<<
กันยายน 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
16 กันยายน 2548
 

สุสานหิ่งห้อย – คน สงคราม ความตาย

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลยครับ
ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนแบบเป็นสิบๆ แผ่น
แถมอาทิตย์หน้าก็จะสอบไฟนอลแล้ว
ฮือๆ
ทำไมชีวิตมันยุ่งยากอย่างงี้น้า... :(
(ตอนนี้เลยไม่ได้ดูหนังสักเรื่องเลยครับ)

อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้บล็อกรกร้างมากจนเกินไป
เลยเอาการบ้านมาโพสต์แปะไปพลางๆ ก่อนละกัน :D

หมายเหตุ: เรื่องนี้ เขียนขึ้นด้วยความเร็วสูง (เขียนตอนเที่ยง ส่งตอนบ่าย) ฉะนั้น หากใครพบว่าห้วนและสั้นมากถึงมากที่สุด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


SPOILER

เคยมีคนบอกผมว่า
“เวลาในนิทาน ...มีเช้าวันรุ่งขึ้นเสมอ”

แม้นว่าวันนี้ เจ้าหญิงนิทราอาจประสบกับวิบากกรรมอันโหดร้าย แต่กระนั้น พอผ่านพ้นวันนี้ไป ....ในวันรุ่งขึ้น เจ้าชายก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาช่วยเธอได้อยู่ดี ในที่สุด ทั้งคู่ก็ครองรักคู่กัน ตราบนานเท่านาน...

แม้นว่าวันนี้ ....แม่เลี้ยงอาจจะย่ำยีศักดิ์ศรีของซินเดอเรลล่า แต่กระนั้น พอผ่านพ้นวันนี้ไป ในวันรุ่งขึ้น เจ้าชายก็ขี่ม้าขาวมาช่วยชีวิตบัดซบของนางซิน จนในที่สุด ทั้งคู่ก็ครองรักคู่กันตลอดกาล....

ถ้าเรื่องราวในชีวิตจริงเป็นอย่างนี้ ก็คงจะดีนะครับ

“ในที่สุด หลังจากสงครามอันโหดร้ายได้ผ่านพ้น ...นางฟ้าก็ได้สาปให้คนชั่ว ผู้ใช้อำนาจในทางที่ผิดทั้งหลาย ต้องมีอันเป็นไป พวกเขาต้องกลายเป็นกบเฝ้าสระอโนดาต ไม่ได้ผุด ได้เกิดไปร้อยปี พันปี พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการให้ขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนผู้ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ ‘บ้าอำนาจ’ เหล่านี้ นางฟ้าสุดสวยจึงได้ประทานพรให้ทั้งเซอิตะ เซทสึโกะและครอบครัว ฟื้นคืนชีพกลับมา ...ในที่สุด พวกเขาพ่อ แม่ ลูก ก็ได้มาพบเจอกัน อยู่ด้วยกัน ...ตลอดไป (Ever After)”

แต่... อย่างที่หลายๆ คนทราบๆ กันดี เรื่องราวในชีวิตจริง มักจะไม่เหมือนเหตุการณ์ในนิทาน ในความเป็นจริง เราต้องประสบกับเรื่องราวโหดร้ายหลายอย่าง ทั้งฝนตก รถติด จิตเภท (?) จะให้จบสวยหรูแบบในนิทาน(หลอกเด็ก) คงเป็นไปได้ยาก

หนังอย่าง ‘สุสานหิ่งห้อย’ ก็เช่นกัน ด้วยความที่ตัวหนังดัดแปลงมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง (ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของอคิยูกิ โนซากะ ผู้สูญเสียน้องสาวตัวน้อยๆ ด้วยสาเหตุจากการขาดสารอาหารระหว่างสงคราม) การดัด แปลง แต่ง ต่อ จึงต้องคงเค้าโครงแห่งความเป็นจริง

...ซึ่งมันก็คือ ความจริงอันโหดร้าย
กับการ ‘จากไป’ ของตัวละครสำคัญ อย่างที่หลายคนยากจะลืมเลือน
………………………………..

สุสานหิ่งห้อย เปิดตัวด้วยฉากในค่ำคืนเปลี่ยวเหงาคืนหนึ่ง แม้นว่าในค่ำคืนนั้น สงครามจะได้ถึงกาลยุติ - ญี่ปุ่นยอมแพ้ อเมริกันเลิกทิ้งระเบิด แต่กระนั้น ผลพวงแห่ง ‘ระเบิดอำนาจ’ ทั้งหลายก็ยังคงอยู่ ...ท่ามกลางบรรดาหลายชีวิตของผู้คน ยังคงมีร่องรอยบาดแผลแห่งความเจ็บปวดให้เห็นมากมาย กับหลายชีวิตที่ไร้บ้าน ไร้ญาติมิตร ไร้อาหาร, กับอีกหลายชีวิตที่ต้องพิการ ร่างการแปดเปื้อนรังสี โครโมโซมกลายพันธุ์ และที่สำคัญ ยังคงมีอีกหลายชีวิตที่ต้อง ‘ตาย’

เซอิตะก็ไม่ต่างไปจากคนเหล่านั้น เขาเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง มิได้เป็นเทวดาเหินหกมาจากฟากฟ้า ฉะนั้นแล้ว ในที่สุด เด็กตัวน้อยๆ อย่างเขาก็มิอาจทานทนต่อโลกอันสุดแสนโหดร้ายใบนี้ได้ ...จุดจบสุดท้ายของเซอิตะ จึงลงท้ายด้วย ‘ความตาย’

การ ‘เริ่มต้น’ ฉากแรก ด้วยการ ‘ลาจาก’ แบบนี้ ค่อนข้างน่าเศร้านะครับ เพราะไม่ทันที่เราจะได้ตามติดและเพลิดเพลินไปกับชีวิตของตัวละคร เราก็ต้องพบกับ ‘การสูญเสีย’ เสียแล้ว เชื่อว่า หลายคนคงรู้สึกคล้ายๆ กัน ว่า “ไม่อยากดูต่ออีกแล้ว” “ไม่อยากให้จิตใจถูกบั่นทอนมากไปกว่านี้” แต่เอาเถอะ เพราะพอปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปเบื้องหน้า
....ค่อยๆ จ้องมองภาพที่เห็นอย่างช้าๆ

สิ่งที่ผมเห็น ก็ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในตัวผู้กำกับ อิซาโอะ ทากาฮาตะ (ผกก. Only Yesterday, My Neighbors the Yamadas) เป็นอย่างมาก ....ท่ามกลางเรื่องราวหนักๆ ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าในสงคราม

...พ่อไปทาง (เพราะต้องไปเป็นทหารเรือรับใช้ชาติ)
...แม่ไปทาง (เพราะต้องจากไปด้วยภัยแห่งวัตถุที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้า)
...ลูกไปทาง (สองพี่น้องต้องระหกระเหเร่ร่อน กลายเป็นเด็กไร้ญาติขาดมิตร)

อิซาโอะ กลับค่อยๆ สอดแทรกเรื่องราวเบาๆ สลับคละเคล้าไปอย่างมีชั้นเชิง ...เราจะเห็นว่า เมื่อมีฉากโหดร้ายรุนแรงโผล่มาคราใด ในภาพเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องจากฉากนั้น จะถูกสลับด้วยฉากน่ารักๆ ของเหล่าบรรดาเด็กๆ อยู่เสมอๆ

....ทั้งภาพของพี่ชายเอาน้ำใส่กล่องลูกอม เพื่อแปลงเป็นน้ำหวานแก่น้องสาว
....หรือจะเป็นภาพน้องสาวค่อยๆ บรรจงถอดเสื้อผ้าเพื่อลงเล่นน้ำทะเลอย่างพิถีพิถัน
....อีกทั้งยังมีภาพเด็กๆ ออกจากบ้านป้าใจร้ายด้วยจิตใจยินดีปรีดา

เหล่านี้ จึงช่วยหล่อเลี้ยงให้เราตามติดไปกับเรื่องราวน่าเศร้าเหล่านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

พ้นจากนี้ ผู้กำกับยังใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างกล่องลูกอมที่เป็นวัตถุแทนสิ่งของมีค่าอีก ทั้งหมดนี้ จึงกลายเป็นกลยุทธ์ทำให้เราหลงกลและทนดูหนังเศร้าๆ เรื่องนี้ได้จนจบอย่างไม่น่าเชื่อ


แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ... “ชีวิตจริงก็ไม่มีทางเหมือนนิทานได้” ยูโทเปียที่แปลว่า No Where นั้น มันไม่มีอยู่จริง! เพราะในที่สุด เมื่อเราดูหนังจบ เราก็พบว่า อย่างไรเสีย เซอิตะและเซทสึโกะ ยังไงก็ต้องตาย พวกเขาไม่มีวันหวนฟื้นคืนชีพมาได้
....โลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีนางฟ้าเหมือนในเทพนิยาย เพราะมันมีแต่สงคราม!

ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกรีส – ยูเฟรตีสก็มีการแก่งแย่งที่ดินมากมาย ...สืบเนื่องมายังสงครามโลกครั้งที่ 1, ครั้งที่ 2 ความโหดเหี้ยมของผู้คนก็คงไม่มีทางหมด (ซึ่งในปัจจุบันเอง ก็ยังคงไม่หมด ...มีทั้งสงคราม 'สื่อ' และสงครามฆ่าคนสายพันธุ์เดียวกันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา)

ความต้องการเป็นใหญ่ (จากลัทธิจักรวรรดินิยมในสงครามโลกครั้งที่ 2 , หรือจะเป็นการบ้าอำนาจเงิน คิดว่าเงินซื้อทุกสิ่งได้ในโลกทุนนิยมในปัจจุบัน) ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุทำให้คนเราประหัตถ์ประหารชีวิตกันไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งอันที่จริง โดยส่วนตัวผมเห็นว่า ถ้าจะสู้รบกัน ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดนัก ...เพราะเมื่อคนเราคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องมีการทะเลาะกัน ต่อสู้กัน เป็นเรื่องปกติ

แต่.... ที่แปลกก็คือ เหตุใด การต่อสู้ จึงต้องมาระรานผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ด้วย?

เหตุใด ชาวบ้านผู้สัญจรไปมาตามถนน จึงต้องมารับผลกระทบจากม่านหมอกควันที่ตัวเองไม่ได้จุดด้วยหนอ? ฤาชีวิตของคนเรา แท้ที่จริงแล้ว ก็ 'เบาหวิวเหลือทน' อย่างมิลาน คุนเดอร่า ว่าไว้จริงๆ

- กับการที่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน “ฆ่า” กันจนตาย
- กับการ ‘ตาย’ ของคนที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์เหล่านั้น

เราจะเห็นว่า ในสุสานหิ่งห้อย ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็น “เหยื่อ” ของสงครามทั้งสิ้น -- ไม่ว่าจะเป็นพ่อ ซึ่งเป็นนักรบชาติทหาร ที่ต้องตาย เพราะทำตามหน้าที่ , หรือจะเป็นแม่ ที่ต้องตายเพราะวัตถุจากฟากฟ้า ซึ่งเป็นประดิษฐกรรม ที่สร้างจากฝีมือของมนุษย์ด้วยกัน, และ...เด็กๆ ที่ต้อง ‘ตาย’ เพราะไม่มีใครดูแล จนอดอาหารตาย.....

แต่เอาเถอะครับ ไม่ว่าชีวิตจะเบาหวิวหรือหนักแน่นเพียงใด? ผมก็ยังคงเชื่อว่า ชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นมาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ อย่างไรเสีย ก็ยังคงมีคุณค่าและมีเรื่องราวให้ศึกษาอยู่เสมอๆ

อย่างที่กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงกล่าวไว้
“นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”


ชีวิตของสองพี่น้องเซอิตะ และเซทสึโกะก็คงเป็นดั่งคำกลอนนั้น

....เพราะแม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตสั้นๆ ดุจดังหิ่งห้อย แต่กระนั้น ความรักที่เขามีต่อกัน ก็ทำให้เราได้ตระหนักถึงคำว่า “พี่น้อง” และ “ความรัก ความผูกพัน” (ภาพที่น้องสาวปั้นดินเป็นข้าวปั้นให้พี่กิน โดยที่เธออมก้อนหิน จะยังคงเป็นภาพที่ประทับใจผมไปตลอดกาล...)

...แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตสั้นๆ ดุจดังหิ่งห้อย แต่อย่างไรเสีย นิสัยดื้อรั้น หยิ่งยโสบางอย่างของพวกเขา ก็เป็นคติสอนใจเรา ให้หันกลับมามองตัวเราอีกครั้งหนึ่งได้เป็นอย่างดี

....แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตสั้นๆ ดุจดังหิ่งห้อย แต่การตายของพวกเขาก็ทำให้เราได้รับรู้และตระหนักถึงความโหดร้ายของสงคราม ....ความบ้าอำนาจของจักรพรรดิญี่ปุ่น และผู้นำอเมริกา (อันที่จริง รวมถึงผู้นำบ้าอำนาจทั้งหลายแถวๆ นี้ด้วย!?)

...และถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตสั้นๆ ดุจดังหิ่งห้อย แต่สุดท้ายแล้ว ชีวิตของสองพี่น้องก็จะยังคงสุกสว่างเปรียบดังหิ่งห้อยในใจของพวกเราตลอดไป....
..................................

แม้นว่าในตอนจบหนังจะจบด้วยความเศร้า
ไม่ได้มีความสุขสงบเหมือนดั่งนิทาน
แต่กระนั้น หากผมขอพรสักหนึ่งข้อได้ ผมก็ยังคงเฝ้าฝันว่า “สักวันหนึ่งสงครามจะหมดไป ...เพื่อในที่สุด การตายของเซทสึโกะและเซอิตะ จะได้เป็นการจากไปอย่างสงบสดใส และมีค่าจริงๆ”


Create Date : 16 กันยายน 2548
Last Update : 24 กันยายน 2548 15:33:13 น. 28 comments
Counter : 950 Pageviews.  
 
 
 
 
พี่ดูเรื่องนี้น้ำตาร่วงเลยค่ะ

เป็นหนังที่พี่ชอบมาก

ทำได้ดี...ญี่ปุ่นสร้างการ์ตูนให้มีชีวิตสามารถสะเทือนอารมณ์คนดูได้...พี่ว่าเรื่องนี้สุดยอดมากค่ะ
 
 

โดย: ลำพูริมน้ำ วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:17:24:59 น.  

 
 
 
ชอบเรื่องนี้ค่ะ

ดูมาตั้งแต่สมัยที่เห็นลงรีวิวในหนังสือทีวีแมกกาซีนสิบกว่าปีก่อน
ตอนนี้เอากลับมาดู
ความรู้สึกที่มีต่อสงครามก็ยังเหมือนเดิม
เคยต้องเสียน้ำตาให้สองพี่น้องยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น

เป็นอะนิเมะที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
 
 

โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:17:27:03 น.  

 
 
 

มีโอกาส น่าจะได้ดู...
 
 

โดย: suparatta วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:17:44:04 น.  

 
 
 
ครับ
หนังเรื่องนี้เศร้ามากจริงๆ
ตอนดูจบแล้วอยากร้องไห้มากๆ

ป.ล.
ขอเพิ่มคห. อีกนิดนึง เพราะข้างบนเขียนแบบรีบๆ
รายละเอียดหลายอย่างเลยขาดหายไป
- คิดว่า ผกก. ค่อนข้างเข้าใจคิด กับการนำเอา กล่องลูกอม (ซึ่งถือว่าเป็นของมีค่าในสมัยนั้น) มาเป็นวัตถุสำคัญในการเดินเรื่อง เพราะเราจะเห็นว่าในตอนจบ กล่องลูกอมที่มีค่ากล่องนั้น ในที่สุด ก็ได้กลายสภาพเป็นกล่องเก็บของมีค่าที่สุดในชีวิตเซทสึโกะ --- ซึ่งมันก็คือ เถ้าอัฐิของเธอนั่นเอง
- เด็กผู้หญิงที่พากย์เป็นเซทสึโกะ พากย์ได้ดีมากกกกกกกกกกก (ดูจากเบื้องหลัง ผกก. ใช้วิธีปล่อยให้เธอพากย์เสียงตามใจ แล้วจากนั้น จึงค่อยเลื่อนเฟรมแก้ให้พอดีกับเสียงของเซทสึโกะ)
- รู้สึกว่า ผกก. เจ๋งมาก ที่แม้ว่าภายนอกอาจจะเป็นหนังต่อต้านสงคราม ต่อต้านสหรัฐ , แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็เป็นหนังที่วิพากษ์ความเป็นญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เราจะเห็นว่า มีฉากหนึ่งที่ทหารพูดว่า "จักรพรรดิจงเจริญ" ฉากนั้น ทำเอาผมสะเทือนใจเป็นอย่างมากครับ

เพราะผลที่เกิดขึ้นกับเซทสึโกะ และเซอิตะ
ส่วนหนึ่งก็มาจากความบ้าอำนาจไม่มีที่สิ้นสุดของผู้นำญี่ปุ่นนั่นเอง

- ในฉากที่เซทสึโกะ ปั้นดินให้เซอิตะกิน, กับฉากที่เซอิตะเสี่ยงตายไปขโมยของระหว่างสหรัฐปล่อยระเบิด มันช่างกัดกร่อนหัวใจเสียเหลือเกินครับ มันแสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างพี่กับน้องได้เป็นอย่างดี

ดูแล้วก็อดคิดไม่ได้
ว่าทำไมเรากับพี่ไม่ค่อยรักกันแบบนี้วะ 5555
(มีแต่ทะเลาะกันทุกวัน!?)
 
 

โดย: it ซียู วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:17:50:22 น.  

 
 
 
ตอบพี่สุภาฯ
... พี่สุภาฯ ครับ
แนะนำว่าสุสานหิ่งห้อยน่าดู
แผ่นดีวีดี (เถื่อน) หาได้ไม่ยาก
สีลม
คลองถม
มาบุญครองก็มีขาย
(ราคาไม่แพงด้วย ถ้าซื้อคลองถมน่าจะ 80 บาทนะครับ ส่วน MBK กะ สีลม แผ่นประมาณ 100 -120)

ป.ล. เพิ่มอีกนิด
- ในหนังมิได้มีการกล่าวโทษใคร
ไม่ได้ด่าสหรัฐ ไม่ได้ว่าญี่ปุ่น (แบบตรงๆ)
แต่กระนั้น พอดูจบ ผกก. กลับทำให้เราเชื่อและรู้สึกจริงๆ ว่า 'สงคราม ช่างเป็นเรื่องที่งี่เง่าสิ้นดี'
 
 

โดย: it ซียู วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:17:58:03 น.  

 
 
 
อืมม...น่าดูเหมอืนกันนะครับ..
 
 

โดย: กุมภีน วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:18:05:42 น.  

 
 
 
ไว้จะไปหามาดูครับ
 
 

โดย: วงศ์เดือน วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:18:08:34 น.  

 
 
 
จะหาดูได้ที่ไหนล่ะคะ
คำว่าหิ่งห้อย ก็นึกถึงแต่โกโบริ
 
 

โดย: ป้ามด วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:18:25:09 น.  

 
 
 
เคยดูแล้วครับ
เศร้าอย่างที่พูดจริงๆ
ดูจบแล้วน้ำตาซึมเลยครับ ...
 
 

โดย: Mowcup (Mowcup ) วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:18:55:53 น.  

 
 
 
ดูเรื่องนี้แล้ว อยากให้สงครามหมดไป



ชอบฉากการดำรงชีวิตของเด็กสองคนในเรื่อง ค่ะ น่ารักดี



ชีวิตของหิ่งห้อยนั่นสั้นนัก แต่ก็เกิดมาเพื่อมีแสงสว่างในตัวเอง การตายของเด็กทั้งสองคน ถึงตอนนี้ก็ยังคงส่องให้เห็นอะไรหลายๆอย่าง นะค่ะ
 
 

โดย: ปีกที่ไม่อาจจะโบยบิน (WhaT iT'S W๐l2tH ) วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:19:38:26 น.  

 
 
 
คุณป้ามดครับ
...อย่างที่ตอบพี่สุภาฯ เลยครับ
หาดีวีดี (เถื่อน) ได้ทั่วไปตามคลองถม, สีลม , MBK
หรือจะซื้อดีวีดีของแท้ ก็ยิ่งดี
(ดีวีดีของแท้ มีขายที่บูมเมอแรง และร้านที่ขายการ์ตูนตรงมาบุญครองอ่ะครับ, ร้านลูกแมวก็น่าจะมีเหมือนกันนะ)
 
 

โดย: it ซียู วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:19:40:01 น.  

 
 
 
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ดูเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
ดูแล้วเศร้า

มีหนัง มีบทเพลงต่อต้านสงครามออกมาตั้งมากมาย
แต่สงครามก็ยังดำเนินต่อไป...
 
 

โดย: rebel วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:19:45:08 น.  

 
 
 
อยากดูมากครับ ทำให้นึกถึงเรื่องSpirited Away แบบว่าเพิ่งได้ดูดีวีดีน่ะครับลังจากดองไว้และไม่ว่างซะนาน ชอบมากๆๆๆๆครับ

เรื่องนี้ก็อยากดูมากเช่นกัน
 
 

โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:21:02:04 น.  

 
 
 
ไม่รู้จะบอกว่าชอบเรื่องนี้ดีไหม...ดูที่ไรใจมันหดหู่...ทีมงานสื่อออกมาได้กินความรู้สึกสุดๆ...
 
 

โดย: MagicApple IP: 203.188.31.178 วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:0:36:11 น.  

 
 
 
ดูเรื่องนี้นานแล้ว รู้สึกจะได้ดูเป็นฟิล์มด้วย ซาวแทรคอีกตะหาก ได้ฟีลมาก ดูที่ศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่นมั๊ง สิบปีได้แล้วล่ะ ผมว่าหนังดีนะ แต่ไม่ชอบเลย มันหดหู่รันทดเหลือประมาณ ไม่เศร้าด้วย แต่น่าอึดอัด
 
 

โดย: joblovenuk วันที่: 18 กันยายน 2548 เวลา:0:29:16 น.  

 
 
 
เป็นการ์ตูนของ Ghibli ที่ชอบเป้นอันดับสองมั้งครับ

อันดับหนึ่งของ Ghibli ที่ผมชอบที่สุดก็คือ Whisper of the Heart ซึ่งเมื่อเทียบกับสุสานหิ่งห้อยแล้วก็ให้อารมณ์ต่างกันสุดๆ

Whisper of the Heart จบหนังด้วยอารมณ์ที่ชวนฝันสุดๆ แต่ สุสานหิ่งห้อยเป็นเหมือน ฝันร้าย แต่มันก็เป็นความจริง

โดยส่วนตัวแล้ว ผมค่อนข้างเข้าทางกับผลงานของ Isao Takahata มากกว่า Hayao Miyazaki

อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่อง จิตวิญญาณ-ธรรมชาติ ของ Miyazaki ก็เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก

อ้อ นึกได้อีกอย่าง สุสานหิ่หง้อน นี่รู้สึกว่ามันจะมี trick ว่า ฉากจบของเรื่อง มันมาต่อกับ ฉากเปิดของหนังได้ ถ้าดูแบบนี้แล้วจะเศร้ามาก
 
 

โดย: merveillesxx วันที่: 22 กันยายน 2548 เวลา:0:16:22 น.  

 
 
 
เป็นหนังที่ไม่คิดจะดูรอบที่สองครับ แม้จะมีวีดีโอเก็บไว้ที่บ้านก็ตาม

ไม่ใช่หนังไม่ดี

แต่มันดีเกินไป

และมันทำให้ผมร้องไห้ ไม่ใช่แค่น้ำตาซึมด้วย ร้องแบบสมัยเด็กๆเลยล่ะ จมูกตาเตอแดงไปหมด

ลืมบอกไป ตอนที่ผมดูเรื่องนี้เป้นเวลาประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง มีน้องสาวคนเล็กนอนหลับอยู่ข้างๆ

ได้บรรยากาศเซตะกะเซ็ทซึโกะมากๆครับ
 
 

โดย: jonykeano วันที่: 22 กันยายน 2548 เวลา:0:52:28 น.  

 
 
 
แวะมาเยี่ยมครับ สงสัยช่วงนี้ใกล้สบ


สู้ๆนะครับ เอาใจช่วย
 
 

โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 23 กันยายน 2548 เวลา:12:41:44 น.  

 
 
 
เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ไม่เคยดูหนังการ์ตูนญี่ปุ่นซักที คุณ it ซียู มีหนังการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องไหนแนะนำอีกบ้างมั้ยครับ อยากดูการ์ตูนญี่ปุ่นแนวๆรักโรแมนติค มีมั้ยครับ

หนังล่าสุดที่ได้ไปดูก็ Sayoonara Kuro, About Love ครับ เรื่อง About Love นี่ดูมาสองรอบแล้วครับ กำลังอินๆ สัปดาห์นี้อยากไปดู Way of Blue Sky และเพื่อนช้าง Arigatoo, ส่วน Seven Swords ก็อยากดูเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะเป็นหนังแนวภาพวิจิตรแบบๆ Crouching Tiger , Hero , House of Flying Daggers หรือเปล่า แต่สงสัยจะออกแนวบู๊ๆสมจริงจะมากกว่า

งานเรียบร้อยยังครับ คงสอบเสร็จเร็วๆนี้นะครับ
 
 

โดย: Tempting Heart วันที่: 24 กันยายน 2548 เวลา:7:17:55 น.  

 
 
 
น้อง itซียูจ๋า.....

พี่พัชไม่ได้เข้ามาเลย เพิ่งเห็นหลังไมค์ที่ส่งไปถามเรื่องแปล About Love อ่ะค่ะ

หนัง 3 ภาษาเรื่องนี้แปลจากภาษาอังกฤษค่ะ คอนเซปต์ที่เฉินป๋อหลินถ่ายรูป เขาเรียกว่าเป็น de-ai

พี่ก็มะแน่ใจว่าเป็นภาษาอะไรนะ แต่คาดว่าเป็น ภาษาญี่ปุ่น
 
 

โดย: psaksiamkul วันที่: 24 กันยายน 2548 เวลา:13:16:20 น.  

 
 
 
หาดูไม่ได้ง่ะ


อยากกลับไปอยูแถวท่าพระจันทร์จังเลย
 
 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 26 กันยายน 2548 เวลา:9:59:29 น.  

 
 
 
เศร้าค่ะเศร้า
ดูแล้วคิดว่าไม่อยากเก็บเอาไว้เลย
แค่อาศัยดูของเพื่อนเอาน่ะ
หดหู่เหลือเกิน
 
 

โดย: quin toki วันที่: 30 กันยายน 2548 เวลา:14:38:36 น.  

 
 
 
เพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้จบค่ะ ประทับใจมาก

ขออนุญาตทำลิงก์บล็อกหน้านี้ไว้ที่บล็อกของตัวเองหน่อยนะคะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
 
 

โดย: O-HO วันที่: 18 มีนาคม 2549 เวลา:19:07:08 น.  

 
 
 
อยากทราบว่าพอจะแนะนำหาที่ซื้อ ดีวีดีเรื่อง El Mariachi ได้ที่ไหนบ้างครับเพราะอยากได้<
 
 

โดย: hyena_gang IP: 203.148.245.226 วันที่: 22 กันยายน 2549 เวลา:12:18:16 น.  

 
 
 
พึ่งได้ดูเมื่อวานนี้เอง เศร้าสุด ๆ ดูแล้วทำให้คิดอะไรได้หลาย ๆ อย่าง ดูแล้วน้ำตาไหลเป็นปี๊บ ๆ
 
 

โดย: A IP: 125.25.136.183 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:02:18 น.  

 
 
 
ดูช้าไปหน่อย ยูบีซี พึ่งเอามาฉาย ผมดูแล้วพบสัจจัธรรมบางอย่าง คือ ชีวิตไม่ได้จบลงแค่โลกนี้ ฉากจบตอนเซทสึโกะตาย จะมีหิ่งห้อยมาบินวน เหมือนจะช่วยส่งวิญญาณดวงน้อย ๆ ไปสู่สวรรค์ ซึ่งที่นั่น ดวงวิญญาณดวงน้อย ๆ ของเซ็ตซึโกะ จะพบกับความสุขนิรันดร ไม่มีความทุกข์ และเสียงร้องไห้ อีกต่อไป...
 
 

โดย: โนบุ คุง IP: 203.113.81.138 วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:22:54:51 น.  

 
 
 
นี่เป็นการ์ตูนที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมเคยดูมาเลยครับ
 
 

โดย: decade IP: 118.172.45.81 วันที่: 24 เมษายน 2555 เวลา:18:18:12 น.  

 
 
 
อยากอ่านและอยากดู ต้องหาซื้อที่ไหนค่ะ ใครแนะนำได้บ้าง.081-8697529
 
 

โดย: In. IP: 49.231.101.50 วันที่: 28 มิถุนายน 2556 เวลา:8:58:30 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

it ซียู
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]








Google




ท่องไปทั่วโลกหาแค่ในพันทิบก็พอ
[Add it ซียู's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com