สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้มีโอกาสเลยแวะมาอัพบล็อคกันอีกครั้ง เดือนสิงหาคมนี้มีโอกาสไปโน่นไปนี่บ่อยเหมือนกันและคาดว่าจะเริ่มลดน้อยถอยลงไปทุกขณะ เพราะการไปสถานที่ต่าง ๆนั้นส่วนมากผมไม่ได้ไปเที่ยวหรอกครับได้มีโอกาสเพราะไปประชุมหรือไปทำงานเสียมากกว่าตอนนี้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าแล้วคงมีเวลาอยู่บ้านหรือขายของมากขึ้น ยกเว้นในช่วงสิ้นปีหรือปีใหม่ผมถึงได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวพักผ่อน แต่ก็ไปกับครอบครัวครับ ไปเที่ยวเพียงลำพังโดยไม่มีครอบครัวไปด้วยไม่เคยปฏิบัติมานานแล้ว
ครั้งนี้ได้มีโอกาสไปอบรมโครงการเสริมสร้างความสุขในองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ ที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หน่วยงานที่ผมปฏิบัติงานอยู่ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ และ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ณ คุ้มแม่น้ำท่าจีนหม่อมไฉไล อ.บางเลน จ.นครปฐม เป็นการอบรมที่ใช้เวลาคุ้มมากเพราะมีเวลาในการเดินเล่นเที่ยวชมสถานที่น้อยมาก
การอบรมครั้งนี้มี นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ เป็นวิทยากรครับ เนิ้อหาโดยสรุปไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากมายหากเราวัดกันในมุมมองเดิม ๆ แต่ผมว่าทรงคุณค่ามากเลยทีเดียว
หากเราพูดถึงเรื่องการฝึกสมาธิ และสติ ผมว่าใครหลายคนอาจนึกถึงการปฏิบัติธรรม เกี่ยวกับพุทธศาสนา การอบรมครั้งนี้เป็นการฝึกสมาธิและสติในแนวจิตวิทยา ที่นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ให้เหตุผลว่าการฝึกแบบนี้จะสามารถให้คนต่างศาสนาสามารถฝึกได้ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ดีข้อหนึ่งแต่สำหรับผมแล้วมีเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่
หลายครั้งที่ผมได้รับรู้ความเบื่อหน่ายจากเพื่อนร่วมงานทุกระดับ โดยเฉพาะน้อง ๆคนรุ่นใหม่ ๆเมื่อพูดถึงเรื่องธรรมะ พวกเขาไม่ได้เห็นธรรมะน่าเบื่อน่ารังเกียจหรือไร้ซึ่งความศรัทธาหรอกครับ แม้พวกเขาจะเป็นคนรุ่นใหม่ผมว่าหากการแสดงออกในเรื่องธรรมะ หรือการกระทำในเรื่องต่าง ๆที่เกี่ยวข้องผมว่าการเรียกความศรัทธาในเรื่องธรรมะ หรือปรับเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องธรรมะจากพวกเขาคงทำได้ไม่ยากนัก
แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ หรือผู้ที่พยายามโอ้อวดตนว่าเป็นผู้ฝึกฝนธรรมะที่อยู่รายล้อมรอบ ๆตัว กลับปฏิบัติตนไม่เหมาะสม หรือปฏิบัติตนแย่เสียยิ่งกว่าผู้ที่ไม่เคยศึกษาธรรมะเสียอีกในความรู้สึกของเขา ทั้งในเรื่องการพูดจา การแสดงความคิด รวมถึงอุปนิสัยเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว สิ่งต่าง ๆเหล่านี้กระมังที่มันหมั่นตอกย้ำซ้ำ ๆและเพิ่มพูนความรู้สึกด้านลบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธรรมะลงในจิตใจของพวกเขา จนมีความรู้สึกว่า ธรรมะ ไม่ได้ช่วยอะไร
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง และผมว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่เราพยายามละเลยไม่พูดถึง แต่มันคือความจริง
การอบรมครั้งนี้เป็นการฝึกให้เรารู้จักการทำสมาธิ คือการรู้ลมหายใจที่ผ่านเข้าออกรูจมูกของเราแทนคำพูดใดใด ฝึกรับรู้ความรู้สึกที่สัมผัสแผ่วเบาโดยปราศจากความคิด เพราะคำพูดก็คือความคิด การอยู่กับความรู้สึกแผ่วเบานั้นทำให้เรามีสมาธิ แม้มีความคิดที่อยู่ภายใต้จิตสำนึกผุดขึ้นมาเราเพียงไม่คิดตามความคิดนั้น และปลดปล่อยความคิดนั้นจากไป
เราไม่สามารถห้ามความคิดได้หรอก เราไม่รู้หรอกว่าเวลาเราฝึกสมาธิจะมีความคิดจากจิตใต้สำนึกผุดขึ้นมากี่ครั้ง เราไม่สามารถห้ามได้ เราทำได้เพียงไม่คิดตามความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น โดยการให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่เกิดจากการหายใจ
เราฝึกสมาธิเพื่อมี สติ และเพื่อใช้มันในการพูด การฟัง และการดำเนินชีวิตในด้านต่าง ๆ ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ถือว่ามีประโยชน์มากและผมเองก็ได้เครื่องมือชิ้นสำคัญเพื่อพัฒนาและปรับปรุงตนเอง
เขียวๆ สบายตาดี ^^