสุด ผมไม่คิดว่ามันเป็นการทำบาป คุณขับรถคว่ำเอง ผมแค่บังเอิญขับรถผ่าน นั่งรออยู่นานสองนาน ก็ไม่เห็นมีรถคันไหนจอดลงมาช่วยคุณเลย”

‘ก็แกไง...แทนที่จะช่วยฉัน’

ฟ้าใสหลับตา กัดริมฝีปาก เก็บประโยคนั้นไว้ในใจ ไม่ให้หลุดคำผรุสวาทใดๆออกมา เธอต้องการคำอธิบายที่ใช้เวลาสั้นที่สุด ถ้ามัวแต่สาปแช่ง ด่าทอ ก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่า

“ผมช่วยให้เรื่องมันง่ายขึ้น เด็กที่รอรับบริจาคหัวใจเป็น case study ของอาจารย์ที่ปรึกษาผม ร่างของคุณเลยถูกส่งไปโรงพยาบาลเดียวกับเด็กคนนั้น โดยผมเป็นคนจัดการ มันเป็นความบังเอิญ และผมก็หวังดีกับทุกฝ่าย”

‘หวังดีกับทุกฝ่าย...ไอ้สารเลว’

ฟ้าใสกำหมัดแน่น ถ้าไม่ถูกมัดมือมัดเท้า คงได้ตบปากผู้ชายที่ถูกมัดอยู่ติดกันไปได้หลายครั้ง แต่สถานการณ์ไม่ได้อำนวยอย่างนั้น ฟ้าใสกัดฟันถามต่อ

“แต่ชั้นไม่ใช่รสา ถึงจะเป็นฝาแฝด แต่เลือดของเราก็คนละ Rh กัน”

“เราเก็บความลับนั่นได้ ตราบใดที่เด็กนั่นไม่ต้องถ่ายเลือดหรือรับเลือดครั้งใหม่ แต่แล้วพอแกกินยาโอเว่อร์โด้สแล้วต้องล้างท้อง...”

“พวกแกก็เลยต้องแก้ตัวใหม่...ด้วยการเอาหัวใจของรสาตัวจริงไปใส่แทน…อ้อ...ไม่ใช่แต่หัวใจ ไตก็พังด้วยสิท่า”

ฟ้าใสคาดเดาเรื่องได้ถูกทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ครั้งที่เขาตั้งใจขับรถชนรสา ช่วงเวลานั้น แม้ไตรรัตน์จะรู้สึกผิด และเสียใจที่ตนเป็นผู้ลงมือกระทำ แต่หากรถพยาบาลที่เชิดเรียกให้ไปช่วยไปถึงช้า ร่างของรสาอาจจะถูกนำไปใช้ในการอื่น ไตรรัตน์หมายถึง... คนอื่นๆในขบวนการต่างก็เตรียมรถมารอขนศพแล้ว แต่รถพยาบาลของจริงมาช่วยรสาทันเสียก่อน

“ผมไปเฝ้าคุณทุกวัน”
“ไม่ใช่เป็นห่วง แต่เพราะอยากหาโอกาสฆ่ารสาใหม่”
ไตรรัตน์ส่ายหน้า

“ผมไปดูแลแม่คุณด้วย”
ข้อนี้เป็นเรื่องที่ฟ้าใสไม่เข้าใจ

“แกไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นนี่”

“แม่ของคุณหนีออกจากบ้านมาอยู่กับพ่อของคุณตั้งแต่ยังสาว แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด พอพวกคุณโตขึ้นมาถึงค่อยแยกทางกัน ถูกไหม”

“อะ อือ...ทำไมแกรู้”

ถามด้วยสรรพนามก้าวร้าว แต่เห็นได้ชัดว่าเสียงของฟ้าใสอ่อนลง เมื่อได้ยินเขาพูดถึงชีวิตวัยเยาว์

“อันที่จริง เราเคยเจอหน้ากันตอนเด็กๆ บ้านเช่าของครอบครัวเราสองคนอยู่ใกล้กัน ก่อนที่พวกคุณจะได้บ้านใหม่แล้วย้ายออกไป ผมมักจะนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง หมกตัวอยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ แต่วันนั้นผมเห็นเด็กฝาแฝดสองคน คนหนึ่งแย่งของของอีกคน อีกคนเอาแต่ร้องไห้”

ฟ้าใสจำไม่ได้ ว่ามันเป็นกรณีไหน เพราะแต่ไหนแต่ไร เธอก็แย่งรสาเกือบทุกเรื่อง แล้วยังไง จะสรรเสริญเยินยอรสาให้ฟังอีกคนล่ะสิ แต่กลับผิดคาด ประโยคถัดมาของไตรรัตน์พูดด้วยความคับแค้นใจ

“ผมมันก็โตมาแบบไม่มีพ่อ อะไรคว้าได้ก็ต้องคว้า ผมกลับประทับใจในตัวคุณนะ อยากได้อะไรก็ต้องคว้ามาให้ได้…ผมเลยพยายามจะช่วยคุณ ถ้ารสาที่อยู่ในร่างเด็กนั่นตายซะก่อนที่พวกมันจะมาจับตัวคุณ คุณก็จะได้อยู่ในร่างนี้ไปตลอด"

ไตรรัตน์เว้นจังหวะถอนใจ ที่พูดมาทั้งหมด ดูจะเป็นความหวังที่แสนริบหรี่

"แต่นี่ ผมพาคุณหนีไม่ทัน แถมโดนพวกมันจับได้ว่าทรยศ ยังไงซะ วันนี้เราก็คงต้องมาตายด้วยกันที่นี่แหละ!”



Create Date : 01 ธันวาคม 2554
Last Update : 1 ธันวาคม 2554 7:36:15 น. 12 comments
Counter : 767 Pageviews.

 
ความหวัง...เป็นสิ่งดี
แต่ความอยากเป็นโทษ งงิ

คุณอ้อบลีอกน่ารักนะคะ
ฉัตรเอาไปแชร์ก่อน เด๋วว่างจะวิ่งมาอ่านค่ะ
คิดถึงมากกก ค่ะ


โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:8:06:22 น.  

 
แอ๊ ^^
เค้าก็คิดถึงคุณฉัตรค่ะ
วิ่งไปจุ๊บที่บล็อกคุณฉัตรดีกว่า


โดย: รุริกะ วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:9:48:07 น.  

 
ความหวัง
ถ้าใช้ให้ถูกทิศถูกทาง
ก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ
แม้จะรู้ว่า ไม่มีหวัง....แต่เพียงมีความหวัง
อย่างน้อยก็เป็นพลังในทางโลก เรายังต้องอยุ่ในทางโลก
ขาดความหวัง
อาจเหมือนเรือ ที่ปราศจากหางเสือ
วิ่งต่อไปได้...ยังมีเครื่องยนต์
ถึงจะ...แบบไร้จุดหมายปลายทาง
ก็ยังเดินทางต่อไป
แต่ถ้าจะมองอีกมุม
เรือไม่มีหางเสือ
วิ่งแบบนี้ก็ดีไปอย่าง
ไม่ต้อง มีหวัง ไม่ต้องมีทิศทาง
ถึงเวลาก็จมไปแบบไม่คิดมาก
แต่อาจจมแบบอ้างว้าง

ในอีกมุม (หลายมุมดีแฮะ)
การมีความหวัง
ก็ไม่จำเป็นต้องมุ่งมั่น..กับความหวังนั้นจนเกินไป
จะเป็นการติดกับตัวเอง
เอาแค่....หวัง มากกว่.าลมๆแล้งๆ สักนิด
อย่างน้อย...แม้ว่าเรือ จะไปไม่ถึง
แต่ความหวังก็ยังคงมี..ในหัวใจ
ต่อให้จมไปพร้อมกับเรือ
อย่างน้อยก็เป็นการจมลงไปกับความหวังนิดๆ ที่ติดเอาไว้ตรงปลายหัวใจ

ถึงเรือและร่างกายจะจมลงทะเล...ก็ไม่เหงา.....
ต่อให้เป็นวิญญาณ ก็เป้นวิญญาณซึ่งมีจุดหมายปลายทาง
ไม่เร่รอนเป็นสัมพเวสี



โดย: GTW/PSYCHO MAN IP: 103.1.164.29 วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:12:09:13 น.  

 




โดย: รุริกะ วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:13:43:41 น.  

 
จะมีใครเข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องบ้างไหมนะ


โดย: รุริกะ วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:13:45:30 น.  

 

แสดงความเห็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องได้ครับ
คือ ตอนนี้น่ากลัวมาก
ไม่กล้าอ่านจนจบเลยครับ
โอย จะเป็นลม...


โดย: GTW/PSYCHO MAN IP: 1.46.175.67 วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:15:36:53 น.  

 


โดย: รุริกะ วันที่: 1 ธันวาคม 2554 เวลา:16:08:15 น.  

 
เฮ้อหวังดีหรือหวังร้ายเเถมหวังผลกันเเน่นะหมอรัตน์


โดย: VEE IP: 66.172.227.200 วันที่: 2 ธันวาคม 2554 เวลา:20:57:15 น.  

 


โดย: รุริกะ วันที่: 4 ธันวาคม 2554 เวลา:8:33:43 น.  

 
มาทักทายครับ


โดย: bk123 วันที่: 4 ธันวาคม 2554 เวลา:20:58:56 น.  

 
ผมไม่ได้ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น
อ่านเพียงแค่นี้จึงไม่ทราบว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไร

แต่เรื่องของความหวังและความอยากนั้นมันคล้ายกัน
ถ้าหวังในเรื่องที่เป็นไปได้จากเหตุปัจจุบันก็ไม่ผิด
เช่นขยันเรียนหนังสือแล้วอยากสำเร็จปริญญา
อย่างนี้ เป็นความหวังที่ถูกต้อง

แต่ถ้าขี้เกียจทำงานซื้อแต่หวย แล้วอยากรวยเป็นเศาษฐี
อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เป็นความอยากด้วยความโลภครับ.






โดย: เจียวต้าย วันที่: 5 ธันวาคม 2554 เวลา:4:42:05 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ bk

ขอบคุณค่ะคุณปู่



โดย: รุริกะ วันที่: 5 ธันวาคม 2554 เวลา:12:45:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
1 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.