การบริจาคเลือด ความรักที่คุณมอบให้กับคนมากมาย
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2538 ผมกับเพื่อน 5 คนหลังจากที่ได้กินบะหมี่ญี่ปุ่น ฮะจิบังราเมน ที่ห้างย่านสีลม(เซ็นทรัสสีลม) เสร็จในช่วงบ่ายๆ ก็คิดว่าจะไปเดินเล่นสนุกสนานในห้างเช่นเคย แต่ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นผสมกับความคึกคะนองที่อยากทำอะไรที่มันแปลกๆ ใหม่ๆ บ้าง เพื่อนผมคนหนึ่งกำลังก้าวขาขึ้นบันไดชั้นใต้ติดของห้างซึ่งติดกับร้านบะหมี่ ได้ชำเลืองไปเห็นป้ายโฆษณาแบบตั้งพื้นสีเงินข้างบันไดเลื่อนมีข้อความว่า "การบริจาคเลือด คือการให้ชีวิต" คำพูดของ
เอ๋ เปิดประเด็นว่า "พวกมึงกล้าหรือเปล่า" ด้วยความเป็นวัยรุ่นทำไมถึงจะไม่กล้าละครับ แน่นอนที่พวกผม อีก 4 คนที่เหลือ ต้องพูดออกมาพร้อมกัน ว่า "กล้า"
อ่อน พูดออกมาทำนอง ท้าทาย เล็กๆ "กูว่าเราจะได้รู้สักทีว่าใครในนี้เป็นเอดส์กันแน่"
แจ๊ค กับ เค แทบจะพูดพร้อมกันเลย "กูว่ามึงนั้นเหละ หน้าตุ๊ดๆ ซึดๆ เป็นก่อนตรูแน่ๆ"
หลังจากที่ถกกันเรื่องเลือดใครเป็นเลือดสีโคลน หรือของใครเป็นเลือดแท้ ไม่มีอะไรผสมกันอยู่สักพัก จึงจบลงเป็นเอกฉันว่าเราจะเดินทางไปยังสภากาชาดไทยเพื่อทำการบริจาคเลือด ทันทีที่เดินทางไปถึงความหึกเหิม ที่ดูราวกับว่ามีปึกติดบนหลังทำให้ลอยไปข้างหน้าไร้ซึ่งยำเกรง กลายเป็นอินทรีย์ปีกหักเพราะเจอกับความน่ากลัวของบรรยากาศในสภากาชาดกลิ่นคละคลุ้งไปด้วยแอลกอฮอ กระจายไปทั่ว (สมัยนั้นอาคารบริจาคเลือดจะอยู่หน้าหน้าสภากาชาดเลี้ยวซ้ายไปจะอยู่ด้านขาวมือ ซึ่งเดียวนี้เป็นลาดจอดรถ ส่วนด้านซ้ายเมื่อก่อนเป็นอาคารจัดเก็บเลือดเฉพาะทางอย่างเกร็ดเลือด หรือพลาสม่า(น้ำเหลือง) ซึ่งแยกจากกันต่างจากสมัยนี้ ที่อยู่ในอาคารด้านในเดียวกัน)
ตอนนั้นผมกับเพื่อนแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบริจาคเลือดเลย ทันทีที่ไปถึงหน้าเคาท์เตอร์ มีเจ้าหน้าที่ทำหน้า งงๆ มองไอ้หนุ่มดูผอมๆ 5 คนเหมือนกับว่า พวกนี้มาทำอะไร แต่ทันทีที่พวกเราได้บอกว่าจะมาบริจาคเลือดและไม่เคยบริจาคมาก่อนเจ้าหน้าที่รีบลุกขึ้นมาและเดินอ้อมออกจากเคาท์เตอร์เพื่อมาทำการขอรายละเอียดต่างๆ ของพวกผมอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซักประวัติอยู่เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ได้บอกมาคำหนึ่งว่า "บางคนมาแค่ปีละครั้ง ก็ถือว่าได้ทำบุญ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ 3 คน แต่ถ้ามาบ่อยๆ ทุกสามเดือน พวกหนูๆ อาจจะช่วยคนได้ถึง 12 คนในหนึ่งปีเลยนะ" เป็นเพราะว่าการบริจาคเลือดแบบปกติ 1 ครั้งเจ้าหน้าที่เค้าจะแยกเลือดออกไปเป็น 3 ส่วน 1. เม็ดเลือดแดง 2. เกล็ดเลือด 3. น้ำเหลือง
ซึ่งจะแยกนำออกไปใช้ในแต่ละอาการของผู้ป่วยในแต่ละอาการที่ไม่สบายนั้นๆได้ พอได้ฟังอย่างนี่ความคึกคะนองปากกล้าของพวกผมก็เริ่มจะลดลง และเริ่มเห็นความสำคัญของการให้ขึ้นมาแทน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมจำได้และมีความสุขกับการได้บริจาคมากคือการที่ผมได้บริจาคครบ 5 และครั้งที่ 5 นั้นเองที่ผมได้เห็นถึงความสำคัญของเลือด เพราะในช่วยเดือนที่ผมไปบริจาคนั้นเลือดขาดแคลนมากซะจนติดลบ และไม่เพียงพอ เมื่อผมไปถึงพยาบาลประจำห้องเก็บพลาสม่า ก็มาขอดูบัตรของผมก็ขอให้ไปบริจาคเกล็ดเลือดเพราะจะมีการผ่าตัดด่วน แต่ยังไม่ทันจะได้นอนบนเตียงดี บุรุษพยาบาลก็เดินเข้ามาถามถึงเลือดที่จะต้องนำไปใช้ ทำให้เกิดการถกกันระหว่าเจ้าหน้าต่อเจ้าหน้าที่เพราะจะต้องทำการตรวจสอบเลือด และอื่นๆ อีกมากมายกว่าจะนำเลือดออกไปได้ มันทำให้รู้ว่าการให้ครั้งนี้คือการให้ชีวิตอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่ได้เป็นผู้ให้กับเหตุการณ์ในครั้งนี้แต่ว่า ผมและเพื่อนของผมก็คือผู้ให้กับผู้คนที่บาทเจ็บเดือดร้อน จากวันนั้นจนวันนี้ 17 ปีที่ผ่าน เคยโดนเข็มแทงเส้นเลือดพุงกระเด็นท่วมแขน แทงพลาดจนแขนบวม เคยโดนแค่เข็มเล็กเจาะที่นิ้วแต่เลือดไหลนองมือ เพลียนิดๆกับการบริจาคในบางครั้ง(น้อยครั้งมาก) หรือเป็นลมเพราะรีบลุกจากเตียง แต่เรื่องแค่นี้ก็ไม่เป็นปัญหาในการให้ที่พวกเราได้ทำกันมานาน ถึงตอนนี้เพื่อนบางคนได้หยุดบริจาคเพราะติดงาน ติดเพราะสถานที่อยู่อาศัยไม่สะดวก ก็ยังพยายามที่จะนัดหรือ ต่างแยกย้ายกันไปทำในสิ่งที่คิดว่าเราคนๆหนึ่งทำให้ได้แก่คนอีกหลายคนที่กำลังรอรับ . . .
Create Date : 22 เมษายน 2555 |
|
6 comments |
Last Update : 22 เมษายน 2555 0:41:51 น. |
Counter : 1308 Pageviews. |
|
 |
|