! ที่นี่ ! เราเลิกเขียนแล้วครับ ..กับเรื่องธรรมดา ที่คุณสามารถหาอ่านที่ไหนก็ได้
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2563
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 กรกฏาคม 2563
 
All Blogs
 

ภาวะที่ 32 : ไคเมร่า


ขอบคุณภาพปกนิยาย จากคุณ ApitarN ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
 


            หน้าต่างห้องนอนบนชั้นสอง มีม่านสีหมองกางกั้นแสงสว่างจากภายนอกเอาไว้  เสียงนกที่ส่งเสียงร้องดังเรื่อยเจื้อยแจ้วมาไม่หยุดเป็นระยะ รบกวนโสตของวสันต์ เป็นตัวปลุกเขาให้ต้องฝืนตื่นลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก  สิ่งแรกที่ชายผู้เป็นเจ้าของมันสมองอันชาญฉลาดกระทำ คือ ป่ายมือออกไปควานหาแว่นสายตาและโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียง  เพื่อพบว่า เวลาของวันใหม่ได้ล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยแล้ว

            พื้นที่บนเตียงใหญ่ข้างกันว่างเปล่า ปราศจากร่างของธีรา  อีกฝ่ายคงตื่นนานแล้วและคงลงไปชั้นล่าง  ความรู้สึกเจ็บแปลบตรงสีข้างเป็นตัวบ่งบอกว่า แผลที่เกิดจากรอยกระสุนถากนั้นยังไม่หายสนิทดี  ทั้งยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเริ่มจะมีอาการของพิษไข้  ราชาน้ำแข็งนอนเหม่อมองฝ้าเพดานต่อไป พร้อมกับคิดอ่านหาหนทางเพื่อวางแผนการต่าง ๆ ไปด้วย อย่างที่มักทำเป็นประจำเสมอมา

            เวลานี้ วสันต์อยู่ในห้องนอนใหญ่ที่เคยเป็นห้องพ่อแม่ของตฤณ  คนทั้งคู่ถึงแก่กรรมกันไปหลายปีแล้วด้วยโรคชรา  ตฤณที่เป็นบุตรคนเล็กได้รับมรดกเป็นบ้านสวนหลังนี้  บ้านเกิดเรือนนอนที่นาน ๆ ที  คนสนิทของวสันต์จะกลับมาเยี่ยมเยือนดูแลสักหน  โดยได้มีการว่าจ้างพวกญาติที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ให้ช่วยเข้ามาดูแลปัดกวาดเช็ดถูในตัวเรือน และช่วยจัดการกับสวนผักผลไม้ที่ทำมาหลายสิบปี  ตฤณอยากให้ที่นี่ยังคงสภาพเดิมเอาไว้ เผื่อสำหรับวันข้างหน้าที่จะย้ายตัวเองกลับมาอยู่อาศัยต่อไป

            ได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก่อนที่เจ้าของบ้านจะเปิดแง้มเพียงเล็กน้อย เพื่อส่องดูความเป็นไป  พอเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายตื่นแล้ว  ตฤณถึงได้เปิดประตูกว้างออก พร้อมกับเดินเข้ามาหาวสันต์ที่กำลังลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ

            “ตื่นแล้วหรือครับ  เป็นอย่างไรบ้าง  ผมขึ้นมาดูมาสเตอร์รอบหนึ่งแล้ว เมื่อตอนสาย เห็นยังหลับอยู่”
            “_ธีราล่ะ_”

            “เธอออกไปเดินเล่น ในสวนครับ”  ลูกน้องคนสนิทตอบตามความจริง  ด้วยตอนก่อนที่จะขึ้นมาดูเจ้านาย  ผู้หญิงคนนั้นได้พูดเป็นทำนองขออนุญาตกับตน ต้องการออกไปเดินกินลมชมวิวเล่น ภายในอาณาบริเวณพื้นที่บ้านสวนแห่งนี้

            “_เธอดูเป็นอย่างไรบ้าง_”  วสันต์ถามด้วยความเคยชิน  แม้ไม่ได้อยู่ในห้องทดลอง หรือมีเครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคเพื่อใช้ตรวจวัดอีกแล้ว  แต่เขาก็ยังคงใส่ใจกับรายละเอียดทุกอย่างของธีรา พินิจใจ
           
            “ทางกายภาพแลดูเป็นปกติดีครับ  มีความอยากอาหาร  รับทานได้เป็นปกติ  ไม่เกิดความต้องการกลืนกินเซลล์  แต่ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่  คล้ายสภาวะอารมณ์เป็นไปในทางลบครับ”
ตฤณรายงานไปตามตรง  เพราะรู้ดีว่า เจ้านายของตนต้องการคำตอบไปในแนวทางแบบไหน 

            “_ฉันเข้าใจ  เธออยู่ในสถานการณ์ลำบาก ขยับไปทางไหนก็ไม่ได้  เตรียมตัวกันเถอะ  ถ้าหากจะหนี พวกเราควรข้ามผ่านพรมแดนไปให้ได้ก่อน  เข้าพม่าก็ได้  ถึงตอนนั้น ค่อยติดต่อกับมิสเตอร์โนว์แมน  ให้ทางนั้นส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ_”

            คำพูดของวสันต์เปรียบเสมือนการขนย้าย สัตว์อันตรายข้ามแดนในความคิดของตฤณ  เพราะไม่ได้ใกล้ชิดกับธีราเหมือนอย่างวสันต์  ภาพจำถึงสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์จึงฝังหัวไปเสียแล้ว สำหรับลูกน้องคนสนิทผู้นี้

            และตฤณเองก็ไม่แตกต่างจากฮัน  ตรงที่พร้อมจะใช้ธีราให้เป็นประโยชน์ต่อราชาของตน ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น

            “แต่เธอไม่มีเอกสารประจำตัวอะไร ติดตัวมาเลยสักอย่าง  ผมเกรงว่า..”
            “_สั่งทำตอนนี้เลย  ด่วนที่สุด เท่าไหร่ก็จ่าย แล้วให้ไปส่งปลายทาง ถึงตอนนั้น ค่อยดูอีกทีว่า สามารถพักที่ไหนได้บ้าง_”

            วสันต์หมายถึงเอกสารปลอมแต่สามารถใช้งานได้จริง  การให้บริการในโลกมืดที่มีอยู่จริง แลกกับค่าบริการอันแสนแพง  ตฤณได้แต่พยักหน้ารับคำ  หมุนตัวหันหลังกลับเตรียมลงไปข้างล่าง เพื่อจัดการตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
 
            ปัง ! ปัง ! ปัง !
 
            ทว่าเสียงปืนที่ดังติดต่อกันขึ้นสามนัด สร้างความแตกตื่นตกใจให้เกิดแก่คนทั้งสอง  ใจของวสันต์หล่นวูบหาย เมื่อไพล่คิดไปถึงภาพการเผชิญหน้าระหว่างธีรากับทีมสังหาร  เขาเกือบจะถลันไปตรงหน้าต่างด้วยอารามลืมตัวแล้ว ถ้าไม่ถูกตฤณดึงแขนห้ามเอาไว้

            “อย่าครับ อันตราย เราต้องไปแล้ว ตอนนี้เลย !”

            ทีมสะกดรอยทำงานกันอย่างว่องไวสมกับค่าจ้าง  เพียงคืนเดียวก็สามารถสืบรู้และค้นพบสถานที่กบดานของสองผู้หลบหนี  ทีมไล่ล่าถูกส่งมาทันที เพื่อเริ่มปฏิบัติการสำคัญ  เป้าหมายของภารกิจแยกออกเป็นสองส่วน  สำหรับวสันต์นั้น มีคำสั่งแทงลงมาให้จับเป็น  แต่สำหรับฝ่ายหญิงให้ลงมือสังหารทันที รวมถึงต้องกำจัดศพให้สิ้นซากอีกด้วย

            วสันต์ชาไปทั้งร่าง  เพราะมองไม่เห็น ไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น  ธีราอาจรอดตาย ถ้าหากอยู่ในภาวะที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเธอ  ตัวตนที่ทรงพลังนั้นคงสามารถเอาตัวรอดได้ไม่ยาก  แต่ถ้าหากไม่เป็นไปตามนั้น  หญิงสาวก็อาจตายไปแล้ว ถูกฆ่าโดยที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ ความสามารถพิเศษของทีเซลล์ด้วยซ้ำ

            ยังไม่มีใครบุกเข้ามาถึงภายในตัวบ้าน นับเป็นโอกาสดีที่คนทั้งสองยังสามารถหลบหนีออกไปทางด้านหลัง  ตฤณพาเจ้านายหนุ่มของตนอ้อมไปอีกทาง ซึ่งตรงกันข้ามกับเสียงปืนที่ได้ยินในทีแรก  ข้ามผ่านท้องร่องที่ขุดเป็นทางน้ำยาวระหว่างสันดิน หลบเข้าพื้นที่รกร้างใกล้กันแต่เป็นที่ดินของคนอื่น

            “กลับไปไม่ได้นะครับ !” 

            ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ต้องกระตุกดึงแขนเจ้านาย พาเดินลิ่วต่อไปเบื้องหน้า  เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะย้อนกลับไปช่วยอีกคนที่ทิ้งมา  สีหน้าท่าทางของวสันต์ในยามนี้ แสดงออกถึงความกังวลห่วงใยอย่างชัดเจน

            เวลานี้ จิตใจของราชาน้ำแข็งกำลังสับสนวุ่นวายอย่างหนัก  ใจหนึ่งพยายามคิดว่า อีกฝ่ายได้ตายไปแล้ว  แต่ทว่าอีกใจยังคงลังเลและมีความหวังว่า ธีรานั้นยังคงมีชีวิตอยู่..

            ถ้าเพียงแค่ตนจะหันหลังกลับไป  ตอนนี้ อาจยังพอทันเวลา !
 
            เปรี้ยง !  เปรี้ยง !  เปรี้ยง !  เปรี้ยง !  เปรี้ยง !  เปรี้ยง !
 
            เสียงรัวกระสุนชนิดหูดับตับไหม้ในที่ไกลทางด้านหลัง ดังลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณ  วสันต์ตัดสินใจสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของลูกน้อง  แล้ววิ่งกลับไปยังทิศทางของเสียงดังกล่าว  ไม่สนใจต่อคำร้องห้ามทัดทานของตฤณแม้แต่น้อย
           
 

 
++++++++++++++++++++++++++++++
           

           
           
            ดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดแสงแรงร้อน  ตอนที่ธีราออกจากตัวบ้าน ลงมาเดินเล่นในสวนที่ขุดทำเป็นท้องร่องปลูกพืชผักสวนครัวแซมสลับไปกับผลไม้ คือ ต้นมะม่วงและกล้วยไข่  มองเห็นบ่อดินเลี้ยงปลาพร้อมโรงเรือนเลี้ยงไก่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก รวมอยู่ด้วยในบริเวณเดียวกันนี้

            ผิวกายสัมผัสได้ถึงสายลมร้อนพัดโชยมาแผ่วเบา  หูได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกันประกอบไปในสายลม  จมูกได้กลิ่นดินและพืชพันธุ์บางประเภทที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน  หญิงสาวเดินลึกเข้าไปด้านในสวน ปล่อยกายปล่อยใจไปกับธรรมชาติรอบกาย  ความรู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัวพลุ่งพล่านอยู่ในใจ  อยากเห็นหน้าแม่ อยากพบเจอกับพวกพี่ชายอีกสักครั้ง ในเวลาแบบนี้

            อาการปวดหน่วงเล็ก ๆ ในช่องท้องคงเป็นผลจากการมีรอบเดือน  เป็นอาการไม่สบายตัวเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นตอนนี้  แถวดงต้นกล้วยมีร่างของผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัด กำลังง่วนอยู่กับการใช้เสียมในมือขุดหลุมดินอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

            “สวัสดีค่ะ คุณลุง”

            ธีราส่งเสียงทักทาย  ด้วยรู้สึกอาจเป็นการเสียมารยาท ถ้าหากเลือกที่จะเงียบเฉย แล้วเดินเลยผ่านชายคนดังกล่าวไป  นอกเหนือจากนี้แล้ว หากได้คุยกับใครสักคนนอกจากวสันต์ คงช่วยบรรเทาความอ้างว้างในใจลงไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

            “สวัสดี ๆ เพื่อนเจ้าตฤณใช่ไหม  ลุงเป็นน้องชายของพ่อเจ้าตฤณ เอ้อ ก็เป็นอานั่นแหละ  เห็นเมื่อวานเย็น เดินมาบอกให้ที่บ้านผัดกะเพราให้สองจาน  ยังแปลกใจกันอยู่ว่า มีแขกมาด้วยรึ”

            รอยยิ้มเป็นมิตรปรากฏบนหน้าตาที่แลดูใจดี  ทั้งยังเอ่ยโอภาปราศรัยอย่างเป็นกันเอง ไม่ถือตัว ทำให้ธีราค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับ  และแสดงความคารวะผู้อาวุโสไปในตัว

            “สวนนี่ คุณลุงดูแลเอง ทั้งหมดนี่เลยหรือคะ”
            “ช่วยกันกับคนงานน่ะ  เจ้าตฤณมันจ้างลุงกับป้า ให้ช่วยดูแลบ้านกับสวนให้  ที่ติดกันก็ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น  ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ทำไปเรื่อย ๆ  ดีกว่าปล่อยที่ว่าง ทิ้งไว้เฉย ๆ”

            ชายวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นอาของตฤณ พูดเสียงดังทว่าฟังดูนุ่มนวลในที  หญิงสาวมองดูชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ สามารถทำงานไปได้เรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน ไม่ต้องแข่งขันกับใคร ไร้ซึ่งสิ่งเร้าหรือสิ่งรบกวนให้คอยฟุ้งซ่าน หรือทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ

            “ดีจังเลยนะคะ  ตอนแรก หนูยังคิดอยู่เลยว่า ที่นี่เงียบเหงา วังเวงชอบกล  อาจเป็นเพราะหนูไม่ได้เกิดและโตมากับที่แบบนี้ ก็เลยไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่  แต่พอลองออกมาเดินเล่นในสวน  มาเห็นคุณลุงทำงานแล้ว  หนูคิดว่า ตัวเองมองเห็นอะไรที่กว้างมากขึ้น  ไม่ได้เห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็น อย่างเดียวแล้วล่ะค่ะ”

            อีกฝ่ายยิ้มให้กับคำพูดของคนแปลกหน้า  ก่อนทำมือวนไปมาใกล้หูประกอบคำพูดของตน

            “ได้ยินไม่ค่อยถนัดเลย หูลุงมันก็เริ่มจะตึง ๆ แล้วล่ะนะ  แต่ก็พอจะเข้าใจที่หนูพูด  เอาเป็นว่า ถ้าชอบก็เดินดูรอบ ๆ หรือจะเดินเลยเข้าไปดูสวนติดกันของลุงก็ได้นะ  แต่ระวังหมาด้วยล่ะ  มีอยู่สามสี่ตัว เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าสวน”

            ธีราผงกศีรษะรับคำบอกกล่าวอย่างใจดีนั้น เตรียมจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง  ทว่าไม่ทันได้ขยับตัวไปไหน  ชายฉกรรจ์ในชุดลายพรางคล้ายทหารพร้อมอาวุธปืนครบมือหลายคน ก็โผล่ออกมาดักหน้าดักหลัง ล้อมกรอบเอาไว้แทบทุกด้านเสียก่อน
 
            “อะ !”

            หัวใจหล่นวูบหาย เย็นไปทั้งร่าง เมื่อมัจจุราชปรากฏตัวขึ้น เพื่อมอบความตายให้ถึงที่  เธอรู้สึกกลัวจนขยับไม่ได้ เมื่อมองไปเห็นปลายกระบอกปืนที่จ่อเล็งมายังตน  ทั้งที่เคยบอกกับตัวเองว่า ไม่กลัวตาย  แต่พอต้องเผชิญหน้ากับมันจริง ๆ ในสภาวะไม่พร้อมที่จะจากไป  หัวใจก็ได้แต่ร่ำร้องด้วยความโศกเศร้า

            “อะ อะไรกัน พวกนี้ ใครกัน ทหารหรือ”

            อาของตฤณปล่อยเสียมในมือ มีสีหน้าตะลึงลาน ทรุดลงนั่งหงายหลังไปกับพื้นด้วยอารามตกใจกลัว  ไม่เพียงแค่ตัวเธอเอง แต่อาจมีผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาตายไปด้วย  ด้วยเหตุนี้ ธีราจึงรวบรวมความกล้า พูดขอร้องออกไปกับพวกที่มา เพื่อไล่ล่าเธอกับวสันต์โดยเฉพาะ

            “ได้โปรด อย่าทำอะไรคุณลุงคนนี้เลยนะคะ  เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วย  เราไม่รู้จักกัน  ฉันเพิ่งเจอเขาเมื่อกี้นี้เอง  ฉันจะไม่หนีค่ะ  ได้โปรด..”
            “อีกคนอยู่ไหน !”

            หนึ่งในคนพวกนั้นร้องถามเสียงเข้ม ขณะประทับอาวุธสงครามขึ้นจดจ่อเตรียมเล็งยิง  เห็นได้ชัดว่า เธอคือเป้าหมายแรกที่ถูกค้นพบ  และถ้าหากนี่เป็นโอกาสสุดท้าย ที่จะสามารถตอบแทนในความช่วยเหลือต่าง ๆ จากวสันต์  ธีราก็เลือกที่จะทำมันในเวลานี้

            “ฉะ ฉันไม่รู้ ขะ เขาออกไปที่ไหนก็ไม่รู้ ตั้งแต่เช้าแล้ว ทิ้งฉันไว้คนเดียว.. ที่นี่”

            ได้แต่นึกภาวนา  ขอให้การถ่วงเวลานี้สัมฤทธิ์ผล  ขอให้คนที่อยู่บนบ้านเกิดไหวตัวและหลบหนีไปได้ทันการด้วยเถิด..

            “คำสั่งแจ้งมาว่า ผู้ชายให้จับเป็น  แต่ผู้หญิงให้จับตาย  อย่าโกรธแค้นกันเลยนะ  พวกเราทำตามหน้าที่”

            ธีราพยักหน้า ทั้งน้ำตาเนืองนองใบหน้า  หลับตาลง ยอมรับวาระสุดท้ายที่มาถึงตนแต่โดยดี  นึกถึงหน้าของแม่และพวกพี่ชาย  ดั่งต้องการให้ใบหน้าของบุคคลเหล่านั้นเป็นภาพสุดท้าย ที่จะช่วยนำทางตนไปสู่ปรภพโดยมีความรักนำทางไป

            ไม่โกรธ  ไม่โทษใคร  ยอมรับทั้งหมดเอาไว้  แล้วจากไปด้วยหัวใจที่ปราศจากความเคียดแค้นชิงชัง..
           
          -- เตรียมใจได้ดี  เจ้าทำได้ดี  ธีรา  หลับตาเอาไว้  แล้วปล่อยให้มันเป็นไป --
           
            พลันนั้น เสียงในหัวก็ดังกังวานขึ้น  เสียงของตัวเธอเองที่เคยเงียบหายไปนาน กลับมาดังแจ่มชัดราวกับเป็นเพื่อนร่วมทางในวาระสุดท้าย  ธีรานึกถึงครั้งสุดท้ายที่เสียงในหัวแสดงตัวตนออกมา  ตอนที่ตัวเองตายครั้งที่สองแล้วกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด  ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเอ่ยตอบกลับไป เหมือนพูดพึมพำกับตัวเอง

            “ไม่กลายร่าง  ไม่ฆ่าใคร  ฉันขอร้องล่ะ  ถ้าจะต้องตาย ก็ขอตายในฐานะมนุษย์เถอะนะ”

          -- เจ้าเป็นมนุษย์  ธีรา  ไม่มีใครพรากเอาความเป็นมนุษย์ไปจากเจ้าได้  ตราบใดที่จิตวิญญาณของเจ้ายังคงตั้งมั่นอยู่ในวิถีของความเป็นมนุษย์  เมื่อเจ้าเข้าใจโลก  เข้าใจชีวิต  อดทนและยอมรับในทุกอย่าง  ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะยังคงเป็นมนุษย์ตลอดไป --
 
            “ฉันพร้อมแล้ว  ฉันพร้อมที่จะตายแล้ว..”  ธีราพูดกับความมืดด้านหลังเปลือกตา  ความมืดที่ช่วยปิดบังให้ตนไม่ต้องเห็นภาพ  ไม่ต้องรับรู้อะไรต่อจากนี้
 
          -- หลับตาลงเถิด  เด็กน้อยของข้า  ฟังเสียงเพลงในใจ  จงสงบ และมีความสุขกับช่วงเวลาสุดท้าย  ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ  เพียงแค่วางใจ  ข้าคือไคเมร่า  จงยอมรับข้า และเป็นหนึ่งเดียวกัน  --
           
            เสียงดังกล่าวฟังดูเข้มแข็งและทรงพลังอำนาจ  นับเป็นครั้งแรกที่ธีราตะหนักรู้ว่า ตัวเองไม่ได้หลงละเมอเพ้อพก สร้างจินตนาการขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน เพื่อพูดกับตัวเองอีกต่อไป  แว่วได้ยินเสียงเพลงอันไร้ที่มา เป็นเหมือนเสียงขับร้องแต่ไม่เป็นภาษา ของสิ่งซึ่งไม่อาจระบุตัวตนได้  หลังจากนั้น ธีราก็ไม่อาจรับรู้ความอันใด ด้วยเหมือนถูกตัดขาดออกจากสภาวะรอบกาย  ถูกนำพาไปสู่ภาวะที่เรียกได้เป็นภวังค์เคลิ้มฝัน
 
            ปัง ! ปัง ! ปัง !
 
            เสียงปืนของหน่วยล่าสังหารลั่นไกพร้อมกัน  เป้าหมายของลูกกระสุน คือ ร่างของผู้หญิงที่ยืนหลับตา ตัวสั่นงันงกอยู่เบื้องหน้าคนหนึ่ง !
 

 
 
++++++++++++++++++++++++++++++
           

           
            เพล้ง !
 
            เสียงข้าวของตกแตกภายในห้องครัว  ทำให้ธนสรณ์ลุกขึ้นจากชุดโซฟารับแขก รีบก้าวเท้ายาว ๆ ตรงไป หมายตรวจดูสาเหตุของเสียงดังกล่าว  เวลานี้ พี่ชายคนรองของบ้านพินิจใจหวนคืนกลับมาบ้านอีกครั้ง หลังสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่  โดยได้รับความช่วยเหลือจากคนประเภทเดียวกัน

            เขาทิ้งชายหนุ่มรุ่นน้อง ผู้ซึ่งตนยินยอมให้ติดตามมาด้วย ไว้กับมนุษย์ต่างดาวของพี่ชาย  พิจิกทำสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ จำทนนั่งนิ่ง ๆ ไม่กระดุกกระดิกเคลื่อนไหว  เมื่อถูกเจ้าของลูกตากลมโตสุกใสคู่หนึ่ง จับจ้องมองดูตนอยู่อย่างไม่วางตา แถมยังพาตัวเองมานั่งเบียดชิดใกล้ หลังธนสรณ์ลุกออกไปอีกต่างหาก

            ภายในครัว  ธนสรณ์มองเห็นมารดาที่ทำท่ากำลังจะก้มลง เก็บกวาดเศษจานที่หล่นแตกอยู่บนพื้น  ชายหนุ่มจึงรีบร้องถามออกไป ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในตัวอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง

            “แม่ครับ  ไม่ต้องหรอกครับ  เดี๋ยวผมเก็บให้เอง  แม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
            “แม่ไม่เป็นอะไร  เหม่อไปหน่อย มือมันก็เลยลื่นน่ะ”

            ลูกชายคนรองเดินไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาจากมุมหนึ่ง  ก่อนย่อตัวลงนั่ง หยิบเศษกระเบื้องที่เคยประกอบกันเป็นจาน ใส่ลงในถุงพลาสติกที่มีกระดาษหนังสือพิมพ์รองไว้อีกชั้น

            “นี่ไม่สบาย เพิ่งจะหายเอง แม่ไปนั่งเถอะครับ  ผมจัดการเอง”
            “แม่รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีอย่างไรก็ไม่รู้  มันหวิว ๆ เหมือนเป็นกังวลแปลก ๆ”

            นางปวีณาขยับออกห่างจากลูกชาย  ถอยไปยืนเกาะขอบเคาน์เตอร์ครัว พร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างหลังบ้าน  ธนสรณ์เอ่ยโต้ตอบ ขณะก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดความเสียหายไปด้วย

            “ไม่มีอะไรให้กังวลแล้วนี่ครับ  ตอนนี้ ทุกคนก็อยู่กันครบ  ธีราก็กลับมาแล้ว” 

            เขาเล่นตามน้ำไปด้วยกับพี่ชาย  เมื่อกลับมาบ้านแล้วได้เห็นว่า คำพูดของพี่ชาติเป็นจริงตามนั้น นั่นคือ แม่ของพวกเขาเห็นผู้หญิงแปลกหน้า ผู้ซึ่งอ้างตัวเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นเหมือนกับลูกสาวของตัวเองจริง ๆ

            “กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ  น้องยังไม่กลับมาเลย ..สรณ์”

            คำพูดดังกล่าวส่งผลให้มือหยุดชะงักไปในทันใด  ธนสรณ์เงยหน้าขึ้น เบิกตากว้าง มองดูใบหน้าอันแสนเศร้าของแม่ ที่ยังคงเหม่อมองออกไปด้านนอกบ้าน  น้ำเสียงนั้นแห้งผากเหมือนกับสีหน้าในยามนี้

            “แม่.. ผมนึกว่า แม่เห็น เอ่อ นั่น เป็นธีราซะอีก”
            “ราเคียร์น่ะหรือ   ใช่  เธอก็แค่..ทำให้แม่ได้เห็น ในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็นเท่านั้นเอง”

            ความจริงอันน่าตกใจทำให้ธนสรณ์พูดอะไรไม่ออก  ทั้งที่คิดว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงเป็นการดีกว่าสำหรับผู้เป็นแม่แล้ว  แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ความทุกข์ที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมก็ยังคงเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือน ไม่ให้ลืมเลือนความจริงอันโหดร้ายว่า มีหนึ่งคนที่หายไปในบรรดาพวกเขา

            “ธีรายังมีชีวิตอยู่นะครับ  ผมเชื่อว่า น้องจะต้องไม่เป็นอะไร  ผมจะหาทางพาน้องกลับมาให้ได้  ผมสัญญา..”

            นางปวีณาหันมองมาที่ลูกชาย ยิ้มเศร้าพลางพยักหน้ารับคำ  สองแม่ลูกส่งรอยยิ้มน้อยให้แก่กัน ดั่งต้องการปลอบโยนและให้กำลังใจ  ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ  พวกเขาต่างต้องแสดงความเข้มแข็ง เพื่อช่วยประคับประคองกันไปในช่วงเวลาอ่อนไหวเช่นนี้

            “หนุ่มคนนี้ที่มากับลูก  เขาเคยมาที่บ้านเราหนหนึ่งนะ  แม่จำได้”

            นางปวีณาเอ่ย อย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

            “คนนี้หรือครับ”  ธนสรณ์ถามย้ำ ด้วยประหลาดใจกับเรื่องราวในอดีตที่ตนไม่เคยรับรู้มาก่อน

            “ใช่  เคยมาหาธีราแต่เช้าเลย ใส่ชุดนักศึกษามา บอกว่า มาปรึกษาเรื่องทำโครงงาน เอ.. รู้สึกว่าจะเป็นวันเดียวกันกับที่ธีราออกไปกับพวกเพื่อนตอนบ่าย  วันนั้นแหละ แม่จำได้แล้ว  แล้วน้องก็หายตัวไปเลย”

            “พวกเพื่อนเหรอ  แม่รู้ไหมครับว่าเป็นใคร”

            ราชาแห่งเส้นทางเริ่มไล่ตามร่องรอยแห่งเบาะแสที่ถูกทิ้งเอาไว้  พยายามปะติดปะต่อชิ้นส่วน และแกะปมปริศนาไปทีละน้อย  เพื่อให้ตัวเองสามารถเข้าใจและมองเห็นความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวในวันนั้น

            “ออกไปกับฮัน  ฮันกับดนู”
            “ฮันเนี่ย ผู้ชายหัวส้ม ๆ หางตาชี้ ๆ แหลม ๆ หน้าตาเจ้าเล่ห์ ๆ ใช่ไหม แม่”
            “น่าจะใช่นะ  คงมีคนเดียวนี่แหละ  แม่ก็เพิ่งรู้จักเขา ตอนน้องเข้าโรงพยาบาลล่าสุดนี่เอง”
            “..สีขาว..”

            ธนสรณ์หลุดคำพูดหนึ่งออกมา  ถ้อยคำที่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจ  หากต้องการสืบสาวราวเรื่องอย่างละเอียดทั้งหมด  ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน  ไม่จำเป็นต้องหมุนมองหาที่ไหนให้เสียเวลา  แต่ต้องทำให้ตัวเก็บข้อมูลคายความจริงออกมาให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ก็พอ
 

            ทางด้านนอกตรงห้องนั่งเล่น  พิจิกมองจานข้าวเหนียวมะม่วงที่ถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าตน ก่อนมองสลับไปยังดวงหน้าของผู้เอื้อเฟื้ออย่างนึกหวาดระแวงในใจ  ผู้หญิงสาวสวยจัดแต่ทำตัวแปลกประหลาดคนนี้ ถูกแนะนำในฐานะญาติผู้สติไม่ดีของบ้านพินิจใจ  เมื่อวันก่อนนี้เองที่อีกฝ่ายโผล่มาเลียกินเลือดของเขา แถมยังโผเข้ามากอด ซ้ำเรียกเขาเหมือนเป็นญาติสนิทชิดใกล้  พอต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้  พิจิกก็คล้ายทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเหมือนกัน

            เมื่อคืน กว่าจะปรับความเข้าใจ คลายข้อสงสัยเรื่องของมัทรีไปได้ ตนต้องใช้เวลาอยู่นานพอสมควร  ทั้งเล่าเรื่อง อธิบาย ทั้งตอบข้อซักถามจนกว่าพี่สรณ์จะพอแก่ใจ  ในชีวิตไม่เคยต้องอดทนหรือยอมใครแบบนี้มาก่อน  แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเกรงอกเกรงใจ คล้อยตามและเชื่อฟังพี่ชายคนนี้ของธีราขึ้นมา

            เพราะยังบาดเจ็บอยู่ เลยไม่มีอารมณ์อยากไปร่ำเรียน  พอเห็นอีกฝ่ายบอกกล่าวว่าจะกลับบ้าน เลยขอติดสอยห้อยตามมาด้วย  เพราะไม่อยากเหงาอยู่ห้องคนเดียว  จนลงท้ายด้วยการมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ต่อหน้าคนไม่เต็มบาท เหมือนดังเช่นในตอนนี้

            เอาวะ ! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ลองคุยกับคนบ้าดูสักที  ดีกว่านั่งเฉย ๆ คิดเสียว่า แก้เซ็งก็แล้วกัน..

 
            “พี่สาว~  พี่ชื่ออะไรเหรอ  แล้วเป็นอะไรกับคนบ้านนี้อ่ะ”

            พิจิกเอ่ยถาม ทั้งพยายามปั้นยิ้มอันเสแสร้ง ขึ้นบนใบหน้าของตน

            “ข้า คือ ราเคียร์  ข้าไม่ได้เป็นอะไร กับคนในบ้านหลังนี้  แต่ข้าเป็นพี่ของเจ้า”

            คนถูกถามตอบกลับด้วยรอยยิ้มหวาน  และยังคงตอบคำถาม ด้วยถ้อยคำอันชวนให้สับสนงุนงงเหมือนเช่นเคย  ราเคียร์ยกจานของหวานขึ้นมาวางใส่ไว้บนหน้าตักของอีกฝ่าย  เสมือนเป็นเชิงบังคับกลาย ๆ ให้แขกผู้มาเยือนต้องจำใจรับทานตามที่ถูกยัดเยียดให้เช่นนี้

            “เฮ้ย ผมลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องที่ไหน  เราไม่ได้เป็นญาติกันสักหน่อย”

            ราเคียร์ในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งยังคงยิ้ม ขณะเอื้อมมือออกไปคว้าจับเส้นผมสีเทาของพิจิกเอาไว้  ใช้นิ้วหมุนพันเล่นอย่างถือวิสาสะ ทำตัวราวกับสนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน

            “เจ้าไม่ได้เป็น  แต่ทีเซลล์ในร่างของเจ้าเป็น”

            คำพูดดังกล่าวทำเอาพิจิกชะงักงันไป  ผู้หญิงคนนี้เพิ่งพูดเป็นตุเป็นตะถึงเรื่องไร้สาระที่เป็นไปไม่ได้  ทีเซลล์เป็นแค่เชื้อโรคประหลาดที่เข้ามาอาศัยร่าง  มันไม่มีชีวิต  ไม่มีจิตใจ  ไม่มี..

            เอ๊ะ ! หรือว่า จริง ๆ แล้ว มันมีกันแน่หว่า..  ถึงตอนนี้ ความมั่นใจในความรู้เดิม เริ่มจะสั่นคลอนไปตามแรงลมของคนแปลกหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว

            “พี่สาวไม่ได้บ้า หรือสติไม่ดี อย่างที่เขาบอกกันใช่ไหม  บอกผมหน่อยสิว่า พี่สาวรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับทีเซลล์”
            “เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ”

            คนตรงหน้าตอบรับอย่างใจดี  สายตาอ่อนโยนที่ทอดมองมา ทำให้พิจิกรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังตอบสนองต่อตนด้วยดี โดยไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด

            “ทีเซลล์มันมีชีวิตด้วยเหรอ  มันอยู่ในตัวผม แต่มันไม่เคยพูด หรือคุยกับผมเลยนะ  แล้วพี่บอกว่า ตัวเองเป็นพี่น้องกับทีเซลล์ของผม  ผมงงนะเนี่ย~”

            “ทีเซลล์เป็นสิ่งมีชีวิต  แต่ที่มันไม่พูดกับเจ้า นั่นเพราะมันไม่มีสติปัญญาหลงเหลืออยู่  เป็นได้แค่เพียงอนุภาคที่เคลื่อนไหวไปตามคำสั่งชี้นำจากเอมาน ตนที่แปรสภาพและปล่อยมันออกมา  มันเป็นเหมือนกับเถ้าถ่านของคนตาย แต่ยังคงทิ้งความสามารถเอาไว้  ให้มนุษย์อย่างเจ้าได้หยิบยืมไปใช้ เพียงเท่านั้น”

            ประโยคเหล่านั้น ฟังแล้วให้บังเกิดความรู้สึกขนลุกซู่ซ่าขึ้นมาทันที  แม้เต็มไปด้วยความงวยงงสงสัย ทว่าจิตใจของพิจิกกลับไม่ปฏิเสธหรือต่อต้านกับคำพูดเหล่านั้น  เขามองดูผู้หญิงตรงหน้า ด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง

            “นี่พี่เป็นคนจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย  ผมไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย  แล้วตอนนั้นที่พี่กินเลือดผมกับพี่สรณ์อ่ะ ทำแบบนั้นเพื่ออะไร”

            “เพื่อตรวจสอบทีเซลล์ที่แฝงอยู่ในเลือดว่า เป็นของผู้ใด  เพื่อค้นหาอนุภาคของราชินีไคเมร่า หรือ มามาคราย ที่อาจมีอยู่ในตัวของพวกเจ้าสักคน  ข้ายินดีที่ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง เพิร์ก  ถึงเจ้าจะอยู่ในสภาพนี้ก็ตาม”

            เพราะพิจิกป้อนคำถามต่อเนื่อง  และราเคียร์เองก็ยินดีที่จะเปิดเผยทุกอย่าง ให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างไม่คิดปิดบังด้วยเช่นกัน

            “เพิร์ก ชื่อนี้อีกแล้ว คือ หมายความว่า ทีเซลล์ในตัวผม เคยเป็นของคนชื่อ เพิร์ก มาก่อนเหรอ”

            แม้ความเป็นจริงไม่ตรงกันนัก  แต่มนุษย์ต่างดาวในร่างหญิงสาวก็พยักหน้าแทนคำตอบ

            “แล้วก็มีความสามารถแบบเดียวกันเป๊ะ ยังงี้เลยเหรอ”

            วินาทีนั้น พิจิกบังคับเส้นผมของตัวเองให้เคลื่อนไหว  กลุ่มผมสีเทาเลื้อยปราดขึ้นไปพันแขนของอีกฝ่าย ก่อนรัดแน่นเข้าดั่งต้องการหยอกเย้า  ทว่าราเคียร์ไม่ได้มีสีหน้าตกใจหรือแปลกใจแต่อย่างใด  กล้ามเนื้อบนใบหน้าสวยกระตุกเล็กน้อย ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

            “นี่ไม่ถูกต้อง  เพิร์กไม่เคยใช้ผมของมัน ทำอะไรอย่างที่เจ้าทำอยู่นี่เลย  แต่ข้าชอบนะ”
            “อ้าว~”

            คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งทำให้พิจิกรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่  ตลอดมา ราชาแมงป่องมั่นใจในการฝึกฝนเพื่อใช้ความสามารถของทีเซลล์มาโดยตลอด  เขาค่อนข้างแน่ใจว่า ตัวเองมาถูกทาง และการแปลงรูปแบบเส้นผมให้กลายเป็นอาวุธก็ใช้งานได้ดี  ถึงแม้ว่า มันไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งหรือเก่งกาจที่สุด ท่ามกลางบรรดาราชาทั้งหลายแหล่ก็ตามที

            “ถ้าไม่ใช่  แล้วทีเซลล์ของผม มันยังไงกันแน่”

            แทนคำตอบ  ราเคียร์หยิบช้อนในจานขึ้นมา ตักข้าวเหนียวมูนพร้อมชิ้นมะม่วงสุกคำโตขึ้นมา ยัดพรวดใส่เข้าในปากของพิจิกผู้กำลังพูดไม่ทันจบดี  เล่นเอาแทบสำลัก

            “กินนี่ อร่อยดี ข้าชอบ”
            “โธ่.. พี่~  ผมไม่ได้อยากกินนะ  ผมถามอยู่เนี่ย  ตอบสิ”

            พิจิกประท้วงเสียงอู้อี้เพราะมีอาหารเต็มปาก  แต่ไม่อาจต่อต้านหรือขัดขืนคนตรงหน้าได้เลย  พี่สาวคนนี้เคลื่อนไหวตามใจตัวเองโดยปราศจากถ้อยทีไร้มารยา หรือแสดงทีท่าตามแบบอย่างคนปกติทั่วไป  คนแบบนี้รับมือยากเสียยิ่งกว่าพวกชอบวางท่าจนน่ารังเกียจเสียอีก

            “ถึงไร้สติปัญญาไปแล้ว เจ้าก็ยังเฟ้นหาภาชนะที่เหมือนกับตัวเองขึ้นมาจนได้  เจ้าเม่นน้อยตัวร้าย  ทำให้ข้าพอใจสิ  แล้วข้าอาจจะสอนเจ้า เหมือนอย่างที่เคยสอนทีเซลล์ของเจ้ามาก่อน”

            ในสรรพนามคำเดียวกันของรูปประโยค แบ่งแยกออกเป็นสองความหมาย  พิจิกไม่อาจเข้าใจเนื้อความทั้งหมด แต่เรียนรู้ว่า คนตรงหน้ากำลังพูดกับเขา และทีเซลล์ที่อยู่ในตัวของเขาไปพร้อมกัน  ดวงตาคู่ลึกล้ำยังคงมองสบประสาน  ชั่วแวบหนึ่งนั้น พิจิกคล้ายมองเห็นภาพหลอนของอะไรบางอย่าง ที่ตนไม่อาจเข้าใจและเข้าถึง

            มันเป็นภาพของสิ่งที่ดูคล้ายหุ่นรูปร่างคน ทว่ามีเปลวไฟสีน้ำเงินลุกไหม้ท่วมทั้งตัว  แสงสว่างที่ส่องออกมาจากร่างดังกล่าวเจิดจ้าเสียจน ผู้มองดูต้องเผลอหรี่ตาลง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าร่างนั้นแต่อย่างใด

            “อ่า..”  พิจิกลืมตัว เผลอครางออกมาเสียงเบา และจังหวะที่ปากเผยออ้าออก ข้าวเหนียวมะม่วงคำที่สองก็ถูกยัดเยียดเข้ามาใหม่ แบบไม่ทันให้ตั้งตัว
 

            “อะแฮ่ม !”

            ธนสรณ์ที่กลับออกมาจากห้องครัวกระแอมเสียงดัง  คดีเก่าเมื่อคืนเพิ่งคลี่คลาย ดูเหมือนเจ้าตัวร้ายนี่กำลังจะก่อคดีใหม่อีกแล้ว  ดูเอาเถอะ.. เขาเพิ่งลุกไปแค่แป๊บเดียว  กลับมาอีกทีเห็นนั่งอ้อนสาว ให้ป้อนข้าวป้อนขนม เห็นจะจะคาตาในบ้านของเขากันเลยทีเดียว

            “แฮ่มอะไรเล่า~  ผมไม่ได้ทำอะไรนะ  พอพี่ลุกไป  พี่สาวคนนี้ เขาก็เข้ามาหาผมเองเนี่ย”

            สีหน้าอิหลักอิเหลื่อของผู้ถูกกล่าวหา ฟ้องต่อข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน  ธนสรณ์เดินกลับมานั่งที่เดิมบนโซฟา  แต่ไม่อาจทำให้ราเคียร์ขยับถอยหนีออกห่างจากพิจิกไปได้  เธอยังคงแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความสนใจ ถ่ายทอดความเอาใจใส่ ผ่านการกระทำที่แลดูขาด ๆ เกิน ๆ ของตน

            “ราเคียร์ ชอบพิจิกหรือ”

            ธนสรณ์เอ่ยถามไปตามตรง  จับสังเกตมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายโผเข้าหาพิจิก เมื่อคราวก่อนแล้ว

            “ไม่ชอบหรอก  แค่คิดถึง”

            คำตอบที่ฟังแปลกหูดูพิกลทำเอาไปต่อไม่เป็น  แม้ได้รับข้อมูลเบื้องต้นมาจากพี่ชาย ถึงคำพูดคำจาและการแสดงออกที่ผิดแผกแตกต่างจากคนปกติทั่วไป  แต่พอได้มาเห็นแบบนี้แล้ว ก็ยังทำใจให้เชื่อไม่ลงอยู่ดีว่า นี่คือมนุษย์ต่างดาวในร่างคน

            และดูเหมือนธนชาติเองก็เริ่มปลงและวางใจ  ถึงขนาดกลับไปทำงาน แล้วทิ้งให้แม่อยู่กับคนแปลกหน้าตามลำพังกันสองคน  เหตุผลนั้นเพราะเป็นด้วยเหตุจนใจ  ถ้ามัวแต่เฝ้าคอยระแวงระวังคงมีหวังได้อดตายกันทั้งบ้าน

            “ตอนนั้น ที่คุณเรียกผมว่า มา.. มามา อะไรสักอย่าง  หมายถึงอะไรหรือ”

            ธนสรณ์เริ่มต้นบทสนทนาในส่วนของตัวเองบ้าง  ดวงตากลมโตสุกใสเป็นประกายคู่นั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปจับจ้องมองหน้าพี่ชายคนรอง หรือ บุตรทางสายเลือดอีกคนของแม่ผู้แสนใจดีแทน

            “มามาคราย  ผู้เป็นหนึ่งในราชวงศ์อันเก่าแก่  ผู้ทำหน้าที่นำทางพวกเรามายังที่นี่ และจะเป็นผู้นำทางพวกเรากลับไปด้วยเช่นกัน  เส้นทางแห่งดวงดาวทั้งหมดที่พวกเราสัญจรผ่าน อยู่ในการจดจำและผนึกไว้เป็นหนึ่งเดียวกับมามาคราย”

            คำตอบยาวเหยียดดังกล่าว ทำให้ธนสรณ์หวนนึกถึงความฝันแรก ตอนที่ตนเริ่มต้นติดเชื้อประหลาด  ในฝันนั้น ตัวเขาคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจำได้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นบางสิ่งที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์เป็นเช่นมนุษย์  รวมถึงออกเดินทางแหวกว่ายไป ในเวิ้งความมืดดำแห่งอวกาศเป็นเวลาแสนนาน  จนกระทั่งสิ้นสุดเป้าหมายปลายทาง  ด้วยการมาถึงดาวเคราะห์สีน้ำเงินอันแสนสวยงาม พร้อมกับเหล่าดวงแสงนับร้อยพันที่เกาะกลุ่มติดตามกันมาเป็นหมู่คณะใหญ่

            น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งออกจากตาอย่างไม่มีความหมาย  ในตอนนี้ ธนสรณ์ไม่สามารถเอ่ยเอื้อนอันใด  นอกจากฟังคำบอกเล่าของราเคียร์ต่อไป  พร้อมกับพยายามทำความเข้าใจตามให้มากที่สุด เท่าที่ตนจะสามารถทำได้

            “แม้ตัวข้าเองนับเป็นหนึ่งในราชวงศ์  แต่ผองเราเองก็ยังต้องให้ความเคารพยำเกรง แก่สี่ผู้ทรงภูมิปัญญาและเก่าแก่มากที่สุด  ราชาเลวีอาธาน  ราชินีไคเมร่า  มหาปุโรหิตเอมาน และ มหาปราชญ์มามาคราย  บางชื่อนั้น อาจมีปรากฎอยู่บนโลกนี้ ในฐานะตำนานหรือเรื่องเล่าอันเก่าแก่ เปลี่ยนแปรไปตามความเชื่อของมนุษย์แต่ละยุคสมัย”

            ราเคียร์ถ่ายทอดเรื่องราวลึกลับซับซ้อน ประหนึ่งกำลังทำเพียงเล่านิทานปรัมปรา ที่ไม่จำเป็นต้องค้นหาที่มาที่ไปแต่อย่างใด  มนุษย์ต่างดาวยังคงพูดต่อไป  โดยมีมนุษย์โลกเพศชายสองคนที่ถูกเรื่องไร้สาระนี้ดึงดูดให้ตั้งอกตั้งใจฟัง ชนิดละความสนใจไปจากผู้เล่าไม่ได้ แม้แต่วินาทีเดียว

            “ไคเมร่า ชื่อของสัตว์ร้ายในเทพกรณัมกรีก  หัวเป็นสิงโต  ตัวเป็นแพะ  หางเป็นมังกร  นั่นเป็นมุมมองที่สายตาของมนุษย์ในสมัยก่อนมองเห็น  และข้าก็ไม่ปฏิเสธต่อความจริงที่ว่า ราชินีของเรานั้น นางดุร้ายและเย็นชา  ทั้งความสามารถอันเป็นอนันต์ของราชินีไคเมร่า ก็คือ...”

            คำพูดหยุดลงชั่วขณะ  ราเคียร์ชูช้อนที่เปื้อนคราบน้ำกะทิขึ้นตรงหน้าของตัวเอง  ก่อนกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าอันราบเรียบจริงจัง ผิดไปจากยามปกติธรรมดา

            “...นางสร้างพวกเราขึ้นมามากมาย  ดังนั้น  นางจึงสามารถควบคุม หรือใช้ความสามารถของตนใดก็ได้  เมื่อไหร่ก็ได้  ตามแต่นางจะปรารถนา  ข้าเองเป็นเหมือนกับช้อนคันนี้  เป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์  ไม่ว่าจะใช้ในทางสร้างสรรค์หรือทำลาย  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ขององค์ราชินี”

            มีความเจ็บปวดฉายชัดขึ้นบนใบหน้าสวยชั่วขณะ  เมื่อเจ้าตัวเลือกที่จะถ่ายทอดคำพูดของตนต่อไป ขณะเบนสายตาหันมองไปทางร่างของแม่ ผู้กำลังก้าวออกมาจากห้องครัว
 
            “ข้าไม่ชอบสงครามหรือการฆ่าฟัน  เพราะข้าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและความตาย  ข้าชอบการเรียนรู้และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ  อาจเป็นเพราะเหตุนี้  เอมานถึงได้สร้างและมอบร่างกายนี้ให้แก่ข้า  เพื่อให้ข้าได้มีโอกาสทำตามอำเภอใจบ้าง ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่ข้าจะจากไป..”
 

            นางปวีณาลำเลียงเอาจานใส่อาหารวางบนโต๊ะกินข้าว เพื่อนำมารับรองแขกและลูกชายที่ยังไม่ได้ทานมื้อกลางวันกันมา  หญิงวัยกลางคนชะงักไปนิด เมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง โดยราเคียร์ผู้ลุกขึ้นจากโซฟา ก้าวตรงเข้าไปหาและกอดอีกฝ่าย โดยไม่ได้ปริปากพูดอะไร

            มือที่เริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่นของแม่เอื้อมไปทางด้านหลัง วางบนศีรษะของอีกฝ่ายและลูบไปมาเบา ๆ  นางปวีณาพูดคุยกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอันอ่อนโยน  เมื่อคืนนี้เอง ที่ราเคียร์ได้ตัดสินใจปรับคลื่นสมองของแม่เสียใหม่  ให้แม่ของบ้านนี้ได้กลับมามองเห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว ตัวเธอเป็นใคร  แม้ก่อนหน้านี้ แม่เริ่มระแคะระคายขึ้นมาบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่อยากยอมรับความจริงเท่านั้นเอง

            แม้รู้สึกเสมือนหนึ่งตื่นจากฝันดี มาสู่ความจริงอันโหดร้าย  สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ คือ เชื่อมั่นและเฝ้าภาวนาให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย  แคล้วคลาดจากภัยอันตราย  และกลับคืนมาสู่อ้อมอกได้ในสักวันหนึ่งข้างหน้า
 
            “แม่ขอบใจนะ  ขอบใจที่ทำให้แม่มีความสุข แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ  ขอบใจที่ทำให้แม่เผชิญหน้ากับความจริงและยอมรับมันได้  ไม่ว่าหนูจะเป็นใครหรืออะไร  ตอนนี้ เราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันนะ ราเคียร์”
 

            ไม่มีใครเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวร้องไห้  ราเคียร์เองก็ไม่ได้ร้องไห้  มีเพียงคลื่นความรู้สึกบางอย่างที่สะทกสะท้อนอยู่ข้างในให้ใจหวิวไหว  มันเป็นอารมณ์และความรู้สึกที่ทำให้ตนนั้นเริ่ม ‘เข้าใกล้’ และ ‘ใกล้เคียง’ กับการเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกที
 
 

 
++++++++++++++++++++++++++++++




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2563
0 comments
Last Update : 1 กรกฎาคม 2563 14:39:32 น.
Counter : 534 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zionzany
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เขียนนิยาย

ปลดปล่อยจินตนาการ

ไม่ยึดติดกับแนวไหน

เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..

เท่าที่เราสามารถแผ่

กิ่งก้านความสามารถ

ออกไปสู่โลกกว้างได้

ยินดีต้อนรับทุกคน

สู่โลกของ zionzany

ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
แต่งนิยายทำร้ายผู้อ่าน ..Tcell H-A-V.. ..Tacticle Ball.. ..Kiss Myself.. ..ZhuXian จูเซียน.. ..เพียงฝันนี้ ศรีสุวรรณ.. อยากคูล อยากคัลท์ อยากมันส์ ที่สำคัญ อยาก-เขียน-ให้-จบ Let's rock Baby
New Comments
Friends' blogs
[Add zionzany's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.