ประเทศเม็กซิโกตั้งอยู่บนทวีปทวีปอเมริกาเหนือ (อยู่ใต้ประเทศอเมริกา) มีเมืองหลวงคือกรุงเม็กซิโกซิตี้ เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก ภาษาหลักคนคนเม็กซิกันคือภาษาเสปน หน่วยเงินที่ใช้คือสกุลเงินเปโซ

จะไปเที่ยวเม็กซิโกคนไทยอย่างเราก้อต้องขอวีซ่าด้วยค่ะ บีบีก้อหาข้อมูลวีซ่าจากทางอินเทอเนต โชคดีที่ซีแอทเทิลมีกงศุลเม็กซิโกอยู่ ขอวีซ่าที่นี่ไม่ได้ใช้อะไรมากมายค่ะ แค่พาสปอร์ต ใบสมัครขอวีซ่าเม็กซิโก วีซ่านักเรียนของอเมริกา ใบDS2019 สเตทเมนท์ธนาคารที่อเมริกา รูปถ่าย 2 รูป เอกสารคอนเฟิร์มเรื่องตั๋วเครื่องบินไปกลับและที่พัก และค่าธรรมเนียม 35 ดอลลาร์ บีบีไปถึงกงศุลประมาณ 10โมงเช้า ลงชื่อในสมุดคิว พอถึงคิวบีบีก้อยื่นเอกสารทั้งหมดให้ แล้วมานั่งรอ สักพักเขาก้อเรียกไปถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือ แล้วบอกว่า ประมาณบ่ายโมงให้มารับวีซ่าได้เลยนะ บีบีไม่ถูกสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้นเลยค่ะ แล้ววีซ่าที่ได้ ได้แบบ multiply entry valid 1 year ค่ะ กงศุลนี้ใจดีจริงๆ

ถึงวันเดินทาง เครื่องบินเราออกจากซีแอทเทิลไปเท็กซัส4 ชั่วโมง แล้วจากเท็กซัสไปแคนคูนอีก 2ชั่วโมง ตอนใกล้ๆจะถึง บีบีมองออกไปนอนหน้าต่างเห็นเมืองแคนคูนและทะเลแคริบเบียน ทะเลสวยมากๆๆๆ ค่ะ น้ำทะเลใสมากๆ ใสจนมองเห็นโขดหินกับพื้นทรายในนท้องทะเลอ่ะ นี่มองดูจากเครื่องบินนะยังเห็นขนาดนั้นเลยอ่ะ พอเครื่องลง กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมา กว่าจะไปเอากระเป๋า กว่ารถโรงแรมจะมารับ ไปถึงโรงแรมก้อค่ำพอดี วันแรกเลยไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากเดินสำรวจโรงแรมที่เราพักและก้อเดินเล่นแถวๆโรงแรม ครั้งนี้เราพักกันที่โรงแรม มี บาย มีเลีย (Me by Melia Hotel) ห้องพักของเราสวยค่ะ (แฟนที่เคารพเป็นคนเลือก) ห้องใหญ่แยกเป็นสัดส่วน มองออกไปนอกหน้าต่างก้อเห็นทะเลด้วย แพคเกจห้องพักที่เราจอง เราจ่ายเงินเพิ่มสำหรับอาหารเช้าค่ะ เราเลยได้พักในชั้น Executive floor เวลาอาหารเช้าเราเลยไม่ต้องลงไปทานที่ห้องอาหารชั้นล่าง แต่เราทานกันที่ห้องรับแขกกลางฟลอร์ของเราค่ะ สะดวกดี คนไม่เยอะด้วย แล้วโต๊ะอาหารทุกตัวจะหันหน้าเข้าหาทะเลค่ะ กินไปชมวิวไป แล้วทุกบ่ายจะมีชา กาแฟ คุ๊กกี้ ชอคโกแลตทรับเฟิล ไว้บริการตรงห้องรับแขกของฟลอร์นี้ด้วยค่ะ

วันที่ 2 เกาะมูจาเรส (Isla Mujeres) และดาวน์ทาวน์แคนคูน (Downtown Cancun) วันนี้เราไปเที่ยวกันที่ Isla Mujeres หรือ เกาะผู้หญิงค่ะ ( Isla = เกาะ , Mujeres = ผู้หญิง) เราไปขึ้นเรือกันที่ท่าเรือทอทูก้า (ชื่อเหมือนในหนังเลยเนอะ) นั่งเรือประมาณ 15 นาทีก้อถึงเกาะละค่ะ น้ำทะเลสวยมากๆ เกาะมูจาเรสเป็นเกาะเล็กๆ ยาวแค่ 11กิโลเมตร เราเดินเล่นในดาวน์ทาวน์บนเกาะ สักพักก้อตัดสินใจเช่ารถสกูตเตอร์ขับเที่ยวรอบเกาะค่ะ แฟนที่เคารพของบีบีขับรถมอไซค์ไม่เป็นค่ะ เลยเป็นหน้าที่ของ “สาวไทยบ้าน” เป็นคนขับรถแทน เอิ๊ก เอิ๊ก อยากจะพามันขับรถซิ่งอยู่ แต่สกู๊ตเตอร์อะนะ ได้แต่กะดื๊บ กะดื๊บไป ขับรถไปเราก้อแวะถ่ายรูปแวะเที่ยวไปเรื่อยๆค่ะ หิวก้อจอด แล้วเราก้อได้กินอาหารเม็กซิกันแท้ๆกัน มื้อแรก “ทาโก้กุ้ง” เป็นกุ้งผัดใส่หอมหัวใหญ่ใส่พริกหยวก คล้ายผัดพริกบ้านเราเลย แต่เขากินกับแผ่นทาโก้แบบนิ่มค่ะ มีน้ำจิ้มรสจัดให้สองถ้วย อร่อยดีเหมือนกัน

เรากลับมาถึงฝั่งแคนคูนตอนเย็นๆค่ะ แล้วเรานั่งรถเมล์จากท่าเรือทอทูก้าเข้าไปในดาวน์ทาวน์ รถเมล์ที่นี่คล้ายรถเมล์ในไทยเลย แต่ดีกว่านิดหน่อย คือรถเขาใหม่กว่า สะอาดกว่า และไม่มีกระเป๋ารถเมล์ เราจ่ายเงินค่ารถให้กับคนขับรถเมล์ตอนขึ้นรถ แล้วคนขับก้อจะให้ตั๋วมาเก็บไว้(เป็นที่ระลึก) พอจะลงรถก้อกดกริ่งค่ะ แล้วก้อเดินลงรถทางประตูหลัง รถเมล์ที่นี่วิ่งเร็วค่ะ ชอบเข้าไปวิ่งเลนส์ใน แล้วยังชอบจอดเลยป้ายให้ด้วย

ดาวน์ทาวน์ของแคนคูนแตกต่างกับโซนโรงแรมริมหาดทะเลแคริบเบียนมากค่ะ ในเมืองเงียบมาก ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ผิดหวังกันอย่างแรง เราแวะไปเดินตลาด28 (ชื่อตลาดชื่อเดียวกับหลักกิโลเมตรด้านหน้าค่ะ เข้าใจตั้งชื่อเนอะ) ตลาดนั้นขายของที่ระลึก แต่ก้อไม่มีอะไรน่าสนใจ เราเลยไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารเม็กซิกันร้านดังที่สุดในเมือง อาหารเค้าอร่อยๆจริงค่ะ(หรือหิวก้อไม่แน่ใจ) ในร้านมรการแสดงของวงดนตรีพื้นบ้านแบบเม็กซิกันที่เรียกว่า “Mariachi” แล้ววง Mariachi จะเดินมาเล่นดนตรีให้แขกฟังตามโต๊ะ แต่! ไม่ได้เล่นฟรีนะคะ เพลงละ 10 ดอลลาร์สหรัฐค่ะ (3 นาที ทำเงินได้ตั้ง 10 ดอลล่าร์แน่ะ) นอกจากนี้ยังมีพนักงานเสิร์ฟบางคนเดินเอาหมวกสานแบบเม็กซิโกมาให้นักแขกตามโต๊ะใส่ แล้วก้อถ่ายรูปให้เป็นที่ระลึกด้วยค่ะ แต่! กล้องที่ใช้ถ่ายเป็นกล้องของร้านอาหาร ดังนั้นถ้าเราอยากได้รูปเราก้อต้องจ่ายซื้อเงินค่ะ ที่นี่อะไรๆก้อเป็นเงินเป็นทองไปหมด ในตัวเมืองแคนคูนหลังสองทุ่มก้อไม่ค่อยเห็นคนออกมาเดินตามถนนล่ะค่ะ เงียบมาก มืดด้วย น่ากลัวจริงๆ กลับโรงแรมกันดีกว่า

วันที่ 3 พีรามิดชิเชน-อิทซา (Chichen Itza) กับ Cenote Dzitnup วันนี้เราซื้อทัวร์ไปดูพีรามิดชิเชน-อิทซา (Chichen Itza) รถทัวร์จะมารับตั้งแต่ 8โมงเช้า ระยะทางประมาณเกือบ 200 กิโลเมตร บนรถทัวร์มีไกด์อยู่คนหนึ่ง เค้าก้อจะคอยเช็คความเรียบร้อยของลูกทัวร์ แล้วก้อขายของ(เครื่องดื่มกับขนม) ไกด์คนนี้บรรยายเป็น 2 ภาษา คือภาษาเสปนกับภาษาอังกฤษ แต่บีบีฟังเขาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงสเปนไม่รู้เรื่องเลยค่ะ เลยบอกแฟนที่เคารพให้ตั้งใจฟังว่าเขาพูดอะไรบ้าง มันบอกว่ามันก้อฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกันค่ะ ซะงั้น ก่อนไปถึงพีรามิดชิเชน-อิทซา รถทัวร์ก้อไปเที่ยวที่ Cenote Dzitnup สถานที่นี้ไม่รู้ว่าจะแปลออกมายังไงเพราะมันเป็นภาษาสเปน คือถ้าเรามองจากพื้นดินมันจะดูคล้ายๆกับเป็นหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเมตรเศษๆ แต่ด้านใต้ของหลุมมีลักษณะเป็นถ่ำหินนย้อยแล้วก้อแอ่งน้ำพนาดใหญ่ สวยเชียวค่ะ ออกจาก Cenote Dzitnup แล้ว รถก้อพาไปแวะกินข้าวเที่ยวที่ร้านอาหาร ด้านหน้าของร้านอาหารเป็นร้านขายของที่ระลึก เราสามารถเดินเลือกซื้อของได้ระหว่างที่เขาเตรียมอาหารไว้รอ อาหารเป็นอาหารบุฟเฟต์ค่ะ แต่ไม่ดีเลยอ่ะ อาหารไม่เยอะ มีแต่ข้าวเม็กซิกัน กับถั่ว กับผัก ไม่มีเนื้อเลย ขี้เหร่จริงๆ ดีนะตอนเช้าห่อขนมจากโรงแรมมาด้วย วันนั้นเราถึงชิเชนอิทซากันตอนบ่ายเศษๆค่ะ

พีรามิดชิเชน-อิทซา (Chichen Ittza) คือ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ สร้างโดนชนเผ่ามายาเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อน พีรามิดชิเชน-อิทซา เป็นมหาวิหารขนาดใหญ่กินพื้นที่ถึง 6.4 ตารางกิโลเมตร มหาวิหารแห่งนี้ใช้สำหรับบูชายัญโดยการควักหัวใจออกมา หรือการโยนหญิงสาวลงไปจากยอดวิหาร พีรามิดที่สูงที่สุดของ Chichen Itza คือ พีรามิด เอล คาสติลโล่ (El Castillo) หรือพีระมิดของเทพคูคุลคาน (Pyramid of Kukulkan) เป็นพีระมิดแบบขั้น 9 ขั้น มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละด้านมีบันไดขึ้นไปถึงยอด ด้านละ 91 ขั้น รวม 4 ด้าน มีบันได 364 ขั้น เมื่อนับชั้นบนสุดด้วยจะรวมเป็น 365 ขั้น ซึ่งเท่ากับจำนวนวันในหนึ่งปี น่าทึ่งเนอะ

ตรงทางเข้าชิเชนอิทสาจะมีแผงของขายตามสองข้างทางเลยค่ะ ดูแล้วนึกว่าตัวเองกลับไปเดินเที่ยวเขาพระวิหารที่ไทยซะอีก มีผู้ชายคนหนึ่งมาเดินถามขายหมวกให้บีบี บีบีก้อบอกเค้าไปว่าไม่เอาค่ะ มีแล้วอันหนึ่ง เค้าเลยบอกว่าแต่หมวกของเค้าอ่ะไม่เหมือนหมวกของเรานะ ตื้อจริงๆ ชั้นจะซื้อหมวกอีกอันไปทำไม จะให้เอาไปใส่ซ้อนกันสองอันรึไงคะ พอเราไปถึงที่นั่นเราก้อมีไกด์คนใหม่มาทำหน้าที่แทนค่ะ ไกด์คนนี้ค่อยพูดรู้เรื่องหน่อย ถึงแม้ว่าเราจะได้ไกด์ดีมา แต่ว่าฝนดันมาตกซะงั้น เซ็งโคตรๆ หมวกที่กะไปไว้ใส่กันแดดก้อต้องเอามาใส่กันฝนแทน แล้วฝนตกอยู่เกือบชั่วโมง จะเข้าไปหลบใต้พีรามิดก้อไม่ได้ (เขาไม่ให้เข้า) สุดท้ายเลยต้องไปยืนหลบฝนอยู่หน้าห้องน้ำ เฮ้อ ! มีโอกาสได้มาดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทั้งที ฟ้าฝนช่างไม่เป็นใจเอาซะเล้ย


วันที่ 4 Xel – Ha & Tulum วันนี้เราซื้อทัวร์ไปเที่ยว Xel – Ha กับ Tulum กัน รถทัวร์มารับที่โรงแรมแต่เช้าเหมือนเดิมแล้ว จากโรงแรมไปถึงที่นั่นประมาณ 120 กิโลเมตร ควรใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่ปรากฏว่ารถทัวร์แวะรับนักท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆ ระหว่างทางอีก กว่าจะไปถึงที่นั่นก้อเกือบเที่ยง

Xel – Ha (ออกเสียงว่า เชล – ฮา) คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ Xel – Ha มีกิจกรรมให้ทำหลากหลายอย่าง เช่น ดำน้ำแบบสน๊อกเกิล ดำน้ำแบบสนูบา ไต่เชือกข้ามแม่น้ำ ว่ายน้ำกับปลาโลมา ว่ายน้ำกับแมวน้ำ ปั่นจักรยาน ปีนหน้าผา มาถ้ำยาจำลอง สปาฯลฯ ทัวร์ที่เราซื้อเป็นทัวร์แบบ All inclusive คือรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งค่าเข้า อาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ต่างๆ ไม่รวมเฉพาะสปาและว่ายน้ำกับปลาโลมา เราไม่ต้องเอาอะไรไปเลยค่ะ นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารไว้บริการอีก 4 ร้าน คือ บุพเฟ่ต์นานาชาติ บุพเฟ่ต์อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารเม็กซิกัน และร้านคอฟฟี่ชอปที่ออกแนวบาร์หน่อยๆ ส่วนเครื่องดื่มที่นี่นอกจากน้ำอัดลม และน้ำผลไม้แล้ว ยังมีเบียร์ มาการิต้า เตกิล่า และค๊อกเทลอื่นที่มีส่วนผสมสมของเตกิล่าเป็นหลักคอยบริการฟรีตลอดทั้งวันค่ะ ย้ำค่ะ ว่า ฟรี บีบีชอบที่นี่มากดำน้ำดูดูปลาสนุกดี (ว่ายน้ำไม่เป็นค่ะ ใส่เสื้อชูชีพตลอด แล้วแฟนที่เคารพก้อพาว่ายน้ำพาไป เอิ๊ก เอิ๊ก เป็นแฟนน้องต้องอดทน) ดำน้ำเมื่อยเราก้อขึ้นมาหาอะไรกินกัน อะไรจะมีความสุขขนาดนั้น แต่ว่าวันนี้เรามีเวลาที่ Xel – Ha แค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ เพราะเราต้องไปเที่ยวที่ Tulum กันต่อ

Tulum (ออกเสียงว่า ตู - ลูม) เคยเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับทะเลของชนเผ่ามายาที่ใหญ่ที่สุด ผ่านไปพันกว่าปีแล้ว ตอนนี้ก้อเหลือแต่ซากหิน ดูจากซากแล้วบีบีคิดว่าบ้านคนมายาสมัยก่อนคงตัวเล็กมาก เพราะเค้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆขนาดสัก 2x2เมตรได้ น่าทึ่งดีค่ะ ส่วนทะเลแคริบเบียนด้านหลัง Tulum ก้อสวยน่าทึ่งไม่แพ้กันเลย ไม่รู้จะสวยอะไรกันนักกันหนา

วันที่ 5 ชิลล์เอาท์ที่โรงแรม พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก เราเลยอยู่โรงแรมกันทั้งวันเลยค่ะ วันนี้ค่อยมีความรู้สึกว่าตัวเองลาพักร้อนจริงๆสักที เราตื่นกันสายๆ ทานอาหารเช้าเสร็จเราก้อไปเดินเล่นกันที่ชายหาดด้านหน้าโรงแรม วันนี้ฟ้าครึ้มลมแรง ทะเลเลยไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เราเล่นน้ำกันที่สระว่ายน้ำของโรงแรม เสร็จแล้วก้อขึ้นไปนอนกลางวัน ตื่นมาตอนบ่ายก้อมาดื่มชากับทานนของว่าง (คุ๊กกี้ กับ ชอคโกแลตทรัยเฟิล อร่อยมากกก) ตอนเย็นก้อออกไปเดินเล่นตามห้างแถวๆนี้ เพื่อหาซื้อของที่ระลึกกัน มีความสุขจริงๆวันนี้

วันที่ 6 เกาะโคซูเมล (Cozumel Island) วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อจะไปเที่ยวเกาะโคซูเมลกันค่ะ เรานั่งรสบัสจากแคนคูนไปเมืองท่าพลายาเดอคาเมน (Playa Del Carmen) ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเราก้อต้องนั่งเรือข้ามไปที่เกาะโคซูเมลอีกประมาณ 40 นาทีค่ะ (ไกลเหมือนกันนะเนี่ยะ) เกาะโคซูเมลนี้เป็นเกาะชื่อดังที่เรือสำราญล่องทะเลแคริบเบียนชอบมาแวะกัน เกาะนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40กิโลเมตร พอเราไปถึงท่าเรือโดยสารที่เกาะ เราจะเห็นผู้ชายใส่เสื้อโปโลสีขาวเป็นเอเยนต์ร้านเช่ารถสกู๊ตเตอร์ และทัวร์ต่างๆ ยืนรอเพียบ แล้วแต่ละคนก้อจะเริ่มแย่งลูกค้ากันค่ะ เราเดินเที่ยวกันในตัวเมืองก่อนค่อยไปหาเช่ารถ วันนี้แฟนที่เคารพของบีบีอาสาขับรถให้ค่ะ สบายเลยเรา เราขับรถเที่ยวรอบๆเกาะ พยายามมองหาจุดที่เราสามารถลงไปดำน้ำได้ฟรี แต่ไม่มีเลยค่ะ ชาดหาดส่วนใหญ่เป็นโขดหินขรุขระกันทั้งนั้น แค่เดินอยู่บนโขดหินยังเดินลำบากเลย ดังนั้นจุดดำน้ำที่ดีที่สุดคือกลางทะเลค่ะ และการจะไปที่นั่นได้ก้อต้องซื้ออทัวร์ค่ะ ราคาขั้นต่ำ 25ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ทัวร์ที่ว่าเนี่ยะคือเรือไปรับไปส่งที่กลางทะเลและมีอุปกรณ์สน๊อกเกิลให้ แพงไปมั้ย อุปกรณ์เราก้อมี ขนมาเองจากซีแอทเทิล แค่นั่งเรือไปกับกลับแค่นี้ 25ดอลลาร์เลยเหรอ ทะเลกับปลาที่เราไปส่องดูมันก้อไม่ใช่สมบัติของทัวร์เองซะหน่อย จะแพงไปไหนกัน ด้วยความงกเราเลยขับรถชมวิวไปเรื่อยค่ะ คิดอยู่ในใจว่าดีนะที่เราไม่นั่งเรือสำราญมา ถ้ามาแล้วมาจอดเทียบท่าที่เกาะนี้คงเซ็งน่าดู เพราะว่าเกาะนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ทะเลไม่ค่อยสวย เล่นน้ำที่ชายหาดไม่ได้ อะไรๆที่นี่ก้อเป็นเงินเป็นทองงไปหมด สู้เกาะมูจาเรซที่ไปเมื่อวันแรกก้อไม่ได้ ตอนที่เรามาขึ้นเรือจะกลับเข้าฝั่ง เรือออกตอน 6 โมงเย็น เราไปถึงท่าเรือตอน 5.50น. เรือยังจอดอยู่ ยังไม่ออกไปไหน เคาท์เตอร์ขายตั๋วยังเปิดอยู่ คนขายก้ออยู่ แต่เขาไม่ขายตั๋วให้ค่ะ เขาบอกว่าเขาขายตั๋วถึงแค่เวลา 5.45น. เท่านั้น เราเลยถามไปว่าแต่เรือยังไม่ออกนิ แล้วทำไมไม่ขายตั๋วล่ะ เขาบอกว่าเรือรอคนที่ซื้อตั๋วไว้แล้วเท่านั้น อย่างนี้ก้อมีเนอะ แล้วทำไมไม่เขียนไว้บนตารางเวลาเรือออกเลยล่ะปิดขายตั๋ว 15นาทีก่อนเรือออก มาก่อนเรือออกตั้งสิบนาที แต่ต้องรอขึ้นเรือรอบถัดไปอีกชั่วโมงหนึ่ง คนสวยเซ็งนะคะ

วันที่ 7 Xel – Ha อีกรอบ แบบว่าติดอกติดใจที่นั่นอย่างแรง หัวใจ(และท้อง) มันร่ำร้องให้กลับไปอีกรอบ คราวนี้เราไปกันเองไม่ง้อทัวร์ละค่ะ ใช้เวลาเดินทางนานเกิน เราไปขึ้นรถบัสไป Xel – Ha ที่ บขส.ในเมืองค่ะ กว่าจะซื้อตั๋วได้ก้อมีเรื่องให้คนสวยปวดหัวอีกแล้วค่ะ บขส. บ้านเขาก้อคล้ายๆ บขส. บ้านเราอ่ะค่ะ เป็นช่องขายตั๋วเป็นตู้ๆ ด้านบนตู้ก้อจะบอกปลายทางที่รถจะไป เราก้อไปเข้าคิวซื้อตั๋วที่ช่อง Xel – Ha สาวคนขายเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เธอเลยบอกให้เราไปซื้อตั๋วที่ช่องถัดไป เราก้อไปซื้อที่ช่องถัดไป แต่อีป้าคนนี้มันบอกเราว่ามันไม่ได้ขายตั๋วไป Xel – Ha แล้วมันก้อไม่พูดภาษาอังกฤษ ช่องของมันขายตั๋วสำหรับคนที่พูดภาษาสเปนเท่านั้น แล้วมันก้อเดินหนีไปเลย อยากจะจิกหัวมันมาตบจริงๆเลย จะด่ามัน มันก้อคงฟังไม่รู้เรื่อง เจ็บใจๆ เลยกลับไปลงกับยัยคนที่ส่งเราไปตู้นี้ บีบีก้อบ่นๆๆไป บ่นจนเขาไปตามคนที่พูดภาษาอังกฤษได้มาขายตั๋วในเรา (555 ในที่สุดเราก้อชนะ)

นั่งรถบัสที่ บขส.ที่นี่เหมือนตอนจะขึ้นเครื่องบินเลยค่ะ คือรถเราออกตอน 9โมงเช้า แต่เราต้องนั่งรอด้านนอกค่ะ (รถจะไม่มาจอดในสถานีจนกว่าจะถึงเวลารถออกค่ะ) แล้วพอเวลา 8.50น. เค้าจะประกาศเรียกขึ้นรถค่ะ เราก้อเดินไปด้านข้างตู้ขายตั๋วของเรา แล้วเจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วให้ก้อจะมาฉีกตั๋วไป แล้วก้อพาเราไปที่รถบัสของเราค่ะ เราต้องนั่งตามที่นั่งที่ระบุไว้ในตั๋วด้วยค่ะ นั่งตามใจชอบไม่ได้ พอ9โมงเช้าปุ๊ป รถออกปั๊ปเลยค่ะ วันนี้เราก้อใช้เวลาอยู่ที่ Xel – Ha กันทั้งวัน ที่นั่นมีกิจกรรมอะไรเราก้อทำกันทุกอย่าง มีความสุขอย่างแรง มีความสุขกันจนตัวดำเมี่ยมเลยอ่ะ

วันที่ 8 วันนี้เราต้องขึ้นเครื่องกลับบ้านกันตอนบ่ายสี่โมงเย็น เราเลยมีเวลาว่างถึงตอนบ่ายโมง เลยไปเล่นน้ำทะเลที่หน้าโรงแรม เสร็จแล้วเราก้อไปเดินกินข้าวและซื้อของกันอีกรอบที่ห้างใกล้ๆกับโรงแรมก่อนกลับ เรากลับถึงซีแอทเทิลเกือบหกทุ่มค่ะ แต่พอกลับถึงบ้านก้อหายเหนื่อยเลยค่ะ ที่ประตูบ้านมีโปสเตอร์เขียนไว้ว่า “Welcome Home Beebee” คาดว่าเป็นฝีมือโฮสแม่กับเด็กๆช่วยกันระบายสี น่ารักเชียว