Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
ตามรอยรัก (๕)



พิพิธภัณฑ์ Louvre

ลุงวิรัช พ่อแม่ที่แสนคิดถึง

หลังจากออกจากพิพิธพัณฑ์ Orsey เราก็เดินกลับมายังพิพิธภัณฑ์ Louvre ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึงห้าล้านคนต่อปี สำหรับคืนวันพุธเขาเปิดถึงสามทุ่มครึ่ง เราจึงเก็บลูฟว์ไว้เป็นแห่งสุดท้ายค่ะ

ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารรูปปิรามิดโดยใช้กระจกโปร่งแสงและเหล็กเป็นวัสดุก่อสร้าง ภายในปิรามิดมีที่จำหน่ายบัตรเข้าชม ร้านขายของ และมีที่ให้นั่งพัก รวมทั้งมีส่วนเชื่อมต่อเข้ากับตัวพิพิธภัณฑ์จ้ะ

ส่วนตัวพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็นหลายส่วน มันใหญ่มากจนฝนเดินเสียเหนื่อยและก็หลงอยู่เรื่อยเลยค่ะ ผ่านห้องรูปปั้นแกะสลักสองห้องอยู่ตรงข้ามกัน ใหญ่อลังการอีกแล้ว จากนั้นขึ้นไปห้องนโปเลียน (Napolean Apartment) เป็นห้องที่อยู่ของนโปเลียน หรูหรามาก ทุกอย่างสีแดงสด เครื่องเรือน ผ้าม่าน พรม เห็นแล้วต้องร้องอืออาอยู่ตลอดเวลา แต่ละห้องมีโคมไฟระย้าหลายช่อ มีห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว เดินแล้วตัวลอย ๆ ยังไงไม่รู้ (กลัวทำพรมเขาเปื้อนนะจ้ะ)

มาถึงลูฟว์แล้วที่พลาดไม่ได้ก็คือรูปปั้นวีนัส และภาพโมนาลิซ่า แต่กว่าเราจะเดินหาเจอ เล่นเอาฝนแทบหมดแรง แต่พอเห็นคนที่มุงกันอยู่เยอะแยะก็รู้ว่าคงใกล้ถึงแล้ว รูปปั้นวีนัสทำจากหินอ่อน แขนด้านซ้ายขาดไปตั้งแต่บ่า ส่วนด้านขวาขาดไปตั้งแต่ต้นแขน ยืนเอียงตัวมาทางขวาแต่ผันหน้ามาทางซ้ายเล็กน้อย ฝนก็ไปชะเง้อชะแง้ยืนดูกับเขาตั้งนาน คนปั้นเก่งจังเลยนะคะ ปั้นออกมาได้สวยมาก โดยเฉพาะใบหน้า บางคนว่าถ้าวีนัสมีแขนครบคงจะสวยกว่านี้ แต่เขาเล่ากันว่าที่รูปปั้นนี้ดังก็เพราะไม่มีแขนนั่นเอง และไม่รู้ว่าแขนที่หายไปนั้นไปอยู่เสียที่ไหน

หลังจากวีนัส ก็ต้องหาดูโมนาลิซ่าเป็นลำดับถัดมา แต่พอไปเห็นของจริงแล้วขนาดภาพเล็กกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เพราะภาพวาดอื่น ๆ ที่เห็นผ่านตามีขนาดใหญ่เกือบทั้งนั้น พอมาเจอภาพโมนาลิซ่าเลยชักลังเลว่า ภาพเล็กแค่นี้ทำไมมันดังไปทั่วโลกนะ แต่เขาป้องกันไว้อย่างดีเลยค่ะ จัดแสดงอยู่หลังกรอบกระจกรักษาความปลอดภัย คงเพราะเข็ดจากการโดนขโมยเมื่อปี 1911 สังเกตเห็นฉากหลังของภาพเป็นวิวธรรมชาติที่มีลำธารสายเล็กไหลลงสู่แอ่งน้ำ โดยค่อย ๆ ไล่สีจากแดงออกไปหาน้ำเงินหม่น ส่วนฉากหน้าเป็นภาพโมน่าลิซ่า หญิงสาวที่มีตาเศร้า ๆ อมยิ้มน้อย ๆ ในชุดเสื้อสีน้ำตาลดำ จิตรกร Leonardo da Vinci วาดภาพสีน้ำมันบนแผ่นไม้นี้ราว ๆ ปี 1503-1506 โดยเน้นให้เห็นถึงจิตวิญญาณผ่านลักษณะการมองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและรอยยิ้มอันเป็นปริศนาของโมนาลิซ่ามากกว่าจะมุ่งไปที่ลักษณะหน้าตาของหญิงสาว และไม่เน้นลายเส้นมากนัก จะเห็นว่าเขาวาดแขนข้างหนึ่งของโมนาลิซ่าให้ค่อย ๆ กลืนกันไปกับลูกกรงที่หญิงสาวเท้าอยู่ ฝนพยายามมองให้มันซึมซับซึมซาบเข้าไปในใจให้สมกับที่ภาพนี้สร้างความพิศวงให้กับทุกคน มองนาน ๆ ก็ติดใจเหมือนกัน แสดงว่าโมนาลิซ่าเป็นสาวสวยพิศไม่ใช่สวยผาดนะคะ

ชมภาพสาวสวยพิศจนประทับในความทรงจำแล้วก็เดินดูภาพอื่น ๆ กันบ้าง เจอภาพพิธีฉัตรมงคลเหมือนกับที่เจอในแวร์ซายส์เลย ภาพที่นโปเลียนกำลังสวมมงกุฏให้โจเซฟินไงค่ะ แต่ที่แวร์ซายส์เป็นภาพวาดผาฝนัง แต่ที่นี่เป็นรูปใส่กรอบ นอกจากนี้ก็มีภาพดัง ๆ อีกหลายภาพ ชมกันเพลินไปเลย

นอกจากงานจิตรกรรมแล้ว ฝนก็เดินดูปฏิมากรรมต่อ ที่ชอบคือรูปแกะสลักหินอ่อน Dying Slave ซึ่งสูงราวสองเมตรกว่าของปฏิมากรชาวอิตาลี ไมเคิลแองเจลโล (Michelangelo Buonarroti) เป็นรูปผู้ชายยืนบิดตัวยกแขนข้างซ้ายสูงขึ้นจับศีรษะด้านหลัง แต่เป็นงานปั้นที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะคนปั้นเกิดต้องไปตกแต่งเพดานโบสถ์เสียก่อน

นอกนั้นแวะเดินเข้าไปในห้องกรีกและห้องอียิปต์ เอกศักดิ์เล่าว่าห้องอียิปต์ที่นี่ยังคงสู้ British Musuem ในลอนดอนไม่ได้ เพราะที่โน่นมีมัมมี่เยอะกว่า ฝนต้องอาศัยยึดแขนเอกศักดิ์ไว้แน่นตลอดเวลาไม่กล้าอยู่ห่างเลยค่ะ ในห้องมันทั้งมืดทึมและมีกลิ่นอับแปลก ๆ ชอบกล ลูกชายลุงวิรัชรู้ว่าฝนกลัวผีก็ยิ่งแกล้งขู่ให้กลัวต่าง ๆ นานา แถมยังหัวเราะชอบใจใหญ่

“คุณกลัวหรือเปล่า ให้ผมกอดเอวพาเดินก็ได้นะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก”

“คุณนี่ฉวยโอกาสอยู่เรื่อยเลย ไม่อายคนอื่นเขาบ้างหรือไงค่ะ”

“ผมกอดเมียผมนะครับ ไม่ได้ไปกอดสาวที่ไหน แปลกเสียอีกถ้าสามีจะไม่ดูแลภรรยา”

“ฝนดูแลตัวเองได้ค่ะ คุณอย่ามาทำให้อายนะ” มือเขานี่แข็งราวกับคีมเหล็ก แงะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด

“ผมเห็นคู่อื่นแล้วอิจฉา มีคู่รักมายุโรปด้วย แต่กลับไม่ได้แสดงบทรักให้เข้ากับบรรยากาศโรแมนติคเลย เสียดายจริง”

เดี๋ยวนี้ไม่รู้ลูกชายลุงวิรัชเป็นอะไร ชอบพูดอะไรแปลก ๆ ผิดไปจากเดิม หรือว่าจะต้องมนต์ขลังของปารีสเข้าให้แล้วก็ไม่รู้ค่ะ

เราพากันเดินชมไปเรื่อย ๆ จนได้เวลาปิด ก่อนกลับฝนซื้อหนังสือรายละเอียดของพิพิธภัณฑ์ติดมือมาด้วย เดี๋ยวคืนนี้จะได้กลับไปนอนอ่านบ้าง

ท้องเริ่มร้องแล้ว เดี๋ยวคงหาข้าวกินกันก่อนกลับโรงแรม พรุ่งนี้เราจะเดินทางต่อไปเยอรมนีแล้วค่ะ เพราะฝนนัดเจอรินนภาที่มิวนิคพรุ่งนี้ค่ำ พ่อกับแม่คงจำฟ้าครามเพื่อนของฝนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยได้ รินนภาเป็นน้องสามีของฟ้าไงค่ะ เมื่อก่อนเวลาฝนตามไปเที่ยวบ้านสวนของฟ้าทีไรเป็นต้องได้ออกเที่ยวตะลอนกับฟ้าและน้องรินเสมอ ๆ แต่พอยายฟ้าแต่งงานแต่งการไปแล้ว จะลากไปไหนต่อไหนด้วยก็เกรงใจสามีเขา เหลือแต่น้องรินนี่แหละที่ยังพากันซุกซนได้ แต่ตอนนี้รินนภามาเรียนอยู่ที่อังกฤษได้ปีกว่าแล้ว พอรู้ว่าฝนจะมาเที่ยวยุโรปเลยจะตามมาสมทบด้วยค่ะ ไม่ได้เจอกันนานไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง คงกลายเป็นสาวน้อยน่ารักไม่ขะมุกขะมอมเหมือนตอนอยู่บ้านสวนแล้วละมั้ง นึกแล้วก็อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ จังจ้ะ

ลาก่อนปารีสที่รัก

รักและคิดถึงมากที่สุดค่ะ

น้ำฝน

ปล คิดถึงดุกดิกจังเลย


**************************************************************************



ปารีส

พ่อ อาเมฆและอานาที่เคารพรัก

ฟ้ามืดแล้วเมื่อเรามาถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ แสงไฟสลัวที่ประดับตามปิรามิดด้านหน้าส่งให้พระราชวังเบื้องหลังดูมีเสน่ห์อย่างประหลาดเลยครับ

เมื่อปี 1200 Philip Augustus สั่งให้สร้างป้อมปราสาทขึ้นริมฝั่งน้ำเพื่อป้องกันข้าศึก ในสมัยแรก ๆ ป้อมนี้ใช้เป็นที่เก็บสมบัติพระราชวงศ์ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 14 พระเจ้า Charles V ทรงโปรดให้เปลี่ยนเป็นที่ประทับ ต่อมาราชวงศ์ก็ไม่เคยเสด็จมาประทับที่พระราชวังลูฟว์อีกเลย จนกระทั่งปี 1546 พระเจ้า Francis I โปรดให้สถาปนิก Pierre Lescot รื้อป้อมและสร้างส่วนของพระราชวังใหม่ในแบบ Renaissance จากนั้นลูฟว์จึงได้มีการขยายปรับปรุงและสะสมงานเรื่อยมา โดยเฉพาะในช่วงพระเจ้า Louis XIII และ Louis XIV

แต่หลังจากที่พระราชวงศ์ย้ายไปประทับที่แวร์ซายส์ในปี 1682 งานปรับปรุงพระราชวังลูฟว์ทั้งหมดก็หยุดชะงักลงและปล่อยให้เสื่อมโทรมจนเกือบจะถูกรื้อถอน ถ้าไม่ใช่เพราะการเดินขบวนประท้วงไปยังพระราชแวร์ซายส์เพื่อเรียกร้องให้พระราชวงศ์กลับมาประทับในปารีสอีกครั้งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1789

ในปี 1792 รัฐบาลสมัยปฏิวัติได้ถ่ายโอนสมบัติราชวงศ์ให้กลายเป็นสมบัติชาติและจัดแสดงไว้ที่พระราชวังลูฟว์ซึ่งเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ Central Museum of Art และเปิดแสดงเมื่อ 10 สิงหาคม 1793 แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านของเนื้อที่ เพราะแต่แรกพระราชวังไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นเนื้อที่จัดแสดงผลงานและพื้นที่รองรับประชาชนที่เข้าชมจึงมีไม่เพียงพอ

หลังสมัยปฏิวัติ พระเจ้านโปเลียนที่หนึ่งได้โปรดให้มีการขยายและเปลี่ยนแปลงพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งได้เก็บรวบรวมงานศิลปะจากชาติที่พระองค์ทรงเข้ายึดครองทั้ง เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลีมาจัดแสดงไว้ แต่งานเหล่านี้ส่วนมากถูกส่งคืนให้แก่เจ้าของเดิมในภายหลัง

ในปี 1983 สถาปนิกชาวอเมริกาเชื้อชาติจีน Ieoh Ming Peiได้ออกแบบพื้นที่ด้านหน้าของลูฟว์เป็นอาคารรับรองรูปปิรามิดที่ขุดลึกลงไปถึงชั้นใต้ดิน หลังคาทรงปิรามิดทำจากกระจกรองรับด้วยโครงข่ายของเหล็ก ซึ่งงานออกแบบนี้โดนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ชั่วขณะ เนื่องจากเป็นอาคารรูปแบบทันสมัยใจกลางแหล่งประวัติศาสตร์ แต่ในที่สุดก็ได้รับการอนุญาตให้สร้างเพื่อใช้เป็นทางเข้าหลัก โดยที่นักท่องเที่ยวยังคงมองทะลุปิรามิดโปร่งแสงนี้ไปยังตัวพระราชวังด้านหลังได้ อีกทั้งตัวกระจกยังสามารถให้แสงสว่างที่เพียงพอกับพื้นที่กว้างด้านล่างซึ่งจัดแบ่งเป็นห้องประชุม ส่วนจัดแสดงนิทรรศการชั่วคราว และส่วนแสดงประวัติของพระราชวังลูฟว์

งานที่จัดแสดงมีมากเสียจนกระทั่งลูฟว์ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดในโลก เริ่มเก็บสะสมสมบัติของกษัตริย์ฝรั่งเศสตั้งแต่สมัยพระเจ้า Francis I ซึ่งพระองค์ทรงรวบรวมผลงานของ Leonardo da Vinci ศิลปินเอกของโลกในขณะนั้น ทั้งภาพ Mona Lisa และภาพ Virgin of the Rocks ตลอดจนงานที่ได้รับบริจาคด้วยจิตศรัทธา

สำหรับตัวพิพิธภัณฑ์ลูฟว์แบ่งออกเป็นสามปีก คือ Richelieu, Sully, Denon
โดยทางปีก Richelieu จัดแสดงศิลปะตะวันออก ภาพวาดของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 14 ถึง 17 และภาพวาดเยอรมัน รวมถึงจัดแสดงห้องของนโปเลียนที่สอง (apartments of Napoleon II)

ด้านปีก Sully จัดแสดงศิลปะอียิปต์และอิสลาม กรีก โรมัน รวมทั้งภาพวาดของฝรั่งเศสตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ถึง 19 ส่วนด้าน Denon จัดแสดงศิลปะกรีกโรมัน และภาพวาดของฝรั่งเศสที่มีขนาดใหญ่ในศตวรรษที่ 19 พร้อมทั้งภาพวาดอิตาลีและสเปน

สิ่งที่ไม่ควรพลาดในพิพิธภัณฑ์ลูฟว์คือ ภาพ Mona Lisa ของศิลปินชาวอิตาลี Leonardo da Vinci ยิ้มอ่อนเศร้าของโมนาลิซ่าแสดงให้เห็นถึงความบอบบางและอ่อนโยนที่แฝงไว้ทั่วทั้งภาพ โดยใช้เทคนิค sfumato ผสมผสานระหว่างแสงและเงา

นอกจากนี้ยังมีรูปปั้น Venus of Milo ที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1820 บนเกาะ Milo และถูกนำมาถวามยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบแปดโดย Marquis de Riviere รูปปั้นหินอ่อนซึ่งกลายเป็นต้นแบบความงามของสาวชาวกรีกนี้สูงราวสองเมตรกว่า มีลักษณะการทรงตัวไม่สมดุลเหมือนกับกำลังยืนอิงบางสิ่งจนทำให้เกิดเส้นสายโค้งของการบิดเอี้ยวลำตัว บริเวณท่อนบนของเทพธิดาวีนัสนั้นเปลือย ส่วนท่อนล่างคลุมไว้ด้วยผ้านุ่งที่กำลังจะหลุดลงกองกับพื้นโดยมีขาข้างซ้ายยกงอขึ้นเล็กน้อยเพื่อรั้งผ้าไว้

เห็นพิพิธภัณฑ์ของปารีสแล้วผมพลอยอดคิดถึงพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติของเราไม่ได้ น่าเสียดายที่ของเราไม่ใคร่มีใครสนใจเข้าไปชมแม้แต่คนไทยด้วยกันเอง ทั้ง ๆ ที่ศิลปะของเราก็น่าศึกษาและสวยงามไม่น้อยไปกว่าชาติอื่นเลย เสียดายจริง ๆ ครับ

เราพากันเดินชมงานศิลปะต่าง ๆ ของเขาเพลินจนหมดเวลา ถึงได้พากันกลับ ตอนออกจากลูฟว์น้ำฝนยังน่ารักอยู่เลย แต่ตอนค่ำนี้ชักจะยุ่งแล้วสิครับ เพราะพอกลับมาถึงโรงแรมก็เจอสาวมาดักรอผมอยู่ วันก่อนเจอกันครั้งหนึ่งแล้วแต่นึกไม่ถึงว่าน้ำผึ้งจะตามมารอพบผมที่โรงแรมตอนค่ำ แถมแนะนำตัวเองกับน้ำฝนเสียเสร็จสรรพ

“คุณเป็นภรรยาของเอกหรือค่ะ ผึ้งเคยเป็นเพื่อนพิเศษของสามีคุณ เมื่อก่อนเราสนิทกันมาก นึกไม่ถึงว่าพบกันอีกครั้ง เขาจะชิงแต่งงานไปเสียก่อน น่าเสียดายจริง สงสัยคงรอจนกว่าผึ้งจะกลับเมืองไทยไม่ไหว โถ... น่าเห็นใจจะแย่ เราอยู่ไกลกันขนาดนี้ แล้วเอกต้องทำงานบนป่าบนดอยด้วย เพื่อนใจที่ไหนก็ไม่มี คงเหงาแย่เลย แต่ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”

เห็นน้ำผึ้งพูดแล้วผมปวดหัวเลยครับ เพราะเขาจงใจยั่วน้ำฝนถึงความสัมพันธ์ฉาบฉวยระหว่างเราสมัยก่อน

“ผึ้งเป็นเพื่อนสมัยที่ผมอยู่อังกฤษครับ” ไม่รู้ว่าเป็นการแก้ตัวหรือเปล่า แต่ผมนึกอธิบายให้น้ำฝนฟังได้แค่นั้น ก่อนจะหันไปพูดกับสาวอีกคน

“แต่ผึ้งคงเข้าใจผิด ผมแต่งงานด้วยความรัก ไม่ใช่ความเหงา แล้วคนที่ผมรอมาตลอดก็คือน้ำฝนครับ”

“แหม...ผึ้งเข้าใจค่ะ ต่อหน้าเมีย ผู้ชายที่ไหนก็ต้องพูดแบบนี้กันทั้งนั้น”

แม่เจ้าประคุณช่างจำนรรจาเสียเหลือเกิน ผมเหลือบดูคนข้างตัวก็เห็นน้ำฝนยังคงยิ้มหวานเป็นปกติ อย่างนี้หรือเปล่าครับที่เขาเรียกว่ายิ้มอย่างเลือดเย็น เห็นผอมบางอย่างนี้เถอะกลับใจแข็งน่าดูชม

“เอาเถอะค่ะ ที่ผึ้งมาดักรอคุณวันนี้เพราะอยากจะตามไปเที่ยวด้วย เที่ยวคนเดียวเบื่อ ไม่สนุกและเหง้า เหงา นี่ก็ไปช็อปปิ้งมาเกือบทุกร้านแล้ว หวังว่าภรรยาคุณคงไม่รังเกียจนะคะ ถ้าผึ้งจะขอให้เอกพาเพื่อนเก่าเที่ยวด้วยคน”

“ยินดีค่ะ”
ลูกสะใภ้พ่อก็ดีใจหาย ออกปากรับคำไม่มีลังเล ผมเสียอีกกลับกลัวใจคนรัก ไม่รู้ว่าลูกสาวอานากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เป็นอันว่าน้ำผึ้งจะตามเราเข้าเยอรมนีในวันพรุ่งนี้ แล้วคงเที่ยวกับเราไปจนกว่าจะพอใจ

ผมกำลังกลุ้ม กลัวน้ำฝนจะไม่สบายใจ เลยต้องอธิบายให้พ่อตาแม่ยายฟังแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าภายหน้ามีเหตุการณ์อะไรไม่ชอบมาพากล อาเมฆจะได้ไม่มาเตะผมทีหลัง ผมยอมรับครับว่าสมัยผมเรียนปริญญาตรีและโทที่อังกฤษอาจเคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นบ้างในบางครั้ง สำหรับน้ำผึ้งผมพบตอนเขามาเรียนปริญญาโททางด้านการเงินที่มหาวิทยาลัย อาจมีอะไรเลยเถิดกันไปบ้างแต่มันจบไปแล้ว หวังว่าน้ำฝนคงเข้าใจ

ขอตัวไปนอนก่อนนะครับ ไม่รู้คืนนี้ลูกสะใภ้พ่อจะยอมให้ผมกอดหรือเปล่า

ราตรีสวัสดิ์ครับ

เอกศักดิ์







Create Date : 27 พฤษภาคม 2549
Last Update : 27 พฤษภาคม 2549 20:25:52 น. 0 comments
Counter : 273 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธราธร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หากมิเริ่มเพียงก้าว
เจ้าตรองดู
ฤาหาญสู้
อุปสรรคอีกนับพัน
Friends' blogs
[Add ธราธร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.