|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ภาวะที่ 22 : แลกเปลี่ยน
ขอบคุณภาพปกนิยาย จากคุณ ApitarN ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ เ ธ อ....... เ ธ อ......... เ ธ อ............... เ ธ อ..................... ความมืดมิดภายใต้เปลือกตาปิดกั้นแสงสว่าง ทั้งหนักเกินกว่าจะสามารถลืมตาขึ้นได้ในทันที ร่างกายแข็งไปหมด ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ดังใจ เป็นไปตามอาการของคนที่พยายามปลุกตัวเองให้ฟื้นตื่นขึ้นมา ธีรา พินิจใจ รู้สึกรำคาญเสียงพร่ำเรียกจากใครสักคนเป็นอันมาก เสียงนั้นไม่อาจฟังให้ได้ยินชัดถนัดหู ซ้ำยังพยายามปลุกเธอจากความฝันอันแสนหอมหวานอีกด้วย
“ใครอีกล่ะ เรียกทำไม เงียบนะ ! บอกให้เงียบไง !”
เธอพูดอย่างขุ่นเคืองทั้งที่ยังไม่อาจลืมตา สัมผัสอันหนาวเย็นของพื้นผิวโลหะ ทำให้รับรู้ว่า ตนกำลังนอนอยู่ในที่แปลก มาถึงตอนนี้ ธีราจดจำห้วงแห่งฝันไม่ได้แล้ว คงเหลือเพียงความรู้สึกขัดใจที่ต้องถูกพรากจาก ‘ฝันดี’ ราชินีทีเซลล์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความขุ่นเคืองใจ
เด็กผู้ชายตรงหน้านี่เองที่เป็นตัวการสำคัญ เด็กชายคนดังกล่าวยังคงรัวเคาะกระจกใสแผ่นหนา ที่กางกั้นระหว่างตนและธีราอย่างไม่ยอมหยุดมือ ทั้งยังเปล่งเสียงอู้อี้ที่ธีราได้ยินไม่ถนัดไม่ขาดปาก
“อะไร.. กัน.. เนี่ย”
คำอุทานอย่างพิศวงงงงวยมีให้แก่สิ่งแวดล้อมใหม่แปลกตา ธีราพบตัวเองถูกกักขังให้อยู่ภายในห้องกระจกอันแสนแคบ ซึ่งมีพื้นที่เพียงไม่กี่ตารางเมตรเท่านั้น ซ้ำร้ายพื้นที่รองอยู่ข้างใต้ก็เป็นแผงโลหะหนาหนักอันแสนเย็นเฉียบ ดูเหมือนทางเดียวที่จะสามารถออกจากห้องนี้ได้มีเพียงด้านบน หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองดูครอบแก้วซึ่งทำเหมือนเป็นฝาปิดแน่นหนา สูงขึ้นไปร่วมสี่เมตรจากการคาดคะเนของสายตา ดูเหมือนว่า ในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับคิดเรื่องหนี หรืออะไรทั้งนั้น
ธีราหักเหความสนใจมายังเด็กชายตรงหน้าอีกครั้ง กำแพงกระจกแผ่นหนาสกัดกั้นได้แม้กระทั่งกระแสเสียงที่พยายามส่งมาถึง สีหน้าของเด็กชายแสดงออกชัดเจนถึงความเป็นกังวลห่วงใย แม้ยังอยู่ในท่านั่งครึ่งนอน แต่ธีราก็ค่อยกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ ยกมือขึ้นทาบไปบนกำแพงที่กางกั้นระหว่างกัน ก่อนเอ่ยถาม
“ใคร ? น้องเป็นใคร ?” “อมิน... เราชื่ออมิน... อมิน.... ได้ยินรึเปล่า... อย่ากลัวเรานะ... เราชื่ออมิน”
ภาพของเด็กผู้ชายวัยแรกรุ่น อายุอานามราวสิบกว่าปี ผู้กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสื่อสารกับตน ทำให้ธีรารู้สึกแปลก เธอสังเกตเห็นรอยจ้ำจุดจำนวนมากกระจายไปตามท้องแขนอันผอมบางนั้น บางที เด็กคนนี้อาจจะป่วย หรือไม่ก็อาจถูกกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีก็เป็นได้ เธอแน่ใจว่า สถานที่แห่งนี้คงไม่ใช่โรงพยาบาล แม้จะกวาดตามองดูโดยรอบแล้วมองเห็นเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่าง ที่ดูคล้ายคลึงกับเครื่องมือแพทย์อยู่บ้างก็ตาม
“อมินเหรอ ต้องการอะไร ?” “หนี !......เธอต้องหนีไปนะ......หนีไปจากที่นี่”
ธีราได้ยินไม่ถนัด แต่สามารถมองเห็นและอ่านจากริมฝีปากของอีกฝ่าย จนพอจะเข้าใจสิ่งที่เด็กชายต้องการสื่อสาร
-- หนีหรือ.. ทุกครั้งที่ตนพยายามจะหนี มันมักตามมาด้วยหายนะเสมอ พอแล้วล่ะ ขออยู่เฉย ๆ ดีกว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป --
พอคิดแบบนี้แล้ว ราชินีทีเซลล์ก็ถอนหายใจออกมาเหมือนอย่างคนปลงตก
อาการสั่นหน้าน้อย ๆ แทนการปฏิเสธของบุคคลผู้ถูกขังอยู่ในห้องกระจก ดูจะยิ่งทำให้เด็กชายอมินยิ่งมีอาการร้อนรน เขาแอบเฝ้าดูตั้งแต่วินาทีแรกที่ผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ ถูกนำตัวมาที่นี่ในสภาพไม่ได้สติ ถูกมัดห่อตัวมาอย่างแน่นหนาด้วยเครื่องพันธนาการตั้งแต่หัวจดเท้า สถานะสุดแสนอันตรายถูกย้ำชัดด้วยการถูกนำตัวมากักไว้ในที่คุมขังแบบพิเศษ ซึ่งมีไว้ใช้กับพวกกลายพันธุ์โดยเฉพาะ ตามปกติแล้ว อมินไม่เคยลงมาก้าวก่าย หรือแทรกแซงการดำเนินงานของห้องทดลองชั้นใต้ดิน ทว่าในครั้งนี้ เขาไม่อาจอดรนทนอยู่เฉยได้ เนื่องด้วยทีเซลล์ในร่างของตนได้เคลื่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ปล่อยพี่ไว้อย่างนี้แหละ พี่อยากตาย”
ช่างเป็นอะไรที่น่าขัน กับการมานั่งรำพึงรำพันเรื่องตายต่อหน้าเด็ก แต่ทว่าตอนนี้ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนแล้วแต่วิปริตผิดธรรมดาไปเสียทั้งหมดแล้วสำหรับธีรา สำนึกสุดท้ายที่พลันตระหนักรับรู้ว่า ตนได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปอย่างเต็มตัวแล้วนั้น มันทำให้เธอเกิดอาการหมดอาลัยตายอยาก นึกแต่อยากจบชีวิตเสียให้พ้นไปจากชะตากรรมอันน่าบัดซบนี้เหลือเกิน “_อมิน_”
เสียงเรียบเย็นซึ่งดังกังวานมาจากทางด้านหลัง ส่งผลให้เด็กชายสะดุ้งโหยงสุดตัว เมื่อหมุนตัวหันกลับไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่เพิ่งสืบเท้าก้าวเข้ามา อมินก็ได้แต่ก้มมองลงต่ำ พาตัวเองหลบเลี่ยงจากสายตาที่ยากจะอ่านอารมณ์ หรือความรู้สึกใด ๆ ได้นั้น
“_นายควรกลับขึ้นไป เคยบอกแล้วใช่ไหมว่า อย่าลงมาที่นี่อีก มันอันตราย_”
วสันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สายตาของเขาเคลื่อนจากร่างพี่ชาย ย้ายไปจับจ้องยังอีกร่างที่ถูกกักขังไว้ในห้องกระจก ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายเองก็กำลังจ้องมองดูเขาอยู่เช่นกัน
“วสันต์ นายอย่าทำอะไรผู้หญิงคนนี้ได้ไหม เรารู้สึกน่ะ ทีเซลล์.. มัน เอ่อ มัน..” “_ฉันรู้แล้ว อมิน ฉันรู้ ฉันจะไม่ทำอะไร อย่างน้อยก็ตอนนี้_” “อย่าฆ่าเธอ วสันต์ ช่วยเธอนะ ช่วยเธอให้พ้นไปจากที่นี่” “_มันขึ้นอยู่กับตาเฒ่านั่น ถ้านายอยากจะช่วยด้วย ก็กลับขึ้นไปข้างบน แล้วทำตัวให้เป็นปกติ นายเข้าใจใช่ไหม แล้วฉันจะทำ สิ่งที่ฉันสามารถทำได้_” “..เข้าใจแล้ว”
สุดท้ายเด็กชายอมินก็จำต้องรับคำและล่าถอยไป เขาหันไปโบกมือเหมือนบอกลาผู้หญิงแปลกหน้า ก่อนค่อยเดินคอตกหายลับไป หลังบานประตูนิรภัยที่ปิดสนิทลงอีกครั้ง
ราชาน้ำแข็งยังคงใช้สายตาอันเยียบเย็น จับจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งนานอยู่พักใหญ่ จังหวะที่ชายหนุ่มหันหน้าไปทางอื่น จึงเปรียบเหมือนโอกาสให้ธีราได้ระบายลมหายใจ คลายอาการอึดอัดลงได้บ้าง ร่างสูงที่มีกล้ามเนื้อสมตัว ก้าวเข้ามาใกล้จนเกือบยืนชิดผนังกระจก มืออันเรียวยาวไล้ไปบนตำแหน่งหนึ่งบนบานใส ซึ่งปรากฎแสงขึ้นมาให้เป็นหน้าจอระบบสัมผัสในทันที แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีอันล้ำสมัย จากนั้นช่องกระจกที่เป็นเหมือนประตูล่องหนก็เปิดออก เพื่อให้วสันต์ได้ก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดข้างใน ด้วยท่าทางอันสุขุมนุ่มลึก คล้ายไม่มีอาการกริ่งเกรงหรือหวั่นกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่มีใครรู้ว่า วสันต์กำลังคิดอะไร ท่ามกลางท่าทีสงบนิ่งเฉยชาเหมือนไม่รู้สึกอันใด แต่ที่ไหนสักแห่งภายในร่างกาย กระแสความตึงเครียดกำลังแผ่ซ่านไปทั่วอย่างเงียบเชียบ
“ฉันจำแกได้ แกเป็นหนึ่งในพวกคนร้าย ในคืนนั้น”
เพียงประโยคแรก ธีราก็เป็นฝ่ายเปิดฉากขึ้นก่อนในทันที ความทรงจำถึงคืนวันอันเลวร้าย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ พลันแจ่มชัดขึ้นมาในหัว เธอไม่เคยลืมภาพเงาของชายใส่แว่นผู้แสดงท่าทางเย็นชา คนตรงหน้าเป็นหนึ่งในคนร้ายที่สมคบคิดกระทำการอุกอาจ ร่วมกับชายผมทองตัวใหญ่และพิจิก
-- พิจิก ! พอคิดถึงเจ้าของชื่อนี้ขึ้นมา ในใจก็พลันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก -- “_น่ายินดี...ที่เธอยังจดจำฉันเอาไว้ในนี้นะ ธีรา พินิจใจ_”
นิ้วชี้ข้างหนึ่งของชายแปลกหน้า เลื่อนขึ้นมาแตะตรงขมับ ดั่งต้องการสื่อว่าหมายถึงสมอง วสันต์ย่อตัวลงนั่งข้างหน้าของหญิงสาว ด้วยท่าทางเป็นกันเองและแสนสบาย และนั่นทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกงุนงงแกมประหลาดใจ ธีราแสดงออกมาทั้งหมดบนใบหน้าของตนอย่างไม่ปิดบัง
“_สัตว์ประหลาด ตัวอันตราย ปีศาจ ชื่อพวกนี้ มันหมายถึงเธอที่ตอนนี้ พวกคนข้างนอกนั่นใช้เรียกกัน เธอเองก็รู้ตัวดีแล้วใช่ไหม_”
“ไม่กลัวรึไง ฉันอาจจะฆ่า หรือ กินแกเข้าไปตอนนี้เลยก็ได้นะ”
“_กลัวหรือ กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัวล่ะ ข้างในนี้ มันกลัวจนสั่นไปหมด_” ราชาน้ำแข็งยกมือขึ้นทาบทับเหนืออก ตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง “_น่าแปลกไหม ทั้งที่มันไม่ได้รู้สึกอะไรมานานแล้ว แต่ตอนนี้ฉันกลับมารู้สึกอีกครั้ง ถึงจะไม่มากก็เถอะ ฉันยินดีให้เธอฆ่าฉันเลยนะ ถ้ามันจะทำให้ฉันรู้สึกมากขึ้นกว่านี้_”
“นี่มันบ้า..” ธีราพึมพำออกมา แต่ยังคงมองสบสู้สายตาของอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
“_ก็คงใช่ มันบ้ามาตั้งแต่แรก ไอ้สิ่งที่อยู่ในตัวเราทั้งคู่ มันทำให้เราเป็นบ้า และฉันก็บ้ายิ่งกว่า ที่คิดเพ้อฝันไปว่า จะสามารถรักษามันให้หายไปได้_”
หญิงสาวหรี่ตา เขม้นมองหน้าอีกฝ่าย ทำราวกับไม่เชื่อในถ้อยความที่เพิ่งได้ยินผ่านหูไป รักษา.. ผู้ชายคนนี้เพิ่งพูดคำว่า รักษาใช่ไหมนะ !?
วสันต์ยังพูดต่อไป ด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบจนเกือบเสมือนไร้ซึ่งความรู้สึก
“_เธอคงคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้สินะ คงคิดว่า คนอย่างฉันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรใช่ไหม แต่เธอได้เจอกับอมินแล้ว เด็กผู้ชายเมื่อสักครู่..คือเหตุผลทั้งหมด ที่ฉันต้องการหาหนทางเพื่อรักษา_” “เด็กคนนั้น...” “_ใช่ เขาชื่อ อมิน และเขาเป็นพี่ชายของฉันเอง_”
คำพูดดังกล่าวเปรียบประดุจน้ำเย็นจัด ที่สาดซัดเข้าใส่หน้าของหญิงสาว ความรู้สึกบางอย่างแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจ แม้แต่น้ำตาที่ธีราเคยคิดว่า แห้งเหือดหายไปจนสิ้นแล้ว ก็ยังกลั่นตัวออกมาหยดหนึ่ง มันอาจเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมอันโหดร้ายของผู้อื่น หรืออาจเป็นความหวังที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
“_ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะฉันเองก็ไม่เคยเชื่อ หรือไว้ใจใคร หรืออะไรทั้งนั้น เธอเองก็ได้รับบทเรียนเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว น่าจะเข้าใจดีที่สุด ฉันอาจจะช่วยให้เธอพ้นไปจากที่นี่ก็ได้ หรือเลือกที่จะไม่ช่วยก็ได้ เหมือนกับที่เธอต้องตัดสินใจว่า จะช่วยฉัน หรือไม่ช่วยก็ได้_”
“แล้วฉันจะช่วยอะไรได้ ดูสิ ขนาดช่วยเหลือตัวเอง ฉันยังทำไม่ได้เลย”
ธีราก้มลงมองดูตัวเองในชุดคลุมตัวสีเขียว ดูคล้ายชุดผู้ป่วยตามโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าชุดดังกล่าวนี้มาได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่า เนื้อผ้าอันบางเบานี้ไม่อาจช่วยป้องกันความเย็นหนาว ของอุณหภูมิในห้องกระจกนี้ได้เลย อีกทั้งพื้นตะแกรงเหล็กใต้ฝ่าเท้ายามนี้ก็เย็นจัด ประหนึ่งเป็นการทรมานกันอย่างเห็นได้ชัด
“_ถ้าจะกรุณา ฉันอยากให้เธอช่วยรักษาอมิน เหมือนอย่างที่เธอทำให้แก่ราชาสีขาว _”
“ราชาสีขาว.. ฆีมษ์เหรอ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ดูเหมือนการเอ่ยพาดพิงถึงบุคคลหนึ่ง จะทำให้ราชินีทีเซลล์มีปฏิกิริยาตื่นตัว วสันต์ลอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่าย และเก็บทุกรายละเอียดเอาไว้ในหัวและในใจ
“_เขากลับมาเป็นปกติ ไม่สิ.. ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ_”
อาการเผลอตัวถอนหายใจ ก่อนยิ้มออกมาอย่างโล่งใจให้ได้เห็นนั้น ทำให้บุรุษผู้มีหัวใจน้ำแข็งรู้สึกริษยาขึ้นมาวูบหนึ่ง ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในตัวอีกฝ่ายลดน้อยถอยลง แต่ยังคงมีความระแวงระไว ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกบางอย่างเริ่มเข้ามาแทนที่ความเย็นชา นับเป็นครั้งแรกที่วสันต์พอจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของไอ้เด็กซ่าพิจิก ที่มีต่อคนตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว
ความรู้สึกอยากเอาชนะ อยากครอบครอง มันเป็นความลุ่มหลงในสิ่งซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้.. ฝ่ามือของราชาน้ำแข็งทาบกด แนบไปกับตะแกรงเหล็กเบื้องล่าง ค่อย ๆ ปลดปล่อยอุณหภูมิความเย็นจากความสามารถของทีเซลล์ เพื่อทำให้อุณหภูมิภายในกรงแก้วนั้น ลดต่ำลงไปอีกอย่างรวดเร็ว
“_ถ้าเธอช่วยฉัน ฉันก็จะช่วยเธอ ว่ายังไงล่ะ เรามาแลกเปลี่ยนกันไหม_”
ผนังกระจกเริ่มขึ้นฝ้าขาวมัว บดบังการมองเห็นรอบด้าน ธีราเริ่มหนาวจนตัวสั่น หนาวจนพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอควัน คู้ขาทั้งสองขึ้นบดเบียดกัน ยกสองแขนขึ้นกกกอดตัวเอง ดั่งต้องการรักษาความอบอุ่นให้มากที่สุด เท่าที่ตนจะสามารถทำได้
“อย่า.. อย่าทำแบบนี้”
เธอร้องออกมาเสียงสั่น เมื่อถูกสวมกอดโดยคนแปลกหน้า อ้อมกอดดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันใด แต่มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป กระทั่งรู้สึกตัวอีกที ธีราก็พบตัวเองถูกอีกฝ่ายสวมกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ชนิดร่างแนบร่าง สัมผัสอุ่นร้อนจากผิวเนื้อของร่างกายมนุษย์ส่งผ่านมา เป็นความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวที่แทรกซึมผ่านมาได้ ท่ามกลางความเย็นหนาวอันแสนทารุณ ราวกับถูกแช่อยู่ในก้อนน้ำแข็ง
ใบหน้าของวสันต์แนบชิดอยู่ด้านข้าง เสียงเรียบต่ำไร้อารมณ์นั้น ธีราได้ยินชัดเจนอยู่ใกล้หู
“_มันหนาวใช่ไหม ถ้าเป็นเธอล่ะก็.. ต้องทำได้แน่_” “ทะ ทำ อะ อะไร”
ธีราพูดปากคอสั่น ฟันบนล่างกระทบกันไม่หยุด ไม่เข้าใจในคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้ ร่างกายก็เลิกขัดขืน ยอมรับความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้น แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็ตามที
“_ทำให้ความหนาวมันหายไป ฟังให้ดีนะ ฉันไม่สนใจหรอกว่า เธอจะเป็นสัตว์ประหลาดหรือตัวอะไร ตราบเท่าที่เธอสามารถทำให้ฉันรู้สึก..เหมือนถูกหลอมละลายได้ ฉันจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ เพียงแค่บอกมันออกมา_”
ทั้งงุนงงสงสัยและไม่เข้าใจ ธีราอยากร้องถามด้วยคำว่า ‘ทำไม’ แต่ดูราวกับว่า ณ ช่วงเวลานั้น การปล่อยให้ความเงียบไหลเวียนในกรงขังดูจะเป็นการดีเสียกว่า หญิงสาวนึกอยากฟังต่อไป อยากรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร และคิดจะทำอย่างไรกับตนต่อไปด้วยเช่นกัน
อุณหภูมิอันแสนทารุณค่อยบรรเทาเบาบางลง พร้อมกันกับที่ร่างของชายผู้ที่ถือวิสาสะสวมกอดตน ผละถอยห่างออกไป วสันต์ลุกขึ้นยืนด้วยความสูงเต็มกายอีกครั้ง แว่นสายตาของเขาเวลานี้ถูกบดบังด้วยฝ้าขาว จนไม่อาจมองเห็นแววตาภายใต้เลนส์บางเฉียบ
แต่กระนั้น ธีราก็ยังคงช้อนสายตามองตามขึ้นไป สายตาของเธอเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย ทั้งสับสนต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้
“_ชีวิตของเธอต่อจากนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเธอเอง ถ้าหากต้องการอยู่รอดปลอดภัย ได้รับการรักษา ก็จงทำตามที่ฉันจะคอยบอก แต่ถ้าปรารถนาที่จะถูกกำจัด หรือตาย ก็ดิ้นรนไปตามที่เธอต้องการก็แล้วกัน ฉันจะพูดแค่นี้แหละ_”
ดวงหน้าอันเฉยชาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบราบเรียบ ราวกับว่า คำพูดชวนระทึกใจก่อนหน้า เป็นเพียงแค่เรื่องโกหก
“_แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าหากเธอยอมแลกเปลี่ยนกับฉัน ฉันก็จะรักษาสัญญาคำพูด_” “ฉันไม่เข้าใจ แกคิดจะทำอะไรกันแน่”
มือเรียวยาวของบุรุษทาบจับบนผนังกระจก แล้วประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ราชาน้ำแข็งยกนิ้วชี้ขึ้นดันแว่นสายตาให้เข้าที่ เผยให้เห็นรอยยิ้มบางเล็กน้อย ก่อนเอ่ยโต้ตอบราชินีทีเซลล์เป็นครั้งสุดท้าย
“_ฉันน่ะหรือ ฉันก็แค่..ทำงานของฉันอย่างไรล่ะ_”
ประตูกลไกไฮเทคปิดสนิทลงอีกครั้ง พร้อมกับความคิดบางอย่างในหัวของวสันต์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ราชาน้ำแข็งยกมือขึ้นขยับจัดแว่นบนใบหน้าอีกครั้ง ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด ความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องพองตัวอยู่ข้างใน แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มันจะเป็นอย่างไรกันนะ.. ถ้าเรามีโอกาสได้ควบคุมและครอบครอง อาวุธชีวภาพที่ทรงพลานุภาพที่สุดของโลกนี้ สัตว์ประหลาดที่แม้บาดเจ็บก็สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ตลอดเวลา หรือแม้ตายสักกี่ทีก็สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ใหม่ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา วสันต์ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นราชา หรือแม้กระทั่งเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง เพราะคอยแต่ต้องทำตามความประสงค์ของคนอื่นมาโดยตลอด
แม้ว่าคำพูดทั้งหมดนี้ อาจเป็นเพียงแค่แผนการ หรือเป็นเพียงคำพูดลวงหลอก เพื่อทำให้ผู้หญิงคนนี้เกิดความสับสนลังเลใจ แต่ก็นับว่า ราชาน้ำแข็งประสบความสำเร็จในการชักจูงจิตใจคน หรืออนึ่ง ‘สิ่งที่เคยเป็นคน’ ให้เจ้าสิ่งนี้มองตนเป็นทางเลือกเดียว เพื่อการดำรงอยู่รอด
วสันต์ตั้งใจที่จะไม่ทำการทดลองอะไรกับธีรา เพราะสิ่งที่สมบูรณ์แบบในตัวของมันเองแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องดัดแปลงแก้ไข แผนการเดียวที่เขาจะเดินหน้าต่อไป นั่นคือ ทำให้ชีวิตจิตใจส่วนที่ยังเป็นมนุษย์ของสัตว์ประหลาดเพศเมียตัวนี้ ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิง เนิ่นนานเหลือเกิน...ที่เขาปล่อยตัว ยอมให้ทีเซลล์เข้าควบคุมร่างกาย ทั้งจิตใจเองก็เหมือนถูกความมืดมิดกลืนกินจนเกือบหมดสิ้น
เมื่อวันหนึ่งมาถึง วันที่ตนปรารถนาหรือร้องขอต่อความตาย เขาเองก็อยากจะถวายตัวตนอันแสนมืดมนที่เรียกว่า ‘วสันต์’ ให้เป็นพลีเครื่องบูชา แด่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
สำหรับตอนนี้ เพียงคำขอเดียวเท่านั้นที่ถูกกลบฝังอยู่ภายใต้ชั้นน้ำแข็ง ความปรารถนาเดียวที่ตนเคยเฝ้าวิงวอน นั่นก็คือ ขอให้ใครหรืออะไรก็ได้ ก้าวเข้ามาช่วยทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้น หรือรู้สึกได้อีกสักครั้ง
..รัก โลภ โกรธ หลง ตื่นเต้น ยินดี หรืออะไรก็ได้.. ขอเพียงแค่เขาได้กลับมาลิ้มรสความรู้สึกเหล่านี้อีกสักหน
เพียงพอแล้ว สำหรับรสขมของ ‘ความกลัว’ และ ‘ความเกลียดชัง’ อันแสนคุ้นชิน +++++++++++++++++++++++++++++
พิจิกกำลังนั่งอยู่ที่ร้านข้าวต้มข้างทาง กับผองเพื่อนสองสามคน ชักชวนกันออกมาหาอะไรกินตอนหัวค่ำ ตามปกติประสานักศึกษาที่เช่าหอพักอยู่ตามลำพัง อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ครบสี่ปี ตามกำหนดหลักสูตรการศึกษา โชคยังดีที่ตนไม่ได้หัวดีก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับย่ำแย่สักเท่าไหร่ ยังพอจะเรียนจบได้แบบหวุดหวิด ทางบ้านจะได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขามากนัก
ตั้งแต่กลับมาจากเหตุเรียกรวมตัวครั้งล่าสุด ราชาแมงป่องไม่อาจสลัดภาพที่คอยรบกวนให้พ้นไปจากหัวสมองได้เลย ชายหนุ่มยังคงวนเวียนแต่นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่วสันต์เรียกมันว่า ‘ผีเสื้อสวยงามที่ออกมาจากดักแด้’ ถึงตอนนี้ มีแต่ความหวั่นไหว คลางแคลงใจ แทงรากชอนไชไปทั่วจิตใจของพิจิก มุมมองที่มีต่อธีราเปลี่ยนแปลงไป ถึงแม้ความกังวลห่วงใยยังคงมีอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่ไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ชวนสยองเหล่านั้น ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงจะตีรวนขึ้นมา ควบคู่ไปกับความชิงชังอย่างไม่อาจควบคุมได้
พิจิกตกอยู่ในสภาพทำอะไรไม่ได้เลย.. ไม่ได้ว่าจะเป็นด้านความรู้สึกนึกคิด หรือแม้แต่การขยับเคลื่อนไหวของตน
เพราะหากวู่วาม เสี่ยงทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี เขาก็อาจได้มีสภาพไม่ต่างไปจากราชาวิปลาส ผู้ซึ่งเพิ่งหมดสภาพไป
ถึงตอนนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ตัวเองหวั่นกลัวใครมากกว่ากัน ระหว่างคิงจากับธีรา..
เสียงรายงานข่าวจากโทรศัพท์มือถือของเพื่อน ที่เปิดดูไปด้วยระหว่างมื้ออาหาร เป็นตัวดึงพิจิกออกมาจากภวังค์ เขาตักอาหารใส่ปาก พลางเงี่ยหูฟังผู้ดำเนินรายการสองคน ที่กำลังสนทนากันเกี่ยวกับเหตุการณ์ประหลาดล่าสุดเมื่อคืนวาน เหตุการณ์ซึ่งกลายเป็นกระแสที่ผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในเวลานี้
ข่าวที่ว่าเป็นเรื่องของวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ ที่นัดรวมตัวกันไปซิ่งรถแข่งกันยามราตรี ซึ่งจู่ ๆ ก็พากันหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ นับได้เกือบยี่สิบกว่าคน ไม่เว้นแม้แต่หญิงหรือชาย ทั้งหมดถูกลำเลียงส่งโรงพยาบาลด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างรุนแรง บางคนที่มีอาการบาดเจ็บร่วมด้วย ต่างพูดยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาพยายามต่อสู้ขัดขืนชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้น ก่อนเข้ามาจู่โจมพวกตนอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ทางตำรวจยังไม่มีข้อมูล หรือสามารถสรุปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ข่าวสารที่แพร่กระจายออกไปแตกออกเป็นหลายกระแส บ้างก็คาดเดาว่า คนร้ายอาจเป็นคนบ้าหรือคนจรที่อาศัยอยู่แถวนั้น บ้างก็พูดกันว่า วัยรุ่นพวกนี้อาจมั่วสุมเสพยาแล้วมีอาการหลอนกันไปเอง เพราะในเนื้อข่าวมีการตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะของบางคนที่ตกเป็นผู้เสียหาย
“ถ้ามีคนร้ายจริง ๆ คนที่ทำเรื่องนี้ คิดว่าเป็นพวกแบบเดียวกับนายหรือเปล่า พิจิก”
เพื่อนคนหนึ่งที่ค่อนข้างสนิทและรู้เรื่องของพิจิกดี เอ่ยถามขึ้นมากลางวง ชายหนุ่มเจ้าของผมยาวสีเทาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหมือนแปลกใจอยู่บ้างที่ถูกถาม พิจิกยังคงตักอาหารใส่ปากต่อ ทำหน้าเหมือนไม่ใส่ใจ พร้อมกับตอบคำถามนั้นไปด้วย
“..ก็เป็นไปได้ แต่ไอ้คนนั้นมันต้องเก่งมาก ๆ เลยนะ ถึงขนาดสู้กับคนเป็นฝูงได้ขนาดนั้น และต่อให้หิวมากแค่ไหนก็เถอะ กินเซลล์แค่คนสองคนก็เหลือแหล่แล้ว กินที..ยี่สิบสามสิบคนแบบนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“นั่นน่ะสิ ยังมีคนที่เก่งกว่านาย เก่งกว่าพวกไตรราชาแห่งความกลัวด้วยหรือ ถ้าไม่นับสัตว์ประหลาดนั่น..”
คนพูดมีเหตุให้ต้องชะงัก สงบปากสงบคำ หลบสายตาวูบ เมื่อโดนสายตาอันน่ากลัวของพิจิกมองสวนกลับไป แทบจะในทันที
“เอ่อ ขอโทษนะ ฉันปากไม่ดีเอง” “อย่าพูดแบบนี้อีก ไม่งั้นนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างนายกับฉัน” “ขอโทษจริง ๆ ฉันจะไม่พูดอีกแล้ว สัญญา”
เมื่อบรรยากาศกร่อย อาหารก็ย่อมไร้รสชาติ พิจิกวางช้อน ลุกขึ้นยืน พร้อมกับวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะ ก่อนเดินพรวดพราดออกไปแบบไม่สนใจใคร ทิ้งให้พวกเพื่อนนั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ ส่งสายตาตำหนิกล่าวโทษคนปากดี ผู้บังเอิญล่วงละเมิดไปแตะโดนเรื่องต้องห้ามเข้าจนได้
ทุกคนในกลุ่มราชาแมงป่องต่างรู้ดีว่า พิจิกมีปฏิกิริยากับเรื่องน่ากลัวนี้อย่างไร แม้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดหรือแสดงออกมา แต่พวกเขาก็จับสังเกตได้ว่า หัวหน้ากลุ่มของตนแลดูกลัดกลุ้ม ไม่ร่าเริงเหมือนเช่นเคย
ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่า พิจิกรู้สึกอย่างไร และแม้แต่เจ้าตัวที่เพิ่งลุกหนีไปเองก็เช่นกัน
ผมยาวสีเทาเข้มพลิ้วไหวไปตามแรงลมที่โชยอ่อนมา พร้อมกับกลิ่นของพฤกษาในยามราตรี เวลานี้ ราชาแมงป่องพาตัวเองมานั่งทอดอารมณ์ อยู่ภายในสวนสาธารณะที่อยู่ติดริมคลองเล็ก ๆ สายหนึ่ง ในมือของเขามีบุหรี่ซองหนึ่งที่เพิ่งแวะซื้อติดมือมา ปกติแล้ว พิจิกไม่ได้นิยมชมชอบที่จะเสพสารนิโคตินผ่านการสูบพ่นควัน แต่ในบางครั้ง กลิ่นของมันและความร้อนที่เผาไหม้ตรงปลายมวน เหมือนช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย สงบลงได้อย่างน่าประหลาด
บางครั้งบางคราว ชายหนุ่มก็ทำเพียงแค่จุดไฟ แล้วปล่อยให้มันเผาไหม้ตัวเองกลายเป็นไอควัน ลอยอ้อยอิ่งหายไปในอากาศเท่านั้น
ขณะที่กำลังนั่งทอดอารมณ์ เหม่อมองดูแสงไฟยามราตรีจากบ้านเรือน และจากยวดยานพาหนะที่สัญจรแล่นผ่าน หูแว่วได้ยินเสียงคนส่งเสียงเอะอะโวยวาย มันเป็นเสียงของพวกคนที่กำลังสำเริงสำราญกับการล่า เสียงกระซิบกระซาบแห่งการทำเรื่องที่ชั่วร้าย พิจิกอัดควันบุหรี่เข้าปอดทีหนึ่ง ก่อนบอกตัวเองว่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่ตนจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแต่ประการใด ละแวกนี้มีพวกขี้ยาเพ่นพ่านไปทั่ว ถ้ามัวแต่สนใจคนอื่นก็อาจตกเป็นเป้าหมายของการปล้นจี้ชิงทรัพย์เอาเสียเอง
“เฮ้ย ! ค้นตัวมันดิวะ กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ นาฬิกา อะไรที่พอขายได้ เอามาให้หมด” “ยะ อย่า ไป ไปให้พ้น !” “น่ารำคาญว่ะ มันเอามือกอดตัวเองแน่นเลย ค้นตัวลำบาก ล้วงได้แต่กระเป๋าตังค์มัน”
เงาคนที่กำลังยื้อยุดกันอยู่ข้างซอกเล็ก ๆ ในมุมมืดทางหางตา เรียกเร้าความสนใจทำให้พิจิกอดปรายตามองไปทางนั้นไม่ได้ ใครบางคนกำลังตกที่นั่งลำบาก ถูกพวกขี้ยาล้อมกรอบดักหน้าดักหลัง และถ้าทำขัดขืนก็ยิ่งเป็นตัวเรียกหมัดเท้ารุมประเคนจนอ่วมเกือบปางตาย หรือถ้าโชคร้ายก็อาจถูกแทงหวิดดับเอาได้ง่าย ๆ อีกด้วย
“อย่า ๆ ถอยออกไป อย่ามาโดนตัวผม ผมไม่อยากทำร้ายใคร !”
ทว่าประโยคตอบโต้ของเหยื่อทำให้พิจิกต้องชะงัก ในโลกนี้มีคนอยู่ไม่กี่ประเภทเท่านั้น ที่พูดจาแปลกหูฟังดูพิกลเช่นนั้นออกมาได้ การใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกมืดแห่งทีเซลล์ ทำให้ราชาแมงป่องมีความระแวงระไว คอยสังเกตทุกสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่า ภัยอันตรายจะมาถึงตัวเองเมื่อไหร่
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า บุคคลดังกล่าวอาจเป็นผู้ติดเชื้อที่กำลังหิวโหย ถ้าไม่ใช่พวกที่เข้าสู่ระยะแรกที่ส่วนใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าจะจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร มันก็มีความเป็นไปได้อีกทางว่า อาจเป็นพวกที่มีจิตสำนึกดีเสียจนยอมอดทนอดกลั้น ไม่ยอมลงมือทำร้ายคนอื่นเพื่อบรรเทาอาการหิวโหย นั่นปะไร.. ได้ยินเสียงเตะต่อย พร้อมกับเห็นร่างคนลงไปนอนคลุกฝุ่นจูบพื้น พิจิกพ่นควันออกจากปากอย่างช้า ๆ บอกตัวเองว่า อย่าหันไปสนใจ เพราะถ้าหากเหยื่อคนดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีทีเซลล์จริง เดี๋ยวก็คงหาทางเอาตัวรอด หรือผ่านประสบการณ์เลวร้ายแบบนี้ไปได้เองนั่นแหละ
“ค่อยยังชั่วหน่อยเว้ย ในกระเป๋ามันพกมาตั้งสี่พัน ไหนดูดิ๊ มีบัตรอะไรใช้ได้อีกมั่ง..” ชายร่างผอมแห้งผู้ดูท่าทางเป็นหัวโจกสำรวจกระเป๋าเงินของเหยื่อ ยิ้มและกล่าวอย่างพอใจกับจำนวนเงินที่เห็น ก่อนหยิบเอาใบขับขี่ของเหยื่อออกมาส่องดูกับแสงไฟแถวนั้น “..ธนสรณ์ พินิจใจ ชื่อดีนี่หว่า อย่าเสือกแจ้งตำรวจล่ะ ไม่งั้นพวกกูเอามึงตายแน่”
พินิจใจ ! พิจิกหูผึ่งกับนามสกุลที่เพิ่งได้ยินผ่านหู ถ้าไม่ได้หูฝาดหรือได้ยินผิดเพี้ยนไป นั่นเป็น นามสกุลเดียวกับผู้หญิงคนสำคัญ คนเดียวที่อยู่ในความคิดคำนึงของตนในเวลานี้
สองเท้าก้าวไวกว่าความคิด ดั่งเงาสีเทาที่วูบไหวกลมกลืนไปกับความมืดยามราตรี ราชาแมงป่องปรากฏกายราวกับปีศาจ โผล่พรวดไปยืนอยู่ด้านหลังของตัวหัวโจก ฉกเอาบัตรและกระเป๋าเงินจากมือของอีกฝ่ายมา เพื่อต้องการตรวจดูให้แน่ใจ
ธนสรณ์ผู้นอนเค้เก้ เกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นถนน ใช้สายตามองลอดท่อนแขนที่ยกขึ้นมาป้องใบหน้าและศีรษะของตน คนแปลกหน้าผู้มาใหม่ ดูเหมือนไม่ใช่พวกเดียวกันกับกลุ่มคนที่กำลังทำร้ายและชิงทรัพย์ตน แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านเจตนาไม่ออกอยู่ดีว่า เข้ามาช่วยเหลือ หรือเข้ามาสมทบกับพวกคนร้ายกันแน่
“เฮ้ย ! เข้ามาเสือกอะไรวะ อยากโดนด้วยอีกคนเหรอ”
“ธนสรณ์ พินิจใจ..” ดูเหมือนมือมืด ผู้สอดตัวเองเข้ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ไม่ได้สนใจฟังคนที่กำลังข่มขู่คุกคามอยู่เลยแม้แต่น้อย พิจิกก้มหน้าลงมองต่ำ พลางเอ่ยถามชายแปลกหน้าผู้ตกเป็นเหยื่อ ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแสดงความสงสัย “..รู้จักธีราไหม นามสกุลเหมือนกันเลย”
“คุณ ! รู้จักน้องสาวผมหรือ รู้จักใช่ไหม”
สีหน้าและคำพูดละล่ำละลัก ด้วยความตื่นเต้นปนประหลาดใจนั้น ทำให้พิจิกลุแก่ความเข้าใจทันที ไม่รู้ว่า นี่เป็นโชคชะตาหรือเหตุบังเอิญอันใด ที่ทำให้พวกเขาต้องมาประสบพบเจอกันในสภาพนี้
เหลืออีกคำถามหนึ่ง ซึ่งราชาแมงป่องต้องถามย้ำชัดให้แน่แก่ใจ
“พี่ติดเชื้อใช่ไหม พี่มีทีเซลล์ใช่รึเปล่า” “ผะ ผมไม่รู้ ตอนนี้ผมหิว หิวมาก กลัวตัวเองจะทำร้ายคนอื่น เหมือนอย่างที่...ธีราเคยเป็น”
ขี้ยาคนหนึ่งชักมีดพกออกมา พรวดเข้าจ่อตรงคอของพิจิกดังต้องการขู่ขวัญ หนุ่มผมยาวสีเทาเหลือบมองดูอาวุธมีคมสลับกับจำนวนคนทั้งหมดอย่างใจเย็น ก่อนเผยอรอยยิ้มขี้เล่นขึ้นบนใบหน้า กลับไปเป็นราชาแมงป่องผู้เริงร่ากับเลือดและความรุนแรงอีกครั้ง
สี่คนหรือ เหลือเฟือ !
ผมผีสิงพลันเลื้อยปราดขึ้นพันทั้งด้ามมีดและมือคน พิจิกกำหมัด ใช้หลังมือข้างที่อยู่ใกล้ กระแทกเข้าตรงเบ้าจมูกของไอ้คนที่จ่อมีดใส่เขาเต็มแรง แทงศอกอีกข้างไปด้านหลัง โดนเข้ากลางอกตรงลิ้นปี่ตัวหัวโจก ผู้ดันมายืนประกบหลังตนอยู่อย่างพอดิบพอดี
เขายกเท้าขึ้นถีบร่างผอมแห้งของหนึ่งในสองคน ที่กำลังยืนทำหน้างวยงงอยู่ตรงหน้า โยกตัวเล็กน้อย ก่อนปล่อยหมัดต่อยเข้าหน้าของอีกคน จนมันทรุดลงนั่งกองกับพื้น หลังจากนั้น สิ่งที่ราชาแมงป่องจะทำ นั่นคือ การทำให้แน่ใจว่าพวกขี้ยาทั้งสี่จะไม่สามารถหนีไปไหนได้ เขาจะไม่อนุญาตให้พวกมันหนีจากมื้ออาหารอันแสนหฤหรรษ์ ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
ว่ากันว่า ความรุนแรงมักเป็นผลมาจากคนรอบตัวและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง พิจิกเองไม่เถียงในข้อเท็จจริงนี้เช่นกัน ในทีแรก เขาเป็นเพียงวัยรุ่นเลือดร้อนธรรมดา ผู้ผ่านเรื่องชกต่อยมาบ้าง ทว่าสิ่งที่บีบบังคับให้เขาเข้าสู่ด้านมืดอย่างแท้จริง มันคือความกระหายหิวที่ไม่มีวันหาย อีกทั้งสถานะที่เปลี่ยนแปลงไป ชนิดสามารถเป็นได้ทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่า ทำให้ชีวิตคนปกติอันสงบสุขได้สูญหายไปจากตนโดยสิ้นเชิง
“พี่.. กินนี่นะ”
พิจิกลงนั่งยอง ๆ ต่อหน้าคนเจ็บ ดึงแขนผอมแห้งของขี้ยาคนหนึ่งมาตรงหน้าธนสรณ์ ผู้ซึ่งยันตัวขึ้นมานั่ง ด้วยสีหน้างุนงงและหวาดระแวง
ก่อนหน้าที่พี่ชายคนรองของธีราจะมาอยู่ตรงนี้ ธนสรณ์เพิ่งพาตัวเองหลบออกมาจากบ้าน หลังพลาดพลั้งโดนตัวมารดาเข้าเมื่อตอนบ่าย ส่งผลทำให้ท่านถูกสูบเซลล์ไปอย่างไม่ตั้งใจ ภาพของแม่ที่หน้ามืด หมดสติ ล้มตึงลงต่อหน้าต่อตาเป็นประหนึ่งฝันร้าย หลังตั้งสติได้ เขาจึงรีบร้อนผลุนผลันออกมาจากบ้านอย่างไร้จุดหมาย จำต้องปล่อยให้พี่ชายคนโตที่เหลืออยู่ รับหน้าที่คอยปรนนิบัติดูแลแม่ไปก่อนในเวลานี้
ธนสรณ์รู้สึกอับจนหนทาง หันหน้าไปพึ่งพาทางไหนก็ไม่ได้ เพราะการเข้าใกล้ใครล้วนเสี่ยงต่อการก่ออันตรายหรืออาชญากรรมทั้งสิ้น แม้ในความฝัน น้องสาวจะบอกให้ตนไปหาฆีมษ์ ทว่าตัวเขาเองยังคงดึงดันปฏิเสธ นึกต่อต้านคำบอกกล่าวเหล่านั้น ความฝันอาจเป็นแค่ความคิดฝัน มีทางเดียวที่จะพิสูจน์ความจริงได้ นั่นก็คือ ติดตามหาตัวคนชื่อ ‘เสือ’ เพื่อพิสูจน์ให้ประจักษ์ชัดว่า ชื่อนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่กันแน่
เสมือนหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิด คลำหาทางออกด้วยดวงตาที่มืดบอด พี่ชายของธีราโซซัดโซเซมาเรื่อย บางจังหวะที่รู้สึกเหมือนสติเลือนรางขาดหาย ร่างกายก็ขยับเคลื่อนไหวไปเอง เขาจำไม่ได้แม้กระทั่งว่า เผลอพาตัวเองขึ้นรถเมล์ นั่งไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมายปลายทางตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพกลุ่มนี้เข้าเสียแล้ว
พี่ชายของธีรากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มองดูชายหนุ่มวัยรุ่นตรงหน้า ด้วยความพิศวงระคนแปลกใจ ความรู้สึกบางอย่างบอกกับตนว่า กำลังเผชิญหน้าอยู่กับหนึ่งในตัวตน ที่ตนเคยปฏิเสธว่าเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีอยู่จริง มาโดยตลอด
“ที.. ทีเซลล์ ผมได้ยินคุณพูดว่า ทีเซลล์” “อา~ ได้ยินไม่ผิดหรอก ผมก็มี.. อย่างที่พี่มีนั่นแหละ”
พิจิกยังคงยื่นแขนของเหยื่อไปตรงหน้า ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรเต็มที่ แววตาแวววาวราวสัตว์ป่าที่กำลังแบ่งปันชิ้นเนื้อที่หาได้ ให้แก่สมาชิกตัวอื่นในฝูงเดียวกัน
“คุณรู้จักธีรา น้องสาวของผมด้วยหรือ”
แม้จะยังคงอยู่ในอาการหวาดระแวง แต่ธนสรณ์ก็ยังคงถามต่อไป ในขณะที่พิจิกเผยรอยยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเดิม เอ่ยตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงสดใสรื่นเริง กึ่งท้าทายอีกฝ่ายอยู่ในที
“รู้จักสิ ก็ผมเป็น.. ผู้ชายของธีรา”
“หมายความว่ายังไง” ธนสรณ์รู้สึกเหมือนโดนทุบหัว เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว
“เอาไว้ผมอธิบายให้ฟังทีหลัง กินนี่สิ จะได้หายหิว” “ไม่เอา ๆ ผะ ผมไม่ทำร้ายใคร” “โธ่เอ๊ย~ พี่กับน้องนี่เหมือนกันเป๊ะเลยนะ กิน ๆ ไปเถอะน่า~ ไม่ได้ฆ่าใครตายสักหน่อย”
พิจิกถือวิสาสะดึงแขนของอีกฝ่าย ให้เอามือมาทาบวางบนแขนของขี้ยา เพียงเท่านั้น ปฏิกิริยาดูดกลืนเซลล์อื่นของธนสรณ์ก็เริ่มต้นอัตโนมัติในทันที แสดงให้เห็นถึงภาวะหิวโหยอย่างหนักของทีเซลล์ในร่าง ทว่าพี่ชายของธีราแสดงอาการต่อต้านขัดขืนในฉับพลัน ธนสรณ์สะดุ้ง รีบชักมือของตนออกจากแขนของคนร้ายที่บัดนี้กลายกลับมาเป็นเหยื่อ คล้ายแตะโดนก้อนถ่านไฟที่ลุกไหม้ร้อนจัด
เมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาสีดำของพิจิกก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเทา ผมผีสิงของเขาเลื้อยปราดออกไปตรงหน้า พันแขนของธนสรณ์ ก่อนกระชากดึงให้กลับมาทาบจับใหม่อีกครั้ง คราวนี้ กลุ่มผมสีเทาพันตัวเองต่างเชือก ระหว่างมือของธนสรณ์และแขนของขี้ยาผู้เคราะห์ร้ายไว้แน่น เส้นผมมวลเบาแต่กลับแข็งแรงแน่นเหนียวดุจเส้นลวด สิ่งแปลกประหลาดที่ทำให้ดวงตาของธนสรณ์ต้องเบิกค้าง ด้วยความตื่นตระหนกตกใจ “อย่าฝืน อย่าต่อต้าน ปล่อยตัวไปตามสบาย ปล่อยให้ทีเซลล์ได้กิน จนกว่ามันจะพอใจ แล้วมันจะหยุดเอง ถ้าไม่อยากตาย ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันซะ..” แวบหนึ่งที่ดวงตาคู่สีเทาดังกล่าว กระตุกหน่วยแตกกร้าว แววตาที่สามารถสะกดให้พี่ชายของธีราต้องเกิดอาการนิ่งอึ้ง ตัวแข็งค้างไปชั่วขณะเมื่อมองสบ
แววตาของสัตว์กินเนื้อที่ล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร แววตาของหมาป่า.. “..หรือจะให้ผมกรีดแขนไอ้พวกนี้ก็ได้นะ แต่มันออกจะเลอะเทอะไปสักหน่อย ผมว่า.. พี่คงไม่ชอบแบบนั้นหรอก” +++++++++++++++++++++++++++++
Create Date : 22 เมษายน 2563 |
|
0 comments |
Last Update : 22 เมษายน 2563 13:33:17 น. |
Counter : 553 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ปทุมธานี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เขียนนิยาย
ปลดปล่อยจินตนาการ
ไม่ยึดติดกับแนวไหน
เพราะจะไปให้ถึงที่สุด..
เท่าที่เราสามารถแผ่
กิ่งก้านความสามารถ
ออกไปสู่โลกกว้างได้
ยินดีต้อนรับทุกคน
สู่โลกของ zionzany
ที่นี่ .. ตรงนี้นะจ้ะ
|
|
|
|
|
|
|
|
|