ผมทำมันขึ้นมาเพื่อหวังว่า เมื่อคุณอ่าน blog ของผมแล้ว อาจมีเงินเพิ่มขึ้น หรือสามารถรักษาเงินไว้ ไม่สลายหายไปแบบ ถูกกฎหมาย
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
11 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

MudleyGroup (2)

จากคุณหมากเขียว //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mhakkeaw
----------------------------------------------------------------

MudleyGroup Concept

ขออนุญาตคุณ MudleyGroup นำแนวคิดที่คุณโพสไว้มาให้อ่านกันอีกรอบ และบางส่วนนำมาจากกระทู้พี่คลาย เครียด ด้วยครับ

ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้รู้หลายท่านในห้องนี้ก่อนนะครับ เนื่องด้วยประสบการณ์ของผมอาจจะไม่มากเพียงพอ ถ้ายังไงก็อย่าถือสาหากมีข้อด้อยนะครับ

อืม..ถ้าท้าวความประวัติผมเอาคร่าวๆดีกว่านะครับ ส่วนแนวความคิดของผมเองผมอาจจะพูดมากหน่อย ผมได้เรียนรู้เรื่องหุ้นเพิ่มขึ้นมากมายก็เนื่องมาจากผมชนะเลิศแข่งหุ้นแล้วมีนักลงทุนฝรั่งมาสนใจจึงได้ศึกกษาและทำงานกับเค้าบ้าง แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกใช่มั้ยครับ ผมว่าเอาเป็นผมได้เรียนรู้อะไรมาบ้างดีกว่า มาให้กำลังใจคนที่พยามครับ จะได้มีกำลังใจ

ความสามารถในการซื้อ-ขายหุ้น เราสามารถฝึกฝนได้ครับ เพราะเมื่อก่อนผมเป็นยิ่งกว่าแมงเม่าอีก เพราะยังไม่ทันบินเข้ากองไฟก็ตายเสียแล้ว อิอิ เรื่องขาดทุนเป็นเรื่องปกติครับเพียงแต่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มหรือเปล่าจากการขาดทุนครั้งนั้นๆ หากเราไม่เรียนรู้อะไรแล้วเอาแต่โทษสภาวะแวดล้อมรอบด้าน เช่น รัฐบาล ฝรั่ง การก่อการร้าย ราคาน้ำมัน เฮดจ์ฟัน กลต.(อิอิ) นั่นก็แสดงว่าเราไม่ได้มีความพร้อมอะไรเลยที่จะเข้ามาในสนามแห่งนี้ เพราะการกำไรขาดทุนจริงๆแล้วการตัดสินใจมันเริ่มอยู่ที่ตัวเราเองก่อนทั้งนั้นครับ ซึ่งเป็นธรรมดาถ้าเราไม่ได้เตรียมการอะไรเลยหากเกิดเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยเข้ามาผลกระทบก็ย่อมเกิดขึ้นกับตัวเราเต็มๆครับ เกริ่นมานานแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่าเนอะ สำหรับความพร้อมที่ผมคิดว่าต้องมีก่อนเข้าสู่เกมการเงินแบบนี้ นั้นมีแนวความคิดคร่าวๆดังนี้ครับ

1. การเข้ามาในตลาดหุ้น อย่าหวังเพียงเพื่อเป็นการเข้ามาหาเงินง่ายหรือเป็นการสร้างความร่ำรวยทางลัด หรือจะเรียกว่าอิสระทางการเงินอะไรก็แล้วแต่ปัจจุบันจะสรรหาคำพูดมา เพราะ เป้าล่อเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งดึงดูดเม็ดเงินของบรรดาเหล่านักล่า(ไม่พูดนะครับว่านักล่าเป็นพวกไหนบ้างละไว้แล้วกัน) ถ้าไม่มีผู้เล่นเข้ามามันจะล่าใครล่ะครับ ล่ากันเองนี่เหนื่อยนะครับ อย่างงนะครับว่าอ้าวถ้าไม่เข้ามาหาตังค์หรือทำเงินแล้วจะเข้ามาทำ....อะไร จริงๆแล้วที่ผมพูดมันมีผลทางจิตวิทยากับสมองหรือระบบความคิดของเรานะครับ เพราะ ยกตัวอย่างเช่นถ้าเรามุ่งแต่จะทำเงินอย่างเดียวสิ่งที่สมองเรามองหาก็คือการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรูปแบบต่างๆที่จะทำเงินให้เราได้ เสร็จนักล่าล่ะครับ มันก็ทำรูปแบบต่างๆให้ดูว่าราคาหุ้นที่คุณจะซื้อดูทุกอย่างดี ข่าวก็เยี่ยม เทคนิคสวย(เรื่องเทคนิคเป็นเรื่องสำคัญ ไว้จะมาคุยต่อทีหลังนะครับ) ----> สรุปก็คือการมองแต่จะทำเงินอย่างเดียวมันกลับทำให้ระบบความคิดของสมองเราถูกจำกัดให้แคบลง เพราะเราเป็นคนไปโปรแกรมสมองมันเองว่าเป้าหมายจะทำเงิน ดังนั้น ระบบสมองซึ่งรับฟังคำสั่งโปรแกรมของเราก็จะมองอยู่ในกรอบเท่าที่เราโปรแกรมไว้ครับ ทำให้เราสงสัยว่าปัญหาเดิมๆทำไมเกิดขึ้นกับเราตลอดเช่น ขายขาดทุนปุ๊บขึ้นปั๊บ เป็นต้น ---> สำหรับผมเลยโปรแกรมสมองมันใหม่ว่าเข้ามาเพื่ออยากจะดวลสมองหรือเล่ห์เหลี่ยม อ่านเกม กับคนเก่งๆหลายๆท่านในตลาด แล้วฝีมือของผมก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างสังเกตุได้ครับ(เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่าฝีมือระดับนี้คงพอแล้วตอนชนะเลิศหุ้น แต่พอได้เรียนรู้จากนักลงทุนฝรั่งทำให้รู้ว่าขีดความสามารถในการเทรดของคนเรานี่มันน่ากลัวจริงๆ ยิ่งเป็นพวกมืออาชีพระดับตลาดอินเตอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ให้ลองจินตนาการว่าผมเป็นแค่นักกีฬาชนะเลิศของจังหวัด แต่ ต้องเจอกับนักกีฬาโอลิมปิกอย่างนี้เป็นต้น (บางทีเราเวลาเราดูกีฬาระดับโลกเรายอมรับเพราะเห็นว่าระดับความแตกต่างของฝีมือมันมากเหลือเกิน แต่เวลาเกมตลาดเงินเรามักคิดเองว่าพวกนี้ไม่เท่าไร เห็นได้จากการไปดวลต่อสู้ต่างๆในเกมการเงินระดับนานาชาติที่เรามักต้องแบกรับความเจ็บปวดกลับมา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสู้เค้าไม่ได้นะครับ ถ้าเราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ผมเคยเห็นคนไทยในระดับนานาชาติเก่งๆเยอะเหมือนกัน)--->หลังๆนี่นอกเรื่องไปเยอะเอาเป็นว่าอย่ามุ่งแค่จะเอาเงินเค้านะครับ เดี๋ยวมาต่อนะครับพอดีเมื่อย ไม่เคยพิมพ์เยอะขนาดนี้

2. ต่อนะครับ หลังจากที่เราโปรแกรมสมองแล้ว ขั้นต่อมาคือ จิตใจครับ เพราะอะไรเรื่องนี้ถึงสำคัญ ก็ธรรมชาติของมนุษย์เองนั้นพออยู่ในสภาวะที่อารมณ์สุดโต่งเข้าครอบงำ (อารมณ์สุดโต่งคือภาวะที่อารมณ์ไม่ปกติหรือไม่สมดุล เช่นเวลาโกรธส่วนของอารมณ์ดีใจเราก็จะน้อยหรือแทบไม่มีเลย จะเรียกว่าเสียสมดุล หยิน-หยางก็ได้) ช่วงนี้เองที่สมองส่วนตรรกะจะหยุดทำงานทันที ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราเจอหมี เราเกิดอารมณ์กลัวและตกใจสุดๆ สมองส่วนสัญชาติญาณจะเริ่มทำงานทันที และหลั่งสารบางอย่าง แต่ถ้าจะให้เราคำนวนแคลคูลัสตอนนั้นคงจะยากมากครับเพราะสมองส่วนตรรกะและเหตุผลจะหยุดใช้ชั่วคราว ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เวลาเราซื้อเรามานั่งนึกทีหลังว่ากดซื้อไปทำไมว้าตอนนั้น เนื่องจากตอนนั้นราคาหุ้นที่เราเห็นอาจจะกำลังไหลสุดๆจนเราเกิดอารมณ์โลภหรืออยากจนเสียสมดุล จนเราตัดสินใจซื้อตามเข้าไป จนพอสภาวะอารมณ์ปกติเราถึงจะมานั่งนึกว่าเราทำไมตัดสินใจซื้อไปได้ไงน้า .. วิธีการฝึกจิตใจนั้นต้องแล้วแต่คนนะครับ เพราะตัวเราจะรู้ข้อเสียของตัวเราเองดีที่สุดว่าเป็นแบบไหน ยกตัวอย่างผมใช้วิธีนั่งสมาธิทุกวัน และเปิดเพลง rock , classic , hiphop เวลาเทรด เป็นต้น

3. เมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจย่อมๆแล้ว เราก็เหมือนโมเดลเทรดที่มีระบบประมวลผลที่ซับซ้อนกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป(จากที่ผมไปศึกษางานมาพวกฝรั่งมันนิยมใช้โมเดลในการเทรดครับ เพราะเพื่อเป็นการตัดปัญหาด้านอารมณ์สำหรับพวกเทรดเดอร์ที่ประสบการณ์ยังไม่มาก หรือ มันไม่รู้จักวิธีนั่งสมาธิก็ไม่รู้อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ) คราวนี้หล่ะจุดสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจว่าเราจะซื้อขายหุ้นโดยกลยุทธ์ไหน อืม...เกือบลืมบอกไว้ก่อน ผมเล่นหุ้นสไตล์ไหนก็ไม่รู้นะครับ เก็งกำไรก็ได้ รายนาที รายวัน ถือยาวก็ได้ ขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า เรียกว่านักลงทุนสไตล์ฉวยโอกาสแล้วกันครับ ---> สรุปพอเราได้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเราเราก็เทรดตามกลยุทธ์นั้นไปเรื่อยๆ โดยเมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจ หากกลยุทธ์หรือรูปแบบเทคนิคที่เรา set ไว้มี%ผิดพลาดน้อย เราก็จะเทรดไปได้เรื่อยๆโดยไม่กังวลหากเกิดความผิดพลาด ซึ่งทำให้โมเดลเราต่อเนื่องโอกาสทำกำไรหรือประสบความสำเร็จก็มีสูงแล้วล่ะครับ อิอิ เอาไว้มาเทคนิคคัล พรุ่งนี้นะครับพอดีต้องไปทำอย่างอื่นต่อแล้วล่ะครับ เอ.มันเยอะไปหรือปล่าวหรือพอแค่นี้ครับ

ขออนุญาตต่อไว้หน้าเดิมนะครับจะได้ไม่ทำความรำคาญให้กับกระทู้อื่นมากเกินไป

4.เข้ามาต่อนะครับหลังจากสภาพของตัวเรามีความพร้อมที่จะเข้ามาทำการซื้อขายหุ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อมาก็คือเราจะตัดสินใจซื้อหรือขายตามขั้นตอนหรือหลักการอะไรดี ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างโมเดลที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมและง่ายๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้โมเดลรูปแบบอื่นๆครับ นั่นก็คือโมเดลการตัดสินใจซื้อขายตามหลักการของเทคนิคคัล
หลักการของเทคนิคคัลที่ผมได้ไปเรียนรู้มานั้น มันไม่เพียงใช่เป็นแค่เรื่องของกราฟ หรือการตัดกันของเส้นต่างๆ (อันนี้ก็ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของเทคนิคเหมือนกัน เหมือน การแตกสาขาของศาสตร์ต่างๆเลยครับ เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์ วิศวกรโยธา เครื่องกล เป็นต้น ) มาเข้าเรื่องต่อเลยนะครับ ที่เราพบบ่อยที่สุดในบ้านเรามักจะเป็น นักเทคนิค แบบ การทำนายอนาคต จาก รูปแบบ(patternต่างๆ) โดยมีการสร้าง indicator(ดัชนีชี้นำต่างๆแล้วแต่ความถนัดมาช่วย) วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีแต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในตลาดมาช่วย สังเกตว่าเด็กใหม่ๆมักจะใช้วิธีกราฟเทรดสู้รุ่นเก๋าๆที่มีประสบการณ์ไม่ค่อยได้ ถ้าว่ากันตามหลัก ทฤษฏีแล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อไรที่เราจะพยามทำนายอนาคตมันจะมีปัจจัย(factor)หลายๆอย่างทั้งที่เราคาดการณ์ได้และคาดการณ์ไม่ได้ มาเป็นตัวประกอบทำให้เกิดค่าคลาดเคลื่อน(error) ดังนั้นคนที่มีประสบการณ์เค้าจึงสามารถรับรู้ได้โดยทันทีว่า รูปแบบเช่นนี้มันไม่ชอบมาพากล หรือไม่เป็นดังที่เค้าคิด จึงทำให้เค้าสามารถเอาตัวรอดได้ทันครับ
เทคนิคคัลนั้นตามหลักการแล้ว มันเป็นตัวช่วยให้เราเห็นภาพความคิดของผู้คนในตลาด ดังนั้นผมจึงหันมาสนใจศาสตร์เทคนิคคัลฉบับอ่านปัจจุบันมากขึ้น มากกว่าฉบับอ่านอนาคต แต่ก็ไม่ทิ้งนะครับเพราะเมื่อนำมารวมกันเราจะได้โมเดลที่เยี่ยมเลย เดี่ยวไว้ค่อยมาต่อเทคนิคเรื่อยๆนะครับว่าจะไปข้างนอกนิดนึงครับ
โอ ขอบคุณครับ มีข้อความเก่าให้นึกถึงความหลังด้วย ต้องขอโทษที่เข้ามาช้าหน่อยนะครับ เพราะมัวทำอะไรเพลินไปหน่อย

4. สำหรับเทคนิคคัลนั้นเมื่อก่อนผมคิดว่าต้องยากๆซับซ้อนถึงจะดี แต่ไปๆมาๆขนาดไปเรียนรู้ถึงระบบtrackหุ้นก็แล้ว อีเลียตเวฟชั้นสูงก็แล้ว (คลื่นแทรกใน A B C เค้าเรียกดับเบิ้ล หรือไม่ก็ทริบเปิ้ล wave เช่น A(B(C)) อันนี้ไม่มีในหนังสือtextขายนะครับเพราะพวกนี้ต้องเข้าคอร์ส ) ไปๆมาๆถึงได้รู้ว่าระบบพวกนี้ที่ซับซ้อนเค้ามีไว้เพื่อให้โมเดลเทรดสู้กับมนุษย์ได้ เวงกรรม .... สุดท้ายความเข้าใจพื้นฐานธรรมชาติดีสุดครับ แต่เนื่องด้วยมนุษย์ลึกๆแล้วอยากให้มีคนชื่นชมหรือเข้าใจว่าเราเก่งอย่างนั้นอย่างนี้(ตัวอย่างเช่นผมก็ไม่พ้นธรรมชาติมนุษย์ทั่วไปมีคนชมในเว็ปบอร์ดก็แอบชอบใจลึกอยู่เหมือนกันนะครับ) มันเลยเกิดการเรียนหรือนำเสนอสร้างระบบซับซ้อนขึ้นมาซึ่งทำความเข้าใจยาก ตย.มีให้เห็นเยอะในเรื่องต่างๆเช่นโมเดล เศรฐศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่ถ้าศึกษาจากประวัติบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนผมเห็นเค้าล้วนใช้วิธีเบสิกมากๆ เช่น อลัน กรีนสแปน บางที่คาดการณ์เศรษฐกิจโดยดูปริมาณคลิปกระดาษ หรือ โซรอสขายหุ้นตอนปวดหลังเป็นต้น ผมเลยสรุปและคิดเห็นว่า บางทีการที่เราไม่นำระบบที่ยากซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือจะเข้าใจต้องกินเวลานานมาใช้เนี่ย ก็ไม่เห็นเป็นปัญหาเลยจริงมั้ยครับ ตลาดหุ้นเนี่ยเราไม่ต้องไปแสดงให้ใครเห็นว่าเก่งก็ได้ บางคนคิดว่าคนเก่งต้องเล่นได้ขาขึ้นและขาลง เลยพยามเล่นมันหมดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่สำหรับผมแล้วถ้าไม่มีโอกาสหรือผมไม่แน่ใจผมก็จะไม่เล่นครับ ผมยอมให้คนว่าผมว่าเล่นหุ้นไม่ได้ทุกจังหวะหรือจะว่าอะไรก็แล้วแต่ ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งเหมือนกันตามธรรมชาติลึกๆของมนุษย์ที่พยามจะพิสูจน์ตัวเอง จึงทำให้เกิด error ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวทั้งที่ถ้าตัวเองทำตามระบบหรือแผนการที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เช่น การพยามเอาคืนเวลาพลาดพลั้งไปแล้วเป็นต้น แล้ว loop อารมณ์ตอนต้นก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เกิดผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่กับการตัดสินใจครั้งต่อไป บางทีผู้คนที่เก๋าๆมีประสบการณ์ในตลาดก็จะใช้วิธีแก้เช่นออกจากตลาดสักระยะหนึ่ง ไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำแล้วค่อยกลับมาเป็นต้น
สรุปก็คือ พื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญครับ หากเราเข้าใจพื้นฐานแท้จริง ไม่ต้องกลัวว่าเราจะแก้ไขปัญหาไม่ได้ เพราะสมองมนุษย์นั้นน่าทึ่งจริงๆครับ ท่าเราเข้าใจรากฐานมันแล้วเราก็สามารถต่อยอดความคิดไปแก้ไขปัญหาที่มันซับซ้อนขึ้นไปได้

5. (โมเดลอื่นเช่นปัจจัยพื้นฐานนี่ผมไม่พูดนะครับเพราะน่าจะพอทำความเข้าใจกันได้และมีหลายท่านในที่นี้มีประสบการณ์สูง เช่น ถือหุ้นต่อสู้กับเจ้าของมานักต่อนักแล้ว) หลังจากเรารู้ว่าเทคนิคคัลมีอะไรบ้าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้ถึงขั้น high class เราก็น่าจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ
เทคนิคคัลพื้นฐานวางกระบวนการเรียนรู้ไว้ดังนี้ครับ
ศึกษาอดีต<---->เรียนรู้ปัจจุบัน<---->ป้องกันอนาคต
เริ่มเห็นภาพมั้ยครับว่าเดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นแบบนี้ไปแทน ศึกษาอดีต ------> คาดการณ์อนาคต ....

5. ว่ากันทีและตัวแล้วกันนะครับ, ศึกษาอดีต---->ก็คือการพยามทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมาผีผลอย่างไรก่อให้เกิดภาพกราฟแบบไหน (กราฟจะเป็นเหมือนวิดีโอบันทึกถึงการกระทำและความรู้สึกของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา) , เรียนรู้ปัจจุบัน (มองดู ณ ปัจจุบันว่ามันเกิดสถานการณ์แบบไหน มีปัจจัยอะไรบ้าง ก็ให้เกิดภาพกราฟอะไร พอเทียบเคียงกับภาพกราฟในอดีตได้ไหม ),ป้องกันอนาคตคือ ปัจจุบัน เมื่อ เทียบ กับอดีต แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์แบบไหนได้บ้าง เราควรจะทำอย่างไรเมื่อเกิดแต่ละเหตุการณ์(กลายเป็นศาสตร์ใหม่ของฝรั่งขึ้นมาอีกเรียกว่าหลักการบริหารความเสี่ยง) ต่างกับหลักการเทคนิคคัลฉบับคาดการณ์อนาคตคือ เราเห็นอดีตแบบนี้ ปัจจุบันแบบนี้ เราจึงตัดสินใจซื้อหรือขายในแบบที่ควรจะเกิดจากอดีตทันที ซึ่งระบบจะง่ายและรวดเร็ว แต่ error จะมีมากกว่า และ บุคคลที่ใช้จำเป็นต้องมีระเบียบวินัยสูง เช่นการเน้นระบบ cut loss เมื่อตัดสินใจพลาด (จริงๆระบบcut loss มีความจำเป็นในหลายๆระบบ แต่ระบบนี้จะเน้นมากหน่อย เพื่อให้กลับมาสู่ loop การตัดสินใจวิเคราะห์ใหม่ได้) ... เหนื่อยเหมือนกันนะครับเนี่ยการเล่นหุ้น ผมยินดีแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เพราะ การที่บุคคลนั้นจะเรียนรู้และสำเร็จได้นั้นต้องมีความพยามค่อนข้างสูง ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่ที่เราจะบอกสิ่งที่เราพอรู้บ้างให้กับบุคคลที่มีความพยามเป็น ไกด์ไลน์ คร่าวๆได้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการให้กำลังใจเล็กๆน้อยสำหรับคนที่ต้องเจอมาหนักแล้วกันนะครับ ปล. อย่าถามผมนะครับว่าหุ้นตัวไหนดี ซื้อเมื่อไร ขายเมื่อไร ผมเจอคำถามนี้มาเยอะจริงๆตั้งแต่เป็นวิทยากรเทคนิคคัล เพราะผมจะตอบอยู่เสมอว่าผมไม่รู้อ่ะ งวดนี้พักไว้แค่นี้ก่อนนะครับยังนึกไม่ออกเลยจะอธิบายกราฟไงดี เอาแต่หลักการไปก่อนเนอะ หยวนๆน่า ไว้ค่อยมาต่อกัน มีไรก็แลกเปลี่ยนความรู้กันผ่านกระทู้ได้ครับ ขอบคุณมากครับที่ทนอ่านมาขนาดนี้

อ่อ เกือบลืม ที่โซรอสที่เค้าบอกว่าขายหุ้นตอนปวดหลังนั่นเค้าแฝงปรัชญาไว้ให้เรานะครับ ว่าเค้าเนี่ยซื้อขายหุ้นไม่มีความซับซ้อนและไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เค้าอยากจะซื้อก็ซื้ออยากจะขายก็ขาย โดยตัดสินใจตามโมเดลของเค้าที่เค้าคิดไว้นั่นเอง (ตย. ทฤษฎีสิ่งเค้านำเสนอมันมีชื่อว่า The Theory of Reflexivity ) และสิ่งที่ช่วยเตือนใจให้ผมต้องพยามพัฒนาและฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่าตลาดหุ้นมันเป็นตลาดopen ไม่มีการต่อ handicap หรือกำหนดรุ่นช่วยเรานะครับ ยกตัวอย่างเหมือนเราเข้าไปแข่งกีฬาพวกรายการ open เลยครับ เจอมือเก๋าๆแน่นอนอยู่แล้ว

อ่อ..ฝากอีกนิดหน่อยนะครับ สำหรับคนที่กลัวโดนเทคนิคหลอกจากฝ่ายผู้ชี้นำ ถ้าเราเปิดใจแล้วไม่มีความรู้สึก โดยสมมุติง่ายๆเกิดเราไม่มีเครื่องมืออย่างอื่นมาจับจริงๆเราก็หาอินดิเคเตอร์ที่แม่นเทรนด์นี่หล่ะ โดยที่การขัดแย้งต่างๆในตัวมันเองจะเป็นตัวบอกเราเองว่ามนุษย์นี่หล่ะกำลังพยามชี้นำให้เป็นแบบนี้ เสร็จเราหล่ะครับ เพราะหุ้นมันไม่ขึ้นก็ลงเราก็จะรู้ถึงความต้องการของเค้า --->ภาพประกอบคำอธิบายเป็นตัวอย่างง่ายๆนะครับ

ความคิดเห็นจากคุณโจนาธาน
สหายร่วมสำนัก mgc

โมเดล ก็คือแบบจำลอง ที่ใช่ทำนาย อนาคตของสิ่งที่เราสนใจ
โดยมีเงื่อนไขและตัวแปร ที่เรากำหนดใส่ไว้
แล้วเค้าจะเอา output นั้นแหละมาทำนาย

โมเดลในการเทรด ก็เหมือนกันครับ เอาไว้ทำนายการซื้อขายครับ

โมเดลที่จะแม่นยำเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับ
ความแข็งแกร่งของโมลเดลนั้น ๆ ครับ ว่าละเอียดเพียงใด

มนุษย์เป็น โมเดลเทรดที่ดีที่สุด
แบบคุณ โซรอส จูเนียร์ ว่าไว้นั้นแหละ อิอิ
เพราะเราสามารถรับปัจจัยหลาย ๆ
อย่างที่คอมมันรับไปแบบเราไม่ได้
แต่เราต้องมีใจเป็นกลางนะครับ
อย่ามีอคติ จึงจะชนะโมเดลทางคอมได้สมบูรณ์
ผมเข้าใจว่า คุณมัดเลย์ ทำงานหนัก และ สร้างโมเดล
ดียิ่งกว่าพวกวิจัย ป.โท หรือ ป.เอกซะอีก
(ตั้งแต่ตอนเรียน ป ตรี)
จริง ๆ หากจะเล่นหุ้นให้สำเร็จเร็วเพียงใด
เราก็ต้องขยันเพิ่มขึ้นเป็นสิบ ๆ เท่า
กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้น ต้องใช้เวลาและความอดทน

สิ่งนี้แหละครับ ขอฝากไว้สำหรับคนที่อยากเก่งแบบเค้า
หากคุณมีสิ่งแบบนี้ ผมว่าก็ไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก

ความคิดเห็นจากคุณ : simply is the best (chezip)

ปรัชญาและปัจจัยแห่งความสำเร็จขั้นพื้นฐาน
ในการเล่นหุ้นด้วยเทคนิคเคิล

1. อาวุธ (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค)

2. กลยุทธ์ และ ความเข้าใจในสมรภูมิ (ตลาดหุ้น)
ตลอดจนยุทธศาสตร์ ระยะสั้น กลาง ยาว

3. อารมณ์ (การควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ให้ปฏิบัติตามแผน ตามระเบียบวินัยการลงทุน
ตามเป้าหมายระยะสั้น ยาว
ให้เป็นไปและสอดคล้องกันกับยุทธ์ศาสตร์ที่วางเอาไว้)

ปัจจัย ทั้ง 3 ตัวมีความสำคัญ เรียงตามลำดับ
เพราะถ้าไม่เลือกหาอาวุธที่เหมาะมือไว้ก่อน
ก็ต่อสู้กับเขาไม่ได้
แต่ถ้ามีแต่อาวุธ แต่ไร้กระบวนท่า
ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน
เพราะอาวุธแต่ละประเภทมีข้อจำกัด
ตามสถานการณ์และสมรภูมิ

(ไม่มีสัญญาณเทคนิคที่ให้ความแม่นยำถูกต้อง 100%)

ดังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธในมือเรา
มันจะแผงฤทธิ์ ได้ดีในตอนไหน
(สัญญาณลวงทางเทคนิคมักจะเกิดขึ้นในตลาดขาลง 50-60% )
แต่เครื่องมือทางเทคนิคจะทำหน้าที่ได้ดี
(ให้สัญญาณจริง 70-80%) ในตลาดขาขึ้น

เพราะฉะนั้น เซียนเทคนิคจึงผุดขึ้นมากมายในตลาดกระทิง

แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าสถานการณ์มันอำนวยชัยมากกว่า
น้อยคนที่จะมีอาวุธคู่ใจหลายๆอัน
ดังนั้นแล้ว จงหาอันที่เหมาะมือไว้สัก 2-3 อันไว้ก่อน ก็พอ
แต่เอาให้ชำนาญยุทธ์ ปิดช่องโหว่งซึ่งกันและกัน

และสุดท้ายคือ ปัจจัยเรื่องอารมณ์
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

กระบวนท่าต้องสัมพันธ์กับใจ
อารมณ์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะฉะนั้น
จึงเข้าถึงและเข้าใจได้ยากเหมือนกัน

แต่ถ้ายอมรับในอิทธิพลของมันแล้ว
ก็จะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด
นักรบที่เก่งทั้งหลายในสมัยก่อนที่รบแพ้ส่วนใหญ่
มิใช่เพราะว่าตนไร้ฝีมือ ไร้ยุทธวิธี
แต่เป็นความเย่อหยิ่ง ลำพอง ประมาทคู่ต่อสู้
มิฟังคำทัดทานจากผู้อื่น
จึงต้องพ่ายแพ้ และบางทีก็ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก

ดังนั้น อาวุธ กลยุทธ์ และ อารมณ์
ต้องให้สัมพันธ์กันตามสถานการณ์
การเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทางสะเปะสะปะ
ไร้กระบวนท่า ก็จะได้เป้าหมายแบบลมๆแล้งๆ เช่นกัน

ใครถนัดจะเล่นแบบไหน ใช้สัญญาณอะไร
อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่บอกว่าเราได้มาถูกทางแล้วคือ
การที่เราได้ทำอะไรที่เราเห็นอยู่ทุกๆวัน

เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้ผล ยิ่งทำยิ่งง่ายขึ้นแต่เข้าใจ
ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งคิดยิ่งยุ่งยากซับซ้อนออกไป มากไป จนสับสน

เพราะว่าในตลาดหุ้นมันมีความสับสนเป็นสมมุติฐานอยู่แล้ว
เรายังไปสับสนต่อเนื่องกับมัน
จึงต้องติดกับดับอารมณ์ และกับดับสัญญาณทางเทคนิค
ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในกราฟหนึ่งรูปสามารถอธิบายอะไรๆ ได้มากมาย
ถ้าเราซื่อตรงต่อมัน เข้าใจมันโดนปราศจากอคติ
เพราะมันคือความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
ความจริงที่กำหนดทิศทางของตลาด
ออกมาจากจิตวิทยามวลชน
สัญญาณแต่ละตัวมัน
สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก ของมวลชน
ทุกอย่างอยู่ในนั้น และ ถ้าอดีตบอกปัจจุบันได้
ปัจจุบันทำนายอนาคตได้
กราฟนี้ก็จะทำหน้าที่อันนี้เช่นกัน
และมันก็บอกว่าอะไรได้เกิดขึ้นแล้ว
และทำให้คนสำเร็จและล้มเหลวต่างกันอย่างไร

ความเห็นจากนายดับเบิ้ลเค เจ้าเก่าไม่มีสาขา ฮาๆๆๆ

ผมเคยตั้งคำถามกับคุณเอี๋ยว
ตอนที่เจอกันที่วิลล่า เอ๊ยไม่ใช่ริเวอร์ซิตี้
ผมถามว่า กราฟทำหลอกได้หรือเปล่า
จำได้เลือนลางว่า
' จารย์เอวี่ตอบว่า
"หลอกได้ แต่หลอกได้ไม่นาน"
แล้วก็อธิบายให้ผมฟังอีกพอประมาณ
ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาพยักหน้า
ประหนึ่งว่ารู้เรื่องดีเป็นบ้าเลย ฮาๆๆๆ
แฮะ แฮะ ที่แท้รู้แบบงูๆปลาๆ ครับ
ขอโทษพ่อเลี้ยงเอวี่ด้วย

พอมาเจอแนวคิด mgc เข้า
ดวงตาเห็นโลกย์เลย

"กราฟถ้ามันเคยแม่น
แล้วกลับมาไม่แม่น
แสดงว่า มีมืออาชีพเข้าไปจัดการทำให้มันไม่แม่น
ซึ่งจะทำให้เรารู้ได้ว่า มันเกิดจากการกระทำเพื่อฝืน
ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการให้คนอื่นตีความผิดๆ"

ผมเข้าใจที่คุณมัดลีย์กรุ๊ปบอกไว้ตอนท้ายเป็นแบบนี้
ไม่แน่ใจว่าตีความผิดหรือเปล่า
ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ

สำหรับจุดอ่อนของผม ที่ด้อยกว่าคุณมัดลีย์กรุ๊ปชัดเจนคือ
ผมไม่สามารถเลือกเป็นนักลงทุนแนวไหนก็ได้
ตามที่ตัวเองต้องการ และถนัด

เล่นสั้น เล่นยาว เล่นรายนาที เล่นรายวัน ฯลฯ

ถนัดอยู่แนวไหนก็ต้องเล่นอยู่ในแนวนั้น
ประเด็นสำคัญมากๆ
ที่ทำให้คุณมัดลีย์กรุ๊ปประสพความสำเร็จในตลาดหุ้นคือ

ไม่ยึดติดกับการลงทุนแนวไหนอย่างเด่นชัด
แนวทางไหนทำเงินได้ ก็ใช้แนวทางนั้น ในสภาวะนั้นๆ

"ต้องการจะเล่นแนวไหนก็ได้"
กับการถูกอำนาจของตลาดฯ
"บีบให้เราต้องเลือกเล่นแนวนั้นๆ"
มีความหมายต่างกันมาก
เพราะมันสามารถจะเปลี่ยน
เราจากการเป็นผู้ล่า
ให้กลายเป็นผู้ถูกล่าในที่สุด

คุณ mudley group คะ คือว่าอ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเลยค่ะ สงสัยหัวจะช้ามากๆๆๆ มีคำถามดังนี้ค่ะ
1 ตกลงคุณใช้วิธี trade ทั้ง เทคนิคคัล และจิตใจ และการสะสมหุ้นผสมผสานกันเหรอคะ
2 ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเทคนิคคัลที่คุณบอกเลยค่ะ ตกลงว่าเราต้องอ่านเทคนิคัลออกด้วยเหรอคะ
3 และการสะสมหุ้นไม่ทราบว่าคุณใช้วิธีแบบ dsm หรือเปล่าคะ เพราะถ้า dsm เขาจะไม่ดูเทคนิคคัลเลย
และไม่เดาตลาด คือทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำตามวินัยโดยไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
4 การโปรแกรมสมองทำยังไงล่ะคะ ที่จะใส่ข้อมูลว่า เราเข้ามาเพื่ออยากจะดวลสมองหรือเล่ห์เหลี่ยม อ่านเกม กับคนเก่งๆหลายๆท่านในตลาด
ขอบคุณค่ะล่วงหน้าค่ะสำหรับคำตอบนะคะ คืออยากเปลี่ยนแปลงหลักการเล่นของตัวเองค่ะ แต่ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการเลยค่ะ

ตอบคุณ ..นินจา ครับ ตอนนี้อายุ 24 แล้วครับ สมัยนั้นเรียนอยู่ โยธา ครับ
ตอบคุณ .. vd ครับ
1.ใช่ครับ
2.เราไม่จำเป็นต้องอ่านเทคนิคคัลก็ได้ครับ(เทคนิคคัลเป็นตัวสื่อกลางให้เราเห็นภาพอะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้น) ผมยกตัวอย่างกรณีเราใช้โมเดลเทรด ด้วยเทคนิคคัล ครับ (ที่ยกตัวอย่างนี้เพราะเห็นว่าคนส่วนมากนิยมใช้กันครับ )
3.อืม...การสะสมหุ้น ผมไม่รู้ว่าเหมือน dsm หรือเปล่านะครับ แต่ที่เหมือนคือเป็นหุ่นยนตร์เหมือนกัน ส่วนจะใช้กลยุทธ์อะไรในการซื้อขายก็อยู่ที่โมเดลความคิดของแต่ล่ะคนครับ
4.อืม...วิธีการโปรแกรมสมองง่ายๆอันดับแรกๆเลยคืออย่ามองที่เหยื่อล่อครับ ถ้าเรามองออกว่าเหยื่อล่อในตลาดหุ้นที่เค้าล่อเราคืออะไร เราก็อย่าไปมองมันครับ ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ เช่นการตกปลา ปลาตัวไหนจ้องแต่จะฮุบเหยื่ออย่างเดียวก็เสร็จได้ง่ายครับ
ต่อมาคือการนั่งสมาธิครับ มันช่วยให้จิตใจเราสงบและมีสติมากขึ้น และท้ายสุดเพื่อให้เห็นแก่นแท้ของธรรมชาติ(ถึงแม้ว่าผมอาจจะทำความเข้าใจมันไม่แท้จริงแต่สำหรับความรู้ที่ได้รับผมคิดว่าคุ้มมากๆครับ)แนะนำอ่าน หนังสือเล่มใหญ่ "พุทธธรรม" ของท่านอาจารย์ พระธรรมปิฎก ครับ

ความคิดเห็นของน้อง Moonzonezturn
ยอดมากเลยครับ ซื้อที่1.36 ใช้ความกลัวให้เป็นประโยชน์
......รึว่าการเล่นเดย์เทรดนั้นจา....
1. จะต้องคิดว่าวันนี้จะเข้าตัวไหน
2. ต้องคิดว่าวันนี้ราคาหุ้นตัวนี้จะอยู่ช่วงใด ตกไปเท่านี้เราจะซื้อ ขึ้นไปเท่านั้นเราจะขาย(ใช้ไรคิดก็สุดแท้แต่)

เพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้อยู่ดีว่ามันจะเป็นยังไงอ่า และพี่รู้ได้ไงว่ามันเสียสมดุล??? แสดงว่าก็ต้องกะมาแล้วจิว่าการเคลื่อนไหวตัวนี้ในวันนี้จะเป็นแบบนี้...ถ้าหากเกิดเหตุการณ์panicและเป็นerror(ในเทคนิค)และมันจะดีดกลับขึ้นไปได้เองในทุกครั้ง ไม่รู้ผมเข้าใจถูกไหม ในเทคนิคผมสร้างขึ้นเอง พอเวลาคำนวนได้errorทีไร มันจะดีดตัวกลับขึ้นไปทุกๆครั้งเลยนะครับเป็นจังหวะที่น่าเข้าซื้อมากเลยทีเดียว (แต่ยังไม่เคยเกิดerrorทั้ง 2 ฝั่งเทคนิคสักที)ยังไม่รู้เหมือนกันผลจะออกมาเป็นไง ผมเพิ่งศึกษาประสบการณ์น้อยนัก - -" จุดนี่ใช่ไหมครับที่พี่มัดเล่เรียกว่า....จุดเสียสมดุลที่แท้จริง ^^

โอ้....ผมชักหวั่นๆแล้วสิเนี่ย เพราะน้อง Moonzonezturn เก่งกว่าผมสมัยตอนรุ่นเดียวกันอีก ในเทคนิคคัลที่น้องสร้างขึ้น ที่มันมี error นั่นแสดงว่ามันช่วยให้เห็นภาพการเสียสมดุลได้ดีครับ ทดลองฝึกไปเรื่อยๆครับ แต่ถ้าอยากจะเล่นแนว daytrade แนะให้ใช้ส่วนหนึ่งจากกำไรมาเล่นดีกว่าครับ ขั้นต่อมาที่จะต้องเจอคือ factor อารมณ์ของมนุษย์ ซึ่งมากกว่า กลัว กับ โลภ เช่น ความอยากจะเอาชนะ ความโกรธแค้น หรือ อารมณ์สนุกหรือสะใจของผู้ชี้นำที่อยากเห็นคนโอดครวญทั้งที่ตัวเองก็ต้องเจ็บตัวบ้าง เป็นต้น ต่อมาที่จะมีผลอีกก็คือ การ input money เข้าไปในตัวหุ้นนั้นๆครับ ถ้าเราเข้าไปในระดับที่ไม่เหมาะสมมันจะเกิดการerror ทันที ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราซื้อหุ้นตัวหนึ่งมากไป(โดยที่ศักยภาพของเราไม่ใช่ผู้ชี้นำ) ก็ยากครับที่จะมีใครมาไต่ระดับราคาหุ้นให้เรา โดยเฉพาะผู้ชี้นำตัวจริง เป็นต้นครับ
ปล. แค่โมเดลของน้องก็น่าจะมองภาพและใช้ได้ดีพอสมควรอยู่แล้วครับ แต่ข้างบนยกตัวอย่างเพิ่มเติมให้เผื่ออยากจะค้นคว้าไปอีกเฉยๆครับ และถ้าน้องรู้ว่าทำไมมันถึงคำนวน error ได้นั่น(ลองนึกว่าเราต้องพิสูจน์สูตรแล้วกันนะครับ)จะช่วยให้มองเห็นภาพชัดเจนครับ

ความคิดเห็นของคุณทรงกฤษฎิ์
ขอบคุณครับ คุณmudleygroup

ได้รับความรู้ใหม่มากเลยครับ
ผมนับถือคุณจริงๆ

มีเรื่องที่ผมอยากจะเรียนถามเกี่ยวกับโมเดลเทรด สักเล็กน้อยครับ
เพราะผมค่อนข้างใหม่กับคำนี้เลย แต่สนใจใคร่รู้มากครับ
ถ้ากรุณาตอบก็จะขอบคุณมากเลยครับ

คุณโจนาธานว่าไว้ว่า “โมเดล ก็คือแบบจำลอง ที่ใช้ทำนาย อนาคตของสิ่งที่เราสนใจ
โดยมีเงื่อนไขและตัวแปร ที่เรากำหนดใส่ไว้ แล้วเค้าจะเอา output นั้นแหละมาทำนาย โมเดลในการเทรด ก็เหมือนกันครับ เอาไว้ทำนายการซื้อขายครับ โมเดลที่จะแม่นยำเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับ
ความแข็งแกร่งของโมลเดลนั้น ๆ ครับ ว่าละเอียดเพียงใด”

สมมติว่า ผมจะสร้างโมเดลเทรดขึ้นมาอันหนึ่งนะครับ
โดยไม่ใช้เทคนิคคัลเลย
แต่ใช้ตัวแปรหลักๆ เพียงตัวสองตัว(คิดแบบง่ายๆนะครับ-คืออยากลองทดลองดูว่าเข้าใจหรือไม่น่ะครับ) คือยังไม่สนรายละเอียดน่ะครับ (ยังไม่สนใจความแม่นยำ)

จึงเกิดคำถามอยากจะถาม คุณ mudleygroup ว่า การสร้างโมเดลเทรดแบบนี้ใช้ได้ไหมครับ

สมมติตั้งสมมติฐานว่า เม็ดเงินที่ flow in เข้า กับ flow out ออก คือปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดราคาหุ้นเริ่มต้นอย่างง่าย
ตัวแปรที่ 2 คือ อารมณ์โลภ กับกลัวของmass(กลุ่มคนที่ไม่มีอำนาจชี้นำตลาด แต่มีจำนวนเม็ดเงินมาก) ซึ่งทำให้massตัดสินใจซื้อ หรือ ขาย โดยมีสมมติฐานอย่างง่ายว่า massจะตัดสินใจเข้าซื้อ ก็ต่อเมื่อ massเกิดความโลภมากกว่าความกลัว และmassจะตัดสินใจขายก็ต่อเมื่อmassเกิดความกลัวมากกว่าความโลภ
ผมจะลองสร้างโมเดลเทรดอย่างง่ายอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ราคาหุ้นถูกกำหนดโดยเม็ดเงินของผู้นำ กับอารมณ์กลัวโลภของmass(สมมติว่าสามารถวัดค่าทั้งสองนี้ออกมาเป็นตัวเลขได้จริง-โดยพิจารณาว่า อารมณ์กลัวโลภของmass นี้เป็นปริมาณมวลรวม ไม่ใช่ค่าเฉพาะแต่ละคน เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ)

จากตัวแปรทั้งสอง เมื่อนำมาพิจารณาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ณ จุดที่ราคาหุ้นตกต่ำลงมามากแล้ว(ด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ไม่แน่ชัด เพราะเริ่มจับเหตุการณ์ ณ จุดที่ตกต่ำแล้ว) เมื่อเม็ดเงินถูกอัดฉีดเข้ามาในหุ้น(ด้วยกลุ่มใดก็แล้วแต่ เหตุผลใดก็ตามแต่) แล้วทำให้ราคาเริ่มสูงขึ้น massทั่วไปซึ่งยังติดภาพว่า หุ้นราคาไม่ดี ในช่วงแรกก็จะยังไม่ซื้อ ถูกไหมครับ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักการเรียนรู้ จึงใช้เหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน ในการตัดสินใจ
ณ ราคาที่ค่อยๆสูงขึ้น massส่วนใหญ่ก็จะยังไม่เข้าซื้ออยู่ดี เพราะในช่วงแรก massเห็นว่าราคามันต่ำ กลัวว่ามันจะตกลงไปอีก(คือยังกลัวมากกว่าโลภ)
แต่ ณ ราคาหนึ่ง(สมมติว่า เรามีindicator จริงที่วัดปริมาณเม็ดเงินที่flow in ได้จริง กับ มีindicator ที่วัดค่าความกลัวvsโลภของ mass ได้จริง) เมื่อเม็ดเงินที่match นั้น ทำให้ค่าความโลภมีมากกว่าความกลัว mass ก็จะพร้อมเข้าไปไต่ระดับราคาถูกไหมครับ แล้วราคาก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าเม็ดเงินจะเริ่มflow out ออกจากตัวหุ้นถูกไหมครับ แล้วหลังจากนั้น เมื่อไม่มีเม็ดเงินถูกเติมเข้ามาใหม่ ราคาก็จะกลับมานิ่ง ก่อนที่ความโลภของmass จะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความกลัว และเมื่อความกลัวเอาชนะความโลภได้ ในที่สุดเม็ดเงินก็จะค่อยๆ flow out ออกไปจากตัวหุ้น แล้วในที่สุด ราคาของหุ้นก็จะถูกปรับลงมาที่จุดต่ำเช่นเดิม เพื่อรอคอยเม็ดเงินถูกเติมเข้ามาใหม่อีกครั้ง เพื่อเข้าสู่วัฏจักรอันใหม่

โมเดลเทรดนี้ ถือว่าพอใช้ได้ไหมครับ(สมมติว่า เรามีindicator ที่สามารถวัดปริมาณทั้งสองอย่างออกมาได้จริงนะครับ)

คราวนี้มาถึงคำถามอีกข้อหนึ่งครับ
สมมติว่าผมสร้างโมเดลเทรดแบบนี้ขึ้นมา เพื่อใช้อธิบาย และคาดเดาทิศทางการไหลไปของราคาหุ้น
ณ ทุกวินาที ทุกนาที ทุกวัน ทุกสัปดาห์ จะมีกระบวนการ ของการไหลไประหว่างตัวแปรทั้งสอง ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้นถูกไหมครับ ซึ่งก็จะเกิดกระบวนการแบบเดียวกันซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ในรายวินาที นาที วัน สัปดาห์ เดือน หรือ ปี ซึ่งจะมีทิศทางไหลไปในทางเดียวกัน(ยกเว้นหุ้นหน้าด้านบางตัว)
ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจภาพรวมของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแล้ว

ทีนี้เราลองขยับโมเดลขึ้นมา ทดลองจับทิศทางของ set index ก็พอได้ไหมครับ
โดยเทียบปริมาณของเม็ดเงินที่flow in เข้ามา ซึ่งก็มาจากแหล่งใหม่ๆซึ่งไม่เคยมีในรอบที่แล้ว(เช่น สมมติเป็นขาขึ้น ก็จะมีเงินของต่างชาติ, การเพิ่มปริมาณเงินลงทุนของนักเล่นหุ้น, นักเล่นหุ้นรายใหม่ที่ไหลเข้ามาในตลาด ฯลฯ)
จับราคา7-8ร้อยจุดเมื่อต้นปี ซึ่งเป็นจุดสูงสุด ที่เม็ดเงินเริ่ม flow out ออกจากระบบ (ต่างชาติเริ่มทยอยขาย เอากำไรกลับ หรือ หลังจากนั้น เข้าซื้อ ก็ไม่ต่อเนื่อง ซื้อๆขายๆ รายย่อยเริ่มเข็ด ถอนเงินกลับ แมงเม่าไม่เข้า เพราะใครก็ว่าตลาดไม่ดี ฯลฯ)
ดังนั้น ที่จุดดังกล่าวเมื่อต้นปี ถือเป็นจุดสูงสุด ที่ความกลัว เริ่มเอาชนะความโลภได้
ณ จุดดังกล่าว จึงเป็นจุดที่ราคา ค่อยๆ ไหลลงมาถูกไหมครับ จนกว่าจะไปถึงจุดที่ มีเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดจริงๆ จึงจะทำให้ตลาดเปลี่ยนเป็นขาขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้น จะต้องรอให้mass เกิดอาการเหนื่อยหน่าย และกลัวจนเงินflow out ออกไปจากตลาดหุ้นเสียก่อน(ซึ่ง ณ ปัจจุบัน mass ยังไม่คิดทำสิ่งนี้-ซึ่งผมเดาเอาเพราะยังไม่มีindicator ที่วัดออกมาได้จริง)
จากโมเดลเทรดอย่างง่ายนี้ ถ้านำมาทำนาย set index จึงสมควรจะเป็น down trend มากกว่า up trend
คุณ mudleygroup เห็นว่าเป็นไปได้ไหมครับ?

ขออภัยที่รบกวนเสียยาว
ถ้ามีตรงไหนที่ผมเข้าใจผิดก็ช่วยบอกด้วยนะครับ
ผมจะได้เข้าใจเรื่องการสร้างโมเดลเทรดนี้มากขึ้น
เพราะผมยังอ่อนด้อยเรื่องนี้อยู่มาก
และกำลังพยายามโปรแกรมระบบความคิดอยู่นะครับ

เรียนคุณ ทรงกฤษฎิ์ ตามตรง ครับ ผมชอบมากเลย เพราะว่าแนวความคิดของคุณนั้นไม่เรียกอ่อนด้อยหรอกครับ แต่ผมกลับคิดว่าเป็นมืออาชีพมากกว่า เผลอๆจะมืออาชีพกว่าผมเสียอีก โมเดลที่คุณว่ามาถือว่าค่อนข้างจะเยี่ยมครับ เพราะผมเห็นพวกมืออาชีพมักใช้โมเดลความคิดคล้ายๆคุณครับ

ความคิดเห็นของน้อง Moonzonezturn
ผมก็คิดไม่ออกอ่าว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเม็ดเงินนี้เป็นของ mass เม็ดเงินนี้เป็นของผู้ชี้นำ เว้นแต่เสียจะเป็นผู้ชี้นำ เขาก็จะโทรเช็คหากันว่ามีใครเข้ามาเล่นบ้าง นั่นถึงจะพอรู้และแยกปัจจัยทั้งสองออกจากกันได้ ผมจึงคิดไม่ออกว่าจะคิดสูตรคำนวนออกมาอย่างไร อีกอย่าง ความโลภกับความกลัว ผมก็ไม่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้อยู่ดี ทั้งยังอาจจะมีพวกผู้ชี้นำที่ต้องการความสะใจอย่างเช่นที่พี่มัดเล่บอกอีก ปัจจัยทางอารมณ์มันเยอะมากและไม่เท่ากัน แต่ล่ะคนแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นการซื้อ-การขายอยู่ดี ผมก็เลยใช้แต่กราฟในปัจจุบันกะอดีตนี่แร่ะมาหาคำตอบ เพื่อบอกถึงเรื่องนี้นั่นเอง เหมือนครั้งที่แล้วที่ผมเคยตอบไปในกระทู้หนึ่ง เราควรจะเอากราฟที่เราได้ แปลงกับมากับเป็นความรู้สึกอีกครั้ง ถึงค่อยเอามาหาคำตอบ ไม่ใช่แต่ว่าใส่สูตรคณิตศาสตร์เข้าไปอย่างเดียว

mass =ความรู้สึก----->กราฟ--ใช้เทคนิคเราออกมาเป็น---->การตัดสินใจ

เซียน =ความรู้สึก------>กราฟ--ใช้เทคนิคเรา--->ความรู้สึก--ออกมาเป็น-->การตัดสินใจ


ซึ่งคล้ายกับที่พี่มัดเล่บอกคือเอาปัจจุบัน(กราฟ)และอดีต(ความรู้สึก) เพื่อหาคำตอบในอนาคตนั้นเอง และมีเทคนิคในปัจจุบันที่บอกความรู้สึกตรงนี้ได้อยู่แล้ว แร่ะทุกคนก็รู้จักดีเช่นแท่งเทียนงาย และอื่นๆที่ผมยังไม่รู้อีกเยอะแยะ


แต่ที่พี่เล่ามาคล้ายจะเป็นทฤษฎีอธิบายว่าทำไมmassถึงขาดทุนเสมอ ซึ่งมันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่แนวคิดพี่ผมคิดว่าใช่แล้วล่ะครับ ตรงนี้เองพวกใช้เทคนิคคลื่นเวฟเขาเอามาใช้กาน สู้ๆครับพี่ทรงกฤษฎิ์ คิดเทคนิคเองสนุกจริงๆ ไม่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิด้วยนา555

ความคิดเห็นของ หมากเขียว
ปัจจุบันน้อง MudleyGroup โกอินเตอร์ไปทำงานกับฝรั่งที่อเมริกาแล้วครับ ฝรั่งคนนี้เห็นน้องเขาเล่าว่า สนใจแนวคิดการเล่นหุ้นของน้องเขาจากการชนะเลิศแข่งขันเล่นหุ้น เลยดึงตัวมาทำงานด้วยในเมืองไทยระยะหนึ่ง ตอนนี้ไปอเมริกาแล้ว ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย เห็นก่อนไปบอกว่าจะพักแถวๆ เซนทรัลปาร์คครับ

ส่วนที่เจ้าของกระทู้บอกว่าเห็นคนอื่นว่าน้องเขาเก่ง ผมขอบอกว่าน้องเขาน่ากลัวจริงๆ ครับ อายุเพียง 24-25 ปี สามารถบริหารพอร์ทของตัวเองโดยเงินเริ่มต้นเพียงสี่หมื่นจนขยายเป็นสิบล้านได้ จนเพื่อนในนี้ตั้งฉายาให้ว่าโซรอสจูเนียร์ครับ

ความคิดเห็นของหมากเขียว
แนวคิด MGC นั้นนอกจากจะให้เครดิตแก่เจ้าของแนวคิดคือ น้อง MudleyGroup แล้ว คงยังต้องให้เครดิตแก่พี่คลาย เครียดผู้ตั้งชื่อแนวคิดนี้ให้กับน้องเขาด้วยครับ และเป็นคนจุดประกายให้น้อง MudleyGroup ได้เล่าแนวคิดของเขาให้พวกเราได้รับรู้กัน

เรื่องมันมีอยู่ว่าช่วงปลายเดือนก.ย. ผมคุยกับพี่คลาย เครียดเรื่อง Rouge Trader ว่าเป็นหนังดีเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้จบ Finance หรือ MBA (Finance) มาจะดูยากเพราะศัพท์ Finance ทั้งเรื่อง พี่คลาย เครียดเลยจุดประเด็นว่าหนังเรื่องนี้คนที่พี่เขาส่งแผ่นไปให้ดู แล้วดูรอบเดียวแล้วรู้เรื่องเห็นจะมีน้อง MudleyGroup โซรอสจูเนียร์ ผู้ซึ่งเริ่มต้นพอร์ทจากเงินเพียงสี่หมื่นเป็นสิบล้าน เลยมีผู้ที่สนใจท่านหนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้ครับ ขอโทษด้วย ตั้งกระทู้ถามขึ้นมาว่า น้อง MudleyGroup มีวิธีทำอย่างไรถึงทำได้แบบนั้น น้องเขาก็ใจกว้างครับ ไม่อมวิชานำมาเผยแพร่กัน จนกระทู้นี้ติดอันดับกระทู้แนะนำอยู่เกือบเดือนครับถึงจะหลุดไป


Last Update : 29 กรกฎาคม 2548 12:59:31 น.




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2550
0 comments
Last Update : 11 ตุลาคม 2550 15:03:00 น.
Counter : 965 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Pu121
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add Pu121's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.