ผมทำมันขึ้นมาเพื่อหวังว่า เมื่อคุณอ่าน blog ของผมแล้ว อาจมีเงินเพิ่มขึ้น หรือสามารถรักษาเงินไว้ ไม่สลายหายไปแบบ ถูกกฎหมาย
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

หุ้นวัฐจักร (Cylical Stocks)

Viewtiful Investor ถามใน Thaivi Oct 26, 2006 6:49 pm
//www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=20791&postdays=0&postorder=asc&highlight=gsteel&start=0
ผมตัดมาบางส่วนที่สำคัญๆ
-----------------------------------
invisible hand wrote:
หุ้นวัฎจักรแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ

1 หุ้น commodity cyclical หุ้นประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์หรือ commodity ซึ่งสินค้าจะหน้าตาเหมือนกัน ทำให้ผู้ผลิตเกือบทุกรายจะต้องขายสินค้าหรือบริการที่ราคาเดียวกัน ได้แก่ เหล็ก ปิโตรฯ น้ำมัน ถ่านหิน เรือ แร่ธาตุ ฯลฯ หุ้นประเภทนี้จะมี cycle ขึ้นลงตาม demand supply ของอุตสาหกรรม ซึ่งมีปัจจัยด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเข้ามาเกี่ยวข้องในด้าน demand และมีปัจจัยด้านการเพิ่มหรือลดการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ๆ ของโลกซึ่งเป็นตัวกำหนด supply ดังนั้นผู้ศึกษา cycle ของธุรกิจจะต้องวิเคราะห์ให้ถูกทั้งด้าน demand และ supply ถูกด้านเดียวไม่พอครับ

2 หุ้น economic cyclical หุ้นประเภทนี้แม้จะไม่ได้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ แต่สินค้าหรือบริการนั้นมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจสูง เพราะอาจจะเป็นสินค้าที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตนักหรือพอจะชะลอการซื้อได้ หรือ/และ สินค้าของผู้ผลิตเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็น commodity ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนักและลูกค้าพร้อมจะ switching จากยี่ห้อหนึ่งไปอีกยี่ห้อ ทำให้เมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจึงมีการตัดราคากัน หรือเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนคงที่สูงมากทำให้การลดลงของรายได้ใกล้เคียงกับกำไรที่จะลดลง หุ้นกลุ่มนี้ เช่น รถยนต์ อสังหาฯ วัสดุก่อสร้าง อิเลคทรอนิกส์ รวมไปถึงหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน คือ ธนาคาร เงินทุนและหลักทรัพย์

การวิเคราะห์หุ้น economic cyclical นั้น ต้องอาศัยความสามารถในการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคสูงครับ เพราะยอดขายของหุ้นกลุ่มดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับนักลงทุนอย่างเราที่จะไปทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศ ที่ปัจจุบันมีตัวแปรในอนาคตที่คาดการณ์ยากจำนวนมาก เช่น การเมือง ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจประเทศสำคัญๆ เช่น สหรัฐ จีน

หุ้น cyclical ทั้งสองประเภทนั้น ดู p/e เป็นหลักไม่ได้ครับ โดยเฉพาะหุ้น commodity cyclical หุ้นเหล่านี้ แม้ p/e ต่ำมาก ก็จะใช่ว่าถูกเสมอไป หรือช่วงที่ p/e สูงก็ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป เช่น หากธุรกิจกำลังอยู่ช่วง peak หุ้นประเภท cyclical มักจะมีกำไรที่สูงมากทำให้ p/e ต่ำ แต่เมื่อธุรกิจเข้าสู่ขาลงกำไรจะลดลงแรงมากหรือถึงขั้นขาดทุน

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่เป็นมือใหม่ หรือเป็นนักลงทุนที่มีงานประจำค่อนข้างยุ่งและไม่มีเวลาศึกษามากนัก ผมจึงแนะนำให้ดูหุ้นกลุ่มที่เป็น non-cyclical เป็นหลัก ซึ่งจะปลอดภัยกว่าและวิเคราะห์ง่ายกว่าครับ
--------------------------------------------------------
ัสามัญชน Posted: Fri Oct 27, 2006 3:50 pm
งั้นผมพูดไปพลางๆก่อนนะครับ ถ้าผิดถูกอย่างไรท่านใดจะช่วยแก้ไขก็เชิญเลยครับ

ก่อนอื่นขอพูดถึงลักษณะของหุ้นวัฏจักรก่อน

หุ้นวัฏจักรก็เหมือนกับพายุทอร์นาโด เวลามันเกิดขึ้นหรือถึงรอบของมันแล้ว มันสามารถพัดพาให้อะไรๆก็ตามลอยขึ้นได้ เซียนๆหลายคนบอกว่า ถ้าลมแรงพอแม้แต่ไก่งวงก็ยังบินได้ แต่หุ้นวัฏจักรนั้น อย่าว่าแต่ไก่งวงเลยครับ ขนาดรถสิบล้อหรือบ้านทั้งหลังยังขึ้นได้เลย

และผมเองมีความเชื่อว่า สำหรับตลาดหุ้นเมืองไทยนั้น หุ้นวัฏจักรเป็นหุ้นที่ทำกำไรได้มากที่สุด (จากคำพูดคุณเหาฉลาม) ซึ่งต่างจากตลาดหุ้นยุโรปหรืออเมริกา ที่บ้านเขานั้นหุ้นเติบโตจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรในระยะยาวได้มากที่สุด สาเหตุก็เป็นเพราะบริษัทในบ้านเขานั้น ถ้าเก่งจริงและเติบโตจริง เขาสามารถเติบโตได้ทั่วโลก แต่บ้านเราหาบริษัทที่โตได้ทั่วโลกยากมาก โตสุดๆคือโตเต็มประเทศก็ถือว่าเก่งมากแล้ว การเล่นหุ้นเติบโตในเมืองไทยจึงสู้เล่นหุ้นวัฏจักรไม่ได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ัสามัญชน Posted: Fri Oct 27, 2006 3:50 pm
ตัวอย่างของหุ้นวัฏจักรในเมืองไทยที่ผมได้เห็นกับตาในรอบสี่ปีที่ผ่านมาก็เช่น

Psl ขึ้นจาก 1 บาทกว่าๆ ไปที่ราคา 50 บาทในหนึ่งปี (ราคาหลังแตกพาร์)
Tta ขึ้นจาก 1 บาทกว่าๆ ไปที่ราคา 50 บาทในหนึ่งปี (ราคาหลังแตกพาร์)
Ptt จาก 30 บาท ไป 250 บาท ในสามปี
Ssi ขึ้นจาก 3 บาท ไป 35 บาท ในหนึ่งปี (ราคาก่อนแตกพาร์)
Atc ขึ้นจาก 3 บาทไป 70 บาทในสองปี
Stanly ขึ้นจาก 5 บาทไป 200 บาทในสองปี(ราคาหลังแตกพาร์)


เห็นราคาแล้วอาจจะน้ำลายหก แต่การจะได้กินน้ำผึ้งที่หอมหวานเราก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่จะโดนผึ้งต่อย เพราะหลังจากหมดรอบขาขึ้นแล้ว หุ้นจะราคาดิ่งลงอย่างมโหฬารและทำให้ขาดทุนได้ย่อยยับในระยะเวลาสั้นๆ


ปัจจุบัน psl เคยดิ่งจาก 57 บาท มาที่ 26 บาท ก่อนที่จะเด้งกลับไปยืนที่ 44 บาท
tta เคยดิ่งจาก 50 บาท มาที่ 16 บาท ก่อนที่จะเด้งกลับไปยืนที่ 27 บาท
ptt เคยดิ่งจาก 270 บาท มาที่ 200 บาท ก่อนที่จะเด้งกลับไปยืนที่ 230 บาท ตัวนี้อาจจะยังไม่ถึงขาลงดีนักจึงอาจจะยังไม่ออกพิษสง
ssi เคยดิ่งจาก 4 บาท มาที่ 1 บาท (ราคาหลังแตกพาร์)
atc เคยดิ่งจาก 70 บาท มาที่ 20 บาท ก่อนที่จะเด้งกลับไปยืนที่ 35 บาท
stanly เคยดิ่งจาก 200 บาท มาที่ 120 บาท ก่อนที่จะเด้งกลับไปยืนที่ 160 บาท แต่ตัวนี้อาจจะแปลงร่างจากหุ้นวัฏจักรไปเป็นหุ้นเติบโตมั้ง

ละแม้แต่ปีเตอร์ ลินช์เอง เขาก็ชอบหุ้นวัฏจักรมากและก็ทำกำไรให้เขาได้ไม่ใช่น้อยๆเลย

ปรัชญาในการเล่นหุ้นวัฏจักร

คนที่เล่นหุ้นวัฏจักรมักจะมีความเชื่อในเรื่องอนิจจัง ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง และหมุนเวียนเป็นวงจร(วัฏจักร)อยู่เสมอ ที่เคยโตๆได้มากมายก็มักจะเดาว่าถึงวันหนึ่งมันก็จะไม่โต วันหนึ่งมันก็ยุบลง

ถามว่าปรัชญาข้อนี้ฝืนธรรมชาติไหม

คำตอบ คือ ไม่เลย และสอดคล้องกับคำสอนหลักของศาสนาพุทธเสียด้วยซ้ำ เรื่องวัฏฏะสงสาร เป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์มานานแล้วว่าเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ระยะเวลาของวัฏจักรอาจจะช้าหรือเร็วต่างกันเท่านั้น
แล้วหุ้นเติบโตของบัฟเฟตต์หละ หุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนเป็นอย่างไร คำตอบ ผมก็คิดว่าหุ้นบัฟเฟตต์เป็นหุ้นวัฏจักรเหมือนกันถ้ายืดระยะเวลาไปยาวนานพอ ไม่มีอะไรหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารได้เลย

และสาเหตุที่หุ้นบัฟเฟตต์ได้สิทธิพิเศษในการยืดระยะเวลาออกไปเป็นยี่สิบปีหรือห้าสิบปีหรือร้อยปีทั้งที่หุ้นอื่นๆไม่ได้รับสิทธินั้น ก็เป็นเพราะความได้เปรียบเชิงแข่งขันเป็นปัจจัยหนึ่ง หรืออาจจะมีความสามารถในการปรับตัวจากงานวิจัยตามแนวคิดของฟิลิป ฟิสเชอร์เป็นปัจจัยร่วม


หุ้นแบบไหนที่เป็นหุ้นวัฏจักร

1 commodity cyclical
2 Economic cyclical

ตามที่น้อง IH บอกไว้แล้ว หรือถ้าจะแยกเป็นตัวธุรกิจตามที่ผมเคยค้นไว้ก็เช่น

1.กระดาษ
2.ปิโตรเคมี เช่น น้ำมัน วงจร 18 ปี แก๊ส ถ่านหิน แต่ระยะเวลาของวงจรในอนาคตอาจจะเปลี่ยนไป เนื่องจากน้ำมันใกล้จะหมดโลกแล้ว ส่วนปิโตรเคมี บางท่านก็บอกไว้ว่าประมาณ 7-9 ปี

3.ปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง
4.ยานพาหนะ

5.กลุ่มเดินเรือ วงจรประมาณ 25ปี
6.หลักทรัพย์ แล้วแต่ภาวะเศรษฐกิจ ตลาดหมีหรือกระทิง

7.แร่เหล็ก
8.แร่สังกะสี วงจร 15 ปี
9. อื่นๆ




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2550
1 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2550 22:18:31 น.
Counter : 1809 Pageviews.

 

สามัญชน Posted:

Quote:
ถ้าลมแรงพอแม้แต่ไก่งวงก็ยังบินได้ แต่หุ้นวัฏจักรนั้น อย่าว่าแต่ไก่งวงเลยครับ ขนาดรถสิบล้อหรือบ้านทั้งหลังยังขึ้นได้เลย


ขอขยายความหน่อยครับ คือว่าผมมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดในเรื่องนี้อ่ะครับ เลยไม่อยากให้เพื่อนๆทำพลาดเหมือนผม

ตอนเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆ ผมก็ screen เจอหุ้น tta psl นะครับ แต่ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องเลยว่าอะไรเป็นหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นเติบโต ผมเจอเพราะผมนั่งหาทุกไตรมาสทุกบริษัทว่ามีหุ้นอะไรที่กำไรก้าวกระโดดมากๆจากไตรมาสที่แล้วบ้าง

แล้วก็ไปเจอสองตัวนี้แหละครับ ตอนนั้นราคาอยู่แถวๆยี่สิบบาทกว่าๆเท่านั้นเอง(ราคาก่อนแตกพาร์) แต่ผมไม่ได้ซื้อ (ที่จริงคือ ไม่กล้าซื้อ) ผมเลยพลาดโอกาสทองครั้งยิ่งใหญ่ เพราะต่อมาราคาขึ้นมาถึงยี่สิบห้าเด้งหรือห้าร้อยบาท(ถ้าไม่แตกพาร์)

สาเหตุที่ผมพลาดเป็นเพราะว่า พอผมไปดูงบการเงินแล้ว ปรากฏว่าทั้งสองบริษัทนี้มีหนี้อยู่เยอะมาก มีสินทรัพย์ประมาณห้าพันล้านแต่มีหนี้สินสี่พันกว่าล้านบาทเลยทีเดียว

ตอนนั้นยังมือใหม่มากเลยครับ อ่านตำราวีไอเล่มไหนๆก็บอกให้หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีหนี้สูงๆทั้งนั้น

ผมก็หลีกเลี่ยงสิครับ ใครจะไปกล้า !!!!

ปัจจุบันนี้ผมได้ข้อคิดว่า ถ้าเป็นหุ้นเติบโต หนี้เยอะๆแบบนี้ก็น่ากลัวอยู่หรอก เพราะมันบ่งบอกว่าคุณไม่ค่อยทำกำไรเท่าไหร่ ถ้าดีจริงต้องได้กำไรเรื่อยๆและใช้กำไรไปขยายกิจการได้เรื่อยๆ และเมื่อทำบ่อยๆหลายปีเข้า บริษัทที่ดีก็จะมีหนี้น้อยลงเรื่อยๆ

แต่หลักการนี้ ใช้ไม่ได้กับหุ้นวัฏจักร เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วบริษัทแค่ประคองตัวไม่ให้เจ๊งในช่วงที่เลวร้ายของวัฏจักรก็ถือว่าดีแล้ว และเมื่อรอบขาขึ้นมาถึง บริษัทเหล่านี้จะทำกำไรได้จนคุ้มค่าที่รอคอยเลยทีเดียว

ปีเตอร์ ลินช์เองก็บอกว่า บริษัทที่มีมาร์จิ้นต่ำๆ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้กำไรเติบโตมากๆ บริษัทเหล่านี้จะยิ่งน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะฐานเดิมทำไว้ต่ำ

นี่แหละคือความหมายของคำว่า ขนาดรถสิบล้อหรือบ้านทั้งหลังยังขึ้นได้ และนอกจากจะหมายถึงหนี้เยอะ มาร์จิ้นเดิมต่ำๆ ยังรวมถึงปัจจัยอื่นๆทุกปัจจัยที่ทำให้บริษัทดูแย่ แต่ต้องยกเว้นเรื่องความซื่อสัตย์ของผู้บริหาร

-------------------------------------
ธรรมชาติของหุ้นวัฏจักร จึงมีรุ่งเรืองตกต่ำสลับกันไป

โดยช่วงที่ตกต่ำจะยาวนานกว่าและรุนแรง จนทำให้บริษัทที่อ่อนแอเริ่มล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ทำให้อุปทานลดลงเรื่อยๆ ระยะเวลาของช่วงตกต่ำจะยาวนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความอดทนของบริษัทที่อ่อนแอ ถ้าทนได้นานโดยมีอุปทานที่ระดับสูงระยะเวลาก็จะยาวนานขึ้น แต่เมื่อกลุ่มนี้ทนไม่ไหวต้องเลิกกิจการลง วงจรขาขึ้นก็จะกลับมา

วงจรขาขึ้นนี้โดยมากจะกินระยะเวลาประมาณ 20 % ของทั้งหมด เมื่อวงจรขาขึ้นกลับมา ก็จะสร้างกำไรให้มหาศาลแต่ก็จะดึงดูดให้ผู้เล่นหน้าใหม่ๆและหน้าเก่าๆกลับมาด้วย วงจรนี้จะยาวนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการสร้างธุรกิจนี้ขึ้นใหม่ใช้เวลานานแค่ไหน และเมื่อใครๆก็เข้ามา วงจรขาลงก็จะกลับมาเยือนซึ่งจะกินเวลาอีกประมาณ 80% เป็นอันครบหนึ่งรอบ

น้อง 007s เคยถามคำถามที่ดีมากว่า เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วทำไมเจ้าของบริษัทจึงไม่เรียนรู้ที่จะปรับตัว เช่น ถ้าใกล้ๆจะถึงขาขึ้นก็ให้อดทนไว้หรือกลั้นใจไว้อย่าเพิ่งรีบเลิกกิจการ เพราะอีกเดี๋ยววงจรขาขึ้นก็มา และช่วงที่วงจรขึ้นเต็มที่แล้วก็อย่าไปลงทุนเพิ่มเพราะเดี๋ยวขาลงก็จะมา........

ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แต่เท่าที่ดูๆมันก็จะเป็นอย่างนั้นบ่อยๆทำนองประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ก็เลยลองหาเหตุผลมาสนับสนุนได้ความว่า

ถ้าคุณอดทนได้และกลั้นใจได้จริงไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร วงจรขาขึ้นก็จะยังไม่มา

ทำไมล่ะ?????

ก็เพราะถ้าพวกคุณยังอยู่กันเยอะ supply ก็ไม่ลดนะสิครับ Laughing

supply ไม่ลด ราคาก็ไม่ขึ้น เป็นธรรมดาใช่ไหมครับ (เพื่อนๆหลายคนคงหาเหตุผลอธิบายไม่ได้เหมือนกันในบางเรื่องใช่ไหมครับ ว่าหุ้นที่เราถืออยู่ตั้งนานราคาไม่ยอมไปไหน แต่พอเราขายหมดมันก็เริ่มวิ่งขึ้น มันทำเราด้ายยยยยย)

และอีกอย่างในเรื่องการลงทุนเพิ่มในช่วงขาขึ้นนั้น การหาเงินลงทุนจะง่ายกว่า กู้ธนาคารก็ง่ายกว่า หาหุ้นส่วนก็ง่ายกว่า ที่สำคัญกลุ่มหน้าใหม่ๆที่ไม่เคยเจ็บตัวจากขาลงที่ยาวนานก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไร เข้าทำนองหมูไม่กลัวน้ำร้อน ขาเก่าอาจจะเข็ดเขี้ยวกันบ้าง อนาคตพฤติกรรมเหล่านี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็ได้


---------------------------
วิธีค้นหาหุ้นวัฏจักร

เมื่อก่อนผมใช้วิธีอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ เคยเจอข่าว "ค่าระวางเรือสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์" ข่าวแบบนี้ก็จะช่วยให้เราสะดุดตาและเริ่มให้ความสนใจ

ผมยังเคยเจอข่าว "วัสดุก่อสร้างขาดตลาดอย่างหนัก ผู้รับเหมาร้องขอเลื่อนส่งงาน" ข่าวแบบนี้ก็จะทำให้เราเริ่มสนใจวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

แต่ปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าการใช้วิธีเดิมๆจะค่อนข้างช้า หมายความว่าเรารู้ตอนที่ใครๆก็รู้ และรู้กันทั้งประเทศแล้ว และราคาหุ้นมักจะปรับตัวกันไปบ้างแล้วแม้บางตัวอาจจะแพงไป บางตัวอาจจะยังถูก แต่ก็ถือว่าช้าอยู่ดี ปัจจุบันนี้เราจึงต้องดักหน้าก่อน พยายามมองให้ออกก่อน เราถึงจะได้เปรียบแบบมากๆหน่อย

จากการศึกษา วิธีที่จะดักหน้ากลุ่มนี้เราควรจะรู้เสียก่อนว่ากลุ่มนี้ทั้งหมดนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เท่าที่ดูๆผมจะแบ่งกลุ่มเพื่อให้สังเกตุง่ายๆพร้อมคุณสมบัติและโทษสมบัติแต่ละกลุ่มดู

------------------------------------
วัฏจักรแบบท้องถิ่น หมายถึงในประเทศครับ

เช่น อสังหา วัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ หลักทรัพย์ โรงพยาบาล

- ความถี่ เกิดขึ้นได้บ่อยๆ วงจรสั้น ความรุนแรงน้อย

- ขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อเงินฝืดในประเทศ

- ความแม่นยำในการพยากรณ์ มีน้อย เพราะขึ้นกับทำเล อุปสงค์/อุปทาน ในประเทศด้วย และการเปลี่ยนแปลงใดๆมีผลกระทบต่อการพยากรณ์มาก

วัฏจักรสากล

เช่น เดินเรือ โลหะ กระดาษ ปิโตรเคมี หลักทรัพย์

- ความถี่ วงจรค่อนข้างยาว เกิดขึ้นนานๆครั้ง ความรุนแรงมาก(ได้กำไรมาก อิอิ)

- ขึ้นกับสัดส่วนอุปสงค์/อุปทานของโลก

- ความแม่นยำในการพยากรณ์ มีมาก เพราะไม่ขึ้นกับทำเล ไม่ขึ้นกับอุปสงค์/อุปทานในประเทศนัก และการเปลี่ยนแปลงใดๆมีผลกระทบต่อการพยากรณ์น้อย เพราะตลาดโลกมีขนาดใหญ่มาก

ปล. กลุ่มหลักทรัพย์นั้นผมจัดให้อยู่ทั้งสองกลุ่มเพราะคิดว่าไม่ตรงกับอันใดอันหนึ่งเสียทีเดียว ส่วนกลุ่มยานยนต์นั้นอาจจะเริ่มเข้าสู่กลุ่มที่สองถ้าสัดส่วนการส่งออกค่อยๆสูงขึ้นอย่างในปัจจุบัน

--------------------------------------------
วิธีเลือกจังหวะซื้อขาย

ปีเตอร์ ลินช์ เคยบอกว่าให้ซื้อตอน p/e สูงๆ และขายตอน p/e ต่ำๆ หลักการอันนี้ดูจะกลับตาลปัตรกับหุ้นเติบโตหรือแม้แต่หุ้นทั่วๆไป แต่เป็นเรื่องจริงครับ

แต่ถ้าเรายึดตามตัวอักษรเป๊ะๆ เราอาจจะไปซื้อตอนช่วงกลางๆของวัฏจักรก็ได้ เพราะช่วงนั้น p/e ก็สูงเช่นเดียวกัน และถ้าวัฏจักรเต็มๆมีระยะเวลา 20 ปี เราก็ต้องรอตั้งสิบปีกว่าจะถึงขาขึ้น รอกันจนหน้าเหี่ยวพอดีและก็เสียโอกาสในการทำเงินไม่ใช่น้อยๆเรย......จึงต้องศึกษาเพิ่มเติมเสียหน่อย

ผลการศึกษา พบว่า

1. เราใช้วิธีดักหน้าไว้ก่อนเลย เช่นเรารู้วงจรของธุรกิจว่าใช้เวลากี่ปีๆ เราก็คำนวณไปล่วงหน้าว่าอีกกี่ปีจึงจะถึงรอบขาขึ้น แล้วเราก็จ้องตลอดว่ามัน “ใช่ ” หรือยัง

2. สัญญาณที่บอกว่า “ใช่ ” ก็เช่น บริษัทเริ่มได้กำไรมากขึ้น และมากขึ้นอย่างชัดเจนด้วยนะ

3. เช็คข่าวว่าบริษัทอื่นที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ได้กำไรมากขึ้นเหมือนกันหรือเปล่า (ถ้าเป็นกลุ่มสากลมักจะได้กำไรไปด้วยกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มท้องถิ่นจะยากหน่อย อาจจะค่อยๆทยอยกันมาก็ได้)

4. เช็คยอดขาย อันนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ร่วมกับสต็อคสินค้าเริ่มลดลง

5. เช็คบทวิเคราะห์ทั่วโลก(กลุ่มท้องถิ่นจะทำแบบนี้ไม่ได้ แต่กลุ่มสากลจะทำได้ง่าย และงานนี้จะไม่มีใครเป็น inside ตัวจริง ทุกคนจะพอๆกันเป็นการลดความเสียเปรียบ)

6. บทวิเคราะห์ที่ว่าอาจจะมีความคลาดเคลื่อน เพราะนักวิเคราะห์เองก็อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน(ระแวงไว้หน่อยก็ดีครับ) เขาอาจจะใช้ความเห็นมากกว่าข้อเท็จจริงก็ได้ หรืออาจจะใช้ข้อเท็จจริงแต่นำเสนอข้อเท็จจริงไม่หมด หรือจริงๆแล้วเจตนาบริสุทธิ์แต่รู้ไม่หมด ไม่รอบด้านพอ จึงต้องเช็คงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาด้วยจะเชื่อถือได้มากกว่า
--------------------------------------------
Rocker asked

Quote:
ท่านพี่หมอสามัญครับ ขอ case studyเพิ่มหน่อยครับกรณีที่applyกับ
commodities ได้หลายๆประเภทอะครับ


เริ่มที่ประเภทท้องถิ่นนะครับ อย่างในกลุ่มอสังหานั้น รอบอาจจะสั้นกว่า บางทีประมาณ 4-5 ปีก็อาจจะกลับมาอีกแล้ว ปัจจัยที่มีผลก็เช่น ดอกเบี้ยปัจจุบันคงไม่ขึ้นไปอีก อาจจะคงตัวหรืออาจจะลดลงก็ได้(ฟังข่าวเมื่อวานนี้ครับ)

แต่ด้วยความที่เป็นท้องถิ่น เราจึงควรรู้ทำเลที่ตั้ง การจราจร เพราะเรื่องเหล่านี้มีผลกับยอดขายสูง ถ้าเราไม่รู้ก็จะเป็นการเสี่ยง (ซึ่งตัวผมไม่รู้) แต่ถ้าใครรู้ก็จะน่าสนใจ และที่ผ่านมา 2-3 ปี อสังหาเจ็บหนัก(จากเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ดอกเบี้ยขาขึ้น วัตถุดิบแพง) ราคาจึงค่อนข้างถูก แต่ก็ต้องลงละเอียดเป็นตัวๆ เช่น PRIN เป็นต้น ส่วนกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ยานยนต์ หลักทรัพย์ โรงพยาบาล ก็แตกต่างกันในรายละเอียดและระยะเวลาเหมือนกันครับ

ส่วนประเภทสากลซึ่งรอบยาวๆและใหญ่ๆนั้น ผมยังหาหุ้นไม่เจอ เท่าที่เห็นแม้กลุ่มเหล็กจะราคาถูกมากๆ ต่อให้ Q3 นี้กำไรออกมาสวยงามสุดๆก็ยังไม่ค่อยน่าสนใจนักเพราะโอกาสเป็นขาลงของรอบใหญ่มีมากกว่า เว้นเสียแต่จะซื้อตัวที่ถูกมากๆในฐานะหุ้นก้นบุหรี่ เช่น GSTEEL (ถ้างบสวยนะครับ ถ้าไม่สวยก็ผ่านไป) เป็นต้น



----------------------------------
ข้อมูลที่ได้ส่วนใหญ่เป็นปี 2006 ถ้าใครจะใช้ให้ระว้ังด้วย

 

โดย: Pu121 19 ตุลาคม 2550 22:26:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Pu121
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add Pu121's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.