กรกฏาคม 2555

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
31
 
 
30 กรกฏาคม 2555
Day 17: Rome




โปรแกรมเที่ยวของเราในวันนี้คือเดินเที่ยวในเมืองโรมค่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปโคลอสเซียมกับโรมันฟอรั่มก่อน เวลาที่เหลือค่อยไปเก็บที่เที่ยวอื่นๆ ก่อน
ออกไปเที่ยว เราทานอาหารเช้าที่ที่พักเราเตรียมไว้ให้ค่ะ ดูหน้าตาสวยงาม ไฮโซ น่าทานมาก ปกติแล้วบีบีจะไม่ทานกาแฟ(ร้อน)ค่ะ แต่วันนี้เจ้าของที่พักเตรียมกาแฟคาปูชิโน่ไว้ให้ด้วย แล้วเค้าเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ หอม น่าทานมาก ที่สำคัญ เรามาถึงประเทศต้นกำเนิดของกาแฟคาปูชิโน่แล้ว จะไม่ลองชิมดูเลย มันก้อคงจะแปลกๆอยู่ ว่าแล้วบีบีเลยจัดการไปเพื่อไม่ให้คนทำเสียน้ำใจค่ะ (เรื่องข้ออ้างและเรื่องการแถ เป็นพรสวรรค์ของบีบีค่ะ หุหุ)





พอทานอาหารเช้าเสร็จ ก่อนออกจากที่พัก เราก้อถามเจ้าของที่พักไปว่าเราสามารถซื้อ Roma Pass ได้ที่ไหนบ้าง เจ้าของที่พักก้อบอกว่า ซื้อที่มิวเซียมตรงปากซอยบ้านเราก้อได้ เราก้อเลยจัดไป อย่าให้เสีย ได้ Roma Pass มาไว้ในครอบครองแล้วก้อสบายใจ มีบัตรเบ่งละนิ จะไปเที่ยวไหน ขึ้นรถสายอะไรก้อได้ หึหึ








บัตรโรมันพาส (Roma Pass) เป็นบัตรที่ทำขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโรมค่ะ คุณสมบัติหลักๆของบัตรนี้คือ

- ใช้เข้าชมพิพิทธภัณฑ์ในโรมฟรี 2 ที่แรกค่ะ และยังใช้เป็นส่วนลดในการเข้าชมพิพิทธภัณฑ์ในครั้งต่อๆ ไปได้ด้วย (แต่ใช้ไม่ได้กับวาติกันมิวเซียมนะคะ)
- ใช้ขึ้นรถบัตร รถไฟใต้ดินได้ไม่จำกัดครั้งค่ะ (ใช้ไม่ได้กับรถไฟสาย Leonardo Express)
- บัตรมีอายุ 3 วัน


เมื่อปีที่แล้วที่บีบีไป บีบีซื้อบัตรโรมันพาส (Roma Pass) ในราคา 25 ยูโร แต่เมื่อกี้แวะไปดูเวปไซต์ของบัตรโรมา ปรากฎว่าขึ้นราคาเป็น 30 ยูโรแล้วนะคะ บัตรนี้เราสามารถหาซื้อได้ที่สนามบิน, สถานีรถไฟ Termini, สถานีรถไฟใต้ดิน, ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว, และตามพิพิทธภัณฑ์ต่างๆค่ะ อ้อ! ซื้อออนไลน์ได้ด้วย ถึงค่าบัตรจะขึ้นเป็น 30 ยูโร บีบีคิดว่ามันก้อยังคุ้มนะ เพราะค่าเข้าชมพิพิทธภัณฑ์ 2 ที่ รวมกันก้อ 30 ยูโรแล้วอ่ะ แล้วยังใช้ลัดคิวเข้าชมพิพิทธภัณฑ์ต่างๆโดยไม่ต้องเข้าแถวรวมกับคนอื่น ใช้ขึ้นรถบัสกับรถไฟใต้ดินฟรีด้วย บีบีว่าแค่ใช้บัตรโรมาพาสกับโคลอสเซียมที่เดียวก้อคุ้มแล้ว เพราะถ้าต้องเข้าแถวซื้อบัตรเอง คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงอ่ะ

เมื่อเราจ่ายเงินซื้อบัตรโรมาพาสมาแล้ว เราจะได้แพจเกจสมุดพกสีแดงเล่มเล็กๆ ตามรูปนะคะ เปิดเข้าไปแล้วจะมีบัตรโรมาพาส, แผนที่เมืองโรม และคู่มือการใช้งานมาด้วย ก่อนใช้งาน อย่าลืมเขียนชื่อและวันที่เริ่มใช้งานที่ด้านหลังบัตรด้วยนะคะ








เวปไซต์บัตรโรมาพาส //www.romapass.it/




แนะนำบัตรเบ่งไปแล้ว ต่อไปขอแนะนำหนังสือสักเล่มละกัน หนังสือเล่มโปรดของบีบีตอนเดินเที่ยวที่โรมคือ “Rick Steve’s Pocket Rome” ที่ชอบเพราะมันเล่มเล็กดี อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่เยอะ แบ่งโซนการท่องเที่ยวชัดเจนดี พิมพ์สีทั้งเล่ม และมีแผนที่ให้ด้วยค่ะ








เอาล่ะ เข้าเรื่องแผนการเที่ยวของบีบีมั่ง หลังจากที่เราซื้อบัตรโรมาพาสแล้ว เราก้อเดินจากที่พักเราไปโคลอสเซียมเลยค่ะ ตอนแรกบีบีกะว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินไป แต่ดูจากแผนที่แล้ว สถานที่เที่ยวแต่ละที่ไม่ได้ไกลกันมาก เราเลยเดินเอาซะเป็นส่วนใหญ่ค่ะ เดินดูนั่นดูนี่ตามข้างทางไปเรื่อย แป๊ปเดียวก้อถึง พอไปถึงโคลอสเซียมแล้วก้อตกใจอ่ะค่ะ เพราะนักท่องเที่ยวเข้าแถวรอซื้อตั๋วยาวมากๆ ยาวจะจะรอบโคลอสเซียมอยู่แล้ว โชคดีนะที่เรามีบัตรเบ่งโรมาพาสแล้ว เราเลยไม่ต้องไปเข้าคิวกับเขาด้วย เดินเข้า express lanes ไปเลย หุหุ กิตติมศักดิ์มากกก











ด้านในของโคลอสเซียมเค้าทำ visit route ให้นักท่องเที่ยวเดินชมไปทางเดียวกันแบบ one way ค่ะ บีบีว่าก้อดีนะ ดีกว่าเดินสวนกันไป สวนกันมา หาทางออกไม่เจอ วุ่นวายกันแย่ เราเดินตาม visit route ไปเรื่อยๆ ก้อจะมีภาพเขียน รูปปั้น ซาก ภาพถ่าย ลักษณะคล้ายนิทรรศการให้ความรู้ให้เราหยุดดูหยุดอ่านกันได้เพลินๆค่ะ








ประวัติของโคลอสเซียมนั้นยาวนานมาหลายพันปีแล้ว ใครๆก้อรู้กันว่ามันคือสนามกีฬากลางแจ้งที่ชาวโรมันทำไว้เป็นโรงมหรสพ (สะกดถูกรึป่าวน้า??) สามารถจุคนได้ 50,000 คน และสิ่งบันเทิงที่สุดของเค้าก้อคือ โชว์แกลดิเอเตอร์ (Gladiators) หรือโชว์การต่อสู้ระหว่างคนกับคน หรือคนกับสัตว์ร้าย ถ้าใครอยากรู้ประวัติความเป็นมาของโคลอสเซียม บีบีแนะนำว่าให้ใช้อากู๋ค้นดูเองนะคะ ไม่อยากพิมพ์ค่ะ ยาวเกิน











จริงๆก่อนไปโคลอสเซียมก้อพอรู้ประวัติคร่าวๆ มาก่อนแล้วล่ะ แต่ว่าจากการเดินอ่านนั่น นู้น นี่ ในนิทรรศการด้านใน ทำให้ได้ความรู้ใหม่มาว่า โปรแกรม Nero ที่เราเอามาใช้ไรท์ซีดีอยู่ทุกวันๆ ได้มาจากชื่อของจักรพรรดิ นีโร (ชื่อเต็ม ลูเซียส คลอดิอุส นีโร) นี่เอง จักรพรรดิ นีโร ได้รับสมยานามว่า “นีโรจอมโหด” เนื่องจากหูเบา ติดหญิง วางแผนฆ่าแม่ตัวเอง ฆ่าเมียตัวเองที่กำลังท้องแก่ ตอนที่โรมเกิดไฟไหม้นีโรจอมโหดได้ออกไปดูที่หอคอยแล้วบอกว่าเปลวไฟช่างสวยงามมาก เลยเอาเครื่องดนตรีออกมาเล่น และไม่ยอมส่งทหารไปช่วยดับไฟ ปล่อยให้ไฟไหม้อยู่อย่างนั้นล่ะ พอชาวบ้านร้องเรียน นีโรจอมโหดก้อโบ้ยว่าเป็นฝีมือของชาวคริสเตียน ให้ทหารไปจับพวกคริสเตียนมาปล่อยไว้กับสัตว์ป่าอดอาหารที่หิวโซฉีกทึ้งจนตายที่ลานโคลอสเซียม แล้วก้อเรียกเก็บภาษีชดเชยอย่างหนักจนชาวบ้านคิดว่านีโรจอมโหดเป็นคนวางเพลิง จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “Nero Burning Rome” แล้วก้อกลายมาเป็นชื่อโปรแกรมนีโรที่เราใช้เบิร์นแผ่นซีดีของเราในปัจจุบัน มิน่าละเนอะปุ่มที่เราต้องกดเพื่อ write ซีดีทำเป็นปุ่มคำว่า burn แล้วยังมีสัญลักษณ์รูปเปลวไฟอยู่ด้วย











ความรู้สึกของบีบีที่ได้ไปเยือนโคลอสเซียมในวันนี้คือ รู้สึกเศร้าใจ และหดหู่มาก คือสถานที่มันอลังการมากๆก้อจริง แต่พอคิดได้ว่าไม่รู้กี่พันชีวิตที่ต้องตายที่นี่ ทั้งคน ทั้งสัตว์ป่า มันก้อเศร้าใจแทนอ่ะ แล้วอีกอย่างก้อไม่เข้าใจว่าทำไมคนโรมันสมัยก่อนถึงได้โหดร้ายนัก ทำไมเขาถึงได้ชอบเห็นคนอื่นตายไปต่อหน้าต่อตา ตายแบบทรมานสยดสยองด้วย เฮ้อ








ข้อมูลโคลอสเซียม - The Roman Coliseum
- ค่าเข้าชม 15.50 ยูโร
- เวลาเปิดให้เข้าชม
Mid February - mid March: 9 AM - 4.30 PM
Mid March - end March: 9 AM - 5.00 PM
End March - end August: 9 AM - 7.00 PM
End August - end Sept.: 9 AM - 6.30 PM
End Sept. - end October: 9 AM - 6.00 PM
End October - mid March: 9 AM - 4.00 PM
- เดินทางไปโดย Metro สาย Line B ลงที่สถานี Colosseo














ฝั่งตรงกันข้ามของโคลอสเซียมคือโรมันฟอรั่มค่ะ ดังนั้น พอเราออกจากโคลอสเซียมแล้ว เราก้อเดินเข้าโรมันฟอรั่มต่อได้เลย ค่าเข้าชมโคลอสเซียม ได้รวมค่าเข้าชมโรมันฟอรั่มเอาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ (ค่าเข้าชมโรมันฟอรั่ม ประมาณ 7 ยูโรค่ะ)










โรมันฟอรั่ม (Roman Forum) ในอดีตเป็นพื้นที่สาธารณะในกลางเมืองโรมัน ใช้เป็นที่รวมของสังคม มีกิจกรรมหลากหลาย เช่นการประชุม ร้านค้า ร้านเหล้า บ้านเรือน ฯลฯ แต่ปัจจุบัน เหลือแต่ซากค่ะ ถึงจะเหลือแต่ซาก แต่เรายังมองเห็นความยิ่งใหญ่ในซากนั้นอยู่ค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าอารยธรรมของคนเมื่อสองพันปีก่อนจะยิ่งใหญ่รุ่งเรืองมากขนาดนี้











อย่างไรก้อตาม ถึงโรมันฟอรั่มจะน่าทึ่งมาก แต่ด้วยความที่วันนี้อากาศร้อนมาก สวรรค์ของนักท่องเที่ยววันนั้นก้อคือก๊อกน้ำค่ะ ที่โรมน้ำปะปาตามก๊อกสะอาดและดื่มได้ค่ะ นักท่องเที่ยส่วนใหญ่เลยมายืนล้อมก๊อกน้ำเพื่อรองเอาน้ำไปไว้กิน บางคนก้อเอามาล้างหน้า ราดหัวอะไรก้อว่ากันไป ส่วนบีบี บีบียอมแพ้ค่ะ ไม่อยากจะเดินสำรวจจนทั่วล่ะ กว้างเกิน แดดร้อนด้วย แดดแรงจนเผาผิวของบีบีซะเกรียมเลย เลยนั่งรอคุณสามีใต้ต้นไม้ดีกว่า ปล่อยให้คุณสามีเดินเที่ยวคนเดียวไปละกัน











วันนี้เราใช้เวลาที่โคลอสเซียมกับโรมันฟอรั่มประมาณ 6 ชั่วโมงได้ เพราะกว่าเราจะออกจากที่นั่นก้อบ่ายแก่ๆ แล้วอ่ะค่ะ พอออกจากโคลอสเซียมเราก้อตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในเมือง แต่ปรากฎว่าฝนดันตกลงมาซะงั้น เราเลยเดินไปที่ National Museum เพื่อหลบฝนกัน บีบีอยากเดินดูด้านในด้วย เพราะคิดว่าประวัติศาสตร์ของชาวโรมันมันน่าสนใจมาก อีกอย่างเราใช้บัตรเบ่งโรมันพาสเข้าฟรีได้ด้วย (ค่าเข้าชมปกติ 15 ยูโร)








ก่อนเข้าชมพิพิทธภัณฑ์ เราต้องฝากกระเป๋าหรือเป้ และขาตั้งกล้องไว้ที่แผนกรักษาความปลอดภัยด้านในของพิพิทธภัณฑ์ จากนั้นต้องเดินผ่านเครื่องแสกนก่อนจะเข้าไปด้านในได้ วุ่นวายพอสมควรเลยเนอะ ด้านในของ National Museum กว้างขวางมากค่ะ มีอยู่ประมาณ 4 ชั้น แบ่งงานแสดงออกเป็นประเภทต่างๆ เป็นห้องๆ ไป เช่น งานปั้น งานเขียน งานสัมฤทธิ์ รูปถ่าย เป็นต้น แล้วที่บีบีชอบคือ ระหว่างทางไปห้องต่างๆ เค้าจะมีเก้าอี้หรือโซฟานุ่มไว้ให้เรานั่งเป็นระยะๆด้วยค่ะ ชอบมากค่ะ เพราะเดินตากแดดมาทั้งวัน เมื่อยอ่ะ แล้วมานั่งนิ่งๆ ดูงานศิลปะแบบนี้แล้วรู้สึกเพลินดีค่ะ








บีบีชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ค่ะ ความเป็นมาของโลกตั้งแต่ยุคกรีก-โรมัน-เรอเนสซองค์-โกธิค-จนถึงปัจจุบัน นิทานปรัมปราเกี่ยวกับเทพโรมันสมัยก่อน เช่น เทพซุส โพไซดอล วีนีส อาธีน่า เฮอร์คิวลิส อะไรพวกนี้ โดยส่วนตัวคิดว่ามันเชื่อไม่ค่อยได้หรอกนะ แต่ก้อชอบอ่าน อ่านเอามันส์อะไรแบบนี้ ความเชื่อของคนโรมันสมัยนั้น ก้อคงคล้ายๆกับความเชื่อของคนไทยสมัยก่อนที่เชื่อเรื่องพระอินทร์ พระพรมห เทวดา นางฟ้า พระแม่ธรณี อะไรแบบนี้มั้ง





กว่าเราจะออกจาก National Museum ได้ก้อเกือบสองทุ่มแล้วอ่ะ เราเลยหาอะไรกินกันง่ายๆแถวนั้น ก่อนที่จะออกเดินเที่ยวกรุงโรมยามราตรีกันต่อ
ในหนังสือคู่มือท่องเที่ยวที่บีบีซื้อมา เค้าแนะนำเส้นทางเดินเที่ยวชมกรุงโรมตอนกลางคืนไว้ด้วย บีบีกับคุณสามีเลยตั้งใจว่าจะเดินตามนั้นอ่ะค่ะ เค้าบอกไว้ว่าให้เริ่มเดินจาก Camp de’ Fiori -> Piazza Navona –> Pantheon-> Piazza Colonna -> Parliament -> Trevi Fountain -> Spanish Steps -> Piazza di Spagna





ดูจากแผนที่แล้วไกลพอสมควรนะ แต่ว่ามันก้อน่าสนใจดี เราเลยนั่งรถบัสที่ปากซอยคอนโดของเราไปลงที่อนุเสาวรีย์ Vittorio Emauele II (ที่พักของเราอยู่ก่อนถึงสถานีรถไฟ Termini ดังนั้นเราจึงขึ้นรถบัสได้เกือบทุกสายที่วิ่งปากปากซอยบ้านเรา เพราะยังไงมันต้องวิ่งระหว่างสถานีรถไฟ Termini ไปถึง อนุเสาวรีย์ Vittorio Emauele II อยู่แล้ว, แล้วอนุเสาวรีย์ Vittorio Emauele II ที่โรม มันก้อคล้ายๆ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่บ้านเราอ่ะค่ะ คือเป็นคล้ายๆ วงเวียนใหญ่ มีป้ายรถบัสหลายๆ ป้าย ให้เราเปลี่ยนสายรถได้) ขึ้นรถบัสที่นี่ค่อนข้างสบายค่ะ ที่ป้ายรถบัสแต่ละป้ายจะบอกหมายเลขรถบัสที่จอดที่ป้ายนั้น สถานีปลายทางของสายรถเมล์นั้น และเวลาที่รถบัสจะมาถึงป้ายนั้นๆด้วย พอรถเมล์มาถึง เราก้อขึ้นไปเลยค่ะ โชว์บัตรเบ่งโรมาพาสให้คนขับดู แล้วก้อเดินเข้าไปหาที่นั่นเลย (ซึ่งจริงๆไม่ค่อยมีที่นั่งหรอก เต็มตลอดยังกะรถเมล์บ้านเรา)





เราตั้งใจจะเดินจาก อนุเสาวรีย์ Vittorio Emauele II ไปที่ Camp de’ Fiori ดูจากแผนที่แล้ว น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที แต่เนื่องจากเดินตามทางที่ GPS + เข็มทิศของคุณสามีของบีบี ทำให้เราใช้เวลาเดินจริงๆเกือบชั่วโมง และไม่สามารถหาทางไปที่ Camp de’ Fiori ได้ ดังนั้น ซุปเปอร์เมียอย่างบีบี จึงต้องใช้อุปกรณ์สำคัญที่สุดเข้าช่วย นั่นก้อคือ “ปาก” นั่นเอง จริงๆเลยนะผู้ชายเนี่ยะ เอาแต่พึ่งอุปกรณ์ไฮเทคตลอด ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่น แค่เอ่ยปากถามทางคนอื่น มันจะทำให้เสียศักดิ์ศรีจนตายรึไงก้อไม่รู้ สุดท้ายก้อหลง หาทางออกกันไม่เจอ ซ้ำร้าย หาทางกลับไปที่จุดเริ่มต้นยังไม่ได้เลย ผู้ชายนิสัยแบบนี้ มีกันทุกชาติด้วยนะคะ คอนเฟิร์ม














กว่าเราจะ Camp de’ Fiori ได้ มันก้อดึกแล้วอ่ะ เหนื่อยและหงุดหงิดด้วย คืนนี้เราเลยเดินไปถึงแค่วิหาร Pantheon ไม่อยากเดินต่อล่ะ หมดอารมณ์ นั่งรถบัสกลับบ้านเลยดีกว่า Night Walk Across Rome เอาไว้เดินพรุ่งนี้ละกัน ชิ ชิ คนสวยอารมณ์เสีย



Create Date : 30 กรกฎาคม 2555
Last Update : 15 สิงหาคม 2555 13:10:41 น.
Counter : 6323 Pageviews.

11 comments
  
สวยและดูเป็นเมืองที่ขลังมากเลยค่ะ ขอบคุณที่เอารูปและประสบการณ์มาแชร์นะคะ เพราะตัวเองกว่าจะมีโอกาสไปก็คงปีหน้านู้น ตอนนี้เรียนหัวฟู ทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่ค่ะ
โดย: SweetVanilje@Norway วันที่: 15 สิงหาคม 2555 เวลา:19:53:25 น.
  
โดย: สาวชนบท วันที่: 20 สิงหาคม 2555 เวลา:17:56:42 น.
  
มาชมภาพสวยๆ ด้วยค่ะ

เคยไปที่นี่นานมากแล้วเสียดายที่รูปเราไม่สวยอย่างนี้เลย


ขอบคุณสำหรับคำอวยพรวันเกิดค่ะ
โดย: @NBC วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:28:48 น.
  


เคยไปโคลอสเซียม แต่ไม่ได้เข้าชมด้านในค่ะ
ส่วนด้านนอกก็มีโครงถัก คล้ายนั่งร้านน่ะค่ะ คงกำลังปรับปรุงอยู่
วาติกันก็ปรับปรุงเช่นกันค่ะ

ขอบคุณคุณบีบีสำหรับคำอวยพรวันเกิดนะคะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 24 สิงหาคม 2555 เวลา:16:40:48 น.
  
ตามมาเที่ยวจ้า ขอบพระคุณที่ไป อวยพรวันเกิดนะคะ ขอพรดีดีย้อนกลับไปสู่คุณSugarด้วยค่า
โดย: แม่อ้วนคนสวย วันที่: 26 สิงหาคม 2555 เวลา:10:32:21 น.
  
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

Sugar lip Klaibann Blog ดู Blog

มาขอบคุณสำหรับพรวันเกิด และขอมอบโหวตให้ด้วยนะคะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 26 สิงหาคม 2555 เวลา:23:18:52 น.
  
แวะเข้ามาขอบคุณค่ะ ...บล็อกน่ารักจัง ^^
โดย: Adija วันที่: 27 สิงหาคม 2555 เวลา:13:13:06 น.
  
แล้วจะแว๊บมาอ่านอีกนะ







. . . ยินดีในสิ่งที่ตนได้ . . .

. . . พอใจในสิ่งที่ตนมี . . .

. . . เป็นคนโชคดีที่สุดในโลก . . .

*~*~*~*...ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..*~*~*~*

โดย: *~ต้นกล้า...ของหัวใจ~* วันที่: 6 ตุลาคม 2555 เวลา:21:45:45 น.
  
สวัสดีค่ะน้องบีบี
ขอบคุณที่แวะไปอวยพรวันเกิดให้ เมื่อนานมาแล้วค่ะ (เจ้าของวันเกิดยังติดค้างไม่ได้แวะมาขอบคุณค่ะ เพราะไม่ค่อยได้มีเวลาเข้าบล้อกค่ะ)

วันนี้แวะมา และยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

ที่ท่องเที่ยวมีแต่สถานที่น่าสนใจทั้งนั้นเลยค่ะ อย่างไรก้อตาม พี่น้อยก้อขออวยพรให้บีบีและคุณสามีมีความสุขกับการท่องเที่ยวนะคะ
โดย: พี่น้อยค่ะ (GLA_GAW ) วันที่: 13 ตุลาคม 2555 เวลา:21:09:47 น.
  
สวย มากๆๆ ครับ
โดย: ratone วันที่: 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:14:02 น.
  
ถ้ามีโอกาสจะไปเที่ยวสักครั้ง
Samsung Galaxy Note 10.1
โดย: ratone วันที่: 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:16:15 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Sugar lip
Location :
Seattle  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 156 คน [?]



วันหนึ่ง เราจะต้องทำบล็อคหน้าตาสวยๆออกมาให้ได้ คอยดูสิ หึ

บีบีได้มาใช้ชีวิตอยุ่ที่อเมริกาถึงวันนี้ก้อเกือบ 3 ปีล่ะค่ะ การได้มาใช้ชีวิตต่างแดนตัวคนเดียว เวลามีปัญหาหรือข้อสงสัยขึ้นมา มันก้อไม่รุ้จะไปถามใคร ภาษาเราก้อไม่ดี บีบีก้อจะหาข้อมูลในเวป google แล้วบีบีก้อจะได้คำตอบออกมาในรูปแบบของ bloggang บีบีเลยรู้สึกถึงความสำคัญของบล็อค รู้สึกขอบคุณคนเขียนบล็อคทุกๆคน ที่เสียสละเวลามาเล่าประสบการณ์ต่างๆที่เป็นประโยชน์อย่างมากมายกับคนที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างบีบี ดังนั้นบีบีก้อเลยตั้งใจไว้ว่าจะทำบล็อคเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ และ how to ต่างๆ ของบีบี เผื่อว่าจะได้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆมั่งค่ะ
New Comments