XIII. พลิกผัน


“มีรถแก๊สระเบิดที่ถนนเลียบคลอง! หลีกเลี่ยงเส้นทาง! หลีกเลี่ยงเส้นทาง!”

เสียงวิทยุสื่อสารดังจากตัวลำโพงภายในรถ แต่ไม่น่าตื่นตระหนกเท่าภาพที่เห็นตรงหน้า แท็กซี่คันที่รสานั่งมาอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่ถึงครึ่งกิโลเมตร และแทบจะทันเห็นรถแก๊สระเบิดถนัดตา

แรงปะทะเสียงดังสนั่นจากการชนกันของรถบรรทุกแก๊สกับรถสปอร์ตขนาดเล็กที่วิ่งมาด้วยความเร็วโดยการแซงรถคันหน้าเพื่อให้ทันไฟแดง แต่ก็มาเสียหลักเสยเข้ากับรถบรรทุกแก๊สคันดังกล่าว ทันทีที่ถังแก๊สหล่นจากตัวรถ แรงอัดจากตัวถังทำปฏิกิริยากับประจุไฟฟ้า เปลวไฟลุกโหมพวยพุ่งภายในเวลาใกล้เคียงกัน

แสงจากเปลวเพลิงสว่างจ้า ควันจากการเผาไหม้คละคลุ้ง ไอของแก๊สระเหยและถูกพัดพามาตามลมที่กระพือ รถที่วิ่งตามหลังบางคันรีบเลี้ยวรถกลับและพยายามวิ่งหนีเปลวไฟ แต่นั่นยิ่งทำให้เกิดการเร่งปฏิกิริยา เสียงระเบิดตูมตามดังตามติดกันมาจนใกล้จุดของแท็กซี่คันที่รสานั่งอยู่

“เวร!!!!....”

คนขับรถสบถด้วยเสียงอันดังหลังจากตั้งสติได้ รถคันอื่นๆบนถนนต่างก็เหยียบเบรกและบีบแตรลั่น อาศัยพื้นที่น้อยนิดกลับรถกันกลางถนน ชนขอบทางบ้าง ชนคันอื่นบ้าง ทุกคันไม่ห่วงสีรถถลอกปอกเปิก แต่ห่วงว่าเปลวไฟจะลามมาแล้วรถของตนจะพลอยระเบิดไปด้วย ระหว่างที่สถานการณ์กำลังโกลาหล คนขับเลี้ยวรถกลับได้ แต่หญิงสาวที่นั่งมาด้วยกันยังเหลียวหลังมองไปยังจุดเกิดเหตุ เศษเหล็กจากรถขนแก๊สกระเด็นอยู่รายรอบ ผู้โดยสารในรถบางคันที่เลี้ยวรถไม่ได้ต่างตะเกียกตะกายลงจากรถ บ้างวิ่งหลบลงคลองเพื่อพ้นรัศมีการลุกไหม้ก็รอด บ้างวิ่งอยู่บนเส้นทางโดยมีไฟลุกไหม้ติดตัวมาด้วย บ้างล้มลงทุรนทุรายอยู่ข้างทาง และนั่น รสามองผ่านกระจกหลัง

แท็กซี่คันที่นั่งมาเพิ่งแล่นผ่านรถคันหนึ่งที่ร้อนรนจนเลี้ยวรถไปชนเสาไฟฟ้า คนขับถูกกระจกบาดเลือดท่วมอยู่ด้านใน และเปลวไฟกำลังลามเลีย


“พี่คะ จอดก่อนเถอะค่ะ ยังมีคนติดอยู่ในนั้น”
“จะบ้าเหรอคุณ ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า ตอนนี้ใครๆเขาก็รีบเลี้ยวรถหนีทั้งนั้น”

คนขับยังไม่ชะลอความเร็ว

“งั้นฉันจะลงตรงนี้ค่ะ นี่ค่ารถ”

รสาหยิบเงินในกระเป๋ายื่นให้พร้อมปลดเข็มขัดนิรภัย คนขับเหยียบเบรกอย่างตัดรำคาญ หันมารับเงินแล้วค่อยดูหน้าปัดมิเตอร์ ค่าตอบแทนสูงกว่าตัวเลขบนมิเตอร์หลายสิบบาทแต่คนนั่งไม่รอรับเงินทอน รสาลงจากรถไม่วายหันมาบอก


“ไม่ต้องทอนค่ะ แต่ช่วยโทรเรียกตำรวจกับรถพยาบาลมาช่วยทุกคนด้วยนะคะ”
“อะ อือ... ครับ”

เห็นแววตาของหญิงสาวแล้วหัวใจผู้ชายอกสามศอกยังอ่อนยวบ ร้อยคนบนถนนห่วงตัวเอง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับคิดเข้าไปช่วยคนตรงจุดเกิดเหตุ นึกอยากลงไปคุ้มครองแต่ความกลัวก็เข้าครอบงำซ้ำสอง ปัจจัยหลังมีอิทธิพลมากกว่า คนขับเหยียบคันเร่งแล้วขับห่างออกไปในที่สุด

รสาไม่ได้หันไปมองตามรถ แต่พุ่งความสนใจไปที่ภาพคนบนถนนใกล้กับเปลวเพลิง ธรรมชาติของมนุษย์ผู้หนึ่ง ต่อให้อยากช่วยคนขนาดไหน ก็ไม่ได้มีความจำเป็นถึงขนาดต้องลุยไฟไปช่วย เว้นแต่คนที่อยู่ในนั้นคือคนที่ตนรัก

รสาเห็นฝาแฝดของตัวเองอยู่ในเปลวเพลิงนั้น!

`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*

อนัลยานีเดินช้าๆ วนเวียนอยู่รอบรถคันที่หงายท้องอยู่ริมต้นไม้ เปลวไฟลุกโชนจากจุดที่รถระเบิดอยู่ไม่ห่าง ทำให้เห็นภาพข้างหน้าถนัดตา

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับมีเลือดไหลโทรมกายเพราะรถชนเข้ากับเสาไฟฟ้า

เด็กสาวเดินไปเกาะขอบกระจกด้วยอิริยาบถเศร้าสร้อย ขณะก้มดูภาพตรงหน้า ก็รู้สึกว่าร่างกายของตนขยายขึ้นทั้งความกว้างและความสูง ผมที่ยาวคลุมถึงกลางหลังกลับหดสั้นลงมาเหลือแค่ระดับหน้าอก มือที่จับอยู่กับขอบกระจกกลับเรียวยาวรับกับแขนขาของหญิงสาววัยเบญจเพส ภาพของหญิงสาวอาการสาหัสปางตายอยู่ในรถกระตุ้นจิตสำนึกที่หลับใหล

ฝนตก... รถชนเสาไฟฟ้าอย่างรุนแรง...
เลือดไหลจากกะโหลกเลาะหางคิ้วลงมากลบตา

เธอเห็นแสงไฟจ้า

หลังจากลืมตาจากอุบัติเหตุ ความทรงจำเหือดหาย คนรอบข้างเรียกเธอว่าแอนี่...

ที่ผ่านมาทุกอณูของร่างกายเธอคือเด็กสาวที่ชื่ออนัลยานี อวัยวะชิ้นเดียวที่เป็นฟ้าใสคือหัวใจดวงเดียวที่ถูกนำไปปลูกถ่ายและเปลี่ยนให้เด็กสาว แต่เมื่อได้รับการสัมผัสจากรสา วิญญาณของอนัลยานีถูกดึงดูดออกมา เห็นภาพและป้ายศพของตนยังไม่กระตุ้นเท่าใดนัก แต่เมื่อเห็นภาพการตายที่คล้ายตน วิญญาณของฟ้าใสได้รับวัตถุดิบชิ้นสำคัญจึงปรากฏแทนที่อนัลยานีซึ่งถูกกลืนหายไปในความมืด

แล้วนั่นใครกันวิ่งย้อนกลับมา ...

“ฟ้า!”

รสาตะโกนสุดเสียง อีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงตัวบุคคลที่เธอเรียกหา แต่เสี้ยววินาทีนั้นกลับปรากฏแสงไฟสว่างวาบเข้าตา รถยนต์อีกคันหนึ่งเพิ่งเลี้ยวหลบแรงระเบิดมาจากแยกด้านข้าง คนขับเหยียบเบรกสุดแรงเกิด ระบบนิรภัยทำงานอัตโนมัติ แต่ก็ใช่ว่าจะทันการ

โครม!!!!!

โครงเหล็กปะทะเนื้อสะเทือนถึงพวงมาลัย ร่างนั้นกระเด็นไปตามแรงปะทะไถลไปตามพื้นถนนแล้วนอนแน่นิ่งอยู่ริมทาง ร่างบางมีเลือดไหลซึมจากศีรษะและแขนขาเทลงชโลมพื้น....


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


ชายหนุ่มเปิดประตูแล้วเดินลงจากรถ ร่างนั้นคือรสา หญิงสาวที่ควรจะอยู่ในบ้านที่เขาจากมา เขาทรุดตัวลงนั่ง ช้าๆ กำมือนิ่ง นึกถึงร่างผู้ป่วยอาบเลือดที่เคยผ่านตา เกือบร้อยทั้งร้อยเป็นคนแปลกหน้าถูกนำมาโรงพยาบาลให้เขาช่วยชีวิต แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ นี่คือคนคุ้นหน้าและกลายเป็นเขาที่เป็นผู้พรากชีวิตเสียเอง ร่างที่จมกองเลือดตรงหน้าจึงกลับทำให้ใจอ่อนหวิว...

นายแพทย์หนุ่มก้มลงจับชีพจรของหญิงสาวและสำรวจรอยแผล หน้าอกของรสายังกระเพื่อมขึ้นลง

หญิงสาวยังคงมีลมหายใจรวยริน...

“ไม่ คุณยังไม่ตาย แข็งใจไว้ก่อน”
สองมือนั้นประคองกอดร่างบางไว้แนบอกและพึมพำเบาๆ

“รสา ผมจะช่วยคุณเอง”

หากรสาลืมตามาเห็น เธอต้องรู้จักผู้ชายคนนี้ดี ไตรรัตน์โอบอุ้มร่างนั้นขึ้นยืนตรงและเดินไปยังรถของตน ทันใดนั้นแสงไฟจากรถคันใหญ่ก็สาดเข้าตา นายแพทย์หนุ่มยกมือป้องแสงไฟ รถคันนั้นขับตรงเข้ามาโดยไม่ลังเลหรือจอดลงไปดูสถานการณ์อื่น เมื่อมาถึงก็เลี้ยวหันข้างเข้ามาจอดเทียบ

คนขับเลื่อนกระจกลงแล้วกดวิทยุสื่อสารบอกปลายทางเสียงดังฟังชัด

“เจอแล้วครับ ผู้หญิง อายุไม่เกิน 25 ผมยาว ใส่เสื้อสีชมพู แต่ตอนนี้นอนสลบเลือดเต็มเลยครับ”

“ใช่ล่ะ คนนั้นล่ะ รับคำสั่งท่านประธาน ดูแลคนเจ็บให้ดีที่สุดแล้วพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

เชิดออกคำสั่งจากทางปลายสาย โดยไม่ชักช้ารีรอ ประตูรถพยาบาลคันใหม่เปิดออก พยาบาลและบุรุษพยาบาลครบชุดกรูกันลงมารับร่างของหญิงสาวขึ้นรถ ใส่หน้ากากอ๊อกซิเจนและปฐมพยาบาลอย่างทันท่วงที

ไตรรัตน์หน้าซีดเผือด ยืนงง

“แย่แล้ว พี่สา เอ้า พวกเราช่วยกันดูแลดีๆนะ อ้าว คุณหมอ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
ผู้ช่วยพยาบาลร้องทักเพราะจำได้

“ผมเดียวครับ คนที่บอกสัญญาณชีพให้คุณหมอวันที่เกิดอุบัติเหตุหมู่”
“ขะ... ครับ ผมจำได้ครับ”

“ดีนะที่รถพยาบาลเราเพิ่งมาส่งคนไข้แถวนี้พอดี พอท่านประธานเรียกด่วนก็เลยมาทันเวลา คุณหมอก็มาช่วยพี่สาใช่มั้ยครับ”

“เปล่าครับ ผมเป็นคนขับรถชนเธอ”
ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ แต่ไตรรัตน์ก็ยอมรับเต็มปากเต็มคำ

“แล้วกัน... งะ งั้นผมไปก่อนนะครับ”
คราวนี้เดียวเป็นฝ่ายหน้าซีด รีบเข็นเปลขึ้นรถพยาบาลแล้วปิดประตูแน่นก่อนคนขับจะเปิดสัญญาณขอทางแล้วบึ่งออกไป

“น่าจะปลอดภัยแล้วนะครับ อย่าไปที่เกิดเหตุเลย ให้ผมพาคุณวินทร์ไปที่โรงพยาบาลดีกว่า”

เชิดบอกอย่างใจเย็น ขณะที่เจ้านายหนุ่มเซไปพิงรถหลังจากได้รับรายงาน คนที่จัดการเรียกรถพยาบาลและออกคำสั่งแทนเขาคือคนขับรถชราตรงหน้า

“ขอบคุณครับน้าเชิด”

ถ้าไม่ได้ลูกน้องที่รู้ใจเตือนสติ ก่อนหน้านี้เขาอาจขับรถแหกด่านไปรับหญิงสาวแต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


รสาลืมตาขึ้นมาในความมืด...

หญิงสาวจำได้ว่าตนล้มลงบนพื้นแข็งสากและเนื้อตัวถูกขีดข่วนไปตามแรงเสียดทานบนพื้นถนน โครงเหล็กของรถกระแทกอวัยวะภายในจนกระอักเลือดออกมา ก่อนศีรษะจะกระแทกพื้นและไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆอีก เวลานี้เธอกลับรู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลหายไป แต่ความกลัวยังครอบคลุมอยู่จับจิตใจ

รอบกายเวลานี้ปรากฏเพียงความมืดมิด รสาพยุงตัวขึ้นมาคลำเปะปะ จึงสัมผัสได้ว่าตนกึ่งนั่งกึ่งคลานอยู่ในห้องแคบ แสงสว่างเล็ดรอดเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งของห้องมืด หญิงสาวชันเข่าแล้วขยับตัวลุกขึ้นเดินไปหาแสงสว่างที่ปรากฏเป็นตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ สี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นปรากฏเป็นตารางขนานมีซี่กั้นในแนวนอน ทั้งหมดประกอบกันเป็นประตูลูกกรงบานหนึ่ง ฉับพลันนั้นเธอได้ยินเสียงประตูเปิดเอี๊ยดจากห้องที่อยู่ติดกันด้านข้าง พร้อมกับเสียงฝีเท้าคนก้าวออกมา

“ช่วย...ด้วย”

รสาพยายามเปล่งเสียงผ่านลำคอแห้งผาก โอบสองมือประคองกอดและลูบตัวไม่พบรอยแผลแต่กลับไร้เรี่ยวแรงแม้จะตะโกนขอความช่วยเหลือ จึงรวบรวมกำลังเท่าทีมียื่นมือออกไปนอกประตูลูกกรงคว้าชิ้นส่วนของเครื่องแต่งกายคนที่เดินผ่านประตูออกมา
ร่างนั้นหันมาช้าๆ แสงไฟสลัวสาดกระทบ ภาพตรงหน้าเป็นเด็กสาวใบหน้าคุ้นตาหันมาเขม้นมอง

“อะ...แอนี่”

น้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ก่อนหน้าร่วงลงมาเป็นสาย หลากหลายคำถามพร่างพรู ที่นี่ที่ไหน พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทำไม และต้องทำอย่างไรถึงจะออกไปจากที่นี่ได้ ร่างของเด็กสาวที่ปรากฏตัวออกมาเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่รสาคว้าได้ก่อนจะจมสู่ก้นทะเลลึก

แต่เมื่อร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากบางนั้นขยับขึ้นลงพร้อมกับคำถาม...

“แอนี่เหรอ? ใช่ที่ไหนกัน....”

เสียงนั้นหมางเมิน ไร้เยื่อใย แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

ใบหน้านั้นโน้มเข้ามาใกล้ ความสูงทรงผมและทรวดทรงของเด็กสาวขยายใหญ่ขึ้นตามระยะที่ ‘เธอ’ ยื่นหน้ามาประชิด


รสาได้เห็นใบหน้าของตัวเองยื่นเข้ามาหา


“ลองดูหน้าเค้าให้ดีสิ... พี่สาว”


รสาจ้องมองตาเบิ่งค้าง ร่างนั้นหัวเราะร่าเมื่อได้เห็นหน้าของหญิงสาวในเวลานี้ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มนั้นเสียดแทงยิ่งกว่าความหนาวเหน็บภายในกรงขัง บาดลึกกว่าแผลถลอกทั่วร่างกาย รสาร้องลั่น

“ฟ้า นั่นฟ้าเหรอ เกิดอะไรขึ้น มาช่วยพี่ที”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือใดๆไม่เป็นผล ร่างนั้นเดินจากไปอย่างไม่ใยดี รสาผลักลูกกรงตรงหน้าแต่ไม่มีท่าทีขยับเขยื้อน โซ่ตรวนที่คล้องประตูอยู่ดูเก่าคร่ำคร่า ทว่าแข็งแกร่งเหมือนทำจากเหล็กกล้า รสาคลำหาลูกกุญแจทั่วบริเวณเท่าที่มือจะเอื้อมถึง ...ไร้วี่แววข้าวของใดๆในห้อง... หญิงสาวเข้าใจในเวลาต่อมาว่ากำลังอยู่ในห้องขังหนึ่งที่ปิดทึบทุกด้าน เว้นแต่ด้านหน้าที่กั้นด้วยลูกกรงเหล็กหนาและแข็งแรง ยิ่งกว่านั้น ห้องนี้ไม่มีทางออกอื่นใดอีก ไร้อาหาร น้ำ และอากาศยังเย็นเยียบไม่ต่างจากก้นบึ้งของหลุมฝังศพ!

“ไม่จริงหรอก นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง เราอาจจะ...กำลังฝัน”

รสาถอนสะอื้นแล้วหันมาปลอบใจตัวเองก่อนถอยไปขดตัวอยู่ตรงมุมห้องที่เย็นเฉียบ ทรุดลงพิงหลังกับผนังห้องกอดเข่าแล้วซุกร่างตัวเองอยู่ในซอกนั้น มองหาแสงสว่างอยู่ในเงามืด พยายามเงี่ยหูฟังเสียงลมที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ...ใช่... ลมหายใจ เมื่อไรที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา

‘…เราจะลืมตา บิดขี้เกียจ แล้วสูดลมหายใจแรงๆ ...ตื่นสิ รสา สูดลมหายใจให้แรงเข้า…’

หญิงสาวสูดหายใจเข้าเต็มแรง แต่ไร้เสียง ไร้ลม ดวงตาที่ลืมอยู่ในความมืดนั้นเบิกค้าง หยดน้ำตาร่วงพราวตกกระทบแก้ม แต่แล้วหยดน้ำนั้นก็ไหลซึมผ่านไป หยดลงบนเข่าทั้งสองข้างที่ชันขึ้นมาก็ไม่ตกค้าง หยดน้ำเล็กๆหยดนั้นร่วงลงบนพื้นห้องโดยไม่ผ่านสิ่งกีดขวางใดๆ ใจหวิววาบอย่างยอมจำนน

‘ไม่อยู่กับร่าง ก็ต้องเร่ร่อน’
วิญญาณประเภทหนึ่งเป็นเช่นนั้น

‘ไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว จึงยังวนเวียนอยู่ในที่หนึ่งๆ’
นั้นก็วิญญาณอีกประเภทหนึ่งที่เธอเห็นผ่านตา


หากแต่ตนเองในเวลานี้เล่า มีเพียงกรงขังนี้เท่านั้นที่เป็นปราการแข็งแกร่ง และต่อให้หลุดออกจากห้องนี้ได้ ก็ใช่ว่าเธอจะมีทางไปอื่น
ไม่ใช่แค่ฝัน แต่หญิงสาวกลายเป็นวิญญาณที่ไร้ตัวตนไปเสียแล้ว!


`•.,¸,.•*¯`•.,¸,.•*


ฟ้าใสลืมตาขึ้นมาในห้องสว่างและขาวโพลน


ความเจ็บปวดแทรกซึมเข้ามาพร้อมกับการรับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ ปวดหัวแปลบปลาบ แขนและขาข้างขวาถูกใส่เฝือกเอาไว้ ส่วนแขนข้างซ้ายถูกพันธนาการด้วยสายน้ำเกลือ ที่มือของเธอมีอีกมือหนึ่งกุมไว้ หญิงสาวบีบมือที่กุมนั้นแล้วยิ้มให้


“ฟื้นแล้วหรือครับ”

ชายหนุ่มถอนหายใจโล่ง สายตาของบุรุษตรงหน้าทอความห่วงใยล้ำลึก แล้วหลีกทางให้พยาบาลที่เข้ามาจับชีพจร หญิงสาวยิ้มรับกับคนรอบข้างที่เข้ามาดูอาการ แม้จะตะขิดตะขวงใจกับเสียงที่เรียกเธอว่ารสา แต่สัมผัสที่ได้มาแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีที่แผ่ซ่าน จนแทบลืมความเจ็บปวดตามร่างกายทั้งหมด....

เสียงพยาบาลเดินมากระซิบข้างเตียง แต่พูดกับชายหนุ่มตรงหน้าเบาๆ

“ท่านประธานก็ไปพักบ้างเถอะนะคะ”

‘ท่านประธาน’ ที่อยู่ตรงหน้า หันไปพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับมาบีบมือเธอเบาๆแล้วลุกขึ้นและเดินจากไป ถัดจากนั้นก็มีเสียงขยับตัวจากอีกมุมหนึ่งจึงทำให้รู้ว่ายังมีคนนั่งอยู่อีกด้าน พยาบาลสาวคนเดิมหันไปบอก

“คุณหมอด้วยนะคะ คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ แต่เธอยังต้องการการพักผ่อนอีกมาก”

‘คุณหมอ’ ไม่ส่งเสียงตอบรับใดๆ แต่ฟ้าใสก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยท่วมท้น ไม่อย่างนั้นคงไม่รีรอจนกว่าเธอจะฟื้นคืนสติแล้วค่อยลุกเดินจากไป

ในท่านอนที่ถูกบังคับให้หงายหลังอยู่บนเตียงอุ่น หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบห้อง ข้างเตียงมีแจกันเสียบกุหลาบสีขาวสะอาดตาจากผู้มาเยี่ยม กลิ่นหอมของกุหลาบโชยรื่น เธอหลับตาพริ้ม ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดแล้วอุทานในใจ

นี่สิ การมีชีวิตอยู่เป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง!!!’



Create Date : 26 สิงหาคม 2554
Last Update : 26 สิงหาคม 2554 6:48:59 น. 2 comments
Counter : 659 Pageviews.

 
เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย มีฟ้าใสโผล่ขึ้นมาซะอีก เเล้วระสาจะกลับเข้าร่างตัวเองได้ไหม เอ๊ะใครคือเจ้าของร่างนั้นอย่างเเท้จริง เขาว่าคนที่เปลี่ยนหัวใจ เอาหัวใจของคนอื่นมา นิสัยจะเปลี่ยนไปเมื่อฟื้นขึ้นมา นิสัยจะชอบทำอะไรเหมือนกับคนที่เคยเป็นเจ้าของหัวใจดวงนั้น


โดย: VEE IP: 66.172.227.200 วันที่: 26 สิงหาคม 2554 เวลา:10:00:33 น.  

 
เกิดอารายขึ้น


โดย: cat__a IP: 115.87.116.98 วันที่: 23 สิงหาคม 2555 เวลา:14:58:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.