I. อุบัติเหตุหมู่






เด็กสาวนอนมองหยดน้ำเกลือที่ค่อยๆหยดลงมาทีละหยดอย่างช้าๆ สุดปลายสายน้ำเกลือเป็นเข็มแหลมทิ่มแทงเนื้อ เลือดซึมไหล เธอเอื้อมมือไปบีบสายน้ำเกลือเบาๆ ดันให้อณูของตนย้อนกลับไปรวมตัวกับน้ำเกลือที่ไหลมารอตรงกระเปาะ อนัลยานีพินิจมองด้วยความพิศวง แต่พยาบาลที่เดินเข้ามาดูแล รีบจัดทิศทางสายน้ำเกลือเสียใหม่ และบีบไล่ให้เลือดกลับไปทีเดิม เด็กสาวทอดตามองอย่างขัดใจ แต่ไม่ทันเอ่ยคำใดก็มีเสียงประกาศคั่นจังหวะ

“มีโค้ด 60 ที่แผนกฉุกเฉิน”
“มีโค้ด 60 ที่แผนกฉุกเฉิน”
“มีโค้ด 60 ที่แผนกฉุกเฉิน”

เสียงโฟนซ้ำกันสามครั้งด้วยประโยคสั้นกระชับแต่ชัดเจน ดังอยู่ทั่วบริเวณที่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ไม่เว้นกระทั่งห้องพักผู้ป่วยระดับวีไอพี ‘รสา’ เดินไปปิดม่านหน้าต่างที่แสงแดดยามเย็นสาดเทเข้ามาในห้อง ขณะที่มือยังถือแป้นชาร์ตผู้ป่วย พยาบาลสาวประคองแป้นอะลูมิเนียมนั้นบนท่อนแขนข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงผ้าม่านมาบังแสงที่ปรับองศาทำมุมแคบลงจนลามเลียมาที่เตียงผู้ป่วย ครั้นแล้วไม่วายเหลือบตามองเหตุการณ์ด้านล่าง เสียงหวอดังแทรกตัวอาคารแข็งแกร่งสูง 11 ชั้นเข้ามาได้เพียงน้อยนิด แต่ภาพที่เห็นเบื้องล่างฟ้องความโกลาหลวุ่นวายออกมาได้ชัด รถฉุกเฉินตะบึงเข้ามาอย่างเร่งรีบ เมื่อถ่ายเทคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินได้แล้วก็เผ่นแน่บออกไปรับคนมาเพิ่มอีก

“โค้ด 60 คืออะไรเหรอคะ คุณพี่พยาบาล”

เสียงใสแจ๋วของเด็กสาวดังขึ้นขัดจังหวะ ใบหน้าซีดเซียวนั้นมีดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น รสารีบละสายตาจากด้านล่างและหันมาตอบ

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เป็นรหัสบอกคุณหมอกับคุณพยาบาลให้ไปรวมตัวกันเวลามีคนไข้มาที่แผนกฉุกเฉินคราวละมากๆนะคะ”

“แล้วเค้าจะมากันทีละมากๆทำไมล่ะคะ”

เจ้าของดวงตาเป็นประกายซักต่อ พยาบาลสาวหรี่ตาและเบ้ปาก พยายามหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า ‘อุบัติเหตุหมู่’ แม้เหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้นติดกันบ่อยครั้งจนผู้คนชินชา แต่การขนส่งผู้บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลครั้งละมากๆ ก็เขย่าขวัญผู้มารับบริการหลายประเภท ยิ่งเป็นผู้ป่วยอายุเพียง 12 ปี อย่างเด็กสาวนี้ เผลอๆอาจขวัญเสียได้ง่ายๆ รสาพยายามคิดหาคำบอกเล่าที่บรรเทาความร้ายแรงลง เด็กสาวเพียงสบตาละล้าละลังของพยาบาลสาวก็ถอนใจ ส่ายหน้า

“ไม่น่าเชื่อเลย ว่าจะอุกอาจกันขนาดนี้ วางระเบิดในจุดเลือกตั้ง ขัดขวางการออกมาใช้สิทธิ์ แถมมีไฟไหม้ตลาดย่านนิคมอุสาหกรรมกลางดึก คนถูกหามส่งโรงพยาบาลไปทั่วปริมณฑล คนของโรงพยาบาลก็ไม่พอทำงาน”
เจ้าตัวเดาะลิ้นแล้วหลิ่วตาถาม
“พี่เลยกังวล... อยากลงไปช่วยสิท่า”
“อะ...” ก่อนจะหลุดคำว่า ‘อะไรเนี่ย’ ที่แสดงความประหม่าของตัวเองออกไป รสาชำเลืองมองชื่อผู้ป่วยบนชาร์ตแวบหนึ่งก่อนขานชื่อ
“แอนี่...”
โชคดีที่ชื่อขึ้นต้นด้วย อ อ่าง เป็นพยางค์แรก
“น้องแอนี่... ไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนคะ”

เด็กสาวเม้มปากแล้วอัดลมพองออกจากแก้มทั้งสองข้าง มือหนึ่งชูแบล๊คเบอร์รี่เครื่องสีขาวเงาวับ เปิดหน้าต่างเว็บไซต์ข่าวออนไลน์สำหรับวัยรุ่น ส่ายดุ๊กดิ๊ก

“มัวแต่เล่นไม่ได้นะคะ เป็นคนไข้ก็ต้องนอนพักผ่อน เอาเจ้าเครื่องนี้มาฝากพี่ก่อนดีกว่าค่ะ”
คราวนี้แอนี่พ่นลมออกจากปาก รีบซุกบีบีเข้าไปใต้หมอนเป็นที่หลบซ่อน ส่ายหน้าดิก
“ก็เดี๋ยวคุณพ่อโทรมาไม่เจอ นี่คะ แถมเพื่อนก็ทวีตกันทั้งวัน เข้าไปดูช้าเดี๋ยวไม่ได้อัพเดทข่าว”

“คุณพ่อโทรเข้าโรงพยาบาลก็ได้นะคะ ส่วนการอัพเดทข่าว สัญญาณโทรศัพท์มือถือจะรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ทางการแพทย์ เท่านั้นยังไม่พอ คลื่นโทรศัพท์ยังรบกวนการทำงานของสมองด้วยนะคะ”
บ่นยาวขึ้น เด็กสาวยังทำท่ากระเง้ากระงอด แต่เมื่อจบคำอธิบายที่เห็นเหตุเป็นผล ก็ค่อยถอยร่น ดึงบีบีออกจากใต้หมอน ลุกขึ้นนั่งและเอื้อมมือไปวางคู่กับรีโมทโทรทัศน์ตรงโต๊ะข้างเตียง รสาพยักหน้ายิ้มอย่างนึกชื่นชมในตัวเด็กสาวที่ดูเอาแต่ใจตัวเองและก๋ากั่นเกินวัย เมื่อให้เหตุผลมากพอก็ปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย...ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ...รสานึกในใจแล้วหันไปพลิกดูกระดานคำสั่งแพทย์ อ่านทวนซ้ำชื่อและอาการผู้ป่วย ด.ญ.อนัลยานี ลียานุวัฒน์ อายุ 12 ปี ในนั้นระบุอาการของผู้ป่วยด้วยลายมือหวัดๆของแพทย์ ‘พาราเซตามอล โอเว่อร์โด้ส’ จบประโยคนี้ เสียงรุ่นพี่พยาบาลก็ลอยมาในความคิด

‘…หมอเขียนให้ญาติคนไข้เอาไปตั้งเบิกได้น่ะสิ ขืนบอกว่าฆ่าตัวตายด้วยยาพารา พ่อแม่ก็ขายขี้หน้าชาวบ้าน เป็นถึงลูกนักการเมืองดังเสียอีก แต่ก็ต้องมารักษาตัวในโรงพยาบาลเล็กๆไม่ให้เป็นข่าว ว่าไปก็น่าใจหายนะ เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นกินยาฆ่าตัวตายตั้งแต่ยังไม่เป็นนางสาว สังคมสมัยนี้เป็นอะไรไปแล้ว…’

“เตียงนี้หรอกเหรอ...”
รสาพึมพำเบาๆ อย่างไม่เชื่อสายตานัก ในทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น รสาขานรับ อาคันตุกะหญิงวัยกลางคนก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมกับของเยี่ยมเต็มไม้เต็มมือ
“หนูแอนี่ขา คุณแม่มาแล้วค่า เป็นยังไงบ้างคะคุณลูก”
‘คุณแม่’ ที่ทาลิปสติกและเล็บมือสีแดงวาวราวกับสีเลือดพยายามจะก้มลงจุมพิตเด็กสาวแสดงความคิดถึงเสียเต็มประดา แต่อนัลยานีกลับสะบัดหน้าหนี
“ชิส์!”
เด็กสาวพลิกตัวนอนตะแคงไปฝั่งระเบียงห้อง หญิงวัยกลางคนหน้าเจื่อนลงถนัดตา รสาหันไปยกมือสวัสดีผู้มาเยือน เธอรับไหว้อย่างไม่สนใจนัก เกลือกตามองด้วยหางตาแล้วสะบัดคำถามใส่อย่างมีจริต

“เมื่อกี๊เข้าโรงพยาบาลมา ตรงหน่วยฉุกเฉินมีคนเต็มไปหมดเลย คุณพยาบาลน่าจะลงไปดูสักหน่อยนะคะ”
รู้ตัวว่าถูกไล่ แต่รสาก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผู้ป่วยรายอื่นที่รออยู่ค่ะ... จริงๆดิฉันก็มีหน้าที่ต้องลงไปช่วย แต่พอดีกำลังดูอาการของน้องแอนี่...”
“อุ้ย ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิชั้นอยู่แล้วทั้งคน ดั๊นเนี่ย ดูแลแกมาตั้งแต่ 10 ขวบแล้ว”
10 ขวบ... ปีนี้ 12 ก็เพิ่งไม่นานเองนี่...

“ทำเป็นคุย... ก็แค่แม่เลี้ยงคนเดียวที่อยู่กับคุณพ่อได้นานที่สุด”

แอนี่ช่วยเฉลยให้ ด้วยน้ำเสียงที่อวดเก่งไม่แพ้กัน ผู้มาเยือนส่งเสียงเฮอะเบาๆออกทางจมูก เด็กสาวค่อยหันมาหัวเราะหึๆในลำคอ รสาเริ่มรู้สึกตัวว่ากลายเป็นตัวกลางระหว่างคู่ชกสองฝ่าย หนึ่งคือแม่เลี้ยงเปรี้ยวซ่ากับอีกฝ่ายหนึ่งคือลูกเลี้ยงก๋ากั่น
เป็นจังหวะพอดีกันกับที่พยาบาลรุ่นน้องเคาะประตูและยื่นหน้าเข้ามาทำสัญญาณบุ้ยใบ้เรียกรสาออกไปด้านนอก

“เอาเป็นว่า น้องแอนี่อาการดีแล้ว ดิฉันคงต้องขอตัวก่อน แต่ข้างหน้าจะมีเคาน์เตอร์พยาบาลรักษาการอยู่ มีอะไรก็กดออดเรียกได้นะคะ”
รสาขยับตัวออกจากข้างเตียงผู้ป่วย แต่มีอันต้องชะงักเมื่อเห็นมือน้อยๆดึงชายกระโปรงของตัวเองไว้ แอนี่ส่งสายตาปริบๆ เหมือนยังไม่อยากให้เธอไป พยาบาลสาวส่ายหน้า
“เดี๋ยวพี่มานะ”

รสาแกะมือเด็กสาวออกจากชายกระโปรงและบีบเบาๆเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะกลับมาใหม่ เข้าใจว่ามีงานใหญ่คืออุบัติเหตุหมู่ที่เกิดขึ้นด้านล่างจึงถูกตามตัว ส่วนเด็กสาวที่อยู่บนเตียงได้พ้นขีดอันตรายแล้ว เห็นจะต้องปลีกตัวไปช่วยพื้นที่ด้านล่างก่อน

เด็กสาวปล่อยมือแต่โดยดี แต่ดวงตาคู่นั้นยังจับจ้องพยาบาลสาวที่เดินจากไปไม่วางเว้น…

x x x x x x

ห้องฉุกเฉินคลาคล่ำไปด้วยผู้ป่วยจำนวนมาก บ้างถูกเข็นขึ้นเตียงเพื่อช่วยชีวิตโดยเร่งด่วน บ้างมีเลือดเปรอะเปื้อนตามเครื่องนุ่งห่มแต่ไม่ใช่บาดแผลสำคัญ จึงถูกปล่อยให้นั่งรอหน้าห้องตรวจแพทย์ เสียงบ่น เสียงร่ำไห้ วิงวอนให้แพทย์ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ บางรายจำเป็นต้องปฐมพยาบาลก่อนเพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่เครื่องมือครบครันกว่า รสาสาวเท้าโดยไวเพื่อไม่ต้องแวะตอบคำถามของญาติผู้ป่วยที่ถูกกันไว้ด้านนอก ผู้ป่วยจำนวนมากที่รับการรักษาภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ถูกระบุชื่อด้วยสีของเสื้อผ้าและลักษณะเด่นที่ปรากฏ และถูกนำตัวแยกย้ายไปยังจุดต่างๆของโรงพยาบาล มีการแบ่งออกเป็น 4 โซนตามระดับอาการของผู้ป่วย ได้แก่ โซนแดง โซนเหลือง โซนเขียว และโซนน้ำเงิน เจ้าหน้าที่กลุ่มที่ถูกฝึกการกู้ชีพจะรวมตัวกันอยู่บริเวณโซนแดง ซึ่งผู้ป่วยในบริเวณนั้นหมายถึงผู้ป่วยหนักที่มีสัญญาณชีพไม่ปกติ ต้องทำการช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจโดยด่วน ผู้ป่วยที่ถูกนำไปโซนเหลือง หมายถึงผู้ป่วยหนัก อาจมีกระดูกหัก ต้องมีการเย็บแผล ผู้ป่วยที่ถูกนำไปโซนเขียว เป็นผู้ป่วยที่อาการเล็กน้อย อาจมีบาดแผล แต่ไม่รุนแรงมาก รสาถูกกำหนดให้รับผิดชอบในโซนสุดท้าย โซนน้ำเงิน ผู้ป่วยที่แพทย์บ่งชี้ว่าเสียชีวิตแล้ว ไม่สามารถกู้ชีพได้ จะถูกลำเลียงออกมารอที่ห้องแยก พยาบาล 1-2 คนจะถูกกะเกณฑ์ให้มารองรับผู้ป่วยร่างที่ไร้ชีวิต รวมไปถึงการปลอบประโลมญาติผู้ป่วยผู้เต็มไปด้วยความคาดหวังและเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังในพริบตา รสาเดินผ่านโซนของตนออกมาเมื่อพื้นที่นั้นว่างเปล่า

“ยังไม่มีคนไข้โซนน้ำเงิน รสา ไปดูโซนเหลืองก่อน ช่วยคุณหมอไตรดูคนไข้กระดูกหักนะ”
“ค่ะ พี่กิ่ง” รสารับคำแล้วค่อยหันไปถามย้ำ
“เอ่อ พี่กิ่งคะ คุณหมอไตร คุณหมอคนใหม่เพิ่งมาบรรจุใช่มั้ยคะ”
“ใช่จ้ะ เพิ่งมาทำงานวันแรกก็เจอรับน้องใหม่ด้วยอุบัติเหตุหมู่เลย”

พยาบาลรุ่นพี่ตอบเสียงกลั้วหัวเราะราวกับเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อวัดจากความเป็นพยาบาลอาวุโสที่ผ่านเหตุการณ์ในช่วงเวลาวิกฤตมานักต่อนัก รสาเดินตรงไปยังเตียงที่มีแพทย์ประจำบ้านกำลังสาละวนกับการเข้าเฝือกผู้ป่วย ออกคำสั่งโดยไม่หันดูผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ขอไดน่าแคสเบอร์ 6 ให้ผมอีก 4 อันนะ แล้วก็ดูไวทั่ลไซน์ของคนไข้คนต่อไปรอไว้เลย”
ผู้ช่วยพยาบาลที่รับคำสั่งหันรีหันขวาง ไม่รู้จักอุปกรณ์ที่แพทย์สั่ง พอดีรสามาทันเวลาพร้อมทั้งหอบหิ้วอุปกรณ์ในการทำเฝือกใส่ตะกร้าติดมือมาด้วย

“ไดน่าแคสเบอร์ 6 สี่อันค่ะคุณหมอ”
ยื่นอุปกรณ์เข้าเฝือกให้แพทย์แล้ว รสาหันไปแตะบ่ารุ่นน้องที่ยังยืนตัวสั่นงันงก ทำตัวไม่ถูก

“เดียวไปวัดสัญญาณชีพคนไข้คนต่อไปรอไว้นะ อุณหภูมิ ความดัน ชีพจร จำนวนครั้งการหายใจ จดไว้ในการ์ดฉุกเฉินนั่นแหละ เดี๋ยวพี่ช่วยดูตรงนี้ให้”
“ครับ พี่สา”

แพทย์หนุ่มแกะเฝือกพลาสติกและทำการครอบไว้บนขาของผู้ป่วยอย่างชำนาญ ได้ยินคำสนทนาค่อยโล่งอกว่ามีคนที่สั่งการง่ายมาช่วยงานเพิ่มขึ้น
“คุณพยาบาลช่วยประกบเฝือกปูนอีกรายรอเลยนะครับ”
“ค่ะ คุณหมอ”
รสาใส่ถุงมืออย่างรวดเร็วและเอื้อมมือไปจับขาที่ใส่เฝือกของผู้ป่วยเอาไว้ ในชั่วขณะที่รอบข้างยังเต็มไปด้วยเสียงดังจอแจ นายแพทย์หนุ่มละสายตาจากการทำหัตถการและหันมาพบกับพยาบาลสาวได้เพียงชั่วขณะ
“คุณหมอ ได้สัญญาณชีพคนไข้รายต่อไปแล้วครับ”

ผู้ช่วยพยาบาลฝึกหัดตรงเข้ามารายงานอย่างภาคภูมิใจ นายแพทย์หนุ่มพยักหน้า และรับชาร์ตของผู้ป่วยไปประเมินอาการ กำลังจะเงยหน้าถามชื่อเสียงเรียงนามของพยาบาลสาว ก็มีเสียงเรียกมาจากผู้ประสานงาน นายแพทย์หนุ่มประทับไว้ในโสตว่าเธอชื่อ ‘รสา’ พยาบาลสาวรับคำสั่งแล้วจัดแจงประกอบเฝือกให้คนไข้ตรงหน้าเสร็จแล้วรีบผละไปตามเสียงเรียก ที่ตะโกนว่ามีผู้ป่วยถูกพาตัวเข้ามาใหม่ ขาขาดทั้งสองข้างและอาการทรุดลงจนเข้าขีดอันตรายในโซนแดง

x x x x x x



Create Date : 13 มิถุนายน 2554
Last Update : 13 มิถุนายน 2554 22:55:03 น. 1 comments
Counter : 889 Pageviews.

 
ขอบคุณ...เรื่องสนุกน่าติดตาม


โดย: cat__a IP: 110.168.108.126 วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:14:40:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
13 มิถุนายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.