Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
27 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
ตามรอยรัก (๗)



Neuschwanstein Castle, Fuessen

ลุงวิรัช และพ่อกับแม่ที่แสนคิดถึง

วันนี้ตื่นสาย! ก็ลูกชายลุงวิรัชไม่ยอมลุกจากเตียงนะสิค่ะ บอกว่ายังนอนกอดฝนไม่เต็มอิ่ม เพราะเมื่อคืนตอนเข้านอนฝนไม่ยอมให้เข้าใกล้ อุตสาห์เอาหมอนมากั้นกลางไว้ แต่พอตื่นขึ้นมากลางดึกกลายเป็นว่าฝนเปลี่ยนเป็นหมอนข้างให้เขากอดแทนไปแล้ว ไม่รู้สึกตัวเลยค่ะสงสัยลูกสาวพ่อคงหลับสนิท และอ้อมแขนเขาคงอุ่นด้วยเลยยิ่งซุกตัวหลับไม่รู้เรื่อง ร้ายจริงเชียว ฝนจะลุกตั้งแต่เช้ามืดก็แกล้งกลับรัดไว้ไม่ยอมปล่อย เลยจำต้องยอมนอนนิ่ง ๆ ไปอย่างนั้นจนกว่าคนเอาแต่ใจตัวเองจะพอใจ นี่ถ้าน้ำผึ้งไม่มาเคาะประตูเรียกเขาคงไม่ยอมลุกหรอกค่ะ

“แหม...ยังไม่ยอมตื่นอีกหรือค่ะ ฟ้าสางขนาดนี้แล้วมัวทำอะไรกันอยู่” เห็นสีหน้าท่าทางของน้ำผึ้งที่ชะเง้อสำรวจเข้ามาภายในห้องแล้ว รู้สึกหน้าตัวเองชาไปทันทีเมื่อรู้ว่าเขาหมายความส่อในแง่ไหน

“ผมกำลังพลอดรักกับเมียผมอยู่ คุณลงไปทานอาหารเช้าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงผมจะตามลงไป” ดูสิค่ะ ลูกชายใครไม่รู้ ไม่รู้จักอายบ้าง พูดออกไปแบบนั้นได้ยังไงกัน

พอเห็นน้ำผึ้งสะบัดหน้าเดินลงส้นจากไป ฝนเลยต้องหันไปเหวแล้วทุบพ่อตัวดีให้พลั่กใหญ่เมื่อเขาเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ ไม่มีทีท่าทุกข์ร้อนอะไร

“คุณพูดอะไรนะ เดี๋ยวคุณผึ้งก็เข้าใจผิดหรอกค่ะ”

“ให้เขาเข้าใจแบบนั้นนะดีแล้ว ผมขี้เกียจโดนตอแยอีก แล้วผมพูดอะไรผิดหรือ อืม...เข้าใจละ ผมไม่ได้ทำตามที่พูดใช่มั้ย ได้ครับ ถ้างั้นขอหน่อยแล้วกัน”

ฝนยังไม่ทันได้แย้งหรือตอบโต้อะไรเลย ลูกเขยพ่อเล่นฉวยโอกาสจนฝนแทบจะหายใจไม่ออก ไม่รู้จะฟ้องพ่อ หรือฟ้องลุงวิรัชดีค่ะนี่

“หวานชื่นใจ...รู้แบบนี้ขอเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงก็ดี เสียดาย...” บ้าจริง...นี่ถ้าไม่กลัวว่าจะชักช้าจนปล่อยให้น้ำผึ้งและรินนภารอนานแล้วละก็ จะไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลไปง่าย ๆ อย่างนี้หรอกค่ะ เห็นคนเจ้าเลห์แบบนี้แล้วพลอยนึกถึงเรื่องอิเหนาในตอนบุษบาเสี่ยงเทียน ที่อิเหนาแกล้งทำให้เทียนดับเพื่อหาโอกาสลอบชมนางบุษบา จนนางจำต้องฟ้องมะเดหวีมารดาเลี้ยงขึ้นมาว่า

‘ชะรอยพระพี่ยาเข้ามาได้
ข่มเหงลูกนี้เป็นพ้นไป
จะหยิกข่วนเท่าไรไม่นำพา...’

แล้วแบบนี้ฝนฟ้องแม่บ้างได้มั้ยค่ะ

กว่าจะออกจากที่พักมาสถานีรถไฟก็สายมากแล้ว แถมยังต้องยืนเข้าแถวซื้อตั๋วอีกนานเพราะที่สำนักงานขายตั๋ว (Reiseburo) จะมีช่องสำหรับคนพูดภาษาอังกฤษประมาณสามถึงสี่ช่อง แต่คนรอคิวเยอะมากเลยค่อนข้างช้า ที่จริงมีตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ แต่เราอยากถามรายละเอียดการเดินทางด้วยเลยต้องรอซื้อกับเจ้าหน้าที่ค่ะ

พอขึ้นรถไฟฝนเลือกนั่งกับน้องริน ปล่อยให้น้ำผึ้งนั่งคุยกับเอกศักดิ์ได้ตามสบาย ได้ยินเสียงหวาน ๆ คุยไปตลอดทางเพลินดีค่ะ ตามสองข้างทางที่ผ่านโดยมากจะเป็นป่าสนสลับกับพรมสีเขียวของผืนหญ้า ส่วนฉากหลังเห็นทิวเขายาวสุดปลายสายตา นึกถึงในเรื่องรัตนาวดี ที่ท่านหญิงรัตนฯ เสด็จไปเที่ยวทะเลสาบติตี้เซ (Titisee)ในบริเวณป่าดำ (Black Forest) แล้วพลอยจินตนาการเอาเองว่าป่าดำคงเป็นบริเวณที่ป่าสนขึ้นจนทึบและชื้นไปหมดจนมองเข้าไปเห็นแต่ความมืด เคยลองถามหากับคนเยอรมันเองว่าจะไปเที่ยวป่าดำยังไง เขากลับบอกว่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ แถมแนะนำให้ไปที่อื่นแทน พอถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋วรถไฟ เขาบอกว่าต้องเลือกว่าจะไปเมืองไหนในป่าดำ ฝนถามกลับไปว่าแล้วเมืองไหนสวย เขาก็บอกไม่รู้ไม่เคยไป เลยชักงง ๆ ไม่รู้ว่าจะไปไม่ไปดีค่ะ แต่เท่าที่เห็นป่าตามทางที่ผ่านวันนี้พอจะวาดภาพออกบ้างแล้ว เพราะมีต้นสนแบบสนคริสต์มาสมากมายเต็มไปหมด ยิ่งบางแห่งเป็นที่ลุ่มน้ำนอง มองเข้าไปแล้วครึ้มเหมือนป่าดำจริงๆ เลยจ้ะ

โชคดีที่เราขึ้นรถไฟเที่ยวตรง จึงไม่ต้องไปรอเปลี่ยนขบวนที่เมือง Buchloe ให้วุ่นวาย พอใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง ทอดสายตาออกไปไกล ๆ จะเห็นฉากหลังเป็นเทือกเขาที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ส่วนหญ้าตามข้างทางกลายเป็นสีขาวเพราะน้ำค้างแข็งจับตามยอดหญ้า แถมบริเวณรางรถไฟยังเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง อากาศภายนอกคงหนาวเข้าไปถึงกระดูกแน่ ๆ ค่ะ

พวกเราลงกันที่สถานีฟึซเซ่น ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ดูเป็นระเบียบและสะอาดมาก อากาศแสนสดเย็นน่าสบาย วิวด้านหลังของเมืองที่เป็นยอดเขาขาวด้วยหิมะก็สวยจนไม่อยากละสายตาไปไหน น่าอยู่จริงเชียว ตอนนี้ตามถนนหนทางประดับไฟคริสต์มาส เลยยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่จ้ะ คราวนี้ฝนเจอที่ทำการไปรษณีย์แล้วเลยได้ส่งไปรษณียบัตรกลับบ้านเสียที พ่อแม่กับลุงวิรัชรอรับนะคะ

หลังจากเดินเล่นชมเมืองแล้วเราก็มาต่อรถเมล์ซึ่งมีชั่วโมงละคันสำหรับวันธรรมดา (แต่ว่าวันเสาร์อาทิตย์จะมีรถบ่อยกว่านี้) นั่งรถเพลินๆ แค่ห้าถึงสิบนาทีก็ถึงบริเวณเชิงเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทนอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein) แล้วค่ะ

ถ้าอยากเข้าไปชมภายในปราสาท เราจะต้องซื้อตั๋วจากสำนักงานที่ตั้งอยู่ตีนเขานี้เลย เพราะข้างบนจะไม่มีที่ขายตั๋วแล้ว แต่ถ้าชมแต่ภายนอกปราสาทก็ไม่ต้องเสียเงินจ้ะ ตอนลงจากรถครั้งแรกแล้วมองขึ้นไปยังปราสาท ฝนชักไม่แน่ใจว่ามาถูกที่หรือเปล่า นึกว่าเป็นปราสาทอื่นเพราะมันดูเล็กและไม่เหมือนปราสาทเทพนิยายในรูปเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ละค่ะ กวาดสายตาไปรอบๆ จะเห็นปราสาทนอยชวานสไตน์บนเขาด้านหนึ่ง ส่วนเขาตรงข้ามมีปราสาทโฮเฮ่นชวานเกา (Hohenschwangau) สีส้ม ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าตั้งอยู่ พวกเราเลยเดินขึ้นไปดูปราสาทนี้ก่อนซึ่งต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณสิบห้านาทีแต่แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว จากข้างบนสามารถมองลงมาเห็นวิวโดยรอบรวมทั้งทะเลสาบสีเขียวใส สวยมากเลยค่ะ

หลังจากชมปราสาทแรกเสร็จ เราพากันเดินกลับลงมา เพื่อย้อนขึ้นเขาอีกลูกไปยังปราสาทนอยชวานสไตน์ ปกติเขาจะมีรถลากเทียมม้าคู่พาขึ้นถึงปราสาท แต่เป็นคนละทางกับที่พวกเราเดินซึ่งจะตัดตรงและชันกว่า ต้องใช้เวลาเดินประมาณสี่สิบนาที เหนื่อยมากค่ะ เสื้อกันหนาวที่ใส่ไปก็แสนหนัก เวลาเดินขึ้นเขาเลยทั้งหนักทั้งร้อน ถึงแม้ว่ารอบๆ ตัวจะเห็นแต่หิมะก็เถอะจ้ะ ฝนค่อย ๆ เดินชมวิวไปเรื่อยๆ มองเห็นด้านล่างเป็นทะเลสาบ และรอบ ๆ เป็นเทือกเขาสูงชัน มาเดินแบบนี้แล้วนึกสงสารม้าที่ต้องลากคนตั้งหลายคนขึ้นเขา ขนาดฝนเองตัวคนเดียวยังเอาตัวไม่ค่อยรอดเลย นี่ม้าต้องลากทั้งคนทั้งรถลากคงหนักน่าดู

ฝนเดินกับน้องรินนำขึ้นไปก่อน เพราะว่าน้ำผึ้งเดินขึ้นไม่ค่อยไหว แต่ก็ไม่ยอมไปขึ้นรถม้าคนเดียว เพราะว่าพวกเราอยากเดินกัน เอกศักดิ์เลยต้องช่วยพยุงตามขึ้นมา รินนภาเดินไปก็แอบค่อนคนข้างหลังไปพลาง

“พี่ผึ้งจะเวอร์เกินเหตุหรือเปล่านี่ เล่นออเซาะพี่เขยรินซะขนาดนั้น พี่ฝนทนดูอยู่ได้ ใจเย็นเกินไปแล้วค่ะ ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป พี่เอกคงไม่เป็นอันได้ทำอะไรแน่ รู้แบบนี้ไม่น่าแกล้งพามาเดินขึ้นเขาทางนี้เลย ปล่อยให้ขึ้นรถม้าไปก็หมดเรื่อง”

“แล้วจะให้พี่ทำยังไงจ้ะ เดินขึ้นเขามันเหนื่อยนะ ยิ่งคนไม่คุ้นแล้วยิ่งพาลจะหมดแรงเอา”

“อย่างรินนี่ถือคติ
‘ใครดีจะดีตอบ ใครชอบจะตอบแทน ใครร้ายจะร้ายแสน ให้เหมือนแม้นที่ทำเรา’
เฮ้อ...พี่ฝนไม่ต้องห้ามเลยค่ะ ปล่อยให้รินจัดการหน่อยเถอะ เห็นแล้วหมั่นไส้ขัดหูขัดตายังไงไม่รู้”

หลังจากถอนใจพลางทำหน้าขัดใจเหมือนเด็ก ๆ แล้วยายรินก็หันหลังกลับเดินตรงไปยังทั้งคู่ แล้วไม่รู้คุยกันอีท่าไหน เอกศักดิ์รีบผละจากสาวข้างตัววิ่งขึ้นมาหาฝนทันที

“คุณจะเป็นลมหรือ หนาวมากมั้ย เดินขึ้นไหวหรือเปล่า” อยู่ดีๆ ก็ดึงเอวฝนเข้าไปโอบแถมแอบหอมขมับอีกต่างหาก ไม่ยอมสนใจสายตาของสองสาวข้างหลังเลย เผลอไม่ได้เลยนะคะ ลูกเขยพ่อนี่

“เปล่านี่คะ ฝนไม่ได้จะเป็นลม ยายรินบอกอย่างนั้นหรือ” ฝนถึงกับกลั้นยิ้ม ขำความเจ้าอุบายของน้องริน

“ถ้างั้นรินนภาก็ช่วยผมสินะ คุณช่วยแกล้งหน่อยแล้วกัน ผมจะได้ไม่ต้องเปลืองตัวอีก” ฝนถึงกับหลุดขำกิกเลยค่ะ พูดราวกับว่ากอดน้ำผึ้งแล้วเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“นี่... แล้วตอนนี้คุณไม่เปลืองตัวเหรอ มากอดสาวอื่นอีก”

“ไม่หรอก... กับคุณนี่ผมอยากทำมากกว่ากอดอีก...” กระซิบมาได้ ทะลึ่งจริงเชียว ยิ่งเห็นตาที่พราวระยับพร้อมกับยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์แล้วน่าหมั่นไส้จริงค่ะ

ทีนี้ฝนเลยเดือดร้อนจำต้องเล่นละครยอมให้เขาพาเดินขึ้นเขาแต่โดยดี อึดอัดชะมัด คราวนี้เลยรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ เข้าไปใหญ่ ส่วนรินนภาก็ขมีขมันเป็นฝ่ายลากน้ำผึ้งขึ้นมาแทน น้องรินนี่แข็งแรงชะมัด แต่กว่าจะขึ้นถึงปราสาทสาวๆ ก็หมดแรงไปตามๆ กันค่ะ

พอขึ้นไปถึงตัวปราสาทแล้วยิ่งทึ่งในทัศนียภาพโดยรอบ ทิวเขาที่แต่งแต้มด้วยเกล็ดหิมะซึ่งโอบล้อมทะเลสาบสีเขียวใสเบื้องล่างสวยจนอธิบายไม่ถูก ถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วงคงสวยมากเหมือนกันนะคะ ตอนนั้นใบไม้คงกำลังเปลี่ยนสี เป็นสีเหลือง ส้ม แดงเต็มไปหมด ส่วนตัวปราสาทลักษณะเป็นป้อมยอดแหลม ๆ เหมือนในนิทานฝรั่งเช่น สโนไวท์ หรือ ซินเดอเรลลาเลยค่ะ ภายในเขาจะมีไกด์คอยพาชมรอบละประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วแต่นักท่องเที่ยวจะเลือกฟังภาษาอะไร ของเราเลือกรอบภาษาอังกฤษค่ะ

เท่าที่ฟังเขาเล่าพอจับใจความได้ว่าปราสาทนอยชวานสไตน์สร้างขึ้นในศตวรรษที่สิบเก้าโดยกษัตริย์ลุดวิกที่สอง แต่สร้างยังไม่เสร็จดี พระองค์ก็ตายเสียก่อน น่าเสียดายอายุแค่ประมาณสี่สิบปีเท่านั้นจ้ะ ส่วนชื่อปราสาท Neuschwanstein แปลโดยรวมแล้วคงจะหมายถึงปราสาทหินหงส์ใหม่ เพราะคำว่า Neu แปลว่า ใหม่ , Schwan คือ หงส์ และ Stein แปลว่า หิน เล่ากันว่าเมื่อก่อนแถบนี้มีหงส์มากจนถือเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่

ห้องที่เปิดให้ชมมีท้องพระโรง ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องโถง แต่ละห้องประดับด้วยช่อไฟระย้ารูปมงกุฏที่ประดับด้วยเทียนหลายเล่ม ตามผนังห้องมีภาพวาดบอกเรื่องราวที่มีตัวละครหญิงชายเป็นตัวเอก เขาวาดสวยซะจนฝนติดใจเลยค่ะ โดยเฉพาะตัวนางในห้องบรรทม อยากรู้จังว่าเป็นเรื่องอะไร ต้องกลับไปเปิดหนังสือที่ซื้อมาดูประกอบเสียแล้ว เท่าที่เห็นโดยรวมแต่ละห้องจะไม่ใหญ่มาก อาจเป็นเพราะสร้างอยู่บนเขาเวลาจะขนย้ายอุปกรณ์ก่อสร้างคงยากลำบาก แต่ที่สงสัยคือสมัยก่อนอยู่กันแบบนี้ เขาไม่หนาวกันบ้างหรือไงนะ

ในห้องท้องพระโรงประดับด้วยหินอ่อน ตรงฐานบังลังค์ใช้หินอ่อนสีขาว ส่วนเสาเป็นหินอ่อนสีชมพูแดงและพื้นเป็นหินอ่อนลายโมเสครูปต่าง ๆ ผนังด้านตรงข้ามฐานบัลลังก์เป็นภาพวาด ถ้าฟังไม่ผิดเป็นภาพของกษัตริย์ลุดวิกกำลังทรงม้าโดยมีฉากหลังเป็นตัวปราสาท ไกด์เล่าว่าขณะปราสาทนอยชวานสไตน์ยังสร้างไม่เสร็จดี กษัตริย์ลุดวิกที่สองทรงมีบัญชาให้สร้างปราสาทอีกหลังแล้ว โห...สร้างปราสาทกันเป็นว่าเล่นเลย

พากันเดินต่อไปชมห้องบรรทม ภายในมีเตียงปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีเขียว ส่วนเรือนยอดของเตียงมีลักษณะคล้ายยอดโบสถ์ ถัดไปอีกส่วนหนึ่งของปราสาทจะเป็นถ้ำปลอมที่เหมือนจริงมาก และมีห้องเล็ก ๆ จัดเป็นสวนหย่อมขนาดกะทัดรัด ปราสาทนอยชวานสไตน์ไม่มีบริเวณสวนโดยรอบ เพราะเขาปรับบริเวณยอดเขาให้เป็นที่ราบและสร้างเป็นตัวปราสาทหมด ผิดกับพระราชวังแวร์ซายส์ที่แต่ละห้องใหญ่โต และมีบริเวณกว้างขวางทั้งสวน ทั้งสระน้ำ เพราะสร้างบนที่ราบนอกเมือง

ก่อนออกจากปราสาท ฝนกับรินนภาขอแวะซื้อหนังสือและไปรษณียบัตรอีกตั้งนาน แต่ละภาพสวยๆ ทั้งนั้นจนเลือกแทบไม่ถูกค่ะ เลยพากันซื้อเกือบทุกรูป เพราะเขาถ่ายภาพจากมุมสูงทำให้เห็นตัวปราสาททั้งหลัง แถมยังเห็นวิวโดยรอบทั้งปราสาทโฮเฮ่นชวานเกาและทะเลสาบด้านหลังในแต่ละฤดู แล้วเดี๋ยวฝนจะส่งไปให้ทุกคนดูนะคะ กว่าเราจะออกกันมาฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ครั้งนี้ได้มาเที่ยวมาเห็นปราสาทในฝันแล้ว ดีใจที่สุดเล้ย พ่อกับแม่และลุงวิรัชฟังที่ฝนเล่าแล้วชอบมั้ยค่ะ

รักและคิดถึงม้ากมากจ้ะ

น้ำฝน


**************************************************************************



Fuessen, Germany

พ่อ อาเมฆและอานาที่เคารพรัก

วันนี้ผมพาน้ำฝน พร้อมทั้งรินนภาและน้ำผึ้งมาเที่ยวปราสาทในเมือง Fuessen ซึ่งห่างจากมิวนิคประมาณสองชั่วโมง น้ำฝนอยากเห็นปราสาท Neuschwanstein มานานแล้ว คราวนี้ได้มาเห็นของจริง ตาเลยเป็นประกาย แถมยิ้มแก้มแทบปริและอารมณ์ดีน่ารักทั้งวัน ยิ่งมีรินนภาเป็นเพื่อนรู้ใจมาเที่ยวด้วยกัน ลูกสาวอาเมฆยิ่งสดใสและสวยมากครับ

เราขึ้นไปชมปราสาทสองแห่ง คือ Hohenschwangau Castle และ Neuschwanstein Castle

ปราสาท Hohenschwangau สร้างโดยมกุฎราชกุมาร Max แห่ง Bavaria (ซึ่งต่อมาคือ กษัตริย์ Maximilian II พระราชบิดาของกษัติรย์ Ludwig II) พระองค์โปรดให้สร้างขึ้นใหม่จากปราสาทเดิมเมื่อปี 1832-1838 และใช้เป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อน
ภายหลังจึงกลายมาเป็นที่ประทับของ Ludwig II กษัตริย์แห่งบาวาเรียในช่วงแรกของการครองราชย์ เพราะทรงโปรดที่นี่มากถึงกับถือว่าเป็นสวรรค์บนดินเลยทีเดียว

ส่วนปราสาท Neuschwanstein ที่ถูกสร้างขึ้นภายหลังบนยอดเขาอีกลูกนั้นได้รับการออกแบบโครงร่างโดย Christian Jank ซึ่งต้องร่างแบบออกมาหลายครั้งจนกว่าจะเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์ Ludwig II เพราะทรงอยากให้ปราสาทดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่สวยงามโดยรอบ

การก่อสร้างเริ่มต้นจากการสำรวจสภาพดิน การวางท่อน้ำ ตลอดจนสร้างถนนขึ้นไปยังบริเวณก่อสร้าง และเริ่มวางฐานเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1869 โดยเริ่มสร้างบริเวณป้อมประตูทางเข้าก่อนซึ่งใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้าปีกว่าจะเสร็จ หลังจากนั้นจึงได้สร้างตัวปราสาทเป็นลำดับต่อมา ที่น่าเศร้าคือการก่อสร้างปราสาทนี้จำเป็นต้องใช้วัสดุจำนวนมากและใช้เงินมหาศาล จนในที่สุดพระองค์ทรงเป็นหนี้เป็นสินและถูกกล่าวหาว่าผลาญเงินของแคว้นบาวาเรีย

นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่น่าสลดคือ ในขณะดำเนินการก่อสร้างปราสาทเกิดมีผู้เสียชีวิตหลายคน ทั้งผู้คุมก่อสร้างที่ยิงตัวเองตาย ช่างไม้ที่ตกจากชั้นสองของนั่งร้านและบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิต ช่างไม้อีกคนลื่นผลัดตกหน้าผาตายทันทีขณะลากท่อนซุง บางคนก็พบว่าตายอยู่ใต้หน้าผาโดยไม่ทราบสาเหตุ บ้างก็ถูกหินหล่นลงมาทับ บ้างก็ตกหน้าผาขณะขึ้นไปสร้างหลังคา นับว่าปราสาทแห่งนี้กลืนกินทั้งงบประมาณและชีวิตผู้คนเป็นจำนวกมาก

แม้เมื่อ Ludwig II เสียชีวิตในวันที่ 13 มิถุนายน 1886 เพียงแค่หนึ่งในสามของโครงร่างปราสาทเท่านั้นที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าปราสาทนี้มีชื่อเสียงและสวยงามที่สุด อีกทั้งยังมีลักษณะคล้ายปราสาทในเทพนิยาย ตัวปราสาทสร้างในแบบ neo-late romanesque ส่วนด้านในตกแต่งในแบบ Byzantine และ Romanesque จนถึงแบบ Gothic

กว่าพวกเราจะพากันเดินขึ้นไปถึงปราสาท Neuschwanstein สาวๆ ก็หน้าแดงด้วยความเหนื่อยกันทุกคน โดยเฉพาะน้ำผึ้งที่ไม่คุ้นกับการระหกระเหินแบบนี้จนถึงกับเดินบ่นมาตลอดทาง

“เอกอย่าใจร้ายนักสิค่ะ ช่วยพยุงผึ้งขึ้นไปด้วยคน แข้งขาอ่อนไปหมดแล้ว ไม่รู้จะอยากเดินอะไรกันนักหนา ชั้นชัน ลำบ๊ากลำบาก..ดูสิ เท้าบวมเจ็บจะแย่”

ผมเลยต้องคอยฉุดเขาให้เดินขึ้นมาดีดี ไม่งั้นจะยิ่งช้า เพราะน้ำฝนกับรินนภาเดินนำขึ้นไปตั้งไกลแล้ว

“แหม...กอดแน่นๆ สิค่ะ ผึ้งหมดแรงจนเดินไม่ไหวอยู่แล้ว เอกช่วยอุ้มผึ้งหน่อยนะ”

มือที่รั้งแขนผมเมื่อครู่เปลี่ยนมาโอบรอบคอโดยที่ผมไม่ทันปฏิเสธ แถมยังเบียดตัวเข้ามาแน่นไม่เกรงว่าน้ำฝนจะหันมาเห็นเลย ยิ่งรั้งเขาให้ห่างตัวก็ดูเหมือนจะยิ่งเกาะติดแน่นไม่ยอมปล่อย แต่โชคดีที่รินนภาทำตัวเป็นอัศวินม้าขาวมาช่วยก่อนที่ผมจะหมดความอดทน เห็นน้องรินหันมามองผมกับน้ำผึ้งหลายรอบแล้วคงนึกรำคาญแทนจนทนไม่ไหวถึงได้เดินกลับมาหา

“พี่ผึ้งเป็นอะไร เดินไม่ไหวเหรอ โธ่เอ๋ย...แล้วก็ไม่บอกริน เดี๋ยวรินช่วยเอง คนกันเองแท้ๆ ตัวเองเป็นสาวเป็นนางมัวแต่ไปเกาะพี่เอกอยู่อย่างนั้นได้ไง ใครมาเห็นเข้าเสียหายหมด ถึงพี่ไม่แคร์สายตาคน ก็หัดอายผีสางเทวดานางไม้ซะบ้าง แล้วอย่าลืมสิว่าพี่เขยรินเขาพาพี่ฝนมาเที่ยวนะ ไม่ใช่พี่”

รินนภาลอยหน้าลอยตาเจรจากับน้ำผึ้งโดยไม่สนใจอีกฝ่ายที่หน้าเปลี่ยนสีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนพูด

“อ๊ะ อ๊ะ อย่าเต้นนะ ไหนพี่บอกว่าหมดแรงไง...” รินนภารีบร้องห้าม ส่งผลให้น้ำผึ้งที่กำลังทำท่าเหมือนที่โดนกล่าวหาถึงกับหยุดชะงักไป

“พี่เอกค่ะ รินเห็นพี่ฝนหน้าซีดเชียว มือก็เย็นเจี๊ยบเลย ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า แล้วพี่ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวรินดูพี่ผึ้งให้เอง”

“ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อน”

ผมรีบเดินผละออกมาแต่ก็ยังได้ยินเสียงน้ำผึ้งตวาดรินนภาอยู่เหวๆ แต่ฝ่ายที่อ่อนอาวุโสกว่าก็แกล้งทำหูทวนลมไม่รู้ไม่ชี้ ตั้งหน้าตั้งตาลากคนเสียงดังตามขึ้นมาจนได้

ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ นะครับ เขาสู้กันด้วยสายตาและคารมคมคาย ไม่เหมือนผู้ชายที่เอากำลังเข้าแลก ผมเห็นแล้วยิ่งปวดหัว คนที่ไม่อยากยุ่งด้วยกลับเข้ามาพัวพันเสียเหลือเกิน ส่วนลูกสะใภ้พ่อก็ช่างเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่สนใจไยดีผมเลย แบบนี้น่าปรับเสียให้เข็ด

หลังจากขึ้นมาถึง หยุดชมทิวทัศน์รอบๆ สักพักแล้วค่อยเข้าชมปราสาทกันต่อ ภายในมีทัวร์นำชมปราสาทประมาณสิบห้าห้องโดยเริ่มจากชั้นสองของปราสาทที่ห้อง Red Corridor ซึ่งตั้งชื่อตามสีกระเบื้องปูพื้น ที่น่าสังเกตคือพระเจ้า Ludwig II ไม่โปรดให้มีภาพพระองค์ติดอยู่ภายในปราสาท แต่กลับมีรูปปั้นครึ่งตัวของพระองค์ตั้งแสดงไว้แทน เนื่องจากมีผู้บริจาคให้ในภายหลังเมื่อปี 1988 หลังจากที่พระองค์สวรรคตแล้ว

ด้วยบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้องท้องพระโรงถือว่าอลังการและน่าประทับใจที่สุดในปราสาท แต่น่าเสียดายที่ห้องนี้ไม่สมบูรณ์เนื่องจากขาดบัลลังก์ เพราะหลังจากที่พระเจ้าลุดวิกสิ้นพระชนม์โดยไม่คาดฝันพระราชวงศ์ก็ยกเลิกสัญญาสั่งของทั้งหมด ลักษณะภายในห้องโดยรอบประดับด้วยภาพวาด ส่วนพื้นเป็นลายโมเสคภาพสัตว์และพืชบนโลก

จากระเบียงของท้องพระโรงสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามภายนอก ทั้งทะเลสาบ Alpsee และ Swan Lake ระหว่างทะเลสาบสามารถมองเห็นปราสาท Hohenschwangau ส่วนเบื้องหลังของทะเลสาบทั้งสองคือเทือกเขา Tyrolian Alps กั้นเขตแดนระหว่างเยอรมนีและออสเตรีย

ห้องที่เปิดให้ชมอีกคือห้องเสวยที่เด่นด้วยงานแกะสลักไม้โอ๊คและผ้าม่านที่ทำจากไหมสีแดงเข้ม ห้องนั่งเล่น ห้องบรรทม และเนื่องจากกษัตริย์ลุดวิกทรงเคร่งศาสนาจึงจัดให้มีห้อง Privat Chapel ไว้เพื่อสวดมนต์ นอกจากนี้ยังมีห้องแต่งตัวซึ่งเป็นเพียงห้องเดียวในส่วนที่ประทับของกษัตริย์ที่เพดานไม่ได้ทำจากไม้

ตามบันทึกกล่าวว่า พระเจ้าลุดวิกถูกกล่าวหาว่าทรงวิกลจริตและประกาศไม่ยอมให้ครองราชย์อีกต่อไปเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 1886 ขณะพำนักอยู่ภายในห้องบรรทมของพระองค์เอง หลังจากนั้นพระองค์ถูกนำตัวไปยังปราสาท Berg ใกล้กับทะเลสาบ Starnberg และวันรุ่งขึ้นก็พบว่าพระองค์สิ้นพระชนม์โดยไม่ทราบสาเหตุ

ห้องบรรทมออกแบบในลักษณะโกธิคที่งดงามด้วยศิลปะการแกะสลักไม้โอ๊คที่ละเอียดประณีต โดยเฉพาะเรือนยอดของที่นอน โต๊ะแต่งตัว รวมทั้งเก้าอี้นั่งอ่านหนังสือ และเสากลางห้อง ส่วนเครื่องประดับล้วนแต่เป็นสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีโปรดของกษัตริย์ลุดวิก

ด้านขวาของเก้าอี้อ่านหนั้งสือเป็นเตาไฟกระเบื้องในแบบโกธิคประดับด้วยรูปปั้นดินเผา ทางด้านซ้ายเป็นมุมโค้งเล็ก ๆ มีเบาะนั่งชมวิวภายนอกที่เป็นหน้าผาและน้ำตก เหนือประตูมีซอกเว้าเข้าไปในกำแพงประดับด้วยรูปแกะสลักของ Tristan, Isolde และ King Marke ตามตำนานวีรบุรุษ ส่วนโค้งเหนือประตูมีภาพวาดของสตรีในชุดพื้นเมืองสมัยศตวรรษที่สิบห้ากำลังถือวรรณกรรมเกี่ยวกับวีรชนเรื่อง Tristan ที่วาดประดับโดยรอบห้องบรรทม และกลายมาเป็นโอเปร่าอมตะของ Richard Wagner เรื่องราวของความรัก ความซื่อสัตย์และความเศร้า ทุกข์และสุข

‘ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในป่าลึก อลิสซาเบธ ราชินิแห่งลีโอนัวร์ทรงให้กำเนิดบุตรชายแต่เพียงลำพังและสิ้นพระชนม์ในที่สุด ทารกน้อยจึงได้ชื่อว่า ทริสแทน ซึ่งแปลว่าความเศร้า ภายหลังบิดาของทารก คือ กษัตริย์ เมเลียดัส แห่งคอร์วอลได้นำเขากลับไปเลี้ยงและให้การศึกษาที่พระราชฐาน

เมื่อทริสแทนโตเป็นหนุ่มจึงออกเดินทางท่องเที่ยวและผญจภัย จนในที่สุดได้เดินทางไปถึงคอร์นวอลและพบกับกษัตริย์มาร์คซึ่งเป็นน้าชายของเขาเอง ซึ่งต่อมาพระองค์ทรงโปรดรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม

จากนั้นในนามของกษัติรย์มาร์ค ทริสแทนได้ออกเดินทางไปถึงไอร์แลนด์เพื่อพบกับหญิงสาวนามว่า ไอโซล์ด บลอนด์ฮาร์ ผู้ที่เขาเคยรู้จักตั้งแต่ครั้งที่นางช่วยรักษาบาดแผลให้ด้วยยาวิเศษ การมาครั้งนี้เขามีหน้าที่มานำ ไอโซล์ด กลับไปเข้าพิธีอภิเษกตามพระราชประสงค์ แต่ในระหว่างทางที่ทั้งคู่เดินทางกลับมานั้น ทะเลสงบปราศจากคลื่นลมจนกระทั่งเรือต้องลอยเคว้งคว้างโดยไร้จุดหมายอยู่หลายวัน เป็นเหตุให้ทั้งคู่กระหายน้ำอย่างมากจนเผลอดื่มน้ำมนต์วิเศษที่เตรียมไว้สำหรับกษัตริย์มาร์คด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ส่งผลให้ทริสแทนและไอโซล์ดตกหลุมรักซึ่งกันและกัน

ภายหลังจากที่ทั้งคู่เดินทางมาถึงเมืองคอร์นวอล ไอโซล์ดได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับกษัตริย์มาร์ค แต่ทั้งทริสแทนและไอโซล์ดยังคงลักลอบพบกันในสวนบ่อยครั้งจนกลายเป็นที่โจษขานไปทั่ว ในที่สุดความทราบถึงพระกัณฑ์ ทริสแทนเลยถูกตัดสินประหารชีวิต แต่เขากลับได้รับความช่วยเหลือจนสามารถหลบหนีมาได้ พร้อมทั้งได้รับการรักษาให้ทุเลาจากอาการบาดเจ็บโดยลูกสาวของกษัตริย์โฮเอลจนต้องจำใจแต่งงานกับนางแต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน

ต่อมาทริสแทนได้เข้าร่วมเป็นอัศวินโต๊ะกลมของพระเจ้าอาร์เธอร์และผ่านการผจญภัยอีกมากมายจนได้รับการอภัยโทษจากกษัตริย์มาร์คและยอมให้กลับเมืองได้ แต่ข้าราชบริพารที่อิจฉากลับคอยยุยุงว่าไอโซลด์และทริสแทนยังคงแอบพบกันอย่างลับ ๆ ด้วยความโกรธพระองค์จึงลอบเข้าทำร้ายทริสแทนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องหลบหนีกลับไปหาภรรยาเพื่อให้นางช่วยรักษาด้วยยาวิเศษ แต่นางกลับปฏิเสธที่จะช่วยชีวิตสามีเนื่องด้วยความหึงหวง

ในที่สุดกษัตริย์มาร์คทรงให้อภัยเขาอีกครั้งและนำไอโซล์ดไปพบกับทริสแทนเป็นครั้งสุดท้าย ถึงแม้จะอ่อนแอหมดเรี่ยวแรงลงไปเรื่อย ๆ แต่ทริสแทนยังคงฝืนทนเพื่อรอพบสาวที่เขารักมาตลอดอีกครั้ง เมื่อพบหน้ากันกษัตริย์มาร์คทรงขอให้เขาให้อภัยพระองค์ แต่ทริสแทนกลับปฏิเสธและไม่ยอมละความโกรธให้อภัยสิ่งที่พระองค์ทำไว้กับเขาแม้ว่ากำลังเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตก็ตาม ส่วนไอโซลด์เองเมื่อเห็นชายที่ตนรักสิ้นใจลงไปต่อหน้า ก็ยอมตายตามเพื่อบูชาความรักที่นางมีต่อทริสแทน นับเป็นรักแท้ที่น่าใจหาย’

ได้ยินเสียงสาวๆ เริ่มบ่นหิวกันแล้ว เดี๋ยวเราคงไปหาอะไรกินกันก่อนกลับเข้าโรงแรม คืนนี้ผมคงมีนิทานไว้กล่อมให้น้ำฝนฟังก่อนนอน หวังว่าผมจะเล่าได้เศร้าจนมีโอกาสได้ซับน้ำตาลูกสาวอานาบ้างครับ

เอกศักดิ์





Create Date : 27 พฤษภาคม 2549
Last Update : 27 พฤษภาคม 2549 20:31:18 น. 0 comments
Counter : 201 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธราธร
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หากมิเริ่มเพียงก้าว
เจ้าตรองดู
ฤาหาญสู้
อุปสรรคอีกนับพัน
Friends' blogs
[Add ธราธร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.