Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
ตามรอยรัก (๑๐)



รถไฟ Salzburg - Lindau

ลุงวิรัช พ่อและแม่ที่รัก

มาเที่ยวคราวนี้ฝนโชคดีมีโอกาสชมคอนเสิร์ตที่เมืองแห่งเสียงดนตรี เพราะเมื่อคืนพี่วินพาเราไปฟัง Fortress Concert ซึ่งจัดแสดงใน Golden Room ที่ป้อมบนเขา ช่วงแรกเขาจะบรรเลงเฉพาะเครื่องดนตรีก่อน มีไวโอลิน เชลโล ฟรุต กลอง และอื่น ๆ ที่เรียกชื่อไม่ถูก แต่ฝนชอบเสียงฟลุตที่พี่วินเล่นที่สุดค่ะ เพราะเสียงมันหวาน ปกติฝนชอบเสียงฟลุตอยู่แล้ว ยิ่งได้มาเห็นได้ฟังใกล้ ๆ แบบนี้ยิ่งซึ้งตรึงใจ โดยเฉพาะบางเพลงฟังแล้วเศร้าจนเกือบจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ เพราะคิดถึงลูกชายคนดีของลุงวิรัชนะสิค่ะ

ในช่วงหลังจึงมีการร้องประสานเสียงพร้อมกับเสียงดนตรี คณะประสานเสียงจะยืนถัดไปทางด้านหลังของวง โดยมีต้นเสียงสี่เสียงไล่ตั้งแต่ soprano, alto, tenor ไปจนถึง base ยืนอยู่ทางด้านหน้าเวที นักร้องทุกคนถือหนังสือกันคนละเล่มแล้วร้องไปเรื่อย ๆ นักดนตรีก็เล่นไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน ตอนแรกฝนนึกว่าเขาจะร้องกันแค่บางส่วนของหนังสือเพลง แต่นี่ร้องจนหมดทั้งเล่ม เพราะมากเลยค่ะ แต่ยิ่งฟังยิ่งนึกถึงลูกเขยพ่อกับแม่ รู้สึกเศร้าและเหงาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เขาเป็นอย่างไรบ้าง

เราพากันออกมาหาอาหารค่ำกินกันหลังจบคอนเสิร์ต น้องรินบ่นหิวมาตั้งนานแล้ว เลยตั้งหน้าตั้งตากินใหญ่เลย คราวนี้ฝนเลือกสปาเกตตี้ซัลมอนและกุ้งในซอสมะเขือเทศ เขาทำได้อร่อยเชียวค่ะ แต่ด้วยความไม่อยากอาหาร เลยกินไปได้นิดเดียวพอรองท้อง คืนเดือนแรมระยิบระยับไปด้วยดาวเกลื่อนฟ้าแบบนี้ เผลอคิดถึงตอนที่นั่งมองฟ้าที่ไร่ไม้หนาว ผิดแต่ว่าไม่มีเขาอยู่ข้างกายคอยอธิบายว่าดาวอะไรบ้าง

“ชอบคอนเสิร์ตมั้ยครับ” เจ้าของเสียงฟรุตแสนไพเราะถามขึ้นมาเมื่อเห็นฝนอิ่มอาหารและเผลอนั่งเหม่อ ฝนคงทำตัวน่าเกลียดจริงเชียว เพราะดูเหมือนไม่ค่อยให้เกียรติเพื่อนร่วมทางคนใหม่เลย ส่วนรินนภายังคงตั้งอกตั้งใจจัดการอาหารตรงหน้าอย่างไม่สนใจจะคุยกับใคร

“ค่ะ นึกไม่ถึงเลยว่า ชมคอนเสิร์ตของจริงแบบนี้ต่างกับตอนดูในทีวีเยอะแยะเลย”

“ครับ เพราะส่วนมากห้องจัดแสดงจะให้เสียงที่ก้องและกังวานกว่ามาก แล้วบรรยากาศก็เอื้อให้คนฟังเข้าถึงอารมณ์ของเพลง”

“พี่วินเล่นฟรุตได้เพราะมากเลยนะคะ อยากเล่นเป็นบ้าง”

“ถ้าฝนสนใจ เดี๋ยวพี่สอนให้” รอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้า ทำให้ฝนต้องฝืนยิ้มตอบทั้งๆ ที่ใจแห้งแล้งเต็มที่ เท่าที่เจอกัน นาวินเป็นคนใจดีและมีน้ำใจ อาสาจะพาพวกเราเที่ยวจนกว่าฝนจะกลับบ้าน เพราะหลังจบคอนเสิร์ตคืนนี้แล้วเขาได้พักเกือบอาทิตย์ค่ะ

“คงไม่ไหวละมั้งค่ะ เพราะฝนไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่เรื่องดนตรี ได้แต่ฟังค่ะ” ฝนได้แต่ปลงความไม่ได้เรื่องของตัวเอง ทั้งที่เคยหัดเล่นเครื่องดนตรีไทยมาหลายอย่างแล้ว แต่กลับเอาดีไม่ได้สักอย่าง

“นี่พี่วิน หัดให้รินบ้างก็ได้นะ รินชอบเป่าขลุย แหม..เห็นสาวสวยเป็นไม่ได้ ทำท่าจะแจกวิชามารอยู่เรื่อย” พอยายรินอิ่มปุ๊ป ปากเริ่มทำหน้าที่ต่อทันทีโดยไม่รีรอ

“อิ่มแล้วเหรอเรานะ จะกินของหวานหรือเปล่า ปากจะได้ไม่ว่างมากัดพี่ แล้วนี่ฟลุตกับขลุ่ยต่างกันนะ อย่ามามั่ว” สีหน้าของนาวินเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดูคนช่างกัด ฝนเองเลยพลอยหัวเราะไปกับเขาด้วย มีรินนภามาด้วยกันแบบนี้ทำให้ค่อยคลายจากความเศร้าได้บ้างค่ะ แกช่างพูดช่างคุย ช่างสังเกต แล้วยังร่าเริงสดใส พลอยทำให้คนอยู่ใกล้สบายใจไปด้วย

“เฮอะ...ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ แต่เป่าขลุ่ยเท่ห์กว่ากันเยอะเลย ไทยแท้สิแน่กว่าเนอะ” ยายรินนี่เลือดรักชาติเต็มเปี่ยมค่ะ ถ้าเห็นใครมาดูถูกบ้านเรานี่แทบจะลุกขึ้นเต้นเลยทีเดียว ตัวเล็ก ๆ แบบนี้แต่ใจนักเลง ไม่มีกลัวใครหรอกค่ะ

“เออ...ไว้ให้เราโตเป็นสาวก่อนแล้วพี่จะสอนเป่าขลุ่ยให้”

“ถึงตอนนั้นพี่ไม่ต้องมาสอนหรอก รินคงไม่อยากเรียนแล้วเพราะไอ้เรามันเป็นพวกบ้าเห่อเป็นพักๆ นะ” พูดจบก็หมดความสนใจเพียงแค่นั้นแล้วหันกลับไปกินไอติมต่ออย่างเอร็ดอร่อย เลี้ยงง่ายดีแท้เลยค่ะเด็กคนนี้

ได้ฟังสองคนนี้คุยกันก็พอเพลินได้บ้าง อย่างน้อยในยามที่เราทุกข์ การมีเพื่อนอยู่เคียงข้างสามารถช่วยให้เราไม่โดดเดี่ยวจนเกินไปนัก เขาถึงว่ามิตรภาพสำคัญและยั่งยืนที่สุดใช่มั้ยค่ะแม่

เมื่อคืนกว่าเราจะกลับมาถึงที่พักก็ดึกเอาการอยู่ ฝนรู้สึกเพลีย ๆ เลยขอตัวไปนอนก่อนใคร แต่นอนไม่หลับเสียที ยังได้ยินเสียงยายรินคุยกับนาวินดังลอดเข้ามาภายในห้องนอนแว่ว ๆ ไม่ปะติดปะต่อ แกคงพยายามจะกระซิบกระซาบอยู่หรอกในตอนแรก แต่อย่างยายรินนี่คงเข้าทำนอง ‘หยอกเหมือนขู่’ ละมั้งค่ะ อีกสักพักก็กลับเสียงดังดั่งเดิม

“นี่พี่วิน เสียใจนะเจ้าค่ะ พี่ฝนแต่งงานแล้ว อย่ามาหลีแถวนี้ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงเอกศักดิ์มาเตะเอา เขายิ่งหวง ๆ ของเขาอยู่”

“เฮ้อ...เสียดาย... แต่งงานแล้วเหรอ แล้วแฟนเขาอยู่ไหนละ ไม่เห็นมาด้วยกัน”

“มีปัญหานิดหน่อย โดนสาวอื่นใช้เล่ห์ฉกไปแล้ว ป่านนี้คงหาตัวพี่ฝนให้จ้าละหวั่น”

ฝนจับเสียงนาวินไม่ถนัด ส่วนมากจะได้ยินแต่น้องรินเท่านั้นค่ะ
“เฮ้ย...ช่วยสิ แต่กลัวพี่ฝนโกรธ เห็นเงียบ ๆ แบบนี้นะ คลื่นใต้น้ำดีดีนี่เอง”

เสียงยายรินเงียบไปอึดใจแล้วกลับโผล่งออกมาใหม่อย่างไม่เบานัก
“นึกออกแล้ว พี่วินช่วยรินหน่อยสิ พี่ฝนไม่กล้าโกรธพี่หรอก รินรู้ว่าพี่เขยต้องตามมาที่นี่แน่ แต่คงหาตัวเราไม่เจอ รินรู้ว่าพี่เขาจองโรงแรมไหนไว้ พี่ช่วยหาทางติดต่อส่งข่าวให้รู้หน่อยสิว่าพวกเราอยู่บ้านพี่ จะได้ตามมาถูก”

ฝนเองไม่ได้ลุกออกไปห้ามปรามเพราะเหนื่อยใจเต็มทีและก็คิดว่ายายรินเหลวไหล เอกศักดิ์คงยังอยู่มิวนิคกับน้ำผึ้ง ไม่ตามมาหาฝนหรอกค่ะ เรื่องแผนการละต้องยกให้น้องริน เพราะแกซุกซน และชอบเล่นอะไร แผลง ๆ เสมอจนไม่ค่อยมีใครใส่ใจเท่าไหร่นัก ฝนเลยนอนฟังพวกเขาคุยกันไปเรื่อย ๆ จนผลอยหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว

แต่พอเช้าวันนี้ตื่นขึ้นมากลับพบว่าเอกศักดิ์มารออยู่แล้วค่ะ เห็นหน้าเขาแล้วฝนทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไงได้แต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ จะหนีกลับเข้าห้องให้นึกเกรงใจพี่วินและน้องรินที่รอไปเที่ยวต่อ แต่สองคนนั้นดูเหมือนเป็นใจ หลบหายไปเสียเฉย ๆ เรียกหายายรินเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ถ้าลูกเขยพ่อไม่ลุกขึ้นมายื้อแขนไว้ก่อน ฝนคงไม่ยอมอยู่ดูหน้าเขาแน่ค่ะ

“มาทำไมค่ะ” พยายามบังคับเสียงไม่ให้เครือเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ฝนเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มช่างเอาใจของอีกฝ่ายแล้วน้ำตากลับเอ่อรื้นขึ้นมาดื้อ ๆ ช่างไม่ไว้หน้าเจ้าของบ้างเลย ยิ่งรู้สึกถึงอ้อมกอดอบอุ่นที่รัดรอบเอว ใจที่คิดว่าเข้มแข็งแล้วพาลจะอ่อนเสียให้ได้เลยค่ะ

“มาตามภรรยาครับ ผมนี่แย่จริง ปล่อยให้เมียหนีมาได้ มาฮันนีมูนแท้ ๆ”

“คุณพาน้ำผึ้งไปแทนสิค่ะ ยังไงเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาคุณเหมือนกัน” ได้ยินเสียงที่ลอดริมฝีปากตัวเองออกมาแล้วให้ประหลาดใจ เพราะมันเย็นชาผิดกับความรู้สึกในอกที่ร้อนไปด้วยความโกรธ เอกศักดิ์คงรู้สึกได้จากน้ำเสียงและอาการนิ่งขึงไม่รับรู้ถึงรอยสัมผัสบริเวณหน้าผาก รอยยิ้มขี้เล่นเมื่อครู่หายไปเปลี่ยนเป็นรอยขมวดคิ้วอย่างขัดใจขึ้นมาแทน

“น้ำฝน ผมมีเมียคนเดียวนะครับ... คืนนั้นผมไม่รู้สึกตัว แต่ถึงอย่างไรก็ตามผมไม่มีวันนอกใจคุณ” คนอะไรทำผิดแล้วยังมาเอ็ดเราอีก เล่นบังคับจับคางให้เงยขึ้นสบตาดุ ๆ ไม่ยอมให้หลบไปไหน ทำราวกับว่าฝนเป็นฝ่ายผิดเสียเองยังงั้นแหละ

“คุณอย่ามาอ้างเลยค่ะ” เสียงตัวเองช่างเรียบสนิทเหมือนดังมาจากปากคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น

“คุณลืมไปแล้วหรือว่าคืนนั้นตอนที่ผมรอชำระเงินค่าอาหาร แล้วคุณกับรินนภาขอออกไปเลือกซื้อผลไม้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตข้าง ๆ น้ำผึ้งคงถือโอกาสวางยาตอนที่ผมแวะเข้าห้องน้ำก่อนจะออกมานั่งรอคุณ แล้วเผลอดื่มเบียร์ที่ยังเหลือค้างอยู่”

“แต่น้ำผึ้งบอกว่าคุณยังรักเธออยู่ และเป็นฝ่าย...เออ....รุกเอง” ฝนยังจำคำพูดจากปากและกิริยาท่าทางของผู้หญิงคนนั้นได้ดี มันเหมือนกับมีดที่กรีดลงมาบนใจทำให้เจ็บจนชาไปหมด

“คุณหนักแน่นหน่อยสิครับ และขอให้เชื่อผม โดนวางยาแบบนั้นผมจะเอาแรงที่ไหนไปยุ่งกับเขา คืนนั้นยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าล้มตัวลงนอนไปได้ยังไงและตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วถ้าผมจะรุกก็คงไม่ไปยุ่งกับผู้หญิงอื่น นอกจากคุณหรอก” เสียงที่เข้มขึ้นเรื่อย ๆ พาเอากำลังใจของฝนที่พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อขัดขืนเขาพลอยหดหายไปด้วย แต่น้ำเสียงของฝนก็คงเฉยเมยไปแพ้กับเสียงดุ ๆ ของลูกเขยพ่อหรอกค่ะ

“ไม่รู้สิค่ะ... รักของชายหนุ่ม เขาว่าอยู่เพียงที่ดวงตา มิใช่แน่ว ณ ดวงใจ” พยายามฝืนสบตาเขาอย่างท้าทาย เห็นดวงตาของคนตรงหน้าแล้วก็รู้ว่าเอกศักดิ์ไม่ได้โกหก เพียงแต่ฝนยังไม่อยากลงให้เขาง่าย ๆ ตั้งแต่แรก

“น้ำฝน...สายตาผมไม่เคยมองใครและในหัวใจผมก็ไม่เคยมีใครได้ครองนอกจากคุณ” แววตาเอื้ออาทรห่วงใยที่ทอดมองมาประกอบกับน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงอย่างจริงใจนั้นทำให้ฝนอยากจะร้องไห้ค่ะ รอยสัมผัสอบอุ่นบริเวณหน้าผากยิ่งเรียกน้ำตาที่ท้นอยู่ในใจให้เอ่อรื้นขึ้นมาอย่างบังคับไม่ได้ เห็นแววแพ้มาแต่ไกลเชียวค่ะ

“แม้แต่รินนภายังเข้าข้างผม เพราะเขารู้จักผึ้งดี คุณน่าจะรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ถ้าคุณเชื่อผึ้งมากกว่าสามีคุณเอง ผมคงไม่มีคำอธิบายอะไรแล้ว”

ถึงกับใจหายเมื่อสองแขนที่โอบรัดแน่นเมื่อครู่คลายออกอย่างรวดเร็ว แถมคิ้มเข้มยังขมวดเข้าหากันอีกทันที แอบเห็นรอยผิดหวังในดวงตาของคนตรงหน้าแล้วฝนยิ่งรู้สึกน้อยใจ ทำไมจะไม่เชื่อใจเขาละค่ะ เพียงแต่ฝนปากหนักไม่ยอมบอกเท่านั้นเอง

“คุณไม่รู้หรอกว่าฝนเสียใจแค่ไหนที่เห็นภาพคืนนั้น” น้ำตาเจ้ากรรม คราวนี้ไม่แค่รื้นแล้วกลับไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ทำไมจะไม่รู้ละครับ และผมก็เสียใจที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาทำร้ายคุณได้ คุณรู้มั้ยตอนที่ผมกลับมาห้องแล้วไม่เจอคุณ ผมกังวลแค่ไหน” พยายามขืนตัวไว้เท่าไหร่ก็สู้แรงคนตัวโตที่ดึงฝนเข้าไปกอดอีกครั้งไม่ได้ แถมยังก้มลงซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยนจนฝนกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า เมื่อครู่เขายังโกรธฝนอยู่เลย เพียงชั่วขณะก็กลับอ่อนหวานเสียจนน่ากลัว

“ขี้แยจัง เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้นี่ครับ” ลุงวิรัชดูลูกชายลุงสิค่ะ กลายเป็นว่าฝนทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่หนักแน่นบ้างละ ไม่เชื่อใจเขาบ้างละ ขี้แงบ้างละ ฝนเลยไม่เหลือความดีอะไรสักอย่างแล้ว

“บ้าจริงเชียว ทำเขาร้องแล้วยังแกล้งกันอีก” รู้สึกว่าตัวเองเสียงอู้อี้ ฟังไม่ได้ศัพท์ยังไงไม่รู้ เจ็บใจจัง แพ้ใจตัวเองอีกแล้วค่ะ

“นี่ถ้าผมไม่ตามมา คุณจะร้องไห้มั้ย” พ่อตัวดียังมีหน้ามาถามอีก แถมตาเป็นประกายพราวยิ่งกว่าดาวเมื่อคืน

“ไม่มีทาง ฝนจะกลับบ้านไปหย่าให้คุณ” ไม่น่าละทำไมเขาถึงว่าผู้หญิงปากกับใจไม่ตรงกัน เข้าใจแล้วค่ะ เห็นชัดเลยที่นี้

“ทำไมพูดอย่างนี้ละครับ คุณก็รู้ว่าผมไม่มีทางยอม กว่าจะได้แต่งต้องอดทนและรอคอยมานานแค่ไหน ผมไม่มีวันยอมให้คุณจากไปแน่”

“และที่สำคัญ ผมรักคุณ หยุดร้องเถอะครับคนดี...”

ฝนร้องไห้ซะจนอกเสื้อเขาเปียกไปหมดเลยค่ะ นี่ขนาดเขาซับน้ำตาให้แล้วก็ยังไม่หมด ลูกสาวพ่อบ่อน้ำตาตื้นจัง น่าอายที่สุดเลย ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้แต่ซุกอยู่อย่างนั้นเป็นนาน อย่างที่แม่ว่า ชีวิตคู่นอกจากความรักแล้วยังต้องอาศัยความเข้าใจและให้อภัยด้วยใช่มั้ยค่ะ แล้วอย่างนี้เรียกว่าเข้าใจหรือให้อภัยละค่ะแม่

กว่าพวกเราทั้งสี่คนจะเคลื่อนทัพออกจากบ้านเพื่อเดินทางต่อมายัง Lindau จุดหมายปลายทางถัดไปก็สายมากแล้ว เมืองนี้ท่านหญิงรัตนาวดีเคยมาเที่ยวด้วยค่ะ
ในหนังสือเล่าว่าเป็นเมืองสวยอยู่ริมทะเลสาบ Konstanz สมัยก่อนผู้หญิงจะแต่งตัวแบบชาวเขา คือ นุ่งกระโปรงฟู มีผ้ากันเปื้อนทับและใส่เสื้อแขนพอง ๆ ส่วนผู้ชายแต่งแบบทิรอล หรือบาวาเรีย นุ่งกางเกงหนังและสวมหมวกมีขนนกปัก อยากเห็นจัง

ไว้ฉบับหน้าฝนค่อยเขียนมาเล่าต่อนะคะ ตอนนี้ใกล้ถึงสถานี Lindau แล้ว คงต้องเตรียมตัวลงแล้วค่ะ

รักและคิดถึงทุกคนม้ากมาก

น้ำฝน


**************************************************************************



Lindau, Germany

พ่อ อาเมฆและอานาที่เคารพรัก

ผมพบน้ำฝนแล้วครับ เป็นเพราะเมื่อคืนคุณนาวินเพื่อนของรินนภาเป็นฝ่ายโทรศัพท์มายังโรงแรมเพื่อส่งข่าวให้ผมทราบ รุ่งเช้าวันนี้ผมเลยรีบมาดักรอพบอธิบายให้น้ำฝนเข้าใจก่อนที่จะหนีผมไปอีก ลูกสาวอานานี่ปากแข็งเป็นที่สุด ปากบอกว่าไม่อยากเจอผม แต่ดวงตากลมโตกลับวาวงามเป็นประกายสดใสแฝงความยินดีจนปิดไม่มิด แม้กระทั่งชายหนุ่มอีกคนยังอดอิจฉาผมไม่ได้จนต้องแอบกระซิบขณะอยู่บนรถไฟตอนเดินทางมาด้วยกัน

“พ่อเลี้ยงนี่โชคดีจังนะครับ ได้ภรรยาน่ารักขนาดนี้” ผมนั่งคุยกับนาวินไปเรื่อย ๆ ส่วนน้ำฝนนั่งคู่กับรินนภาอีกฝากหนึ่งของรถไฟ ได้ยินเสียงสองสาวชี้ชวนกันดูทิวทัศน์สองข้างทางเป็นระยะ ๆ เพลินดีครับ

“ครับ น้ำฝนใสเย็นชื่นใจสมชื่อ แต่บทจะเอาแต่ใจตัวหรือดื้อกับผมขึ้นมา ก็เล่นเอาปวดหัวเหมือนกัน” นึกถึงคนที่ถูกพาดพิงถึงแล้วผมเผลอยิ้มไม่ได้ ลูกสาวใครไม่รู้ครับฤทธิ์เดชมากเหมือนกันเลย

“เมื่อวานผมสังเกตเห็นเขาไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่ ถึงจะมีทีท่าว่าชอบซาลส์บวร์กมาก แต่กลับไม่ค่อยพูดค่อยถามอะไร ชวนกินอะไรก็กินราวกับเสียไม่ได้ ท่าทางจะคิดถึงคุณตลอดเวลา”

“ต้องขอบคุณครับที่ช่วยส่งข่าว ไม่งั้นผมคงต้องใช้เวลานานกว่านี้กว่าจะตามตัวน้ำฝนเจอ ผมผิดเองที่ยอมปล่อยให้ผึ้งตามเรามา ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”

“ผมเองคงต้องจำไว้เตือนใจบ้างแล้วละครับ ไอ้ผมยิ่งเจ้าชู้และกะล่อนอยู่ด้วย กลัวเจอผู้หญิงแบบนั้นเหมือนกันฮะ คงแกะเจ้าหล่อนยากทีเดียว” เห็นนาวินทำท่านับนิ้วมือไล่เรียงจำนวนผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพลางส่ายหัวอย่างยอมจำนนแล้วเราอดหัวเราะกันไม่ได้

“ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกัน เวลามีปัญหาอะไรคงจัดการได้ง่ายกว่านี้ครับ ผมไม่อยากทำอะไรรุนแรงจนได้ชื่อว่าทำร้ายผู้หญิง แต่ต่อไปผมคงต้องระวังมากกว่านี้”

เท่าที่ได้คุยกัน นาวินเป็นเพื่อนที่น่าคบหามากทีเดียว ถึงจะโตและทำงานอยู่เมืองนอกแต่กลับมีนิสัยเอื้อเฟื้อและเป็นมิตรเหมือนคนไทยทั่วไป เขากะทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักพักแล้วค่อยกลับเมืองไทย ตอนนั้นไร่ไม้หนาวคงมีโอกาสต้อนรับนักดนตรีคนนี้บ้าง แต่ตอนนี้เขาจะร่วมเดินทางไปเที่ยวด้วยจนกว่าเราจะกลับบ้านครับ

วันนี้เราเดินทางกลับเข้ามาในเยอรมันเพื่อมาชมเมือง Lindau ที่เป็นเกาะเล็ก ๆ เหนือระดับน้ำทะเลประมาณสี่ร้อยเมตร ใช้เวลาเดินทางจาก Salzburg ไม่นานนักก็ถึง เมืองนี้ตั้งอยู่ริมทะเลสาบบริเวณรอยต่อชายแดนเยอรมนี ออสเตรีย และสวิสเซอร์แลนด์ และใกล้ภูเขา Bavarian Alps นาวินเล่าว่าลักษณะอากาศแถบนี้เหมาะแก่การปลูกพืชผลได้งามทีเดียว

เมืองนี้น่ารักมากครับ อากาศเย็นสบาย บ้านเรือนเป็นระเบียบ ทะเลสาบใสสะอาด และไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่นัก พวกเราพากันเดินเล่นพักผ่อนไปเรื่อย ๆ ชมวิวของเทือกเขา Alps แวะเข้าในเมืองชม Town Hall โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และประภาคาร ผมเล่ารายละเอียดแต่ละแห่งให้ฟังย่อ ๆ นะครับ

Town Hall เก่า (Alte Rathaus) สร้างขึ้นในระหว่างปี 1422 ถึง 1436 ในแบบ Gothic ต่อมาภายหลังได้รับการปรับปรุงในรูปแบบ Renaissance ในช่วงปี 1536 ถึง1578 บริเวณชั้นล่างจัดเป็นห้องสมุดประชาชน ส่วนอีกสองชั้นข้างบนใช้เป็นห้องจัดสัมมนา

Peterskirche โบสถ์เก่าแก่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นประมาณปี 1000 และกลายมาเป็นอนุสาวรีย์ระลึกถึงสงครามตั้งแต่ปี 1928 ภายในเด่นด้วยภาพเขียนบนผนังปูนโดย Hans Holbein

Lindau Town Museum พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองถือได้ว่าเป็นอาคารที่สวยที่สุดแห่งทะเลสาบ Konstanz หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี 1729/30 อาคารแห่งนี้ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในลักษณะ baroque และเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อปี 1929 ปัจจุบันจัดแสดงเครื่องเรือนในแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ยุค Gothic จนถึง Art Nouveau รวมทั้งภาพพิมพ์ ภาพวาด รูปปั้นแกะสลัก เครื่องเงิน เครื่องแก้ว เซรามิค และของเล่นในประวัติศาสตร์ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นเครื่องดนตรีที่เขาสะสมเอาไว้ครับ

Mangturm หรือประภาคารเก่า สร้างขึ้นในศตวรรษที่สิบสามเพื่อคอยส่งสัญญาณให้เรือคอยระวังปากอ่าว ประภาคารแห่งนี้เคยถูกฟ้าผ่าในช่วงฤดูร้อนเมื่อปี 1979 หลังจากนั้นจึงได้มีการบูรณะหลังคาโดยใช้กระเบื้องในสมัยปัจจุบันแทน

Lindau Harbour บริเวณนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1856 ถือเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดของทะเลสาบ Konstanz ด้านหนึ่งมีอนุสาวรีย์สูงหกเมตร ประดับยอดด้วยรูปปั้นสิงโตที่กำลังเฝ้ามองทะเลสาบเบื้องล่างโดยฝีมือของ Johann von Halbig ส่วนอีกฟากเป็นประภาคารสูง 33 เมตร ในลักษณะบาวาเรียนโอบล้อมบริเวณปากอ่าว

นอกจากบรรยากาศของเมืองที่น่าเที่ยวแล้ว ทั้งนาวินและรินนภาก็เป็นเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจผมมาก ร่วมมือกันเปิดโอกาสให้ผมอยู่ใกล้น้ำฝนเต็มที่ ผมเลยถือวิสาสะเดินจับมือเขาไว้ตลอดทางไม่ให้หนีไปเดินกับรินนภาอีก บรรยากาศโรแมนติคแบบนี้ ใครก็อยากอยู่ใกล้สาวคนรักทั้งนั้นครับ

พวกเราย้อนกลับมาชมทะเลสาบอีกครั้ง นาวินพารินนภาไปเดินเล่นชมวิวรอบ ๆ ปล่อยให้ผมกับน้ำฝนนั่งชมวิวกันตามลำพัง ละอองหมอกขาวบางยังคงลอยระเรี่ยแตะแต้มผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดูสวยซึ้งอย่างน่าประหลาด น้ำในทะเลสาบใสสะอาดเหมือนน้ำฝนจนมองเห็นกรวดสีต่าง ๆ ใต้น้ำ

“ฝนนั่งเองได้ รับรองไม่ตกเก้าอี้ คุณไม่ต้องรัดไว้แบบนี้หรอก” เสียงท้วงเบา ๆ ของคนถูกรัดทำให้ผมอดเอ็นดูไม่ได้

“แบบนี้เขาเรียกว่ากอด ไม่ใช่รัด คุณนั่งดี ๆ อย่ายุกยิกสิครับ” ผมยิ่งต้องรั้งเอวคนข้าง ๆ เข้ามาใกล้ เพราะเจ้าตัวพยายามจะขยับหนีอยู่เรื่อย

“ที่นั่งตั้งกว้าง ทำไมต้องนั่งเบียดกันด้วย นั่งแบบนี้อายคนเขา” ลูกสะใภ้พ่อเริ่มเสียงแข็งขึ้นมาทันที น้ำฝนยังคงขัดเขินทุกครั้งที่โดนกอดครับ ทั้ง ๆ ที่ปากก็บอกว่าไม่กลัวผม แต่แก้มนี่แดงระเรื่อไปหมดแล้ว

“คุณนี่อ้างไปเรื่อย คุณวินกับยายรินเดินไปตั้งไกล แล้วแถวนี้ก็ไม่มีใครผ่านมาสักคน” แนวสนหลังม้านั่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาเขียวครึ้มไปทั่วบริเวณ ทางเดินเล็ก ๆ ถัดจากแนวไม้ก็ดูว่างเปล่าไร้ผู้คน ผมเลยไม่ต้องกังวลว่าน้ำฝนจะต้องอายใครถ้าผมจะขอล่วงเกินลูกสาวอาเมฆบ้าง

“รู้มั้ยว่าผมกังวลแค่ไหนที่คุณหายไป แถมยังรู้สึกแย่ที่ต้องนอนคนเดียวไม่มีคุณอยู่เคียงข้าง คราวนี้ถึงตาผมเรียกคืนให้คุ้มกับความเกเรของคุณบ้างละ”

น้ำฝนไม่ทันได้ขัดขืนหรอกครับ เพราะดวงหน้าเรียวถูกประคองให้เงยขึ้นสบตา ริมฝีปากนุ่มนั้นอ่อนหวานละมุนละไม ลูกสาวอานาหวานจับใจเหลือเกินครับ นี่เป็นเพราะผมยอมตามใจน้ำฝนมาตลอด เลยไม่มีโอกาสแสดงความรักแบบนี้เท่าไหร่ คราวนี้ต้องทำโทษที่หนีผมมาเสียดื้อ ๆ ให้ใจหาย น่ารักน่าถนอมขนาดนี้ผมเลยยิ่งเรียกร้องให้สมกับความคะนึงหา

เนิ่นนานกว่าผมจะรู้สึกตัวและยอมปล่อยริมฝีปากอุ่นนั้นอย่างเสียดาย น้ำฝนคงจะอายมากจนพูดอะไรไม่ออก หน้าแดงงามซึ้งเหมือนกุหลาบในไร่ซุกลงกับอกผมไม่ยอมเงย เลยได้โอกาสเคลียคลออยู่ตามไรผมและหน้าผากมนจนพอใจ แทบนับครั้งได้ที่ลูกสะใภ้พ่อจะยอมตามใจให้ผมได้ชื่นใจแบบนี้บ้าง

“คุณรู้หรือเปล่าว่าผมต้องยับยั้งชั่งใจแค่ไหน”

‘เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น
กระต่ายมึนเมาเพ็ญจนเป็นบ้า
แต่ทรามวัยใสสุกทุกเวลา
ในอกข้าเมามึนทั้งขึ้นแรม*’

คำกระซิบถามนั้นลอยไปตามละอองหมอกเย็นชื้นสู่ทะเลสาบใสเบื้องหน้าโดยที่ร่างบางยังซุกแน่นแนบอกผม ไม่มีทีท่าจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น

“คืนนี้ผมจะไม่ยอมตามใจคุณเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว”

คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ทำและขู่คาดโทษไว้ตอนนั้นจะทำให้ผมต้องมาพักห้องเดียวกับนาวินในคืนนี้ ส่วนน้ำฝนหนีไปนอนห้องเดียวกับรินนภาแทน ดูความเกเรของเมียผมสิครับ เล่นแอบกลับมายกเลิกห้องที่เราจองไว้ตั้งแต่แรกเสียหนึ่งห้อง ลูกสาวอาเมฆร้ายเหลือเกินครับ

เราจะพักค้างที่นี่หนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้เดินทางเข้าสวิสต่อครับ
เอกศักดิ์


*************************************
(หมายเหตุ * จากเรื่อง นิทานเวตาล โดย น.ม.ส.)



Create Date : 27 พฤษภาคม 2549
Last Update : 27 พฤษภาคม 2549 20:42:08 น. 0 comments
Counter : 223 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธราธร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หากมิเริ่มเพียงก้าว
เจ้าตรองดู
ฤาหาญสู้
อุปสรรคอีกนับพัน
Friends' blogs
[Add ธราธร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.