BlogGang.com : : sirivinit :

อิ่มตา "ซากุระ" อร่อยขนม "คารินโตะ"

มยุรี นวมมี

ร่วมคณะดูงานที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ช่วงกลางเดือน มี.ค. ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นดอกซากุระบาน แต่กลับได้เห็น เพราะปีนี้บานก่อนกำหนด ถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ

จึงได้ชื่นชมซากุระบานสะพรั่งเต็มสวนสวยภายในวัดคิตะอิน วัดพุทธนิกายเท็นไดชู ประจำคันโต อายุเก่าแก่กว่า 1,200 ปี

ซากุระเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว แม้ว่าดอกไม้ประจำชาติอย่างเป็นทางการคือ ดอกเบญจมาศ

ฝรั่งเรียกซากุระว่า Cherry blossum เป็นชื่อสามัญใช้เรียกดอกไม้หลายชนิดจำพวกเชอร์รี่ มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ ไต้หวัน หมู่เกาะโอกินาวา ตามตำราบอกไว้ว่าซากุระของญี่ปุ่น มีดอกสีขาว กลีบแต่ละกลีบมีจำนวนแตกต่างกันไปตามชนิด

ลักษณะเด่นของมันคือ เมื่อร่วง จะร่วงพร้อมกันหมด ซากุระจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นทหาร และวิถีความเป็นบูชิโดของญี่ปุ่น

ส่วนฤดูชมซากุระของทุกปีเริ่มต้นในช่วงปลายเดือน มี.ค.-ต้นเดือน เม.ย.ของทุกปี ซึ่งชาวญี่ปุ่นถือว่าเป็นการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ดีๆ

หลังชมซากุระเต็มอิ่ม ทางคณะไปเยี่ยมชม เมืองคาวาโกเอะ ในจังหวัดไซตามะ อยู่ใจกลางเขตภูมิภาคคันโต บนเกาะฮอนชู อยู่ทางทิศเหนือของโตเกียว

จุดเด่นของเมืองนี้คือมีการอนุรักษ์บ้านเรือน สถาปัตยกรรมแบบเก่าของญี่ปุ่นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จนได้รับสมญานามว่าเป็นโคะเอโดะ (Koedo) เมืองเอโดะน้อย (ชื่อเก่าของโตเกียวในปัจจุบัน)

สิ่งที่สะดุดตาคือ หอนาฬิกาโบราณ สัญลักษณ์ของเมือง ตั้งตระหง่านท้าแดด ลม ฝนมากว่า 350 ปี และยังคงมีชีวิต ตีระฆังบอกเวลาให้ชาวเมืองได้รับรู้ วันละ 4 เวลา คือเวลา 6 โมงเช้า เที่ยง บ่าย 3 โมง และ 6 โมงเย็นอีกด้วย

ตรอกคาชิยะโยโคะโชะ หรือตรอกขนมหวาน เป็นถนนอีกเส้นหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ที่จะเดินไปลิ้มชิมรสขนมหวาน ที่ทำมาจากหัวมันเทศของเมืองคาวาโอะ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเขตเกษตรกรรมที่เพาะปลูกมันเทศมากเป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่น

ปัจจุบันกลายมาเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญในการผลิต สินค้าพื้นเมืองที่แปรรูปจากมันเทศ เช่น กาแฟมันเทศ ขนมญี่ปุ่น เบียร์ Ko-Edo ถึงขนาดสร้างพิพิธภัณฑ์มันหวาน ไว้จัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันเลยทีเดียว

ถัดมาได้ชิมขนม "คารินโตะ" ขนมขึ้นชื่อของเมืองที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำจากแป้งสาลีนวดให้เข้ากับน้ำตาล น้ำ ยีสต์ เกลือ เบกิ้งโซดา แล้วปั้นให้เป็นแท่ง จากนั้นทอดในน้ำมันพืช แล้วเคลือบด้วยน้ำหวานจากเกสร มีลักษณะเด่นคือกรุบกรอบ รสหวานอ่อน

ชิมเสร็จทุกคนต่างก็ยกนิ้ว ว่ารสชาติอร่อย หอม หวาน แปลกไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะความหอมของน้ำหวานที่ทำมาจากเกสรดอกไม้ ทำให้ต้องตัดสินใจซื้อติดมือกลับมาเป็นของฝากเพื่อนๆ ที่เมืองไทยจนได้

ชมเมืองเก่าเสร็จ ต่อด้วยการเยือนศาล เจ้าเมจิ ศาลเจ้าในศาสนาชินโต สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1920 เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณของสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็ง และสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ ผู้นำพาประเทศญี่ปุ่น ให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก

จุดเด่นของศาลเจ้าคือบรรยากาศของสวนป่าขนาดใหญ่ ที่ร่มรื่นดูสงบเงียบ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า มันตั้งอยู่ตรงกันข้ามแหล่งวัยรุ่นสุดแสบ อย่างฮาราจูกุ ใจกลางเขตชิบุยะ กรุงโตเกียว

ระหว่างทางเดินสู่ศาลเจ้า จะพบเห็นถังสาเกขนาดใหญ่ วางเรียงรายเด่นเป็นสง่า อยู่หน้าทางเข้าเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวต้องยืนแอ๊บถ่ายรูปเกือบทุกราย เดินตรงเข้าไปอีกนิด จะเจอกับ ประตูโทริอิ ขนาดมหึมา ประกอบด้วยเสาต้นสนขนาดใหญ่ 4-5 คนโอบ 2 เสา มีไม้ 2 ท่อนขวางอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเป็นบริเวณศาลเจ้าของชินโต

ก่อนเข้าสู่ศาลเจ้าด้านใน จะมีจุดให้นักท่องเที่ยวได้ล้างมือและบ้วนปาก ถือเป็นการชำระล้างร่างกายและจิตใจ ก่อนจะเข้าสักการะและขอพรภายในศาลเจ้า ด้วยการโยนเหรียญทำบุญลงในกล่อง โค้ง 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง และโค้งอีก 1 ครั้ง

ศาลเจ้าแห่งนี้คนญี่ปุ่นนิยมเข้ามาจัดพิธีแต่งงานแบบโบราณ บรรยากาศงานแต่งที่นี่คนไทยอย่างเราๆ ดูแล้วอาจแปลกใจ เพราะแขกเหรื่อที่เข้าร่วมงานมงคลจะใส่ชุดสีขาวกับดำเท่านั้น คนญี่ปุ่นถือเป็นสีมงคล และยังสื่อความหมายให้รู้ด้วยว่า คนที่ใส่ชุดสีขาวเป็นญาติฝ่ายเจ้าสาว ส่วนชุดดำคือญาติฝ่ายเจ้าบ่าว

บรรยากาศงานแต่งงานยิ่งดูมีมนต์ขลังมากขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ จะเห็น "ต้นไม้ แห่งสามีภรรยา" ต้นไม้คู่ขนาดใหญ่สองต้นที่มีเชือกผูกโยงเข้าไว้ด้วยกัน ยืนต้นเจริญเติบโต แผ่ร่มเงาปกป้องคุ้มครองดูแลซึ่งกันและกัน

อีกกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมาก คือการเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นไม้อธิษฐานรูป 5 เหลี่ยม ซึ่งคนที่นี่เรียกว่า ema แปลตรงตัวว่า ภาพม้า

ส่วนประวัติของประเพณีนี้ เล่ากันว่า เดิมคนญี่ปุ่นนิยม นำ "ม้า" สีขาวมาถวายแด่เทพเจ้า ซึ่งถือเป็นสัตว์พิเศษที่มีอำนาจในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าได้ แต่ต่อมาประเพณีนี้ค่อยๆ หายไป โดยปรับเปลี่ยนมาเป็นการวาดรูปม้าลงบนแผ่นไม้ แล้วนำไปถวายแทน

ซึ่งปัจจุบัน นักท่องเที่ยวพบเห็นแผ่นไม้ขอพรอยู่บริเวณศาลเจ้าและวัดเกือบ ทุกวัดในญี่ปุ่น

ออกจากศาลเจ้าเมจิ ไกด์ก็กระชากอารมณ์ด้วยการพาเข้าสู่การผจญภัยบนเรือโจรสลัด ล่องลำน้ำชม "ทะเลสาบอาชิ" ราชินีแห่งทะเลสาบ ที่เกิดขึ้นมาจากลาวาของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งตั้งอยู่ภายในวนอุทยานแห่งชาติ ฮาโกเน่

ความกว้างใหญ่ของทะเลสาบ ทำให้เราต้องตั้งใจมองหาสถานที่ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของการล่องเรือที่นี่ สักพักก็กวาดสายตาไปเจอจนได้

นั่นคือ ประตูเสาโทริอิสีแดงของวัด ฮาโกเน่ ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็นเพียงบางส่วน อวดโฉมให้นักท่องเที่ยวได้ระลึกว่าภายใต้ท้องทะเลสาบแห่งนี้ เคยเป็นที่ตั้งของวัดฮาโกเน่ ซึ่งปัจจุบันสงบนิ่ง จมอยู่ใต้บาดาลตราบจนทุกวันนี้

หน้า 5

ขอบคุณ
ข่าวสดออนไลน์
คุณมยุรี นวมมี

อาทิตยวารสิริสวัสดิ์ค่ะ

Create Date : 12 พฤษภาคม 2556

0 comments

Last Update : 12 พฤษภาคม 2556 9:44:09 น.

Counter : 2032 Pageviews.